อริสราเดินนำหน้าปัณณ์เข้ามในห้องประชุม ชายหนุ่มเดินตามด้วยทีท่ามั่นใจและสง่างาม สายตาของเขากวาดไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว ตรงกลางโต๊ะมีชายสูงวัยภูมิฐานนั่งอยู่ ถัดมาซ้ายมือ เป็นชายวัยกลางคนตรงหน้าเขามีคอมพิวเตอร์แล็ปท๊อบ เขากำลังง่วนอยู่กับหน้าจอ จึงไม่ได้หันมาทางปัณณ์ซึ่งกำลังเดินเข้ามา และที่นั่งขวามือของท่านประธาน เป็นร่างของชายหนุ่มผู้ที่ทำให้เขาหัวเสียในเช้าวันนั้นถึงสองครั้ง เขาดูสงบนิ่งและสุขุม แตกต่างจากที่เขาเห็นในตอนเช้า มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ยังคงก้าวร้าวเย็นชาเช่นเดิม
“ยินดีต้อนรับครับ คุณปัณณ์ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณมาเยือนบริษัทฟอร์เอฟเวอร์กรุ๊ปของเรา เชิญนั่งครับ”
เสียงก้องกังวาน หนักแน่นและแฝงด้วยอำนาจของคุณเกริก โอภาหิรัญสกุล หรือท่านประธานที่ใครๆก็กริ่งเกรง กล่าวขึ้น ชายหนุ่มยิ้มกว้าง พร้อมยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าด้วยทีท่าอ่อนโยนนอบน้อม“ขอบพระคุณครับ ที่ท่านให้โอกาสบริษัทเล็กๆของผมได้เข้ามานำเสนองานให้กับท่าน ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างถ่อมตัว
อันที่จริงคุณเกริกนั้นรู้จักบริษัทของปัณณ์ผ่านการแนะนำจากเอเจนซี่มานานแล้ว แต่ตอนนั้นเขาเห็นว่าบริษัทนี้เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน อีกทั้งเจ้าของบริษัทยังเป็นชายหนุ่มนักเรียนนอกที่ ยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ไม่ได้มีผลงานโดดเด่น จึงไม่ได้สนใจเท่าใดนัก เกริก เป็นนักธุรกิจที่ผ่านจุดตกต่ำและสูงสุดมาแล้ว สำหรับเขาแม้จะต้องจ่ายบางอย่างที่แพงกว่า แต่หากผลลัพธ์ของมูลค่าที่ได้สูงขึ้น มันก็ย่อมคุ้มค่าของธุรกิจของเขา
ห้าปีให้หลัง บริษัทบีออนสกาย ได้เติบโตอย่างรวดเร็ว ชื่อเสียงของบริษัทได้ถูกกล่าวถึงในวงการธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ คุณเกริกนั้นทึ่งในความสามารถและชื่นชมในศักยภาพของชายหนุ่ม จึงได้ติดต่อบริษัทของปัณณ์ให้เข้ามานำเสนองานในวันนี้
ชายหนุ่มใช้เวลาในการนำเสนองานไม่นานนัก ผ่านจอนำเสนอ ทุกนาทีของเขาใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด ด้วยการเตรียมข้อมูลที่สมบูรณ์ ครอบคลุมและการนำเสนอที่ชัดเจน น้ำเสียงมีเสน่ห์ ไหลลื่น ไม่ติดขัด ชวนให้คนฟังคล้อยตามสะกดทุกสายตา ด้วยเพราะประสบการณ์ตลอดห้าปีที่เขาสั่งสมมา ช่วยสอนให้เขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ชาญฉลาดและมีความน่าเชื่อถือต่อบริษัทต่าง ๆ
แม้จะไม่ชอบขี้หน้าเขานัก แต่พิธุก็อดทึ่งไม่ได้กับงานของชายผู้เย่อหยิ่งนั้น และรู้ว่าท่านประธานผู้มองการณ์ไกล จะยอมรับงานของเขาอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย และก็เป็นไปตามคาด คุณเกริก ลุกขึ้นปรบมือในทันทีแสดงความชื่นชม
“เยี่ยมมาก ผมไม่ผิดหวังเลยที่รอเจอคุณในวันนี้ คุณเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ และมีความสามารถในยุคนี้ ผมเองแม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปี ก็ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ ที่ไหลไปตามกระแสโลก จริง ๆ แล้วผมมีแพลนที่ต้องไปบินไปประชุมที่สิงคโปร์ตอนบ่ายวันนี้ แต่ผมอยากเจอคุณด้วยตัวเอง ผมเลยเลื่อนการประชุมไปพรุ่งนี้เช้า ผมจะมอบภารกิจต่อให้ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของผมประสานงานกับคุณ”
คุณเกริก หันหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งขวามือ แววตาท่านดูชื่นชม
“ผมขอแนะนำให้คุณรู้จักคุณพิธุ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ที่จะต้องทำงานร่วมกับคุณจนจบโพรเจกต์นี้”
พิธุชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง เพื่อสะกดอารมณ์ ก่อนจะกล่าวตอบรับ
“ครับ ท่านประธาน”“ขอบพระคุณครับท่านประธาน ที่ให้เกียรติเลือกบริษัทผมให้เข้ามาทำงาน ผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักและร่วมงานกันนะครับคุณพิธุ” เขาหันไปทางหนุ่มหน้าเคร่ง พิธุรู้ว่าปัณณ์ปั้นหน้าได้เก่ง เขาเองจึงสงวนท่าที ตอบกลับมาอย่างเสียมิได้
“ยินดีเช่นกันครับ คุณปัณณ์”
“ท่านประธานคะ ให้อริสาช่วยประสานงานคุณปัณณ์อีกคนหนึ่งก็ได้นะคะ จะได้เบาแรงคุณพิธุ เห็นว่าช่วงนี้งานฝ่ายการตลาดมีปัญหาวุ่นวาย เกรงว่าคุณพิธุจะเครียดค่ะ”
พิธุพึมพำกับตัวเอง
“จะเครียดกว่าเดิมล่ะไม่ว่าถ้านางจิ้งจอกคนนี้มายุ่งกับงานเรา ลำพังแค่รับมือกับนายคนนั้นก็ยุ่งเหยิงพอแล้ว เอ้อหนอ พิธุเอ้ย วันนี้วันดวงซวยจริง ๆ ”“ผมเชื่อใจพิธุว่าเขารับมือได้ ให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายการตลาดเถอะ อีกอย่าง อริสา คุณต้องบินไปประชุมกับผมพรุ่งนี้ วันนี้ให้เตรียมเอกสารทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนบิน รีบติดต่อประสานงานกับทางสิงคโปร์ให้ดี อย่าให้พลาดเหมือนคราวก่อนอีกล่ะ”
เกริกตัดบทพร้อมกับตำหนิอริสากลาย ๆ คำสั่งของเขาแฝงไว้ด้วยบารมีน่าเกรงขามเฉกผู้มีอำนาจเหนือกว่า เป็นเหตุให้สาวเจ้าถึงกับหน้าถอดสี เพราะโดนหักหน้าต่อหน้าธารกำนัล หากเป็นคนอื่น เกริกจะไม่ทำเช่นนี้ เพราะเขาไม่ชอบหักหาญน้ำใจคน
แต่อริสา เป็นลูกสาวของเพื่อนรักที่ฝากฝังเข้ามาทำงาน เพราะไม่สามารถหางานในบริษัทอื่นได้ ด้วยเหตุอริสา ไม่ผ่านการสัมภาษณ์งานเลยสักที่ แม้จะเป็นการใช้เส้นสายเข้าทำงาน ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก แต่เมื่อเขารับปากบิดาของเขาไว้แล้ว อริสาเองก็รู้อยู่แก่ใจจึงไม่กล้าแผลงฤทธิ์ต่อหน้าเกริก จึงยอมรับคำสั่งการนี้ แม้ไม่เต็มใจนัก
เมื่อทุกคนออกไปจากห้องประชุมหมดแล้ว เหลือแต่ปัณณ์และพิธุที่ต้องตกลงและพูดคุยโพรเจกต์กันต่อ ท่ามกลางความเงียบ บรรยากาศชวนอึดอัด ปัณณ์จึงกล่าวทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“เอ่อ ! คุณพร้อมจะคุยเรื่องงานกับผมตอนนี้หรือเปล่า หรือคุณจะกลับไปสะสางปัญหาของฝ่ายการตลาดของคุณก่อนก็ได้ แต่ผมมีเวลามาไม่มากนัก ไม่อยากให้งานของผมล่าช้า หวังว่าคุณคงเข้าใจ”
ปลายเสียงมีแววเย้ยหยันหาเรื่องอยู่ในที
“ผมพร้อมตอนนี้เลย ส่วนเรื่องในบริษัทของผม ถ้าคุณไม่รู้ดีพอก็อย่าเที่ยวสาระแนหาความเลยครับ มันดูก้าวก่ายเกินไป”
ต่างฝ่ายต่างไม่ลดราวาศอก เชือดเฉือนกันด้วยคำพูดเหน็บแนม แม้จะไม่เต็มใจร่วมงานกันนัก แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ ทำให้ทั้งคู่ปรับอารมณ์เข้าสู่โหมดการทำงาน จึงสามารถเข้าใจและวางแผนงานร่วมกันได้จนสำเร็จ ปัณณ์นึกในใจว่า เจ้าหน้าจืดนี่ เห็นจ๋อง ๆ แบบนี้ เก่งและชาญฉลาด สมแล้วที่คุณเกริกไว้ใจ แต่ก็นั่นเถอะ นิสัยของเขาไม่น่าเข้าใกล้เลยจริง ๆ
“เอาละครับ ตอนนี้ผมได้บันทึกข้อมูลตามที่เราได้วางแผนด้วยกันแล้ว ผมจะเรียกประชุมคนในแผนกของผมวันพรุ่งนี้ และเราจะเริ่มงานกันเลย”
พิธุรีบกล่าวสรุป เขาเองไม่อยากอยู่กับปัณณ์สองต่อสองนานนัก ไม่ใช่เพราะความรู้สึกแย่กับมารยาทที่ปัณณ์แสดงต่อเขา แต่ที่พิธุประหวั่นใจก็คือ ตัวเขาเอง เพราะเมื่อปัณณ์ตั้งใจนำเสนองานและพูดคุยกันด้วยทีท่าปกติ แววตาของเขาหันมาสบตากับพิธุนั้น มันสะกดให้พิธุ นิ่งและคุ้นเคย เหมือนเคยเห็นแววตานี้มาก่อน ที่สำคัญไปกว่านั้น ใจของเขาเองเต้นแรง อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นทำให้พิธุไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
“งั้นก็ตกลงตามนั้น ว่าแต่คุณไม่สบายหรือเปล่า หน้าซีดเชียว”
“ง่า ! ไม่ ! ผมไม่เป็นไร คุณไปเถอะ อ้อ ! ผมบอกไว้ตรงนี้เลย ผมจะขอติดต่อคุณทางเบอร์โทรศัพท์ที่คุณได้ให้ไว้นะ ถ้าไม่จำเป็นผมจะไม่โทรหาคุณอย่างเด็ดขาด”
ปัณณ์ตอบกลับทันควัน
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ผมไม่ชอบรับโทรศัพท์คนแปลกหน้าซะด้วย”
พูดจบก็หันไปเก็บกระเป๋าและแล็บท๊อป เขาเลิกคิ้วสูงยิ้มยียวนกวนโมโหใส่ชายหนุ่มที่ตอนนี้ทำหน้าเคร่งขรึม
“ไปละครับ คุณพิธุ หวังว่าคุณคงไม่สร้างปัญหาให้กับงานของเรานะครับ”
พิธุหันขวับบ่นพึมพำตามหลังเขา
“นี่เราต้องทำงานกับคนประสาทจริง ๆ หรือนี่”
ปัณณ์ไม่กลับเข้าไปในบริษัทของเขา เพราะได้มอบหมายงานให้ผู้จัดการของเขาดำเนินการตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้เขามีนัดกับภวัต เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาจวบจนเข้าเรียนมหาลัยวิทยาลัย ภวัตเป็นเจ้าของร้านขายของเก่าขนาดใหญ่ย่านใจกลางเมืองซึ่งปัณณ์เป็นหุ้นส่วนร้านนี้ ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้ง
เมื่อเขาเข้าไปในร้านก็พบว่า ภวัตกำลังง่วนอยู่กับการแนะนำลูกค้ากลุ่มใหญ่ ส่วนพนักงานคนอื่น ๆ กำลังต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาใหม่หลายกลุ่ม เขาจึงเดินสำรวจดูสินค้าต่าง ๆ อย่างเพลิดเพลิน เพราะตัวเขานั้นลุ่มหลงในการเก็บสะสมของโบราณของหายากมาตั้งแต่เด็ก การที่ได้ดูของเก่าเช่นนี้ ทำให้จิตใจของเขาสงบลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขากำลังพินิจหีบเหล็กโบราณอันหนึ่งอยู่นั้น ก็มีเสียงกระแอมทางด้านหลัง ทำให้เขาผละจากหีบใบนั้น หันมาหาเจ้าของเสียง
“โอ๊ะ ! ท่านประธานรอนานไหมครับ เห็นว่ากำลังสนใจอะไรอยู่ ก็เลยไม่กวน หีบใบนั้นเพิ่งได้มาเมื่อวาน นัยว่าอายุ 200 กว่าปี เจ้าของเป็นลูกหลานของเสนาบดีใหญ่สมัยรัตนโกสินทร์ ตกอับมาก็เอามาขายแลกเงิน คนจมไม่ลงก็งี้แหล่ะ เราเลยได้มาในราคาที่อัพกำไรได้หลายเท่าตัว”
“ภวัต นายนี่สมกับเป็นนักต่อรองมืออาชีพ ร้านนี้ถึงใหญ่โตมีกำไรมหาศาล ลำพังแค่รู้จักขายของเก่าคงไม่ได้แบบนี้ ต้องมียุทธวิธีการค้าขายแบบมือโปรด้วย ซื้อมาถูกแต่ขายแพงกำไรหลายเท่าตัว ร้านจึงเติบโตแบบก้าวกระโดด สุดจัดจริง”
“ฮ่า ๆ ใครจะไปเก่งเท่าท่านประธานหนุ่มสุดหล่อของบริษัทบีออนสกายล่ะคร้าบ ลำพังผลประกอบการบริษัทออกแบบงานกราฟฟิคชั้นนำของประเทศ ควบกิจการชิปปิ้งก็เป็นร้อยล้านแล้วแถมยังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์อีก งานชุกจนไม่มีเวลามาดูกิจการร้านขายของเก่าเล็ก ๆ ร้านนี้”
สองหนุ่มประสานเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ
“เป็นไงบ้าง ช่วงนี้ นายยังฝันแปลก ๆ อยู่หรือเปล่าปัณณ์ เห็นนายไม่เข้าร้านมาอาทิตย์หนึ่ง ไลน์ก็ไม่ตอบ จะโทรหาก็คิดว่าคงยุ่ง เลยไม่อยากกวน”
“ขอบใจมากเพื่อนรัก ที่ห่วงกัน อาการเก่า มันไม่หายไปหรอก มันอยู่กับเราตั้งแต่เกิด แต่ดีขึ้นมาตรงที่พอเวลายุ่งก็ไม่คิดถึงมันแล้ว แล้วนายล่ะ คงเหนื่อยน่าดู ทั้งต้องออกไปดูของเก่า ขายของเอง ขอโทษนายด้วยนะ ที่ทิ้งนายไว้แบบนี้”
น้ำเสียงเพื่อนรักออกแววเกรงใจอยู่ไม่น้อยที่ปล่อยให้ภวัตทำงานที่นี่คนเดียว แต่ด้วยตัวเขานั้นลำพังงานที่บริษัทก็แทบไม่มีเวลาว่าง
ภวัตโบกไม้โบกมือราวกับประโยคที่ถามไม่มีความหนักหนาอะไร “เหนื่อยอะไรกัน นายก็รู้ว่างานขายของเก่าของโบราณหายากแรไอเท็ม เดี๋ยวนี้ไม่ต้องออกไปหาของมาขายแล้ว มีเอเจนซี่จากทั่วมุมโลกมาเสนอให้ถึงที่ ฟันกำไรทีหลายเท่า ตัวเลย งานนี้พี่ชอบ ฮ่า ๆ ๆ ”
ภวัตหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ด้วยเห็นเพื่อนรักซึ่งเป็นหุ้นส่วนพึงพอใจกับกิจการที่ขยายใหญ่ขึ้น ร้านนี้มีชื่อเขาเป็นเจ้าของร้านร่วมกันกับปัณณ์ ซึ่งผู้เป็นแหล่งเงินทุนทั้งหมดตั้งแต่แต่แรกเริ่มเดิมที ปัณณ์ใช้เงินเก็บของเขาทั้งหมดมาเปิดร้านขายของสะสมเล็ก ๆ โดยมีภวัตเป็นผู้จัดการร้าน
เริ่มตั้งแต่ห้องแถวเล็ก ๆ จวบจนเป็นตึกห้าชั้น มีพื้นที่จอดรถกว้างขวาง ทั้งคู่ก่อตั้งร้านนี้มาด้วยกัน ความสัมพันธ์เป็นเสมือนพี่น้องเพราะทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน เรียนด้วยกันตั้งแต่ชั้นประถม ความไว้เนื้อเชื่อใจดุจพี่น้อง จึงทำให้พูดคุยกันได้ทุกเรื่องไม่มีอะไรปิดบัง แม้แต่เรื่องการฝันแปลก ๆ ของปัณณ์ ที่ภวัตเป็นผู้เดียวที่ล่วงรู้
“ว่าแต่วันนี้นายมีอะไรให้เราดูหรือ ของโบราณยุคไหนกัน ปืน ดาบ เหรียญกษาปณ์ หรือ เครื่องประดับยุคไหน อายุกี่ร้อยปี นายไปเจอที่ไหน”
ปัณณ์ถามอย่างตื่นเต้น
“ใจเย็น ๆ ลูกพี่ เดี๋ยวเราเข้าไปดูด้วยกัน เราได้ของนี้มาอย่างคาดไม่ถึง รับรองนายต้องชอบแน่”
ภวัตพูดเอาใจเพื่อนอย่างอารมณ์ดีวันนี้ภวัตได้ของอะไรมาให้เขาดูกันหนอ ดูเหมือนมีความพิเศษกว่าทุกครั้ง ปัณณ์รู้สึกตื่นเต้นราวกับเด็กๆได้ของเล่นใหม่ก็ไม่ปาน.
เอี๊ยดดดดด ! เสียงเบรครถดังสนั่น จนผู้คนบนถนนหยุดชะงักด้วยความตกใจ แล้วกรูกันเข้ามามุงดูเหตุการณ์ พิธุ ภาณุพันธ์ ก้าวลงมาจากรถอย่างหัวเสีย ชายหนุ่มซ่อนความตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าหล่อปนหวานนั้น เขารีบเดินฉับ ๆ ด้วยอารมณ์เดือด มุ่งตรงไปยังรถเก๋งคันหรูคู่กรณีที่เลี้ยวกระทันหันจนเป็นเหตุให้รถของพิธุที่ขับตามมาต้องเบรครถจนตัวโก่ง “ดูสิ ขนาดนี้แล้วยังไม่ลงจากรถมาดูเลย เฮ้อ !ให้ตายสิ ใจดำชะมัด ไร้มารยาทอย่างที่สุด แบบนี้ต้องจัดการหน่อยละ ริอาจมาเล่นกับพิธุ ต้องเจอกันสักตั้ง” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ด้วยความที่กระจกติดฟิล์มมืดสีดำ จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าคนขับเป็นชายหรือหญิง แต่จะชายหรือหญิงนั้นไม่สำคัญแล้ว ถ้าไร้มารยาท ไร้ความรับผิดชอบกับเขาขนาดนี้ ก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน ชายหนุ่มไม่พูดพล่ามทำเพลง ใช้ปลายนิ้วมือเคาะที่กระจกรถหรูรัวๆ ด้านฝั่งคนขับ ทันใดนั้นกระจกฝั่งคนขับค่อยๆเลื่อนลงอย่างช้าๆ มีมือโผล่มาพร้อมกับยื่นธนบัตรสีเทา จำนวน 3 ใบ ให้กับพิธุ “แค่นี้พอไหม” เสียงนุ่มทุ้มกัง
อริสราเดินนำหน้าปัณณ์เข้ามในห้องประชุม ชายหนุ่มเดินตามด้วยทีท่ามั่นใจและสง่างาม สายตาของเขากวาดไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว ตรงกลางโต๊ะมีชายสูงวัยภูมิฐานนั่งอยู่ ถัดมาซ้ายมือ เป็นชายวัยกลางคนตรงหน้าเขามีคอมพิวเตอร์แล็ปท๊อบ เขากำลังง่วนอยู่กับหน้าจอ จึงไม่ได้หันมาทางปัณณ์ซึ่งกำลังเดินเข้ามา และที่นั่งขวามือของท่านประธาน เป็นร่างของชายหนุ่มผู้ที่ทำให้เขาหัวเสียในเช้าวันนั้นถึงสองครั้ง เขาดูสงบนิ่งและสุขุม แตกต่างจากที่เขาเห็นในตอนเช้า มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ยังคงก้าวร้าวเย็นชาเช่นเดิม “ยินดีต้อนรับครับ คุณปัณณ์ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณมาเยือนบริษัทฟอร์เอฟเวอร์กรุ๊ปของเรา เชิญนั่งครับ” เสียงก้องกังวาน หนักแน่นและแฝงด้วยอำนาจของคุณเกริก โอภาหิรัญสกุล หรือท่านประธานที่ใครๆก็กริ่งเกรง กล่าวขึ้น ชายหนุ่มยิ้มกว้าง พร้อมยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าด้วยทีท่าอ่อนโยนนอบน้อม “ขอบพระคุณครับ ที่ท่านให้โอกาสบริษัทเล็กๆของผมได้เข้ามานำเสนองานให้กับท่าน ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างถ่อมตัว อันที่จริ
เอี๊ยดดดดด ! เสียงเบรครถดังสนั่น จนผู้คนบนถนนหยุดชะงักด้วยความตกใจ แล้วกรูกันเข้ามามุงดูเหตุการณ์ พิธุ ภาณุพันธ์ ก้าวลงมาจากรถอย่างหัวเสีย ชายหนุ่มซ่อนความตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าหล่อปนหวานนั้น เขารีบเดินฉับ ๆ ด้วยอารมณ์เดือด มุ่งตรงไปยังรถเก๋งคันหรูคู่กรณีที่เลี้ยวกระทันหันจนเป็นเหตุให้รถของพิธุที่ขับตามมาต้องเบรครถจนตัวโก่ง “ดูสิ ขนาดนี้แล้วยังไม่ลงจากรถมาดูเลย เฮ้อ !ให้ตายสิ ใจดำชะมัด ไร้มารยาทอย่างที่สุด แบบนี้ต้องจัดการหน่อยละ ริอาจมาเล่นกับพิธุ ต้องเจอกันสักตั้ง” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ด้วยความที่กระจกติดฟิล์มมืดสีดำ จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าคนขับเป็นชายหรือหญิง แต่จะชายหรือหญิงนั้นไม่สำคัญแล้ว ถ้าไร้มารยาท ไร้ความรับผิดชอบกับเขาขนาดนี้ ก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน ชายหนุ่มไม่พูดพล่ามทำเพลง ใช้ปลายนิ้วมือเคาะที่กระจกรถหรูรัวๆ ด้านฝั่งคนขับ ทันใดนั้นกระจกฝั่งคนขับค่อยๆเลื่อนลงอย่างช้าๆ มีมือโผล่มาพร้อมกับยื่นธนบัตรสีเทา จำนวน 3 ใบ ให้กับพิธุ “แค่นี้พอไหม” เสียงนุ่มทุ้มกัง