แสงดวงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบพื้นผิวน้ำทะเล เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งช่างเงียบสงบและไพเราะ สายลมพัดเข้ามากระทบผ้าม่านสีขาวผื่นบางพริ้วไสวตามสายลม ทว่า....มันไม่ได้ช่วยดับแรงโทสะของเจ้าบ้านเลยสักนิด
เพี๊ยะ! ฝ่ามือใหญ่ของเจ้าบ้านฟาดลงไปบนแก้มภรรยาอย่างแรง "แม่!!" " คุณสั่งสอนลูกยังไง ให้มันหลงผู้ชายขนาดนี้!! " เสียงกัมปนาทราวกับพายุตลาดลั่นใส่ภรรยา เหล่าคนงานในบ้านต่างแตกตื่นตกใจเมื่อคุณผู้หญิงของบ้านถูกทำร้าย "มันไม่แหกตาดูหน่อยเหรอ! ว่าผู้ชายคนนั้นมันคนละศาสนากับเรา!!" อัมพิกาก้าวออกจากห้องของตนหลังได้ยินเสียงโต้เถียงดังมาจากห้องโถง เธอสวมชุดส่าหรีสีขาวงาช้างลวดลายปักด้วยดิ้นทองละเอียดอ่อน ชายส่าหรีพลิ้วไหวตามจังหวะก้าวเดิน ผมสีดำขลับถูกรวบไว้หลวมๆ มีปอยผมเล็กๆร่วงหล่นคลอเคลียกับแก้มสีชมพูอ่อนที่ถูกแต่งแต้มด้วยบลัชออน มือเรียวยกชายส่าหรีขึ้นเล็กน้อยก่อนเร่งฝีเท้า หัวใจเต้นระรัวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนัก ดวงตาสีน้ำผึ้งจับจ้องไปยังภาพตรงหน้าราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนเมื่อ ปราโมทย์ เชาฮาน บิดาของเธอกำลังตะคอกใส่มารดาเธออย่างรุนแรง มือหนาของเขาตบลงโต๊ะด้านหน้าเสียงดังสนั่น ตรงพวงแก้มของ กาญจี แต่งแต้มด้วยรอยเปื้อนแดงขนาดใหญ่ รางบอบบางในชุดส่าหรีสีชมพูสั่นสะท้านไปทั้งตัว ดวงตาสีน้ำผึ้งคู่สวยวาวโรจน์ จับแก้มแดงด้วยรอยฝ่ามืออย่างเบามือ "พอเถอะค่ะ พ่อ" ร่างเพรียวบางในชุดสีอ่อนหันไปสบตาคนเป็นพ่อ เสียงหวานกล่าวขึ้นมาอย่างโกรธเคือง เลือดในกายของเธอเย็นเฉียบ สายลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดกว้างไม่อาจบรรเทาความเพลิงโทสะในใจเธอได้ สายตาที่มองคนตรงหน้าดูแข็งกร้าวและเปี่ยมไปด้วยไฟโทสะ " นี่คือวิธีที่พ่อใช้แก้ปัญหาหรอคะ!! " "อามิ นี่มันไม่ใช่เรื่องของลูก กลับเข้าห้องไปซะ!!" เสียงตะคอกจากคุณปราโมทย์ ไม่สามารถทำให้อัมพิกาหวาดกลัวได้ "ทำไมจะไม่ใช่คะ นี่มันครอบครัวของหนู และหนูจะไม่ยอมให้พ่อทำร้ายแม่เป็นอันขาด!! " สองพ่อลูกจ้องตากันอย่างไม่ลดละ เธอยืนนิ่งไม่ไหวติง สองมือกำหมัดแน่นใต้ชายส่าหรีที่พริ้วไหวตามสายลมช่วยโหมกระพือเพลิงโทสะให้ลุกโชน " อัมพิกา เชาฮาน!!" " อย่ามาเรียกชื่อหนูแบบนั้นนะคะพ่อ!!..พ่อไม่มีสิทธิ์พูดกับหนูด้วยน้ำเสียงแบบนี้นะคะ!! " เธอพูดกับพ่อด้วยเสียงเย็นชา แล้วหันมาคุยกับมารดาด้วยเสียงที่อ่อนลง "แม่คะ เป็นยังไงบ่างคะ? เจ็บรึเปล่า" " แม่ไม่เป็นไรจ้ะลูก" เสียงอ่อนหวานของกาญจีตอบบุตรสาวด้วยเสียงสั่นเครือ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยทว่ายังคงความสวยงามเอาไว้พยายามฝืนยิ้มให้บุตรสาว ทว่าในใจยังคงเจ็บปวดกับความกระทำของสามี "อย่ากังวลไปเลย แม่ไหวจ้ะ" "โอ๋กันเข้าไป! " ภาพสองแม่ลูกปลอบโยนกันช่างเป็นภาพที่บาดตาบาดใจเขาเหลือเกิน ภาพบุตรสาวประคองมารดาเอาไว้อย่างอ่อนโยน น้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาของภรรยามันเสียดแทงหัวใจแกร่งจนย่อยยับ เสียงของเขาเป็นไปด้วยความขุ่นเคืองจนแทบระเบิดออกมา "พวกเธอสองคนจะทำเหมือนพ่อเป็นคนร้ายไปถึงไหน" ใบหน้าสวยอ่อนเยาว์ค่อยๆหันมาพลางสบตาคมกริบของคุณปราโมทย์ เสียงหวานเอ่ยขึ้นมาอย่างประชดประชัน "ที่พ่อรู้สึกแบบนี้ก็เพราะว่าพ่อทำตัวเองต่างหากค่ะ พ่อเลือกที่จะใช้ความรุนแรงแทนเหตุผล แล้วพ่อหวังอะไรล่ะคะ? คิดว่าทุกคนต้องเข้าใจพ่องั้นหรอ" ความเงียบงันเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งห้องสิ้นเสียงของอัมพิกา คำพูดของเธอราวกับใบมีดทิ่มแทงหัวใจของปราโมทย์ สายตาคมกริบเลื่อนไปหาภรรยาที่อยู่ด้านหลังบุตรสาว จ้องมองไปยังรอยแดงตรงแก้มแววตาก็พลันวูบไหว ฝ่ามือแกร่งกำหมัดแน่นก่อนจะเดินหนีไปอีกทาง "คุณคะ...!" กาญจีร้องเรียกสามีด้วยเสียงอ่อนล้า เมื่อเห็นเขาหันหลังเดินหนีไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามอง เสียงของเธอแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและอ้อนวอน ทว่าคุณปราโมทย์กลับไม่ฟังอะไรเลย ร่างของเขาเดินออกไปจนแผ่นหลังกว้างลับสายตา ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนกลับคลอด้วยน้ำตาที่พรั่งพรูอย่างไม่อาจควบคุมได้ หัวใจของเธอเหมือนถูกบีบรัด น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้ม ความกังวลต่อสามีและครอบครัวทำให้เธอเริ่มหน้ามืด ร่างบอบบางโอนเอนราวกับไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป "แม่!!!" เสียงร้องของอัมพิกาดังขึ้นพร้อมกับร่างเพรียวของเธอที่พุ่งเข้ามาประคองมารดาไว้ได้ทัน ก่อนที่กาญจีจะร่วงลงไปกองกับพื้น "แม่คะ! แม่ได้ยินหนูไหม!" หญิงสาวกอดร่างของมารดาไว้แน่น ดวงตาสั่นระริกด้วยความตกใจและเป็นห่วง เธอใช้มือปัดปอยผมที่ปรกหน้ามารดาออกเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสที่แก้มซีดขาวของกาญจี กาญจีค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำมองหน้าลูกสาวด้วยความอ่อนล้า "แม่ไม่เป็นไรจ้ะลูก...แม่ไหว..." เสียงของเธอเอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ทว่าแผ่วจนแทบไม่ได้ยินเสียงของเธอเลย "แม่ไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะคะ หนูจะพาแม่ไปพักก่อน" เธอประคองร่างของมารดาขึ้นช้า ๆ และพาเดินไปยังโซฟาใกล้ ๆ แม้มือที่ประคองร่างจะสั่นอยู่ก็ตาม ในขณะเดียวกันที่ ย่านธุรกิจ C Scheme, เมืองชัยปุระ สำนักงานใหญ่ของบริษัท Agraral Industries. ตั้งอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ภายในห้องของผู้บริหารตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคาร ตกแต่งภายในด้วยโทนสีเข้ม แบบภาพวาดศิลปะอินเดียโบราณ ผนังห้องถูกติดด้วยกระจกทำให้มองเห็นทิวทัศน์ภายนอก โต๊ะทำงานสุดหรูตั้งอยู่ตรงกลางห้อง มีชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของห้องอยู่ในชุดสูทผูกเนคไทอย่างเนี้ยยืนมองทิวทัศน์ภายนอกด้วยสายตาเรียบนิ่ง ขณะเดียวกันความคิดของเขากลับเต็มไปด้วยแผนการบางอย่าง " เปิดตัวซะเอิกเกริกเลยนะ อัมมาวดี " ฝ่ามือแกร่งกำหนังสือพิมพ์ไว้แน่นก่อนจะฉีกมันออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ในใจของเขารู้สึกแค้นเคืองปนไปด้วยความเจ็บปวดที่อดีตคนรักทำกับเขาไว้เจ็บแสบ น้ำตาหยดนึงไหลออกมาจากดวงตาคมกริบก่อนจะถูกเจ้าของปัดออกไป ชายหนุ่มถูกคนรักหักหลัง นอกใจ จนในใจเกิดบาดแผลฉกรรจ์จนไม่สามารถรักษามันให้หายได้ ความแค้นเคืองภายในจิตใจเพิ่มขึ้นเท่าทวีเมื่อได้เห็นว่าอดีตคนรักเปิดตัวผู้ชายคนใหม่อย่างเอิกเกริก " เธอทำฉันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส อัมมาวดี เธอก็ต้องรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน " เขาพูดกับตัวเองเสียงต่ำ การพยายามจะลืมเธอและปล่อยวางจากความแค้นที่ยังคงติดอยู่ในใจเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ ตอนนี้เขาไม่ต้องการแค่การแก้แค้น เขาต้องการให้เธอรู้สึกถึงความสูญเสียที่เขารู้สึกเหมือนกัน "มันถึงเวลาแล้ว... อัมมาวดี" เสียงเขาพึมพำด้วยความมั่นใจ รอยยิ้มเย็นชาเริ่มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา แผนการที่เขาวางไว้ ในที่สุดก็ได้เอาออกมาใช้เสียที เธอรักน้องสาวของเธอมากใช่ไหม.... งั้นฉันจะทำให้น้องสาวของเธอตกหลุมรักฉัน หลงฉัน เชื่อฟังฉัน และเจ็บปวดเพราะฉันบ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระ บรรยากาศยามเย็นในบ้านเชาฮานเต็มไปด้วยความเงียบงันและอึมครึม หลังจากเหตุการณ์ทะเลาะกันเมื่อช่วงสาย อัมพิกายังคงเป็นกังวลเรื่องอาการของมารดา แม้ว่าแม่ของเธอจะยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก แต่แววตาที่ดูอ่อนล้าของกาญจีกลับทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ"แม่นั่งพักตรงนี้ก่อนนะคะ" หญิงสาวบอกกับมารดาก่อนจะตัดสินใจโทรหาคุณหมอประจำตระกูล "หมอศานนท์ ปัทมกุล" ชายวัยกลางคนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการรักษา และยังเป็นคนที่ครอบครัวเชาฮานไว้ใจมาอย่างยาวนาน( ฮัลโหล) เสียงแหบทุ้มดังขึ้นจากปลายสาย ( สวัสดีค่ะ คุณลุง หนูเองค่ะ อัมพิกา ) ( คุณลุงคะ คุณลุงช่วยมาตรวจดูคุณแม่ให้หนูหน่อยได้ไหมคะ พอดีว่าคุณแม่ท่านเป็นลมน่ะคะ ) ( ได้สิ เดี๋ยวอีกสักพักลุงเข้าไปนะ ) ( ค่ะคุณลุง ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ) พูดจบเธอก็ตัดสายไป อัมพิกาเดินเข้ามาดูกาญจีที่นั่งอ่อนแรงอยู่ในห้องนั่งเล่น" เป็นยังไงบ้างคะแม่ " " แม่ไม่เป็นอะไร อีกสักพักแม่ก็หาย" เสียงอ่อนแรงของมารดาทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น กาญจีเอามือไปแตะมือลูกสาวเบาๆ เธอไม่อยากให้ลูกสาวต้องเป็นกังวลเพราะเธอ " อามิ เชื่อแม่นะลูก " " ไม่เชื่อได
ภายในคฤหาสน์ตระกูลเชาฮาน ที่ตกแต่งด้วยผ้าไหมสีทองและแดงเข้ม ประดับด้วยดอกไม้หลากสีเรียงรายตลอดแนวระเบียง กลิ่นกำยานอ่อนๆ หอมอบอวลทั่วงานโถงใหญ่ แสงไฟจากโคมระย้ากระทบกับเครื่องประดับอันหรูหรา สร้างบรรยากาศอันโอ่อ่าศิวะปรากฏตัวในชุดโจฎปุรีประดับลวดลายทองอันวิจิตร บ่งบอกถึงความสง่างามและฐานะที่น่าเกรงขาม เสื้อคลุมของเขาถักทอด้วยผ้าชั้นดีตัดเย็บอย่างประณีต มีลวดลายราชสีห์อันทรงอำนาจ เขาก้าวเข้ามาในงานอย่างสง่าผ่าเผย ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาที่หน้าทางเข้างาน อัมมาวดีและอัมพิกา ลูกสาวทั้งสองของตระกูลเชาฮาน ยืนต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้มอัมมาวดีอยู่ในชุดส่าหรีสีแดงเข้มปักลายทองละเอียดอ่อน ผ้าอาภรณ์สะท้อนแสงไฟระยิบระยับ ทรงผมเกล้ามวยสูง ตกแต่งด้วยดอกมะลิสดและจิวเวลรีที่ทำจากเพชรน้ำงาม ดูงดงามราวกับนางพญาอัมพิกาแต่งกายในชุดเลเฮนกาสีชมพูพีชประดับด้วยงานปักสีเงิน เสื้อครอปเข้ารูปเผยให้เห็นความอ่อนหวานของวัยสาว เธอประดับสร้อยคอพลอยสีชมพูเข้ากับต่างหูระย้าเข้ากับดวงตาสีน้ำผึ้งประกายสดใสของเธอ สองพี่น้องยืนเคียงกันเป็นภาพที่งดงามประหนึ่งนางเทพีแห่งความงามประจำค่ำคืน สร้างความประทับใจให้แขกเหรื่อที่เ
ห้าปีก่อน เสียงเพลงพื้นเมืองดังก้องไปทั่วบริเวณงาน ผู้คนสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสร่วมขบวนแห่ที่คึกคัก เทศกาลแกงการาเป็นการเฉลิมฉลองให้กับพระอิศวรและพระแม่ปารวตี เทพเจ้าแห่งความรักและความสมบูรณ์ในชีวิตแต่งงานศิวะ อัคราวัล ชายหนุ่มในวัยสามสิบปี เจ้าของธุรกิจที่กำลังเติบโต มองผู้คนรอบตัวด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขามางานเทศกาลนี้เพียงเพื่อมอบทุนสนับสนุนในนามบริษัทของครอบครัว งานที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาไม่ได้มีความหมายสำหรับเขามากนัก... จนกระทั่งเขาได้เห็นเธอกลางขบวนแห่ หญิงสาวในชุดส่าหรีสีแดงประดับทองอร่ามเดินถือหม้อน้ำที่ตกแต่งอย่างงดงาม บนใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้มที่สดใส เส้นผมดำยาวพริ้วไหวตามสายลม เธอดูราวกับเทพธิดาที่ก้าวลงมาจากสรวงสวรรค์ศิวะมองเธอราวกับถูกดึงดูด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาไม่อาจละสายตาได้"ระวัง!" เสียงของเขาดังขึ้นเมื่อหม้อน้ำในมือของหญิงสาวทำท่าจะหลุดจากศีรษะเขาก้าวเข้าไปคว้าหม้อน้ำไว้ทันเวลา ก่อนที่มันจะตกลงพื้น"ขอบคุณค่ะ..." เสียงของเธอนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา คนแปลกหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือเธอ และรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเธอก็ทำให้หัวใจของศิวะเต้นแรง"ค
3 เดือนก่อนหน้านั้น บ้านตระกูลเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระบ้านตระกูลเชาฮานตั้งอยู่ใจกลางเมืองชัยปุระ ตัวบ้านเป็นอาคารสไตล์ราชสถานแท้ ๆ ผนังสีชมพูตกแต่งด้วยลวดลายแกะสลักประณีต หน้าบ้านมีสวนขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้สีสันสดใส น้ำพุหินอ่อนกลางสวนส่งเสียงเบา ๆ ช่วยเพิ่มความร่มรื่นภายในบ้าน ห้องโถงใหญ่ประดับโคมไฟระย้าคริสตัล พื้นหินอ่อนเย็นเฉียบสะท้อนภาพเพดานสูงที่ตกแต่งด้วยลวดลายศิลปะโบราณในห้องนั่งเล่น หญิงสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายข้างหน้าต่าง เธออยู่ในชุดส่าหรีสีฟ้าอ่อนที่ประดับด้วยดิ้นเงิน ผมยาวตรงของเธอถูกปล่อยลงมาคลอเคลียไหล่ ใบหน้าเรียวเล็กของเธอแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตากลมโตเปล่งประกายคล้ายสะท้อนแสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่าน"อามิ! มาช่วยแม่จัดโต๊ะหน่อยลูก" เสียงเรียกของคุณนายเชาฮานดังขึ้นจากห้องอาหาร"ค่ะ คุณแม่!" อามิหรือ อัมพิกาตอบรับอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปช่วยแม่โต๊ะอาหารยาวถูกปูด้วยผ้าลินินสีขาวสะอาดตา บนโต๊ะมีจานชามที่จัดเรียงอย่างประณีต พร้อมดอกไม้สดที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงามอัมพิกาช่วยแม่จัดช้อนส้อมและแก้วน้ำ เธอทำงานด้วยความคล่องแคล่ว"คืนนี้พวกเราต้
กลับมาที่ปัจจุบันหญิงสาวในชุดส่าหรีสีฟ้ากลับเข้ามาในบ้าน ร่างเพรียวเดินเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ ในใจมีแต่ความรู้สึกผิด ที่เธอได้ทำผิดต่อคนรัก " พี่อามู พี่เป็นอะไร" "อามิ...พี่" อัมมาวดีลังเลที่จะพูดเพราะเธอรู้ว่าน้องสาวของเธอนั้นเคารพศิวะเหมือนดั่งพี่ชายแท้ๆ "คะ?." "พี่กับศิวะเราเลิกกันแล้ว" "ฮะ.." ในที่สุดอัมมาวดีก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้น้องสาวฟังรวมไปถึงเรื่องที่เธอแอบคบหาราฟีตอนที่ยังคบกับศิวะอยู่ด้วย "พี่อามู! พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง...พี่บอกเลิกพี่ศิวะเพื่อไปคบกับผู้ชายที่เพิ่งเจอได้ยังไง" อัมพิกาโวยวายเสียงดัง"อามิ ฟังพี่ก่อน พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด ราฟีไม่ใช่คนเลว เขาทำให้พี่รู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย""แล้วพี่ศิวะล่ะคะ" "พี่ไม่ได้รักเขาแล้ว อีกอย่างพวกเราก็ไม่เหมาะสมกัน" อัมพิกายืนนิ่งไปชั่วขณะหลังจากได้ยินคำพูดของพี่สาว น้ำเสียงที่แฝงความแน่วแน่ของอัมมาวดีสะท้อนถึงการตัดสินใจที่ชัดเจน ทว่าในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง“พี่อามู...พี่เคยคิดถึงความรู้สึกของพี่ศิวะบ้างไหมคะ? ผู้ชายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อพี่...”น้ำเสียงของอัมพิกาแผ่วลง ดวงตาคู่สวยฉายแววผิดหวัง หญิงสาวไม่เคยเลยว
ภายในคฤหาสน์ตระกูลเชาฮาน ที่ตกแต่งด้วยผ้าไหมสีทองและแดงเข้ม ประดับด้วยดอกไม้หลากสีเรียงรายตลอดแนวระเบียง กลิ่นกำยานอ่อนๆ หอมอบอวลทั่วงานโถงใหญ่ แสงไฟจากโคมระย้ากระทบกับเครื่องประดับอันหรูหรา สร้างบรรยากาศอันโอ่อ่าศิวะปรากฏตัวในชุดโจฎปุรีประดับลวดลายทองอันวิจิตร บ่งบอกถึงความสง่างามและฐานะที่น่าเกรงขาม เสื้อคลุมของเขาถักทอด้วยผ้าชั้นดีตัดเย็บอย่างประณีต มีลวดลายราชสีห์อันทรงอำนาจ เขาก้าวเข้ามาในงานอย่างสง่าผ่าเผย ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาที่หน้าทางเข้างาน อัมมาวดีและอัมพิกา ลูกสาวทั้งสองของตระกูลเชาฮาน ยืนต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้มอัมมาวดีอยู่ในชุดส่าหรีสีแดงเข้มปักลายทองละเอียดอ่อน ผ้าอาภรณ์สะท้อนแสงไฟระยิบระยับ ทรงผมเกล้ามวยสูง ตกแต่งด้วยดอกมะลิสดและจิวเวลรีที่ทำจากเพชรน้ำงาม ดูงดงามราวกับนางพญาอัมพิกาแต่งกายในชุดเลเฮนกาสีชมพูพีชประดับด้วยงานปักสีเงิน เสื้อครอปเข้ารูปเผยให้เห็นความอ่อนหวานของวัยสาว เธอประดับสร้อยคอพลอยสีชมพูเข้ากับต่างหูระย้าเข้ากับดวงตาสีน้ำผึ้งประกายสดใสของเธอ สองพี่น้องยืนเคียงกันเป็นภาพที่งดงามประหนึ่งนางเทพีแห่งความงามประจำค่ำคืน สร้างความประทับใจให้แขกเหรื่อที่เ
บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระ บรรยากาศยามเย็นในบ้านเชาฮานเต็มไปด้วยความเงียบงันและอึมครึม หลังจากเหตุการณ์ทะเลาะกันเมื่อช่วงสาย อัมพิกายังคงเป็นกังวลเรื่องอาการของมารดา แม้ว่าแม่ของเธอจะยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก แต่แววตาที่ดูอ่อนล้าของกาญจีกลับทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ"แม่นั่งพักตรงนี้ก่อนนะคะ" หญิงสาวบอกกับมารดาก่อนจะตัดสินใจโทรหาคุณหมอประจำตระกูล "หมอศานนท์ ปัทมกุล" ชายวัยกลางคนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการรักษา และยังเป็นคนที่ครอบครัวเชาฮานไว้ใจมาอย่างยาวนาน( ฮัลโหล) เสียงแหบทุ้มดังขึ้นจากปลายสาย ( สวัสดีค่ะ คุณลุง หนูเองค่ะ อัมพิกา ) ( คุณลุงคะ คุณลุงช่วยมาตรวจดูคุณแม่ให้หนูหน่อยได้ไหมคะ พอดีว่าคุณแม่ท่านเป็นลมน่ะคะ ) ( ได้สิ เดี๋ยวอีกสักพักลุงเข้าไปนะ ) ( ค่ะคุณลุง ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ) พูดจบเธอก็ตัดสายไป อัมพิกาเดินเข้ามาดูกาญจีที่นั่งอ่อนแรงอยู่ในห้องนั่งเล่น" เป็นยังไงบ้างคะแม่ " " แม่ไม่เป็นอะไร อีกสักพักแม่ก็หาย" เสียงอ่อนแรงของมารดาทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น กาญจีเอามือไปแตะมือลูกสาวเบาๆ เธอไม่อยากให้ลูกสาวต้องเป็นกังวลเพราะเธอ " อามิ เชื่อแม่นะลูก " " ไม่เชื่อได
แสงดวงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบพื้นผิวน้ำทะเล เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งช่างเงียบสงบและไพเราะ สายลมพัดเข้ามากระทบผ้าม่านสีขาวผื่นบางพริ้วไสวตามสายลม ทว่า....มันไม่ได้ช่วยดับแรงโทสะของเจ้าบ้านเลยสักนิด เพี๊ยะ! ฝ่ามือใหญ่ของเจ้าบ้านฟาดลงไปบนแก้มภรรยาอย่างแรง "แม่!!" " คุณสั่งสอนลูกยังไง ให้มันหลงผู้ชายขนาดนี้!! " เสียงกัมปนาทราวกับพายุตลาดลั่นใส่ภรรยา เหล่าคนงานในบ้านต่างแตกตื่นตกใจเมื่อคุณผู้หญิงของบ้านถูกทำร้าย "มันไม่แหกตาดูหน่อยเหรอ! ว่าผู้ชายคนนั้นมันคนละศาสนากับเรา!!" อัมพิกาก้าวออกจากห้องของตนหลังได้ยินเสียงโต้เถียงดังมาจากห้องโถง เธอสวมชุดส่าหรีสีขาวงาช้างลวดลายปักด้วยดิ้นทองละเอียดอ่อน ชายส่าหรีพลิ้วไหวตามจังหวะก้าวเดิน ผมสีดำขลับถูกรวบไว้หลวมๆ มีปอยผมเล็กๆร่วงหล่นคลอเคลียกับแก้มสีชมพูอ่อนที่ถูกแต่งแต้มด้วยบลัชออน มือเรียวยกชายส่าหรีขึ้นเล็กน้อยก่อนเร่งฝีเท้า หัวใจเต้นระรัวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนัก ดวงตาสีน้ำผึ้งจับจ้องไปยังภาพตรงหน้าราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนเมื่อ ปราโมทย์ เชาฮาน บิดาของเธอกำลังตะคอกใส่มารดาเธออย่างรุนแรง มือหนาของเขาตบลงโต๊ะด้านหน้าเสียงดังสนั่น ตรงพวงแก
กลับมาที่ปัจจุบันหญิงสาวในชุดส่าหรีสีฟ้ากลับเข้ามาในบ้าน ร่างเพรียวเดินเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ ในใจมีแต่ความรู้สึกผิด ที่เธอได้ทำผิดต่อคนรัก " พี่อามู พี่เป็นอะไร" "อามิ...พี่" อัมมาวดีลังเลที่จะพูดเพราะเธอรู้ว่าน้องสาวของเธอนั้นเคารพศิวะเหมือนดั่งพี่ชายแท้ๆ "คะ?." "พี่กับศิวะเราเลิกกันแล้ว" "ฮะ.." ในที่สุดอัมมาวดีก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้น้องสาวฟังรวมไปถึงเรื่องที่เธอแอบคบหาราฟีตอนที่ยังคบกับศิวะอยู่ด้วย "พี่อามู! พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง...พี่บอกเลิกพี่ศิวะเพื่อไปคบกับผู้ชายที่เพิ่งเจอได้ยังไง" อัมพิกาโวยวายเสียงดัง"อามิ ฟังพี่ก่อน พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด ราฟีไม่ใช่คนเลว เขาทำให้พี่รู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย""แล้วพี่ศิวะล่ะคะ" "พี่ไม่ได้รักเขาแล้ว อีกอย่างพวกเราก็ไม่เหมาะสมกัน" อัมพิกายืนนิ่งไปชั่วขณะหลังจากได้ยินคำพูดของพี่สาว น้ำเสียงที่แฝงความแน่วแน่ของอัมมาวดีสะท้อนถึงการตัดสินใจที่ชัดเจน ทว่าในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง“พี่อามู...พี่เคยคิดถึงความรู้สึกของพี่ศิวะบ้างไหมคะ? ผู้ชายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อพี่...”น้ำเสียงของอัมพิกาแผ่วลง ดวงตาคู่สวยฉายแววผิดหวัง หญิงสาวไม่เคยเลยว
3 เดือนก่อนหน้านั้น บ้านตระกูลเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระบ้านตระกูลเชาฮานตั้งอยู่ใจกลางเมืองชัยปุระ ตัวบ้านเป็นอาคารสไตล์ราชสถานแท้ ๆ ผนังสีชมพูตกแต่งด้วยลวดลายแกะสลักประณีต หน้าบ้านมีสวนขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้สีสันสดใส น้ำพุหินอ่อนกลางสวนส่งเสียงเบา ๆ ช่วยเพิ่มความร่มรื่นภายในบ้าน ห้องโถงใหญ่ประดับโคมไฟระย้าคริสตัล พื้นหินอ่อนเย็นเฉียบสะท้อนภาพเพดานสูงที่ตกแต่งด้วยลวดลายศิลปะโบราณในห้องนั่งเล่น หญิงสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายข้างหน้าต่าง เธออยู่ในชุดส่าหรีสีฟ้าอ่อนที่ประดับด้วยดิ้นเงิน ผมยาวตรงของเธอถูกปล่อยลงมาคลอเคลียไหล่ ใบหน้าเรียวเล็กของเธอแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตากลมโตเปล่งประกายคล้ายสะท้อนแสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่าน"อามิ! มาช่วยแม่จัดโต๊ะหน่อยลูก" เสียงเรียกของคุณนายเชาฮานดังขึ้นจากห้องอาหาร"ค่ะ คุณแม่!" อามิหรือ อัมพิกาตอบรับอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปช่วยแม่โต๊ะอาหารยาวถูกปูด้วยผ้าลินินสีขาวสะอาดตา บนโต๊ะมีจานชามที่จัดเรียงอย่างประณีต พร้อมดอกไม้สดที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงามอัมพิกาช่วยแม่จัดช้อนส้อมและแก้วน้ำ เธอทำงานด้วยความคล่องแคล่ว"คืนนี้พวกเราต้
ห้าปีก่อน เสียงเพลงพื้นเมืองดังก้องไปทั่วบริเวณงาน ผู้คนสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสร่วมขบวนแห่ที่คึกคัก เทศกาลแกงการาเป็นการเฉลิมฉลองให้กับพระอิศวรและพระแม่ปารวตี เทพเจ้าแห่งความรักและความสมบูรณ์ในชีวิตแต่งงานศิวะ อัคราวัล ชายหนุ่มในวัยสามสิบปี เจ้าของธุรกิจที่กำลังเติบโต มองผู้คนรอบตัวด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขามางานเทศกาลนี้เพียงเพื่อมอบทุนสนับสนุนในนามบริษัทของครอบครัว งานที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาไม่ได้มีความหมายสำหรับเขามากนัก... จนกระทั่งเขาได้เห็นเธอกลางขบวนแห่ หญิงสาวในชุดส่าหรีสีแดงประดับทองอร่ามเดินถือหม้อน้ำที่ตกแต่งอย่างงดงาม บนใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้มที่สดใส เส้นผมดำยาวพริ้วไหวตามสายลม เธอดูราวกับเทพธิดาที่ก้าวลงมาจากสรวงสวรรค์ศิวะมองเธอราวกับถูกดึงดูด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาไม่อาจละสายตาได้"ระวัง!" เสียงของเขาดังขึ้นเมื่อหม้อน้ำในมือของหญิงสาวทำท่าจะหลุดจากศีรษะเขาก้าวเข้าไปคว้าหม้อน้ำไว้ทันเวลา ก่อนที่มันจะตกลงพื้น"ขอบคุณค่ะ..." เสียงของเธอนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา คนแปลกหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือเธอ และรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเธอก็ทำให้หัวใจของศิวะเต้นแรง"ค