เอี๊ยดดดดด ! เสียงเบรครถดังสนั่น จนผู้คนบนถนนหยุดชะงักด้วยความตกใจ แล้วกรูกันเข้ามามุงดูเหตุการณ์
พิธุ ภาณุพันธ์ ก้าวลงมาจากรถอย่างหัวเสีย ชายหนุ่มซ่อนความตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าหล่อปนหวานนั้น เขารีบเดินฉับ ๆ ด้วยอารมณ์เดือด มุ่งตรงไปยังรถเก๋งคันหรูคู่กรณีที่เลี้ยวกระทันหันจนเป็นเหตุให้รถของพิธุที่ขับตามมาต้องเบรครถจนตัวโก่ง
“ดูสิ ขนาดนี้แล้วยังไม่ลงจากรถมาดูเลย เฮ้อ !ให้ตายสิ ใจดำชะมัด ไร้มารยาทอย่างที่สุด แบบนี้ต้องจัดการหน่อยละ ริอาจมาเล่นกับพิธุ ต้องเจอกันสักตั้ง” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง
ด้วยความที่กระจกติดฟิล์มมืดสีดำ จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าคนขับเป็นชายหรือหญิง แต่จะชายหรือหญิงนั้นไม่สำคัญแล้ว ถ้าไร้มารยาท ไร้ความรับผิดชอบกับเขาขนาดนี้ ก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน ชายหนุ่มไม่พูดพล่ามทำเพลง ใช้ปลายนิ้วมือเคาะที่กระจกรถหรูรัวๆ ด้านฝั่งคนขับ
ทันใดนั้นกระจกฝั่งคนขับค่อยๆเลื่อนลงอย่างช้าๆ มีมือโผล่มาพร้อมกับยื่นธนบัตรสีเทา จำนวน 3 ใบ ให้กับพิธุ “แค่นี้พอไหม” เสียงนุ่มทุ้มกังวานของชายหนุ่มดังขึ้น น้ำเสียงนั้นเป็นเสียงของชายหนุ่มวัยราว 30 ปี รูปหน้า คมคาย จมูกโด่งเป็นสัน รูปตาเรียว แววตาเป็นประกาย ดูอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความดุดัน
พิธุชะงักกับคำพูดชายหนุ่ม ความโกรธระงับไว้ไม่อยู่ หัวใจเขาสั่นระริก หน้าชา นี่เขาใช้เงินแก้ปัญหา แทนที่จะขอโทษ กลับทำเหมือนเหยียดหยามดูถูก นอกจากไร้มารยาทแล้วจิตใจช่างแสนอัปลักษณ์ตรงข้ามกับหน้าตาที่หล่อเหลา เขาใช้มือเกาะที่หน้าต่างรถแล้วชะโงกหน้าเข้าไปในรถ แววตาชายหนุ่มจ้องไปที่คนในรถเขม็ง
ชายหนุ่มเห็นดังนั้น จึงขมวดคิ้วเชิงแปลกใจ หยิบเงินในประเป๋าเพิ่มยื่นส่งให้พิธุอีกครั้ง
“ไม่พอหรือคุณ เอ้าผมให้เพิ่มได้อีกแค่นี้ คนสมัยนี้เห็นแก่เงินจริง ๆ คุณต้องการมันไม่ใช่เหรอ รับไปเถอะ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ ผมรีบน่ะ ไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับคุณหรอก”
พิธุรับเงินนั้นมา แล้วปาไปที่ร่างของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แววตาเอาเรื่อง
“คุณนี่นอกจากไร้มารยาทแล้ว ยังน่ารังเกียจอย่างหาที่สุดไม่ได้ น่าขำที่ว่าเงินของคุณซื้อมารยาทให้ตัวคุณเองไม่ได้ ซื้อศักดิ์ศรีผมก็ไม่ได้ เพราะผมไม่ได้ต้องการเงินฟาดหัวของคุณ ผมจะถือว่าวันนี้เป็นวันซวยของผม อย่าได้พบได้เจอกันอีกเลย บัยย์! คนเฮงซวย”
กล่าวจบพิธุก็ส่ายหน้าด้วยคล้ายจะรับไม่ได้กับพฤติกรรมนั้น หันหลังเดินกลับมาที่รถอย่างหัวเสีย ปล่อยให้อีกฝ่ายตะลึงกับการกระทำและคำด่าที่พรั่งพรูออกจากปากอีกคน เขาส่ายหัวเบาๆ รำพึงกับตัวเองว่า
“หัวร้อนแบบนี้ ไม่น่าอายุยืน ไอ้เราก็อุตส่าห์มีน้ำใจ ให้ค่าทำขวัญ ทั้งที่ความจริงไม่ต้องให้ก็ได้ อีกอย่างหมอนั่นก็ขับรถจี้หลังรถเราเอง ประมาทเอง ไม่โทษตัวเองบ้าง ไอ้บ้าเอ๊ย ! ”
ชายหนุ่มรีบออกรถในทันทีไม่ให้เสียเวลา จุดหมายเขาคือ บริษัทฟอร์เอฟเวอร์กรุ๊ป บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการธุรกิจ วันนี้เขามีนัดนำเสนองานกับประธานบริษัทตอนสิบโมงตรง เขาเสียเวลามากมายไปกับผู้ชายคนนั้น ยังดีที่เขาเผื่อเวลาเดินทางเสมอ ถ้าไม่อย่างนั้น เขาคงไปสายแน่ ซึ่งมันไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจของเขาแน่นอน
ปัณณ์ กุลโชติธนานนท์ หนุ่มเจ้าของบริษัทกราฟฟิคดีไซน์ ที่ได้รับการนำเสนอให้ร่วมงานกับบริษัทยักษฺใหญ่ชั้นนำต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศมากมาย แม้เขาจะผ่านประสบการณ์การทำงานมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่มีสักครั้งที่เขาจะปล่อยให้คนในบริษัทออกมานำเสนองาน เขาจะเป็นผู้นำเสนองานด้วยตนเองเสมอ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจลูกน้อง แต่เป็นกลยุทธิ์ที่ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่า งานของเขาจะได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยมจนบรรลุข้อตกลงที่ได้เซ็นสัญญาร่วมกันไว้ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีครั้งไหนเลยที่บริษัทของเขาจะถูกปฏิเสธงาน
ชายหนุ่มรีบนำรถไปจอดในชั้นจอดรถ ขณะที่ขับวนหาที่จอดรถ เขาเห็นรถสปอร์ตคันหนึ่งกำลังถอยออก ที่ว่างตรงนั้นใกล้ลิฟท์ทางขึ้นมากที่สุด เขาจึงหยุดรถถอยให้รถคันนั้นออกไปก่อน จึงขับเขาซอง ขณะที่เขากำลังมองดูรถที่เขาถอยให้ขับออกไปอย่างช้า ๆ ทันใดนั้นก็มีรถเต่าสีเหลืองขับเข้ามาในซองที่เขากำลังจะเข้า ปาดหน้าเขา แถมเจ้าของรถก็รีบลงจากรถ หันไปหอบแฟ้มเอกสารจากด้านหลัง โดยไม่หันไปมองเขาแม้แต่น้อย
ปัณณ์ฉุนกึก เขาจอดรถขวางไว้แบบนั้น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ดับเครื่อง เดินตามชายหนุ่มไปติด ๆ พร้อมตะโกนเรียก
“นี่คุณ มารยาทน่ะมีไหม คุณก็เห็นว่าผมกำลังจะเลี้ยวเข้าซอง แล้วคุณมาตัดหน้าผม ทำแบบนี้ได้ยังไง หยุดดี๋ยวนี้นะ !มาคุยกันหน่อย”
ผู้ชายคนนั้นหันหน้ามาประจันกับปัณณ์ เมื่อเห็นหน้าเขาชัด ๆ ฝ่ายนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจ
“คุณนั่นเอง ตอนแรกผมกะจะขอโทษแล้วนะ แต่พอเห็นเป็นคุณ ผมไปดีกว่า เราหายกันละนะ คนเฮงซวย ผมรีบน่ะ ไม่อยากเสียเวลากับคนพรรค์นี้ เดี๋ยวความซวยติดตัวผมอีก เสียเวลาชะมัด ไปล่ะ”
ว่าแล้วพิธุก็ดีดนิ้วดังเปาะ เจตนายั่วโมโหเขา จากนั้นก็ก้าวขายาว ๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ประตูเลื่อนทางเข้าโดยไม่หันกลับมามองเขาแม้แต่น้อย
ปัณณ์ทำอะไรไม่ได้ เขาหงุดหงิดงุ่นง่านพร้อมสบถคำหยาบ
“บ้าเอ๊ย ! วันนี้วันซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ มีเรื่องกับเจ้าบ้านั่นสองรอบ สงสัยคงต้องไปทำบุญล้างซวยละ”โชคยังดีที่เขาหาที่จอดรถได้ เขาใช้เวลาไม่นานนักหลังจากขับวนมาหนึ่งรอบ และเมื่อถึงห้องรับรองแขกของบริษัท เขารีบเปิดแลปท๊อบ ตรวจสอบความเรียบร้อยของงานนำเสนอพร้อมเช็คเอกสารอย่างละเอียดอีกครั้ง ตามสไตล์การทำงานของเขา
ปกติเขาจะมีสมาธิกับการทำงานเสมอ แต่ครั้งนี้แวบหนึ่งเขาคิดถึงใบหน้าอันเย่อหยิ่งของชายหนุ่ม ที่ทำให้เขาหัวเสียและเสียเวลาในวันนี้ถึงสองครั้ง เขานึกในใจว่า เกิดมายังไม่เคยเจอคนก่อกวน อวดดี ไร้มารยาทเช่นนี้มาก่อน ขออย่าให้ได้เจอเขาคนนี้อีกเลย สองครั้งก็เพียงพอแล้วพ่อเจ้าประคุณ
แต่ดูเหมือน คำขอของเขาไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา มีเสียงเคาะประตูห้อง ตามปกติแล้วต้องเป็นคนของบริษัทมาเชิญเขาให้เข้าไปพบท่านประธานแน่นอน เขารีบยืนขึ้น จัดแจงเสื้อผ้าให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย กล่าวโดยเสียงกังวานชัดถ้อยชัดคำ
“เชิญครับ”
ประตูเลื่อนค่อย ๆ เปิดขึ้น หนุ่มสาวสองคนยืนอยู่หน้าห้อง ทั้งสองก้าวเข้ามาในห้อง คนแรกเป็นหญิงสาวแต่งตัวทันสมัย ด้วยชุดรัดรูปสีแดง ใบหน้าถูกแต่งด้วยเครื่องสำอางอย่างฉูดฉาด คนที่สอง ชายหนุ่มร่างสูง ผิวสีขาว ปากแดงระเรื่อ แต่งตัวเรียบ ๆ เดินเข้ามาอย่างมั่นใจ แต่เมื่อเห็นเขา หนุ่มคนนั้นถึงกับเบิกตาโพลง เช่นเดียวกับปัณณ์ เพราะเขาคนนี้คือชายหนุ่มต้นเหตุแห่งความหงุดหงิดของเขาตอนเช้านั่นเอง
ต่างคนเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายก็ตกใจ ปัณณ์อุทานขึ้นมาก่อน
“เอ๊ะ คุณนี่! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
พิธุถอยกรูดไปเกือบออกนอกห้อง ท่ามกลางความประหลาดใจของสาวเซ็กซี่อีกคน เธอคนนี้หรี่ตามองทั้งสองฝ่ายแบบมีเลศนัย
“พวกคุณสองคนรู้จักกันหรือคะ ?”
“ใช่ครับ เราเคยเจอกันสองครั้ง ใช่ไหมคุณ?”
ปัณณ์ตอบด้วยไหวพริบ เป็นเชิงกลบเกลื่อนทำเอาพิธุหน้าที่ทำหน้านิ่งเปลี่ยนเป็นบูบึ้งขึ้นมาในทันที ปัณณ์สังเกตว่าหนุ่มสาวทั้งสอง แม้อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน แต่รูปลักษณ์และบุคลิกต่างกันโดยสิ้นเชิง
สาวหนึ่งโฉบเฉี่ยวด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประทินโฉม จนดูเจนจัด แต่อีกคนคนแต่งตัวแบบเรียบ ใบหน้านิ่งนั่นดูเคร่งขรึม มีแววตาครุ่นคิดอยู่เป็นนิจ และดูไว้ตัวสักหน่อย แม้ใบหน้านั้นจะหล่อเหลาออกแนวไปทางผู้ชายหน้าหวาน แต่ทีท่าดูระแวงและไม่เป็นมิตร
เขากวาดสายตาพินิจผู้มาเยือนอย่างรวดเร็ว ทั้งสองเป็นผู้ที่มาเชิญเขาให้เข้าพบท่านประธาน นั่นแสดงว่าต้องมีความสำคัญกับการเจรจาธุรกิจในวันนี้ แม้หนึ่งในนั้นจะมีเรื่องกับเขามาก่อน แต่คนอย่างเขาสามารถเก็บความรู้สึกและตั้งสติได้ดีเสมอ เขาต้องสำรวมกิริยาและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
เมื่อเห็นดังนั้น ปัณณ์จึงเปลี่ยนทีท่าจากยียวนกวนโมโห เป็นชายหนุ่มผู้สุขุมน่าเชื่อถือ พร้อมกล่าวทักทายทั้งคู่
“สวัสดีครับ ผม ปัณณ์ ชุนหะการณ์ เป็นเจ้าของบริษัทบีออนสกาย ผมได้รับการนัดหมายอย่างเป็นทางการจากท่านประธานฟอร์เอฟเวอร์กรุ๊ปให้มานำเสนองานวันนี้ครับ”
หญิงสาวเซ็กซี่ยิ้มหยาดเยิ้มพร้อมแนะนำตัว
“ดิฉัน อริสา ทรัพย์รุ่งอมร หรือ จะเรียก อริส ก็ได้ค่ะ ดิฉันเป็นเลขานุการของคุณประสงค์ ท่านให้มาเรียนเชิญคุณเข้าพบค่ะ”ชายหนุ่มน้อมศรีษะลง เอ่ยน้ำเสียงนุ่มทุ้มและสุภาพ
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับคุณอริสา”หญิงสาวผู้ถูกเอ่ยชื่อยิ้มรับ หล่อนคิดในใจว่า วันนี้ช่างโชคดีเสียจริงที่ได้เจอหนุ่มหล่อเจ้าของบริษัทกราฟฟิคที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในวงการธุรกิจในยุคปัจจุบัน หล่อ รวย สุภาพ หาไม่ได้ง่าย ๆ โสดหรือไม่โสดไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างอริสจะแคร์ ถ้าอริสคนนี้อยากได้ก็ต้องได้ หล่อนคิดไกลนัยต์ตาเป็นประกาย
“จะไปกันได้หรือยังครับ ผมเกรงว่าท่านประธานจะรอนาน เอาไว้คุณสองคนไปทำความรู้จักกันหลังจากนี้ก็ยังทัน”
สิ้นเสียงพูด ชายหนุ่มส่งสายตาตำหนิมายังสองหนุ่มสาว เดินตัวตรง หมุนตัวก้าวเท้ายาว เดินออกไปจากห้อง
“เอ่อ คุณปัณณ์ อย่าไปถือสานายนั่นเลยค่ะ เขาก็เป็นแบบนี้ ไม่ค่อยมีมารยาทกับใครเขาสักเท่าไหร่ อริสว่า เราไปพบท่านประธานกันเถอะค่ะ”
ระหว่างทางเดินไปห้องประชุม ปัณณ์อยากรู้ว่าชายหนุ่มผู้ไร้มารยาทคนนั้น เป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
“ไม่เป็นไรครับ คุณอริส ว่าแต่เขาคนนั้นเป็น…….”
ปัณณ์ยังถามไม่จบประโยค อริสาก็ชิงตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า
“เขาชื่อ พิธุค่ะ เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของที่นี่ ก็ไม่เห็นว่าจะเก่งอะไร หน้าตาก็ไม่เท่าไหร่ ความสามารถก็ธรรมดางั้น ๆ แถมมารยาทแย่อีก อย่างที่คุณเห็น ไม่รู้ทำไมท่านประธานถึงให้ท้ายขนาดนี้ คนเก่งกว่าดีกว่ามีตั้งเยอะแยะ”
“อ่อ ครับ! ว่าแต่คุณอริสา ทำงานที่นี่นานแล้วหรือครับ”
เขาเปลี่ยนเรื่องสนทนาเพราะถึงแม้จะมีเรื่องบาดหมางกับเขาคนนั้น แต่เขาก็ไม่ชอบนินทาว่าร้ายลับหลังใคร
“แหม ! เรียกอริสา ดูห่างเหินจัง เรียก อริส ก็ได้ค่ะ อริสทำงานที่นี่มาเกือบสองปีแล้วค่ะ ที่จริงอริสเรียนจบด้านเลขานุการที่อังกฤษ อยากทำงานที่นั่น แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ท่านอยากให้ทำงานในไทย จะได้อยู่ดูแลท่านด้วย ก็เลยมาสมัครที่นี่ แล้วได้งานเลยเพราะอริสได้ทั้งภาษาและความสามารถรอบด้าน ท่านประธานเลยล็อคเป้าที่อริส ก็มีบริษัทใหญ่ ๆ ก็จองตัวอริสกับคุณพ่อคุณแม่ไว้ แต่อริสเลือกที่นี่เพราะอยากให้ที่นี่เติบโตมั่นคงด้วยการเข้ามาทำงานของอริสค่ะ”
หญิงสาวคุยโอ่ แต่ปัณณ์เหมือนไม่ได้สนใจเสียงเจื้อยแจ้วนั้น เขาตั้งสติและเตรียมพร้อมต่อการเข้าพบท่านประธานเพื่อนำเสนองาน แวบหนึ่งในใจเขานึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มผู้อวดดีเย่อหยิ่งคนนั้น ไม่รู้ว่าพิธุจะมีส่วนในการตัดสินใจของท่านประธานหรือไม่
แต่เขารีบสลัดความคิดกังวลออกไป เมื่ออริสานำเขามาหยุดหน้าห้องประชุม หล่อนหันมามองเขาด้วยสายตายั่วยวน พร้อมกับเปิดประตูให้เขา “เชิญค่ะคุณปัณณ์” ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณและเดินเข้าไปอย่างมั่นใจ.อริสราเดินนำหน้าปัณณ์เข้ามในห้องประชุม ชายหนุ่มเดินตามด้วยทีท่ามั่นใจและสง่างาม สายตาของเขากวาดไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว ตรงกลางโต๊ะมีชายสูงวัยภูมิฐานนั่งอยู่ ถัดมาซ้ายมือ เป็นชายวัยกลางคนตรงหน้าเขามีคอมพิวเตอร์แล็ปท๊อบ เขากำลังง่วนอยู่กับหน้าจอ จึงไม่ได้หันมาทางปัณณ์ซึ่งกำลังเดินเข้ามา และที่นั่งขวามือของท่านประธาน เป็นร่างของชายหนุ่มผู้ที่ทำให้เขาหัวเสียในเช้าวันนั้นถึงสองครั้ง เขาดูสงบนิ่งและสุขุม แตกต่างจากที่เขาเห็นในตอนเช้า มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ยังคงก้าวร้าวเย็นชาเช่นเดิม “ยินดีต้อนรับครับ คุณปัณณ์ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณมาเยือนบริษัทฟอร์เอฟเวอร์กรุ๊ปของเรา เชิญนั่งครับ” เสียงก้องกังวาน หนักแน่นและแฝงด้วยอำนาจของคุณเกริก โอภาหิรัญสกุล หรือท่านประธานที่ใครๆก็กริ่งเกรง กล่าวขึ้น ชายหนุ่มยิ้มกว้าง พร้อมยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าด้วยทีท่าอ่อนโยนนอบน้อม “ขอบพระคุณครับ ที่ท่านให้โอกาสบริษัทเล็กๆของผมได้เข้ามานำเสนองานให้กับท่าน ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างถ่อมตัว อันที่จริ
อริสราเดินนำหน้าปัณณ์เข้ามในห้องประชุม ชายหนุ่มเดินตามด้วยทีท่ามั่นใจและสง่างาม สายตาของเขากวาดไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว ตรงกลางโต๊ะมีชายสูงวัยภูมิฐานนั่งอยู่ ถัดมาซ้ายมือ เป็นชายวัยกลางคนตรงหน้าเขามีคอมพิวเตอร์แล็ปท๊อบ เขากำลังง่วนอยู่กับหน้าจอ จึงไม่ได้หันมาทางปัณณ์ซึ่งกำลังเดินเข้ามา และที่นั่งขวามือของท่านประธาน เป็นร่างของชายหนุ่มผู้ที่ทำให้เขาหัวเสียในเช้าวันนั้นถึงสองครั้ง เขาดูสงบนิ่งและสุขุม แตกต่างจากที่เขาเห็นในตอนเช้า มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ยังคงก้าวร้าวเย็นชาเช่นเดิม “ยินดีต้อนรับครับ คุณปัณณ์ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณมาเยือนบริษัทฟอร์เอฟเวอร์กรุ๊ปของเรา เชิญนั่งครับ” เสียงก้องกังวาน หนักแน่นและแฝงด้วยอำนาจของคุณเกริก โอภาหิรัญสกุล หรือท่านประธานที่ใครๆก็กริ่งเกรง กล่าวขึ้น ชายหนุ่มยิ้มกว้าง พร้อมยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าด้วยทีท่าอ่อนโยนนอบน้อม “ขอบพระคุณครับ ที่ท่านให้โอกาสบริษัทเล็กๆของผมได้เข้ามานำเสนองานให้กับท่าน ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างถ่อมตัว อันที่จริ
เอี๊ยดดดดด ! เสียงเบรครถดังสนั่น จนผู้คนบนถนนหยุดชะงักด้วยความตกใจ แล้วกรูกันเข้ามามุงดูเหตุการณ์ พิธุ ภาณุพันธ์ ก้าวลงมาจากรถอย่างหัวเสีย ชายหนุ่มซ่อนความตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าหล่อปนหวานนั้น เขารีบเดินฉับ ๆ ด้วยอารมณ์เดือด มุ่งตรงไปยังรถเก๋งคันหรูคู่กรณีที่เลี้ยวกระทันหันจนเป็นเหตุให้รถของพิธุที่ขับตามมาต้องเบรครถจนตัวโก่ง “ดูสิ ขนาดนี้แล้วยังไม่ลงจากรถมาดูเลย เฮ้อ !ให้ตายสิ ใจดำชะมัด ไร้มารยาทอย่างที่สุด แบบนี้ต้องจัดการหน่อยละ ริอาจมาเล่นกับพิธุ ต้องเจอกันสักตั้ง” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ด้วยความที่กระจกติดฟิล์มมืดสีดำ จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าคนขับเป็นชายหรือหญิง แต่จะชายหรือหญิงนั้นไม่สำคัญแล้ว ถ้าไร้มารยาท ไร้ความรับผิดชอบกับเขาขนาดนี้ ก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน ชายหนุ่มไม่พูดพล่ามทำเพลง ใช้ปลายนิ้วมือเคาะที่กระจกรถหรูรัวๆ ด้านฝั่งคนขับ ทันใดนั้นกระจกฝั่งคนขับค่อยๆเลื่อนลงอย่างช้าๆ มีมือโผล่มาพร้อมกับยื่นธนบัตรสีเทา จำนวน 3 ใบ ให้กับพิธุ “แค่นี้พอไหม” เสียงนุ่มทุ้มกัง