"ไม่หน้าด้านไปหน่อยเหรอวะ" นี่เป็นเสียงไอ้แจงที่พูดขึ้นมา และไอ้แจงมันกำลังพูดกับว่าที่เจ้าสาวของผม
วันนี้ผมมีนัดกับเพื่อนที่ร้านเหล้า ก็เลยพาเอมาด้วย พร้อมกับบอกเพื่อน ๆ ในกลุ่มว่าเราจะแต่งงานกัน
เอขอออกมาสูดอากาศข้างนอก ผมก็ให้ออกมา แต่รู้สึกแปลก ๆ ตรงที่ไอ้แจงมันบอกขอมาเข้าห้องน้ำ แล้วมันหายมานาน ผมก็เลยเดินออกมาตามหาเอ เพราะกลัวไอ้แจงมันจะปากเสียและลงมือทำร้ายเอ
ผมคิดว่าผมไม่ได้คิดไปเอง เพราะสายตาที่ไอ้แจงมันมองเอตอนอยู่ในร้านไม่ได้มีความเป็นมิตรเลย
"หน้าด้านอะไร พูดให้มันดี ๆ นะแจง แล้วใครกันแน่ที่หน้าด้าน" เอพูดขึ้น ซึ่งตอนนี้ผมยังไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งสอง
"ใครด้านกูไม่รู้ แต่ที่กูรู้คือมึงควรเลิกกับไอ้ควายยิมได้แล้ว เลิกหลอกมันสักที มึงไม่มีหัวใจบ้างหรือไง มึงไม่สงสารมันบ้างเหรอ มันดีกับมึงมาตลอด ยอมให้มึงหลอกมาตลอด ทำไมมึงไม่สงสารมันบ้าง ยกเลิกงานแต่งงานซะ" จู่ ๆ ไอ้แจงก็พูดเรื่องที่ทำร้ายจิตใจผมมากที่สุด
มันกล้าพูดแบบนี้ได้ยังไงวะ ในเมื่อมันก็รู้ว่าผมรักเอมากแค่ไหน
"อย่ามาเสือกแจง นี่มันเรื่องของกูกับยิม เป็นแค่เพื่อนอย่าเสร่อ ถ้าจะเตือนเพื่อนก็ควรเตือนตั้งนานแล้ว อย่ามาหวงก้างตอนนี้ เพราะกูเอากับยิมมาหลายปีแล้ว และยิมมันรักกูมาก มึงควรตัดใจจากผู้ชายคนนี้ตั้งนานแล้วนะ คงไม่ต้องให้กูสาธยายนะว่าเอากี่ท่าต่อกี่ท่า เพราะกูจำไม่ได้"
"มึงแม่งทำแบบนี้ได้ไงวะ มึงดึงไอ้ควายยิมมาเกี่ยวทำส้นตีนอะไร มึงไม่แฟร์"
"แล้วทำไม ทำไมจะดึงไม่ได้ เจ็บเหรอแจง เหอะ! หลายปีที่ผ่านมากูก็เคยเจ็บ แต่คงเจ็บน้อยกว่ามึงตอนนี้ว่ะ ขอโทษนะ ผู้ชายคนนี้มันโง่เอง"
"อิเหี้ย! "
"ทำเหี้ยอะไรเมียกูแจง" ผมรีบเดินเข้าไปจับมือที่กำลังง้างจะฟาดลงที่หน้าของเอไว้
"กูก็จะตบมันไง" ไอ้แจงมันพยายามดึงมือออกจากมือผม
"แล้วมีสิทธิ์เหี้ยอะไรมาตบมาเมียกู" ผมสะบัดแขนไอ้แจงออกแล้วหันไปมองมันตาขวาง
"สิทธิ์ของความเป็นเพื่อนที่ห่วงพะ..."
"สัส! ไม่ต้องมาห่วงกู ห่วงตัวมึงเองเถอะ เรื่องของกูไม่ต้องมาเสือก ไปจัดการกับความรู้สึกเหี้ย ๆ ของมึงก่อนไหม เลิกยุ่งเลิกวุ่นวายกับกูสักที ออกไปจากชีวิตกูได้ยิ่งดี" ผมตะโกนลั่น และมันกลายเป็นจุดสนใจได้ดีเลยล่ะ เพราะมันคือร้านเหล้านั่งชิว ไม่ใช่ผับบาร์ที่เปิดเพลงเสียงอึกทึก
"ที่พูดมาควายอย่างมึงใช้สมองกลั่นกรองมาแล้วใช่ไหม" ไอ้แจงมองผมแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ
"กับมึงกูไม่ต้องใช้สมองเหี้ยอะไรทั้งนั้น แล้วจากนี้มึงกับกูอย่ามารู้จักกันอีก กูพยายามมองข้ามไอ้ความรู้สึกเหี้ย ๆ ของมึงมาตลอด กูพยายามคิดว่ามึงเป็นเพื่อน พยายามคิดว่าเราคือเพื่อน แต่ตอนนี้ไอ้ความรู้สึกเหี้ย ๆ ของมึงมันล้ำเส้นความรู้สึกกู เลิกวุ่นวายกับกูสักที กูเกลียดที่มึงรู้สึกแบบนั้นกับกู"
เพี้ยะ!
ไอ้แจงมันฟาดฝ่ามือลงที่หน้าผม
"เออ กูก็เกลียดตัวเองเหมือนกันที่รักมึงแบบนี้ กูก็เกลียดไอ้ความรู้สึกเหี้ย ๆ นี่เหมือนกัน กูก็รำคาญมึงเหมือนกันที่มึงเป็นควายอยู่แบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีวันรักมึง มึงก็ยังโง่ให้มันหลอก! "
เพี้ยะ!
แต่นี่เป็นผมที่ฟาดฝ่ามือหนาลงที่แก้มใส ๆ ของไอ้แจง ผมฟาดลงเต็มแรงมือเพราะความโมโหที่มีเต็มเปรี่ยม
"ก็เหมือนที่กูไม่มีทางรักมึงนั่นแหละ ยังไงกูก็ไม่มีทางรักมึงแบบที่มึงรู้สึกกับกู มึงด่ากูโง่ ด่ากูควาย มึงก็ควายเหมือนกันนั่นแหละ" แล้วผมก็สวนกลับมันทันที
"ไอ้เหี้ยยิม แรงไปไหมนี่เพื่อนมึงนะ" เพื่อนของผมรีบวิ่งออกมาจากร้าน และดึงไอ้แจงไปโอบไว้
"เพื่อนกันมันไม่รู้สึกเหี้ย ๆ แบบนั้นใส่กันหรอก กูไม่มีเพื่อนอย่างมัน พวกมึงอยากคบก็คบไป" ผมมองไปที่ไอ้แจง แล้วจากนั้นก็คว้ามือของเอมาจับ
เพื่อพาเอกลับบ้าน
"เออ กูก็ควายนั่นแหละ ควายฉิบหายเลยล่ะ ที่บ้ารักควายแบบมึงอ่ะ" เสียงของแจงมันตะโกนหลังผมมา แต่ผมไม่คิดหันกลับไปมองมันอีก
"พอใจแล้วใช่ไหม" ผมถามเอ เมื่อเราสองคนขึ้นมานั่งอยู่ในรถด้วยกัน"..." เอเลือกที่จะนั่งก้มหน้าแล้วเงียบ"ถาม""...""เอ""อืม ส่วนงานแต่งก็ยกเลิกนะ" ในที่สุดเธอก็พูดออกมา และพูดประโยคที่ทำผมฝันสลาย"ขอโทษสำหรับทุกอย่าง แล้วก็ขอบคุณมาก ๆ สำหรับตลอดเวลาที่ผ่านมา""หุบปากแป๊ปดิ๊" ผมพูดขึ้นแล้วจากนั้นก็ฟุบหน้าลงที่พวงมาลัยรถมันเป็นความรู้สึกที่เคว้งคว้าง เหมือนผมกำลังอยู่บนยอดตึก แล้วตกลงมากระทบพื้น"ที่ทำทุกอย่างแค่ต้องการแก้แค้นไอ้แจงใช่ไหม" ผ่านไปร่วมครึ่งโมงผมก็เอ่ยขึ้นหลังจากที่พอจะรวบรวมสติย้อนความคิด เรียบเรียงสิ่งที่สองคนนั้นพูด"อืม""ที่ผ่านมาไม่เคยรักกันเลยใช่ไหม" แล้วผมก็กลั้นใจถามคำถามที่ค้างคาใจ ไอ้คำที่เคยบอกว่ารักกัน ผมอยากจะรู้จริง ๆ ว่ามันมีความจริงสักแค่ไหน"อืม""มีหัวใจบ้างไหมวะ ทำแบบนี้ได้ไง เลือดเย็นไปไหม แล้วเด็กในท้อง...""เด็กในท้องเป็นลูกของแฟนเรา คือเรื่องแต่งงานเราคิดไว้อยู่แล้วว่าแจงมันต้องระเบิด เราไม่ได้คิดจะแต่งงานกับยิมอยู่แล้ว คือเราไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำว่าขอโทษ""เรียกคนนั้นว่าแฟน แล้วกับยิมคืออะไรวะ" ผมจุกในอกสุด ๆ นี่ผมตกเข้าไปอยู่ในเกมแค้นของผู้หญิ
คุณเคยแอบรักใครไหม รักมาตั้งแต่เด็ก รักจนยอมทุกอย่าง รักโดยที่ไม่ต้องครอบครองก็ได้ ขอแค่เขามีความสุขก็พอมันอาจจะดูเหมือนคนโง่ แต่ถ้าใครไม่มาอยู่ในจุดนี้ไม่มีทางเข้าใจการรักใครสักคนแบบงมงายมันเป็นยังไง"มันจะกลับมาแล้วนะ"ภามเพื่อนชายของฉันเกริ่นขึ้นมา มันที่ว่าฉันรู้ดีว่าหมายถึงใคร"เหรอ" ฉันทำทีไม่ใส่ใจ ทั้งที่ในใจรู้สึกตื่นเต้นจนอยากกระโดดโลดโผน"อืม ไปรับมันด้วยกันไหมล่ะ" ภามถามต่อ"มึงก็รู้ว่ามันเกลียดกู กูกับมันคือคนไม่รู้จักกัน" ฉันบอกระหว่างที่มือสาละวนกับการเก็บการรื้อชุดเจ้าสาว"มันอาจจะหายโกรธแล้วก็ได้ มันถึงได้กลับมา" พีคเพื่อนชายอีกคนเดินเข้ามาในร้านแล้วพูดขึ้นพูดเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้"กูรู้จักมันดี คนอย่างมันเกลียดคนฝังใจ แล้วยิ่งคนที่ทำให้มันเจ็บ มันยิ่งไม่คิดชายตามอง""แต่นี่มัน5ปีแล้วโว้ย มันอาจจะคิดได้แล้วมั้ง" พีคแย้งขึ้น"ถ้าพูดตามหลักความเป็นคนทั่วไป ถ้ากูเป็นมัน กูก็ไม่หายโกรธหายเกลียดนะ นั่นแม่งความรู้สึกคนทั้งคนเลยเว้ย ไหนจะโดนแก้แค้นทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองอีก" ภามมันพูดในแง่ของความรู้สึกซึ่งฉันก็คิดแบบภามนั่นแหละ"แล้วนี่จะอยู่ยังไง บ้านก็ติดกันแม่
"ไหนว่าทำงานพรุ่งนี้ นี่มึงแดกกะจะตื่นพรุ่งนี้เย็นๆ เลยเหรอแจง" เสียงของใครสักคนในกลุ่มเพื่อนของฉัน ทักท้วงกับการดื่มแอลกอฮอล์ของฉันในวันนี้ส่วนฉันจำไม่ได้หรอกว่าเสียงนี้เป็นเสียงของเพื่อนคนไหน เพราะตอนนี้สมองฉันเริ่มจะทำงานช้าลงเรื่อยๆ"ฉลองล่วงหน้าให้กับผู้ชายที่กูโคตรรักไง มันกำลังจะกลับมาแล้วเห็นไหม ในที่สุดมันก็จะกลับมา หลังจากที่มันหนีกูไป 5 ปี ป่านนี้มีเมียไปแล้วมั้ง มันจะรู้ไหมว่ากูคิดถึงมันมากแค่ไหน มันจะรู้ไหมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกูก็โคตรเสียใจเหมือนกัน แต่มันคงไม่อยากรู้หรอก เพราะมันเกลียดกู มันบอกว่ามันโคตรเกลียดกู แต่กู... โคตรรักมัน กูรักมันพวกมึงได้ยินไหมว่ากูรักมัน กูโคตรรักมันฉิบหาย กูไม่สวยตรงไหนวะ ทำไมมันไม่รักกู กูไม่เข้าใจ..."แล้วฉันก็เริ่มโวยวาย เริ่มพร่ำเพ้อ พูดพล่ามถึงเรื่องที่กักเก็บไว้ในใจซึ่งฉันจะเป็นเฉพาะช่วงเวลาที่เมามาก ๆ แต่ถ้าในวันที่สติดี ๆ เรื่องแบบนี้จะไม่มีทางออกจากปากของอีแจงแสนสวยแน่นอน"ถ้ามึงเห็นมันตอนนี้ มึงอาจจะไม่รักมันแล้วก็ได้ มันไม่ใช่ไอ้ยิมแสนดีที่มึงเคยรู้จักแล้วแจง" แว่ว ๆ เสียงของหนึ่งในกลุ่มเพื่อนพูดขึ้นมาซึ่งฉันจับประโยคได้ประมาณเ
ฉันที่ยืนค้างเพราะความตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ฉันไม่ได้คิดว่าจะเจอมันคือฉันรู้ว่ามันจะมา แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะมาเร็วแบบนี้หรือฉันฟังเพื่อนไม่เข้าใจไอ้ควายยิมมันลุกจากโซฟา แล้วมันก็เดินมาหาฉัน ท่าทางการเดินของมันดูแบดบอยมาก แต่สายตาที่มันมองฉันดูเฉยชาความตกใจของฉันทำให้ฉันก้าวขาไม่ออก ทำตัวไม่ถูก หัวใจเต้นจนแทบจะทะลุแล้ว ณ จุดนี้ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากฉันกับมันไอ้ควายยิมมันเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน สองมือของมันเหน็บที่กระเป๋ากางเกง สายตาของมันมองมาที่ฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วมันก็ค่อย ๆ เอนตัวเข้ามาใกล้ฉันมันทำเหมือนจะจูบฉันเลย ฉันไม่ได้มโนไปใช่ไหม ก็ฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดใบหน้าฉันถ้ามันจะจูบฉัน แสดงว่ามันไม่ได้เกลียดฉันแล้วใช่ไหมและที่สำคัญถ้ามันทำจริง ฉันใจง่าย ฉันยินยอม ยอมพลีกายเลยนะ ถึงแม้ร่างกายมันจะมีรอยสักมากมายแต่นิสัยมันอาจจะเป็นเหมือนเดิมก็ได้!"เหอะ! เคยเป็นยังไงก็เป็นแบบเดิมมาจนถึงทุกวันนี้เนอะมึงอ่ะ ดูสภาพสิ"เดี๋ยวนะ เดี๋ยว ๆ เมื่อกี๊ฉันขอเปลี่ยนคำพูด ที่ว่าจะยอมมัน เพราะมันกำลังเบะปากมองฉันอย่างสมเพช"ได้ข่าวว่าเมาโดนเอาจนท้อง จำหน้าพ่อของลูกไม่ได้ เหอะ! น่
"ทำไมลุงคนนั้นน่ากลัวจังเลยคะ มองแม่แจงไม่ดีด้วย" เมื่อมาถึงบ้านลูกสาวของฉันก็เริ่มพูดขึ้น"เขาใจดีค่ะ แต่เขาแค่ชอบทำหน้าดุ" เป็นการโกหกที่ไม่เนียนเอาซะเลย"จริงเหรอคะ คนหน้าดุใจดีจริงเหรอ ตอนที่เขาเดินเข้ามาในร้านตอนบ่ายแล้วถามยายอันจ๋าว่าจัสคือใคร พอยายอันจ๋าบอกว่าเป็นลูกแม่แจง เขาก็มองตาดุ ๆ ใส่จัส" ไอ้หมายิม ไอ้ห่ารากนี่"อ้อ ช่วงนี้ลุงเขาอารมณ์ไม่คงที่ค่ะลูก ลุงเขาเพิ่งมาจากต่างประเทศ เขาปรับตัวกับสภาพอากาศไม่ทัน อารมณ์เขาเลยแปรปวน สติเขาไม่ค่อยดีหนูอย่าถือสาเลยนะคะ""โอเคค่ะ ลุงเขาสติไม่ดี น่าสงสารจัง จัสจะเข้าใจนะคะ ยายแจ๋มขาาาาา จัสมินมาแล้วค่า" ลูกสาวฉันยกมือชูนิ้วว่าเข้าใจ แล้วจากนั้นก็เดินตะโกนแหกปากเรียกยายแจ๋มนิสัยแหกปากนี่คงเลียนแบบฉันแน่ ๆ เห็นชัดขนาดนี้คงจะปฏิเสธไม่ได้ฉันเดินขึ้นห้องหลังจากที่ลูกสาวเดินไปอยู่กับยายแจ๋มแม่ฉันเป็นที่เรียบร้อย(แจง: เมื่อคืนใครเก็บศพกูมาวะ)(ภาม: พวกกูไงจะใครล่ะ นึกว่าซ้อมตายเถอะ เกือบพาแวะวัดละ)(แจง: ใครแก้ผ้ากู)(พีค: กูมั้ง)(แจง: สัสพีค เอาความจริง)(แพท: แพทกับเค)(แจง: อ่อ เจ้าประจำ ขอบคุณน๊าาาาา)(เค: ชินละ เห็นบ่อย ๆ อีกหน่อยคง
"ทำไรอ่ะแม่" ฉันเดินลงมาหาแม่หลังจากที่อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยจะให้นอนต่อก็นอนไม่หลับ แค่หลับตาก็เห็นหน้าไอ้หมายิมละ"จัดโต๊ะไง ไม่รู้จักเหรอ" ยายแจ๋มตอบแบบกวน ๆอย่าว่าบาปบุญเลยนะ ยายแจ๋มแม่ฉันนี่สายกวนตีนนะจ๊ะส่วนพ่อฉันน่ะ เสียเพราะโรคหัวใจวายเฉียบพลันเมื่อ 3ปีก่อน แม่ฉันเสียใจมากเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวแต่ความเสียใจก็ถูกบรรเทาด้วยจัสมิน ที่อยู่ในวัยน่ารัก สามารถทำยายแจ๋มยิ้มได้ และอยากมีชีวิตอยู่ต่อ"รู้จัก แต่ไม่เข้าใจว่าจัดโต๊ะใหญ่ทำไม ทำอย่างกะว่าใครจะมากินด้วย" ฉันย้อนความ"ก็ต้องมีสิ ไม่มีจะจัดโต๊ะใหญ่ทำไม ถามโง่ ๆ อีกละแกนี่""แล้วใครมารับประทานอาหารด้วยล่ะคะคุณนายแจ๋ม" ฉันขี้เกียจต่อความกับแม่ เพราะแม่ฉันอ่ะสามารถพูดกวนต่อได้อยู่แล้ว"เพื่อนฉันสิ แกอยู่ด้วยนะ เพราะเพื่อนแกก็มาด้วย" ยายแจ๋มว่าพลางจัดเตรียมอาหารที่โต๊ะ"อย่าบอกว่าไอ้หมายิมนะ""ก็เออสิ แล้วเรียกเพื่อนให้มันดี ๆ หน่อยบอกกี่ทีไม่เคยจำ""เรียกแบบนี้มานานแล้วเถอะ" ฉันบ่นอุบอิบ"ถึงบอกให้เปลี่ยนไง พูดยากพูดเย็นจริง ๆ นะแกเนี่ย" ยายแจ๋มเริ่มขึ้นเสียง"จัสมินล่ะแม่" ฉันเปลี่ยนเรื่องพูด ขี้เกียจถกเถียง"
"เดี๋ยวนี้ปากคอไม่ธรรมดานะมึง" ไอ้แจงเดินเข้ามาในร้านอาหารแล้วตบที่บ่าของไอ้พีค"เหี้ยอะไรมึง" ไอ้พีคหันไปถาม"ก็ที่ด่ากูว่าอีแรดไง แค่นี้ทำลืม สมองเสื่อมเหรอฮะ" ไอ้แจงตั้งท่าหาเรื่อง"ด่าที่ไหนวะ" ไอ้พีคทำท่างง ๆ"ในไลน์ไง เที่ยงคืนครึ่งเมื่อวันก่อน""หืมมมม กูเนี่ยนะ อ้อ... สงสัยจะกูนั่นแหละ โทษทีวันนั้นเมาเลยปากหมา" ไอ้พีคหันมามองหน้าผมนิดหน่อยแล้วตอบไอ้แจงไป"ปกติเวลามึงเมามึงจะพูดเพราะขี้อ้อนนะ" ไอ้แจงแสดงท่าทีสงสัย"วันนั้นกูไม่ปกติมั้ง" ไอ้พีคไหวไหล่"สงสัยติดเชื้อบ้ามั้ง แล้วแพทออกมายัง ถึงไหนละ" ไอ้แจงมันนั่งลงข้างไอ้พีค แล้วจากนั้นมันก็ถามไถ่ถึงลูกสาวของมัน ที่ให้แพทรับกลับมาส่งที่ร้านอาหารของไอ้ภาม เพราะไอ้แจงมันติดงานพรี มันจึงพึ่งพาน้องสาวไอ้พีค"น่าจะใกล้แล้วนะ แต่เห็นบ่นว่ารถติด วันนี้ไปผับไหม" ไอ้พีคเอ่ยปากชวนไอ้แจง และมองมาที่ผมด้วย"กูไม่ไป มีนัด แล้วก็ไม่อยากไปกับคนที่ไม่รู้จัก" ผมพูดขึ้นแบบไม่มองหน้าไอ้พีคและไอ้แจง เพราะตอนนี้ผมกำลังทำเป็นสนใจโทรศัพท์มือถือทั้งที่มันไม่มีอะไรให้น่าสนใจสักอย่าง"ร้านไหน กี่โมง ขอร้านผู้ชายเยอะ ๆ จะขอบพระคุณเป็นอย่างสูง เผื่อกูลากไป
"กินแล้วยิ้มเยอะ ๆ นะคะคุณลุง" จัสมินบอกกับไอ้หมายิมที่กำลังทำหน้าเป็นหมางงกับความอัธยาศัยดีของลูกสาวฉันฉันได้แต่ภาวนาในใจ ขอให้ไอ้หมายิมมันยังมีเชื้อควายหลงเหลือ อย่าให้มันนึกอะไรขึ้นมาได้ เหมือนที่ฉันกำลังนึกถึงอยู่'ร้องไห้ทำไม' เด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักยืนมองฉันที่อยู่ในวัยห้าขวบกำลังนั่งร้องไห้อยู่หลังห้องเรียน'ชอบร้องไห้เหรอ ร้องไห้ไม่เห็นสวยเลย' เขานั่งลงตรงหน้าฉันแล้วมองตาแป๋ว'ไม่ชอบ แจงไม่ชอบ แจงอยากสวย' ฉันเงยหน้ามองคนตรงหน้า พร้อมกับเอามือปาดเช็ดน้ำตา'ไม่ชอบก็เลิกร้องสิ แล้วก็ยิ้ม''เลิกไม่ได้ ยิ้มไม่ได้ เพื่อนไม่เล่นด้วย''เพื่อนแกล้งเหรอ''อือ เพื่อนไม่เล่นด้วย เพื่อนบอกแจงสวยกว่า''อ่ะ อมยิ้ม กินแล้วยิ้มเยอะ ๆ นะ เราชื่อยิม เป็นเพื่อนกันนะ' เขายื่นอมยิ้มให้ฉันพร้อมกับรอยยิ้มที่ตราตรึงใจแล้ววันนั้นฉันก็แกะอมยิ้มกินทั้งน้ำตา พร้อมกับยิ้มให้เขาจากนั้นมาสายตาของฉันก็มองหาแต่เพื่อนที่ชื่อยิมมาตลอด และเพิ่งได้รู้ว่าแม่เราสองคนเป็นเพื่อนกัน ตอนที่แม่ฉันย้ายมาอยู่ข้างบ้านของแม่ยิมตั้งแต่นั้นมาเราก็ใกล้กันมาตลอด ฉันตามยิมที่แสนใจดีไปเรียนทุกที่ ไม่ว่าวิชาที่ยิมเลือกจะถูกใจฉัน
“มากันแล้ว มา ๆ ลูกเข้าบ้านเร็ว” แม่ของผมกวักมือเรียกผมและภามเพื่อเข้าบ้านหลังจากที่เมื่อคืนผมโดนจัดชุดใหญ่ เพราะไม่ไว้ใจเก็บเรื่องไร้สาระของภามไปฝันเป็นตุเป็นตะ พอตื่นมาก็งี่เง่าเง้างอนนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกลับมาบ้านแล้วโดนกระหน่ำแทงเช้ามาภามมันเลยลากผมมาทานข้าวเช้าที่บ้านของผม เนื่องจากเมื่อคืนมันบังคับให้ผมโทรนัดครอบครัวซึ่งตลอดการเดินทางมาที่บ้านแม่ของผมนั้น ผมเกร็งมากครับ เกร็งกลัวไปหมด กลัวครอบครัวจะรับเรื่องของผมกับภามไม่ได้กลัวพวกท่านจะกีดกัน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นผมคงทนไม่ได้แน่นอน“พ่อแม่สวัสดีครับ” ภามยกมือขึ้นไหว้พ่อกับแม่ของผม ซึ่งพ่อนั่งอยู่ที่เก้าอี้ของโต๊ะอาหาร ส่วนแม่ท่านเพิ่งจะเดินไปนั่งที่ข้างกายพ่อ“นั่ง ๆ ภาม แล้วนี่นึกอะไรถึงพากันมาแต่เช้า” พ่อยิ้มรับและชวนให้นั่ง ต้องขยายความก่อนนะครับว่าภามมาที่บ้านของผมบ่อย มาในฐานะเพื่อนในความเข้าใจของครอบครัวผม“มีเรื่องจะพูดคุยกับพ่อแม่ครับ” ภามเป็นคนตอบ ส่วนผมยังยืนเกร็งเพราะกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดในเวลาอีกไม่นานที่จะถึง“ดูท่าจะซีเรียส งั้นกินข้าวกันก่อนค่อยคุยกันนะ นั่งทานลงทานข้าวสิเค” แม่ของผมบอกแล้วยิ้ม ผมจึงนั่ง
“เค เค เคด่วย ไอ้เค!!!” เสียงแว่วมาของไอ้ภามมันเอ่ยเรียกผมพร้อมกับแรงเขย่าแรง ๆ“ไอ้ภาม!!!” ผมเงยหน้ามองมันด้วยความตกใจ“เป็นบ้าอะไรของมึง เห็นกูทำไมต้องตกใจ มึงมีความผิดอะไร พูดมา” ไอ้ภามมันเดินมาที่โซฟาที่ผมนอนอยู่และนั่งลงข้างผมก่อนจะยื่นมือมาดึงจับที่ตัวผม“อย่ามาจับกู ไอ้เหี้ย มึงมันเลว ใจร้าย ทำร้ายจิตใจกู ที่ทำทุกอย่างก็แค่สงสารกู มึงไม่เคยรักกูเลย” ผมขยับตัวหนีออกจากมันปัก!ไอ้ภามมันตบที่หัวของผม“ไอ้เค รอบนี้อะไรพูดมา กูงอนเรื่องที่บ้านของมึง มึงถึงขั้นเก็บเอาไปฝันคิดว่ากูนอกใจใช่ไหม มึงถึงได้นอนร้องไห้อยู่แบบนี้”เวรแล้วครับ“อย่าบอกนะว่าทั้งหมดเพราะกูฝันเป็นตุเป็นตะ” ผมมองไอ้ภามแล้วทำหน้าอึ้งรอครับ เพราะรู้สึกเหมือนจะรู้คำตอบแล้ว“เออดิ กูเนี่ยนะจะนอกใจมึง ไอ้เหี้ย เรื่องนี้นี่คิดไม่เลิกสักทีเนอะ แล้วนี่ยังไง”“ยังไงอะไรภาม” เมื่อรู้ตัวว่าทุกอย่างคือความฝันที่ผมสรรค์สร้างมันขึ้นมา ผมก็รีบขยับตัวนอนหนุนที่ตักของคนที่ผมเรียกว่าแฟน รีบเตรียมแผนอ้อนมันเลยครับ“มึงให้ลูกค้าในร้านกอดทำไม”แต่เดี๋ยวนะ!!!เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี้ผมจะนอนท่านี้ไม่ได้เหมือนจะไม่ทัน ผมรู้ตัวช
สามวันผ่านไป...สามวันผ่านไปแล้ว ชีวิตของผมก็ยังจมอยู่กับความเมา ผมเช่าห้องพักรายวันแล้วซื้อเหล้าเข้ามากินแบบไม่คิดอะไรทั้งนั้น นอกจากเรื่องราวที่ผ่านมาของผมกับไอ้ภาม ผมคิดซ้ำ ๆ วกไปวนมา คิดแล้วคิดอีกและเมาหลับไปผมโคตรเสียศูนย์ที่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้แต่วันนี้มันถึงเวลาที่ผมจะต้องกลับใช้ชีวิตของผมแล้วครับเรื่องร้านที่ทำร่วมกันมา ถ้าหากว่ามันจะเอาคนรักของมันมาทำ ผมก็พร้อมจะเดินออกมาพร้อมเงินทุนและกำไรที่ผมสมควรได้เรื่องนี้คงต้องคุยกันอีกทีให้เข้าใจแต่ที่แน่ ๆ คือผมจะไม่กลับไปอยู่ในจุดที่มันสงสารผมแน่นอนครับสองชั่วโมงต่อมา...ณ ร้านอาหาร“สวัสดีค่ะคุณเค” พนักงานในร้านยกมือไหว้ผมเหมือนที่เคยทำตลอด แต่วันนี้มันแปลกไปตรงที่ผมไม่ยิ้มครับ คนที่ตกอยู่ในอารมณ์แบบผมคงไม่มีอารมณ์มาปั้นหน้ายิ้มหรอกใช่ไหมครับ ผมไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้นผมเดินผ่านพนักงานมาที่ห้องทำงานด้วยใบหน้าที่นิ่งขรึม ซึ่งผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลยตั้งแต่เปิดร้านมา จึงไม่แปลกที่จะเป็นจุดสนใจ เพราะผมก็หายไปสามวันเต็ม ๆผมเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วนั่งดูยอดบัญชีการซื้อของเข้า และเมนูอาหารที่ขายออกไป ผมตรวจผมเช็กแบบที่ผมเคยทำ เพื่อ
ตอนนี้เวลาหนึ่งทุ่มนิด ๆ ครับ ผมกลับมาบ้านของภาม บ้านที่ภามมันซื้อไว้ก่อนที่เราจะรู้จักกัน เราอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยกัน และนาน ๆ ครั้งเพื่อนจะมาปาร์ตี้ โดยที่มีแจงเป็นสายเมาที่ชอบเต้นจนสุดเหวี่ยง และสุดท้ายก็น็อกกลางอากาศ ตั้งแต่ที่แจงมีลูกคนที่สอง การเที่ยวเตร่เมาแล้วเลื้อยของแจงก็น้อยลง หรือเพราะมีความเป็นแม่ที่มากขึ้นก็ไม่รู้นะครับ แจงถึงได้ดูกลายเป็นคนดีแต่กว่าจะดีได้ กว่าจะลงตัวกับคนที่เป็นผัวอย่างยิมก็ยากเอาเรื่องนะครับ ไหนจะเรื่องของจัสมินที่แจงปกปิดแม้กระทั่งเพื่อนว่าใครคือพ่อ ไหนจะผู้ชายที่ตามจีบ และยังเมียเก่าของยิมที่ยิมเคยรักมาก แต่ละปัญหาของทั้งคู่มันทำให้ผมเหนื่อยและท้อแทนเลยครับ“เฮ้อ” ผมถอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อขวดเหล้ามันกระจัดกระจายระเนระนาดไปหมด แล้วก็ต้องเป็นผมที่ต้องเก็บเป็นประจำตอนนี้คนเมาคงอยู่ในห้องนอนแต่เดี๋ยวนะ!!!ทำไมมีแก้วสองใบ ใครมาดื่มกับมันวะสองเท้าของผมรีบเดินมาที่ห้องนอน ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจแต่ผมแค่อยากพิสูจน์ และไม่อยากให้เป็นแบบที่ผมคิดแต่แม่ง...ไม่ใช่ไง มันไม่ใช่เมื่อเสียงที่ดังแว่วมาจากห้องนอน ตามทางเดินที่ผมกำลังก้าวไป ยิ่งผมเฉียดใกล้
สวัสดีครับ เรียกผมว่า ‘เค’ อย่างที่แจงเรียกก็แล้วกันนะครับผมมีแฟนครับ ชื่อ ‘ภาม’ เป็นเจ้าของร้านอาหารที่เราสองคนร่วมกันสร้างขึ้นมาเพื่อเลี้ยงชีพของเราทั้งสอง กิจการร้านอาหารของเราดำเนินไปได้ด้วยดีครับคงจะเพราะเจ้าของร้านทั้งสองคนหล่อกันทั้งคู่ จะว่าผมหลงตัวเองไม่ได้นะครับ เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาทานอาหารร้านผมนั้นเป็นสาว ๆ กันซะมากกว่าคงไม่ต้องบอกพวกคุณที่ตามแจงมาก็คงจะรู้ว่าผมกับภามเป็นคู่รักร่วมเพศ เป็นคู่เกย์กันขอสารภาพตามตรงนะครับว่าตอนแรกผมก็ไม่คิดที่จะชอบผู้ชายด้วยซ้ำ เพราะที่ผ่านมาผมชอบผู้หญิงมาตลอด แต่แล้วจู่ ๆ ชีวิตที่เจอแต่ความผิดหวังก็ทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไป อาจจะเพราะจุดเริ่มต้นมันมาจากการประชดชีวิตที่คบใครก็มีแต่โดนทิ้ง โดนหักหลังมาตลอดผมก็เลยลองมองหาผู้ชายดู เผื่อว่าจะได้ไม่ต้องเจอกับความเสียใจ เหมือนตอนที่คบกับผู้หญิงจุดเปลี่ยน จุดแปลกใหม่ในชีวิตของผมเกิดขึ้นเมื่อผมต้องมากลายเป็นฝ่ายรับจากผู้ชายที่เพิ่งจะรู้จักกัน ตอนนั้นขอเรียกเป็นวันไนท์สแตนด์แล้วกันนะครับที่เรียกวันไนท์สแตนด์ก็เพราะอยากจะทดลองก่อนที่จะเริ่มมีคนรักที่เรียกว่าเพศเดียวกันและผู้ชายคนแรกที่ไ
“พวกแกจะบ้ากันหรือไง ทำอะไรกันอยู่ กล้าทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง!!!” แม่พูดเสียงสั่นดวงตากำลังเอ่อคลอด้วยน้ำตา ท่านกำลังมองฉันและพี่ชาย“แค่เรารักกัน ทำไมแม่ไม่เข้าใจ”“รักกันฉันเข้าใจ แต่พวกแกจะรักกันแบบนี้ไม่ได้ พี่น้องจะรักกันแบบนี้ไม่ได้”“แม่…”“หยุดเรื่องน่ารังเกียจนี้ซะยัยแพท แกเป็นถึงครู แกไม่ควรให้เรื่องนี้เกิดขึ้น” แม่หยิบยาดมขึ้นมาสูดดม“เรารักกันครับแม่ ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ แต่เรื่องของหัวใจมันบังคับกันได้เหรอครับ แม่ครับ…”“เงียบปากไปเลยพีค นี่พวกแกเป็นบ้ากันหรือไง กำลังทำอะไรอยู่ ทำอะไรทำไมไม่คิดถึงใจฉันบ้าง” แม่ของฉันเริ่มหลั่งน้ำตาฉันกับพี่ชายกำลังทำให้แม่บังเกิดเกล้าเสียใจ เพราะเราทั้งสองตัดสินใจกลับมาบ้านและบอกเรื่องราวที่เราสองคนได้แอบทำร่วมกันมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เมื่อแม่ได้ยินเรื่องที่พี่ชายเป็นคนเอ่ยปากเริ่มเล่า ท่านก็เริ่มหน้าซีด และหลั่งน้ำตาน้ำตาของแม่ทำให้ฉันรู้สึกผิดมาก แต่เมื่อพูดออกไปแล้วคงจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีก และคงต้องยอมรับความจริงซึ่งมันดูเหมือนเราทั้งคู่บีบบังคับให้แม่ยอมรับเรื่องของเราเรื่องระยำที่เราแอบทำ“แม่คะ แพทขอโทษ แต่
“คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรแพท” เมื่อฉันก้าวขาเข้ามาในห้องของคอนโด พี่ชายที่พ่วงด้วยตำแหน่งสามีก็เริ่มโวยวาย“ยุ่งอะไรด้วย” ฉันวางของแล้วเดินหนี“นี่ผัว”“ผัวคนอื่นน่ะสิ” ฉันสวนกลับทันที“ไม่โดนเอาหลายวันเลยปากดีว่างั้น” พีคเดินมาดึงฉันเข้าหาตัว“อย่ามาพูดแบบนี้ เราเลิกกันแล้ว ถอยไป” ฉันชักสีหน้าและน้ำเสียงไม่พอใจ“พี่ไม่เคยเลิก และอย่าคิดจะมีใหม่ มาย้ำความสัมพันธ์กันเถอะจะได้จำว่าไม่ควรไปสนิทกับผู้ชายคนไหน” พีคว่าและอุ้มฉันขึ้นพาดบ่า จากนั้นก็พาฉันเดินเข้ามาในห้องนอนวางฉันลงที่เตียงนอน“ออกไปเดี๋ยวนี้ เราเลิก…อื้อ” กลีบปากหนาประกบชิดที่ริมฝีปากของฉัน คำพูดถูกกลืนหาย สัมผัสที่คุ้นเคยมานานหลายปีถูกแทรกเข้ามาแทน“อย่าบอกว่าเราเลิกกัน พีครักแพท รักแพทมาก ๆ” พี่ชายของฉันถอนจูบออกและพูดออกมา ในขณะที่พูดเขาก็ดึงกางเกงชั้นในของฉันออก และใช้นิ้วเข้ามาเขี่ยที่รูร่องแคบ จังหวะเดียวกันกับการป้อนจูบให้ฉันเคลิบเคลิ้มอีกครั้ง และอีกครั้ง จูบซ้ำ ๆ ย้ำอยู่แบบนั้นกระทั่งแท่งเอ็นสอดเข้ามาในช่องแคบของฉัน เอ็นแท่งเดียวที่มีโอกาสได้เข้า และคงจะเป็นดุ้นเดียวตลอดไปปึก!“อ้ะ! มันจุกนะพีค” ฉันร้องเพราะพีคกระแท
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา…หลังจากที่ฉันย้ายออกมาอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ภาพขวางหูขวางตาที่ต้องเห็นคนรักสวีตหวานกับภรรยาของเขาก็ไม่ปรากฏให้ฉันได้เจ็บปวดหัวใจจะมีก็แต่ความคิดถึง ซึ่งฉันคิดถึงเขามาก ฉันร้องไห้ตาบวมไปสอนเด็กทุกวันก็ฉันรักเขามาตั้งนาน จะไม่ให้คิดถึงเลยฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้นะ เพราะฉันคิดถึงเขามาก มากสุดหัวใจเขาโทรมา ส่งข้อความมา แต่ฉันเพิกเฉยฉันไม่อยากจะเป็นชู้อีกต่อไปแล้ว ฉันไม่อยากทำเรื่องแบบนั้นอีก“ครูแพทไปไหนต่อไหมครับ” เสียงของครูหนุ่มเอ่ยทักฉันค่ะ“แพทว่าจะกลับคอนโดเลยค่ะ ครูหนุ่มมีอะไรให้แพทช่วยเหรอคะ” ฉันตั้งคำถามเผื่อว่าครูหนุ่มจะมีอะไรให้ฉันช่วยเหลือเรื่องงานของเขาครูหนุ่มคือครูที่ย้ายมาสอนแทนครูเอกที่สอนวิชาพละศึกษา“อ้อ ผมแค่ต้องการจะถามอุปนิสัยเด็กชั้นม. 4/3 บางคนน่ะครับ เห็นครูแพทสอนเด็กห้องนั้นด้วย พอดีรู้สึกเหมือนจะมีเด็กที่แตกต่างอยู่ครับ”“อ๋อ ถ้างั้นเด็กคนไหนคะ เอ่ยชื่อมาเลย แพทก็ค่อนข้างจดจำเด็กห้องนั้นได้พอสมควร”“จะเป็นอะไรไหมครับถ้าหากว่าจะไปทานข้าวเย็นด้วยกันแล้วพูดคุยกันไป” ครูหนุ่มพูดแล้วจับลูบที่หลังคอตัวเองฉันพอจะเข้าใจที่ครูหนุ่มสื่อแล้วล่ะเพ
“ฮัลโหลลล สามี มิสยูที่สุด” พนักงานแอร์ของสายการบินหนึ่งเดินเข้ามาสวมกอดผม“เหนื่อยไหม” ผมผละกอดออกและลากกระเป๋าเดินทางให้เธอ“ไม่อะ แต่ตอนนี้หิว แวะหาอะไรทานด้วยนะคะที่รัก”“อยากกินอะไร”“สเต็กโคขุนแล้วกัน”“โอเค”จากนั้นผมและเธอก็เดินมาที่ลานจอดรถครับ ผมชื่อ ‘พีค’ เป็นเพื่อนกับไอ้ยิม และไอ้แจง ที่นั่งเบาะข้างกายผมอยู่ตอนนี้ก็คือ ‘ภรรยา’ ใช่ครับ ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ถูกต้องตามหัวใจที่เรียกร้องเพราะคนที่ผมรักมาตลอดคือน้องสาวของผม เธอชื่อ ‘แพท’ ผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักแตกต่างจาก ‘ครีม’ ผู้หญิงที่แม่ของผมหาให้ ผมยอมแต่งงานกับครีมเพราะไม่อยากให้แพทต้องโดนบังคับแต่งกับผู้ชายอื่นที่แม่เลือกให้ ผมก็เลยเลือกที่จะแต่งเองและก็กลายเป็นว่าผมผิดคำพูด เห็นแก่ตัว ผิดสัญญา“บนรถดีไหมพีค ครีมอยากตื่นเต้นอะ” ขณะที่ผมกำลังจะขับรถออกจากลานจอดรถของสนามบินครีมเธอก็เริ่มเอ่ยชวนพร้อมการเล้าโลม“คนเยอะ”“แต่รถติดฟิล์มดำไง นะ ๆ ตื่นเต้นดีออก ขย่มกันตอนที่คนเดินผ่านไปมา ไหนดูซิ น้องชายของพีคคิดถึงน้องของครีมไหมน้า” แล้วครีมก็เริ่มลูบตรงเป้าของผมพร้อมกับรูดซิปลง“ครีม…” ผมเผลอครางออกมาเพราะเธอใช้ปาก