ถ้าไมค์ทำแบบนั้นจริง ๆ จากที่เธอได้รู้จักฟู่สือถิง ฟู่สือถิงไม่ไว้ชีวิตเขาแน่นอน สักพักไมค์ก็กลับมาที่บริษัท เขาเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงาน “อันอัน! ฟังฉันอธิบายนะ! ฉันไม่ได้รังแกโจวจื่ออี้จริง ๆ! ถ้าฉันรู้ว่าคืนนั้นเขาเป็นคนของฟู่สือถิง ฉันคงไม่ดื่มกับเขาหรอก! ฉันคงจะต่อยและให้เขาได้ลิ้มรสหมัดของฉัน!” หลังจากที่ไมค์พูดจบ เขาก็เพิ่งเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ในออฟฟิศด้วย สำนักงานก็เงียบลงทันที ฟู่สือถิงหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบน้ำ เซิ่งเป่ยก็หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบน้ำ ฉินอันอันเปลี่ยนเรื่องและเอ่ยถามไมค์ “นายเคยแฮกข้อมูลโรงเรียนนานาชาติแองเจลาไหม? แล้วที่เอสทีกรุ๊ปโดนแฮกเมื่อไม่นานมานี้ ใช่ฝีมือนายด้วยหรือเปล่า?” ไมค์ยกมือขึ้นและสบถว่า “ไม่ใช่ฉันนะ! ถ้าฉันทำ ฉันต้องยอมรับแน่ แม้ว่าทักษะของฉันในด้านนี้จะดี แต่นั่นไม่ใช่ฉันจริง ๆ นะ” หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ขยิบตาให้ฉินอันอัน ดวงตาของเขากำลังบอกเะอว่า ลูกชายของเธอทำ ฉินอันอันเงียบไป “...” “อืม...ฉันยังไม่ได้กินข้าวเลย พวกคุณกินกันหรือยัง? เรามากินข้าวด้วยกันไหม?!” แน่นอนว่าฉินอันอันต้องการปกป้องลูกชายของเธอ ดังนั้นเธอจึง
หัวใจของฉินอันอันบีบรัด เธอได้ยินเสียงของตัวเองที่แสร้งทำเป็นผ่อนคลาย แต่จริง ๆ แล้วกังวลมากจนตัวสั่น “อืม...ท้าทายแบบไหนเหรอ?” ฟู่สือถิงขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเย็นชา “ไอ้ห่วย มาบีบคอฉันสิ!” ฉินอันอันพูดไม่ออก “...” เซิ่งเป่ยไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไร “ผมสงสัยว่าแฮกเกอร์คนนี้ยังอายุน้อย!” ฉินอันอัน “ไม่เกี่ยวกันหรอกค่ะ! ประโยคนี้ประโยคเดียวบอกอะไรไม่ได้หรอก!” เซิ่งเป่ย “ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ไม่ใช้คำว่า ไอ้ห่วยหรอก ว่าไหม? แน่นอน อาจจมีในละครโบราณ” เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาสงสัยว่าเป็นผู้เยาว์ ฉินอันอันจึงพึมพำกับเซิ่งเป่ยว่า “ไอ้ห่วย” จากนั้นจึงพูดกับฟู่สือถิงว่า “ไอ้ห่วย” เซิ่งเป่ย “...” ฟู่สือถิง “...” ฉินอันอัน “คุณดูสิ คำ ๆ นี้ ไม่ได้อ่อนหัดขนาดนั้น! ผู้ใหญ่ก็ใช้ได้เหมือนกัน” เธอดูเหมือนพยายามกลบเกลื่อนตัวเอง เมื่อมองใบหน้าของเธอก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสุภาษิตหนึ่ง ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด ฟู่สือถิงกับเซิ่งเป่ยแอบสบตากันชั่วครู่ พวกเขามีลางสังหรณ์ในใจอยู่แล้ว “คุณฉิน คุณกับไมค์เจอกันได้ยังไงเหรอครับ? ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณจะรู้จักคนเก่งขนาดนี้” เซิ่งเป่ยเปลี่ยนเรื่อง
ตอนเย็น ฉินอันอันกลับถึงบ้านเร็วกว่าปกติ หลังจากที่จางหยุนไปรับเสี่ยวหานกลับมาแล้ว เธอก็อุ้มรุ่ยลาเข้าไปในห้อง เสี่ยวหานมองคุณยายอุ้มน้องสาวไป ในใจก็รู้แล้วว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น“เสี่ยวหาน เอากระเป๋านักเรียนมาให้แม่” ฉินอันอันเอื้อมมือไปหาเสี่ยวหาน เสี่ยวหานส่งกระเป๋านักเรียนให้เธอด้วยมือทั้งสองข้าง เธอเปิดกระเป๋านักเรียนของเขาออกแล้วหยิบแล็ปท็อปของเขาออกมา เธอไม่ได้เปิดแล็ปท็อปของเขา แต่พูดออกมาตรง ๆ เลยว่า “ลุงไมค์ของลูกบอกแม่ทุกอย่างแล้ว ลูกใช้เทคนิคที่เขาสอนทำเรื่องไม่ดีไปมาก เสี่ยวหาน ลูกรู้หรือเปล่าว่ามันผิดกฎหมาย? แล้วลูกรู้ไหมว่าต้องเจอกับอะไรบ้างถ้าถูกคนตรวจพบเข้า?” เสี่ยวหานตาไม่กระพริบ “ผมเพิ่งจะสี่ขวบ พวกเขาจับผมเข้าคุกได้เหรอครับ?” ฉินอันอันพูดไม่ออก “…” ถึงแม้ว่าฟู่สือถิงจะสมารถปิดแผ่นฟ้าของประเทศเอด้วยฝ่ามือข้างเดียวได้ แต่เขาก็ไม่มีทางส่งเด็กอายุสี่ขวบเข้าคุกได้เช่นกัน แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นสำคัญคือทัศนคติทั้งสามด้าน*ของเสี่ยวหานเริ่มบิดเบี้ยวแล้ว “ลูกสี่ขวบไปไม่ได้ตลอดหรอกนะ ยังไงลูกก็ต้องเติบโต” ฉินอันอันสอนเขา “แม่ทนเห็นลูกทำผิดซ้ำแ
เสิ่นอวี๋ที่สวมชุดกระโปรงสายเดี่ยวสีแดง ผลักประตูห้องวีแปดศูนย์เก้าให้เปิดออกแสงสลัวภายในห้องทำให้เธอสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนัก เธอก็มองเห็นแสงเทียนสลัวอยู่ในด้านใน เทียนสีแดง! ข้างเชิงเทียนมีไวน์แดงและของว่างตั้งเอาไว้ และที่เก้าอี้ข้าง ๆ ก็มีช่อดอกกุหลาบสีแดงวางไว้อยู่ เสิ่นอวี๋กำลังจะละลายไปกับบรรยากาศที่โรแมนติก!คิดไม่ถึงเลยว่าฟู่สือถิงจะโรแมนติกแบบนี้ด้วย! เธอตั้งตาคอยสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นคืนนี้! เธอหยิบดอกกุหลาบขึ้นมา กลิ่นหอมฉุนทำให้เธอรู้สึกมึนเล็กน้อย เธอถือช่อดอกกุหลาบเอาไว้แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ‘สี่ทุ่มแล้ว ทำไมฟู่สือถิงถึงยังมาไม่ถึงอีกนะ?’ ‘หรือเป็นเพราะว่ารถติด?’ ผ่านไปสิบห้านาที ฟู่สือถิงก็ยังไม่ปรากฏตัว เธอเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาแล้ว ‘หรือเขาจะไม่มาแล้ว?’ ‘แต่ว่าห้องที่ตกแต่งอย่างประณีตแบบนี้ จู่ ๆ จะลุกขึ้นมาทำมันก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?’ ‘หรือว่าเขาจะส่งข้อความผิด?’ เธอรินไวน์ให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ขณะที่ใช้นิ้วมือจับแก้วไวน์ทรงสูง ก็เขย่าของเหลวสีแดงด้านในเบา ๆ แล้วจิบด้วยริมฝีปากสีแดง ไม่เลวเลย! ไวน์มีกลิ่นหอม
เสิ่นอวี๋ตัวแข็งทื่อ อุณหภูมิในร่างกายของเธอลดลงทันที ฟู่เย่เฉินหันกลับมามองเธอด้วยใบหน้างัวเงียแล้วพูดติดตลกว่า “คุณหมอเสิ่น คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะเป็นผู้หญิงแบบนี้…” เสิ่นอวี๋มองเห็นใบหน้าของฟู่เย่เฉินชัดเจนแล้ว! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เสิ่นอวี๋เจอฟู่เย่เฉิน หลังจากที่มือของเธอถูกน้ำร้อนลวก แม่เฒ่าฟู่ก็มาเยี่ยมเธอ ตอนนั้นเป็นฟู่เย่เฉินที่มาส่งแม่เฒ่าฟู่ เสิ่นอวี๋ดื่มมากเกินไปเมื่อคืนนี้ ประกอบกับไม่ได้เปิดไฟในห้อง มีแค่เทียนจุดอยู่ไม่กี่เล่มเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ฟู่สือถิง! ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้?! เมื่อคืนฟู่สือถิงเป็นคนนัดเธอมาที่นี่นี่นา! ทำไมคนที่มาถึงเป็นฟู่เย่เฉิน?! “ทำไมถึงเป็นคุณ?! ทำไมเป็นคุณ?!” เสิ่นอวี๋หยิบหมอนขึ้นมาฟาดหน้าฟู่เย่เฉินอย่างแรงทันที ฟู่เย่เฉินเอามือกุมหัวแล้วตะโกน “คุณหมอเสิ่น! คุณหยุดตีผมได้แล้ว! ผมเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น! เมื่อคืนผมได้รับข้อความจากฉินอันอันขอให้ผมมาที่ห้องแปดศูนย์เก้า ผมก็เลยมา! ใครจะรู้ว่าทันทีที่ผมเข้ามา คุณจะเข้ามากอดผมไว้…ผมพยายามให้คุณปล่อยแขนตั้งหลายครั้ง แต่ให้ตายยังไงคุณก็ไม่ยอมปล่อย…
เสี่ยวหานฟังชนิดเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่สนใจเขา คุณครูเห็นท่าทีของเสี่ยวหานแล้ว หัวใจก็รัดแน่นด้วยความกลัว เดินเข้ามาทันที “คุณฟู่ คุณต้องการอะไรจากกระเป๋าของเสี่ยวหานเหรอคะ?” เขาไม่สามารถล่วงเกินสองคนนี้ได้ หลังจากคิดคำนวนอย่างรอบคอบแล้ว เธอยิ่งรู้สึกว่าไม่สามารถทำให้ฟู่สือถิงขุ่นเคืองได้ ดังนั้นเธอจึงหยิบกระเป่านักเรียนของเสี่ยวหานออกมาจากโต๊ะ “เสี่ยวหาน หนูไม่ต้องกลัวนะ คุณฟู่ไม่ใช่คนไม่ดี ที่เขาทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงหนู” คุณครูเกลี้ยกล่อมเสี่ยวหานแล้วยื่นกระเป๋านักเรียนของเขาให้ฟู่สือถิง “เขาผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยตอนเขามาในโรงเรียนแล้ว ในกระเป๋าไม่มีวัตถุอันตรายอะไรหรอกครับ” “ผมจำได้ว่าเขามีแล็ปท็อปอยู่เครื่องหนึ่ง” ฟู่สือถิงรับกระเป๋านักเรียนของเขามา กระเป๋ามีน้ำหนักเบามาก คิ้วสวยของเขาขมวดมุ่นเมื่อเปิดกระเป๋าออก ก้พบว่าข้างในมีเพียงเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน ไม่มีแล็ปท็อปสักเครื่อง “โอ้…ที่จริงเสี่ยวหานมีแล็ปท็อปเครื่องเล็ก ๆ ปกติแล้วเขาชอบชอบดูการ์ตูนคนเดียวค่ะ…” คุณครูกล่าว ฟู่สือถิงวางกระเป๋านักเรียนเสี่ยวหานลงบนโต๊ะ แล้วมองเขาจากมุมสูงลงไปด้านล่าง “ทำไมวันนี
อิ๋นอิ๋นพยักหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยไปบ้านเขาเสียหน่อยเธอค่อนข้างชอบบ้านของเขา เธอยังอยากไปอีก ฟู่สือถิงมองดูท่าทางดื้อดึงของน้องสาว ในใจก็รู้สึกสับสน วันนี้ฉินจือหานไม่ได้เอาแล็ปท็อปมาที่โรงเรียน ฉินอันอันจะต้องเอาเก็บไปแล้วอย่างแน่นอน โดยพื้นฐานสามารถตัดสินได้ว่าแฮกเกอร์นอกกฎหมายคนนั้นคือเด็กผู้ชายมาดเท่ที่สวมหมวกบอนเน็ตตรงหน้าเขา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกบุญธรรมของฉินอันอัน แต่ฟู่สือถิงก็ยังวางแผนว่าจะสอนบทเรียนให้เขาสักหน่อย ทว่าทัศนคติที่อิ๋นอิ๋นมีต่อเขาในขณะนี้ ทำให้ฟู่สือถิงอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทันใดนั้น ก็เกิดเสียง ‘ปึง’ แล้วเสียงดังสนั่นก็มาจากด้านข้าง ตามมาด้วยเสียงก่นด่าสาปแช่งอย่างรุนแรง! พวกเขาหันไปมองตามแหล่งที่มาของเสียง คนสองคนทางด้านนั้นได้ตบตีตลุมบอนกันอยู่ ฟู่สืออิ๋นมองดูภาพความรุนแรงตรงหน้า ใบหน้าก็ซีดเผือดไร้สีเลือดในพริบตา ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว!“อ๊า! อ๊า อ๊า!” เธอใช้สองมือปิดหูและกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งออกมา ฟู่สือถิงใจเต้นแรงเมื่อเห็นเธอเริ่มเสียสติเธอจะต้องจำประสบการณ์การถูกทุบตีอันมืดมนในวัยเด็กได
ฉินอันอัน “เธอติดต่อพี่ทำไม?” เว่ยเจินพูดเหน็บแนม “เธอบอกว่าเธอต้องการผู้ช่วย ให้ฉันแนะนำให้เธอหน่อย” พูดถึงตรงนี้ เว่ยเจินหัวเราะและพูดว่า “เธอรู้ไหมว่าข้อกำหนดในการคัดเลือกผู้ช่วยของเธอคืออะไร? เธอหวังว่าผู้ช่วยคนนี้จะเป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์หูชิง ยิ่งไปกว่านั้นทักษะทางการแพทย์ต้องไม่แย่กว่าเธอ… ขาดก็แค่เธอไม่บอกว่าต้องการคนที่รักษาอิ๋นอิ๋นได้ด้วยตัวเองนั่นแหละ คนที่เก่งกว่าเธอจะมาเป็นผู้ช่วยเธอไหมล่ะ? ฉันไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเธอไร้ยางอายหรือควรจะเรียกว่าไร้สมองดี” ฉินอันอันเองก็รู้สึกได้ถึงการประชดเช่นกัน “ไม่มีความสามารถ แต่ก็ยังดันทุรังทำ ฟู่สือถิงไม่ใช่คนโง่ สักวันเขาก็จะรู้ความจริง” เว่ยเจินกล่าว “อันอัน เธอใจอ่อนเกินไป น้อยคนที่จะยอมให้คู่แข่งทางความรักของตัวเองทำการรักษา” ฉินอันอันยิ้มอย่างเฉยเมยและพูดว่า “ถ้าพี่เห็นอิ๋นอิ๋น พี่จะไม่พูดแบบนี้” เว่ยเจิน “เธอไม่อึดอัดก็พอแล้ว” “ไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องนี้มาลงโทษตัวเองหรอกค่ะ ชีวิตต้องมองไปข้างหน้า” ฉินอันอันเปลี่ยนเรื่อง “มีข่าวดีจะบอกพี่ด้วยค่ะ บริษัทของฉัน ใกล้จะสร้างใหม่เสร็จแล้ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเสียด้วย”