ภายในคฤหาสน์ตระกูลเชาฮาน ที่ตกแต่งด้วยผ้าไหมสีทองและแดงเข้ม ประดับด้วยดอกไม้หลากสีเรียงรายตลอดแนวระเบียง กลิ่นกำยานอ่อนๆ หอมอบอวลทั่วงานโถงใหญ่ แสงไฟจากโคมระย้ากระทบกับเครื่องประดับอันหรูหรา สร้างบรรยากาศอันโอ่อ่า
ศิวะปรากฏตัวในชุดโจฎปุรีประดับลวดลายทองอันวิจิตร บ่งบอกถึงความสง่างามและฐานะที่น่าเกรงขาม เสื้อคลุมของเขาถักทอด้วยผ้าชั้นดีตัดเย็บอย่างประณีต มีลวดลายราชสีห์อันทรงอำนาจ เขาก้าวเข้ามาในงานอย่างสง่าผ่าเผย ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา ที่หน้าทางเข้างาน อัมมาวดีและอัมพิกา ลูกสาวทั้งสองของตระกูลเชาฮาน ยืนต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้ม อัมมาวดีอยู่ในชุดส่าหรีสีแดงเข้มปักลายทองละเอียดอ่อน ผ้าอาภรณ์สะท้อนแสงไฟระยิบระยับ ทรงผมเกล้ามวยสูง ตกแต่งด้วยดอกมะลิสดและจิวเวลรีที่ทำจากเพชรน้ำงาม ดูงดงามราวกับนางพญา อัมพิกาแต่งกายในชุดเลเฮนกาสีชมพูพีชประดับด้วยงานปักสีเงิน เสื้อครอปเข้ารูปเผยให้เห็นความอ่อนหวานของวัยสาว เธอประดับสร้อยคอพลอยสีชมพูเข้ากับต่างหูระย้าเข้ากับดวงตาสีน้ำผึ้งประกายสดใสของเธอ สองพี่น้องยืนเคียงกันเป็นภาพที่งดงามประหนึ่งนางเทพีแห่งความงามประจำค่ำคืน สร้างความประทับใจให้แขกเหรื่อที่เดินผ่านไปมา ทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า อัมมาวดีถึงกับชะงักไปเพราะไม่คิดว่าอดีตคนรักจะมางานนี้ " ศิวะ ไม่คิดว่าคุณจะมานะคะ ยินดีต้อนรับค่ะ" น้ำเสียงจืดชืดถูกมอบให้กับอดีตคนรัก รอยยิ้มที่ฝืดเคืองปรากฏขึ้นบนใบหน้า ตรงข้ามกับอดีตคนรักอย่างศิวะที่กำลังยิ้มบางๆให้พวกเธอ " พวกเรารู้จักกันมานาน ทำไมผมจะมาไม่ได้ล่ะครับ อีกอย่างพ่อของทุกคนเป็นคนเชิญผมเอง ผมก็ต้องให้เกียรติมางานนี้" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ติดขัด พลางต้องมองใบหน้าสละสวยของอดีตคนรัก ดวงตาคมวูบไหวชั่วขณะหนึ่ง ในใจของเขาก็รู้สึกคะนึงหา เจ็บปวดและเคียดแค้น ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยซ่อนความรู้สึกมากมายไว้ข้างใน สายตาของแขกในงานต่างจ้องมองมายังทั้งสองพลางซุบซิบกันอย่างออกรถ " นี่ ได้ข่าวว่าลูกสาวคนโตบ้านนี้หักอกคุณศิวะ แล้วไม่มีคนอื่นนะเธอ " " จริงหรอ คบกันมาตั้ง 5 ปี คิดว่าจะมีข่าวดีกันแล้วนะเนี่ย " " จริงเธอ " เสียงซุบซิบดังขึ้นรอบด้านของทั้งสามคน แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้สนใจเสียงรอบข้างเลยสักนิด " คุณดูเปลี่ยนไปมากนะคะ ศิวะ " เสียงของอัมมาวดีกล่าวขึ้นอย่างเคร่งเครียด เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นข้างของเธอจนหญิงสาวแทบมุดดินหนี " เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน การจมอยู่กับอดีตมันไม่ได้ช่วยอะไร เธอไม่คิดแบบนั้นหรออามู " ชายหนุ่มต้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ คำพูดและรอยยิ้มของชายหนุ่มกรีดลึกเข้าไปในใจ หญิงสาวพยายามรักษาท่าทีเรียบเฉยเอาไว้ ทว่าในใจกลับร้อนรุ่ม ท่าทางของอดีตคนรักผิดแปลกไปทำให้เธอรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ " อ้าว...คุณศิวะ " เสียงของราฟี เชค ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มเดินเข้ามาจากทางด้านหลังของสองสาว พลางใช้มือโอบไหล่ของคนรักเอาไว้อย่างอ่อนโยน "ยินดีต้อนรับเข้าสู่งานครับ ไม่คิดว่าคุณจะมานะ" ศิวะแสยะยิ้มออกมา แววตาคมกริบจ้องมองการกระทำนั้นด้วยสายตาดุดัน ยิ่งเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าเขาก็ยิ่งรู้สึกแค้นเคืองมากขึ้น ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไร เขาเดินผ่านสองคู่รักไปอย่างไม่แยแสทว่าในใจของเขากลับเดือดพล่านด้วยเพลิงแค้นที่สุมอยู่ในใจ อัมพิกาหันมองตามร่างสูงของศิวะไปด้วยความไม่สบายใจ ดวงตาคู่สวยฉายแววความกังวล เธอมองพี่สาวสลับกับแผ่นหลังของร่างสูง ก่อนที่จะตัดสินใจเดินตามคนพี่ไปด้วยความเป็นห่วงคนที่เธอเคารพดุจดั่งพี่ชาย " อามิ! จะไปไหนน่ะ! " เสียงร้องเรียกของพี่สาวไล่ตามหลังเธอ ทว่าอัมพิกากลับไม่สนใจเลยสักนิด เธอเป็นห่วงชายหนุ่มตรงหน้ามากกว่า ศิวะเดินออกมาไกลถึงระเบียงด้านนอก เขายืนมองวิวทะเลนิ่ง ภาพทั้งสองโอบกอดกันทำเอาหัวใจเขาบีบรัดด้วยความเจ็บปวด ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน พวกเขาดูมีความสุขกันมากขณะที่เขาต้องอยู่กับความเจ็บปวดทุกวี่ทุกวัน ยิ่งคิด...ก็ยิ่งแค้นเคือง.. "พี่คะ! " หญิงสาววิ่งตามหลังชายหนุ่มมายังระเบียงด้านนอก ร่างสูงใหญ่ยืนมองวิวทะเล สายลมอ่อนๆพัดผ่านร่างกายทว่าหัวใจเธอกลับร้อนรนราวกับโดนเผา อัมพิกาเดินเข้ามาหาชายหนุ่มจากทางด้านหลัง แผ่นหลังกว้างดูทระนง อ้างว้าง โดดเดี่ยวจนเธอรู้สึกเจ็บที่เขาต้องเจ็บปวดเพราะการกระทำของพี่สาวเธอ " พี่คะ เป็นอะไรไหมคะ" หญิงสาวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงพลางเอามือแตะแขนอีกฝ่ายเบาๆ ทว่าฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มกลับรวบข้อมือเธอเอาไว้ สายตาดุดันมองหญิงสาวด้วยความเดือดดาล ใบหน้าสวยที่ละม้ายคล้ายคลึงพี่สาว ยกเว้นดวงตาสีน้ำผึ้งสวยกำลังมองเขาด้วยความเป็นห่วง " เป็นอะไรไหมหรอ หึ!.. " ชายหนุ่มหัวเราะเย้ยหยันในลำคอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทว่า...แววตาสีนิลกลับสั่นไหวราวกับซ่อนอะไรไว้ ศิวะปล่อยมือเธออย่างแรง " กลับไปซะ ฉันอยากอยู่คนเดียว" ข้อมือบางขึ้นรอยแดงจากการบีบ แต่เธอกลับเจ็บปวดในใจมากกว่า เพราะท่าทาง คำพูด และน้ำเสียงของชายหนุ่มช่างดูห่างเหิน เขาเปลี่ยนไปราวกับคนละคน " แต่ฉันเป็นห่วงพี่นะคะ " "เป็นห่วง ? เธอนะหรอ? อยากปลอบใจฉันงั้นสิ" ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามก่อนจะใช้สายตากวาดมองทั่วเรือนร่างของหญิงสาวอย่างหยาบโลน ฝ่ามือปัดปอยผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายออก ก่อนจะเลื่อนมือไปโอบเอวบางแล้วดึงเข้าหาตัวเองอย่างแรง รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วโน้มหน้าเข้าใกล้เธอ ใบหน้าของเขาห่างกับใบหน้าของเธอเพียงคืบเดียว "พี่จะทำอะไรคะ.?" อัมพิกาในเวลานี้หวาดกลัวชายหนุ่มเป็นอย่างมาก ฝ่ามือบางพยายามดันหน้าอกของอีกฝ่ายออก แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะร่างกายสูงใหญ่ของศิวะต่างจากร่างกายของเธอมาก " ปล่อยนะคะ " หญิงสาวพยายามดันร่างกายของอีกฝ่ายออกไปอย่างสุดแรง แต่เขาก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย " ทำไม อยากปลอบไม่ใช้หรอ" น้ำเสียงทุ้มต่ำกระซิบลงข้างหู ฝ่ามือบีบเอวบางอย่างหยอกล้อ แต่เธอไม่สนุกด้วย! " พี่เป็นอะไรไปคะ " คนตรงหน้าเธอเปลี่ยนไปเยอะมาก จากคนที่อ่อนโยนแสนดีเป็นคนหยาบคาย แข็งกระด้าง พี่เขาไม่ใช่คนเดิมที่เธอเคยรู้จัก " ปล่อยนะคะ " หญิงสาวดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของคนตรงหน้า จนเขาต้องกระชับอ้อมกอดแน่น " อย่าเข้าใกล้ฉันอีก ถ้าเธอไม่อยากเจ็บปวดไปชั่วชีวิต " ชายหนุ่มกล่าวเตือน ตามแผนเดิมเขาจะต้องทำให้อัมมาวดีเจ็บปวดโดยไม่สนว่าใครจะเดือดร้อน แต่หญิงสาวตรงหน้าคือคนที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ฝ่ามือร้อนไล้ใบหน้าสวยมาหยุดอยู่ตรงริมฝีปากอวบอิ่ม ดวงตาสีนิลสว่างวาบก่อนจะผลักคนตัวเล็กออกเล็กน้อย ผมที่ถูกเซตมาอย่างดีถูกเสยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ภาพของอดีตคนรักซ้อนทับอัมพิกาจนเขาเสียการควบคุม แววตาเย็นชาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดบาดลึกลงในใจ ความรู้สึกปวดหน่วงคอยบีบรัดหัวใจจนแทบจะบ้าเมื่อได้เห็นน้ำตาที่คลออยู่บนดวงตาคู่สวย " ทำไหมพี่ถึงเป็นแบบนี้ " ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา เขาเคยเป็นคนที่อ่อนโยน ใส่ใจ คอยดูแลเธอเหมือนเธอเป็นน้องสาวของเขา ตอนนี้เขาเหมือนคนแปลกหน้าที่เธอไม่เคยรู้จัก น้ำตาเอ่อล้นออกมาเป็นสายด้วยความเสียใจที่เขาเปลี่ยนไป ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้หรือพี่สาวของเธอทำให้เขาเจ็บปวดจนต้องสร้างกำแพงขึ้นแบบนี้ขิ้นมา "กลับไปซะ ! ฉันอยากอยู่คนเดียว " ชายหนุ่มหันหลังให้เธอ ยิ่งเขาเห็นเธอ ก็ยิ่งลังเล ไม่ได้อยากทำร้ายเธอ แต่ก็ไม่อาจปล่อยวางความแค้นในใจลงได้ จนกว่าอัมมาวดีและราฟีจะเจ็บปวดเหมือนที่เขาเคยเจ็บ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ในใจเขารู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก อีกมุมนึงของงาน ภายในห้องนอนที่ประดับด้วยผ้าม่านสีทอง และเครื่องไม้สักสีเข้ม แสงจากโคมไฟระย้ากระทบบนพื้นกระเบื้องหินอ่อน ศิลปะรูปปั้นโบราณถูกวางไว้บนพื้นห้องทั้งสามชิ้น ริมหน้าต่างถูกเปิดออกเผยให้เห็นสวนดอกไม้อยู่ด้านนอก กลิ่นหอมจากดอกกุหลาบและดอกมะลิส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ปราโมทย์ เชาฮาน นั่งอยู่คนโซฟาตรงปลายเตียงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ตรงหน้าเขามีร่างของคุณหมอหนุ่มยืนอยู่ " ไหนลองบอกเหตุผลดีๆสักข้อได้ไหม ว่าทำไมนายถึงต้องทำร้ายเธอ" ศานนท์พูดเสียงเย็น ปรายตามองเจ้าของห้องอย่างโกรธเคือง " ผู้ชายไม่ว่าจะโกรธสักแค่ไหน ต่อให้โกรธจะไม่มีสติก็ไม่ควรไปทำร้ายผู้หญิง โดยเฉพาะภรรยาของตัวเอง " คุณหมอหนุ่มยกมือขึ้นกอดอก พลางมองเพื่อนสนิทด้วยสายตาเชือดเฉือน ปราโมทย์ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เขาถูกเพื่อนสนิทอบรมบ่มนิสัยมาเกือบชั่วโมงแล้ว จนขี้หูออกมาเต้นระบำได้ " ฉันแค่โกรธ แค่..." " แค่? เหอะ!" ศานนท์พูดแทรกเสียงแข็ง " นายก็แค่โกรธจนขาดสติ จนทำร้ายเธอ...และความเจ็บปวดของกาญจีล่ะ ต้องให้เธอแบบรับคำว่า 'แค่โกรธ' ของนายไปจนถึงเมื่อไหร่นายถึงจะพอ ปราโมทย์" คุณหมอหนุ่มแทบจะพ่นไฟใส่เพื่อนสนิทได้อยู่แล้ว ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความโมโห " ฉันรู้ว่าฉันผิด แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันยังไง" หนุ่มใหญ่พูดเสียงแผ่ว มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ดวงตาสีสวยหม่นหมองด้วยความรู้สึกผิดและโกรธตัวเอง " ไม่รู้จะแก้ไขยังไง อยู่มาจนเกือบจะ 60 อยู่แล้ว นายยังไม่รู้อีกหรอว่าจะต้องทำยังไง แต่ก็เอาเถอะ นายมันเย็นชา เฉยชาอยู่แล้ว ปราโมทย์ ฉันจะบอกอะไรนายให้นะ ถึงนายจะไม่ได้รักเธอ แต่ก็ไม่ควรไปทำร้ายเธอแบบนั้น เธอเป็นภรรยา เป็นคู่ชีวิต แล้วก็เป็นแม่ของลูกนาย ได้โปรดให้เกียรติร่างกายและหัวใจของเธอ เข้าใจไหม " บรรยากาศในห้องหนักอึ้ง ความตึงเครียดถาโถมใส่เจ้าของห้อง ปราโมทย์นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา กดไปที่หมายเลขโทรศัพท์ที่คุ้นเคย ใช้เวลารอสายไม่นานเสียงจากปลายสายกระดังขึ้น ( ฮัลโหล) (ทัช ช่วยมารับศานนท์หน่อย) หนุ่มใหญ่บอกปลายสายด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า ( เขาจะฆ่าฉันอยู่แล้ว) เสียงหัวเราะดังขึ้นจากปลายสายอย่างขบขัน ( เขาคงด่าคุณมากกว่าที่จะฆ่าคุณอีกนะ เอาเป็นว่าผมจะรีบไปก็แล้วกัน) เมื่ออีกฝ่ายตอบตกลงปราโมทย์ก็วางสายไป สายตาเหลือบมองเพื่อนสนิทที่ยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาอาฆาต " เอาเป็นนายสอนฉันแค่นี้ก็แล้วกัน ทัชกำลังจะมารับนาย หวังว่านายคงไม่ด่าฉันจนเขามาถึงหรอกนะ" " นายนี่มัน..." ศานนท์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยใจ ไม่รู้ว่าเขาตาบอด หรือว่าถูกมนต์สะกดถึงได้มาเป็นเพื่อนกับคนเย็นชาเหมือนน้ำแข็งพันปีอย่างปราโมทย์ แต่ก็เอาเถอะ อุตส่าห์คบกันมาตั้ง 40 ปีแล้ว จะเลิกคบตอนนี้ก็คงไม่ได้ " ฉันต้องไปแล้ว ส่วนนายก็นั่งทบทวนความผิดของตัวเองอยู่ในห้อง ฉันจะไปรอด้านนอก" พูดจบคุณหมอหนุ่มก็เดินออกไปพร้อมกับชายคนรัก เหลือเพียงเจ้าของห้องนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ปราโมทย์ เชาฮาน เกิดมาในตระกูลชนชั้นราชปุตที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย เป็นตระกูลชนชั้นสูง ต้นตระกูลเป็นถึงนักรบเคียงบ่าเคียงไหล่พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ มีทั้งเกียรติยศและประวัติอันยาวนาน เขาจึงทระนงตน เย่อหยิ่ง เย็นชา งั้นก็พอชายหนุ่มเกิดมาเป็นความหวังของพ่อแม่ ตั้งแต่เล็กจนโตปราโมทย์ไม่เคยได้เที่ยวเล่นสนุกเหมือนคนอื่นๆ ตั้งแต่จำความได้เขาก็ต้องฝึกมารยาทของชนชั้นสูง ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว ไม่มีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตอิสระ เมื่อพ่อยกทุกอย่างให้เขา เขาก็เลยต้องรับผิดชอบงานมากขึ้น ชีวิตหลายชีวิตอยู่ในกำมือของเขาเพียงแค่จรดปลายปากกาลงบนแผ่นกระดาษ ส่วนกาญจีในตอนนั้นเธอเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย ที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับเขายังไม่มีทางเลือก ชีวิตคู่เริ่มขึ้นปราศจากความรัก พวกเขาใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันอยู่นับปี ก็มีลูกสาวคนแรกออกมา อัมมาวดี ที่หมายถึงแผ่นดินของแม่ ลูกสาวคนนี้พวกเขาคอยรักคอยทะนุถนอมเธอ แล้วค่อยประคับประคองดูแลภรรยา เวลาเธอเหนื่อยจากการเลี้ยงลูก และเหนื่อยจากการทำงานบ้าน ปราโมทย์ก็เลยสละเวลาจากการทำงานมาดูแลลูกสาวคนโตในช่วงเวลาที่ภรรยาพักผ่อน จนกระทั่งล่วงเลยเวลาไปหกปี ลูกสาวคนที่สองก็ถือกำเนิด อัมพิกา ชื่อนี้ปราโมทย์เป็นคนตั้งให้ หมายถึง หญิงแห่งสายน้ำ และ ผู้เป็นมารดา พวกเขาคอยประคับประคองลูกสาวทั้งสองจนเติบโตมาอย่างสวยงาม ในบางครั้งพวกเขาก็ขึ้นไปขอพรที่วิหารของมหาเทพเพื่อจะขอลูกชายสักคนให้มาสืบทอดธุรกิจของตระกูล แต่นานวันเข้าความหวังเขาก็เริ่มริบหรี่พร้อมทั้งอายุของภรรยาที่เพิ่มขึ้น จะล่วงเลยมายี่สิบแปดปี ปราโมทย์ก็เริ่มทำใจได้แล้วว่าธุรกิจของครอบครัวเขาจะเป็นคนบริหารมันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ส่วนลูกสาวทั้งสองเขาอยากให้ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ต้องแบกรับภาระอะไรมากมาย ชายหนุ่มจึงเก็บทุกอย่างไว้เพียงคนเดียว ทั้งปัญหาเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เขาไม่เคยบอกใคร มีก็เพียงแต่ภรรยาที่คอยสังเกต ใครนั่งอยู่ข้างๆให้กำลังใจ คอยทำอาหารแสนอร่อย ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ได้คุยกันมากนักทว่าพวกเขากลับเข้าใจกันมากกว่าที่คิด ชีวิตคู่ที่แสนเรียบง่ายมาตลอดยี่สิบเก้าปี ไม่อาจเรียกว่ารักดั่งคนรักทั่วไป หากแต่ผูกพันกันดั่งเช่นคนในครอบครัว __________ เกร็ดน่าอ่าน ราชปุต (จากสันสกฤต ราชบุตร) เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ หลายองค์ประกอบ ที่ประกอบด้วยชนชั้นวรรณะ, เครือสายคณาญาติ และกลุ่มท้องถิ่น ที่มีจุดร่วมคือสถานะทางสังคมและการเป็นผู้สืบเชื้อสายทางวงศ์วานมาจากอนุทวีปอินเดีย คำว่าราชปุตรวมถึงเผ่าวงศ์ตระกูลทางบิดา ที่ซึ่งในอดีตมีความเกี่ยวโยงกับความเป็นนักรบ แหล่งข้อมูล : G****eห้าปีก่อน เสียงเพลงพื้นเมืองดังก้องไปทั่วบริเวณงาน ผู้คนสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสร่วมขบวนแห่ที่คึกคัก เทศกาลแกงการาเป็นการเฉลิมฉลองให้กับพระอิศวรและพระแม่ปารวตี เทพเจ้าแห่งความรักและความสมบูรณ์ในชีวิตแต่งงานศิวะ อัคราวัล ชายหนุ่มในวัยสามสิบปี เจ้าของธุรกิจที่กำลังเติบโต มองผู้คนรอบตัวด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขามางานเทศกาลนี้เพียงเพื่อมอบทุนสนับสนุนในนามบริษัทของครอบครัว งานที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาไม่ได้มีความหมายสำหรับเขามากนัก... จนกระทั่งเขาได้เห็นเธอกลางขบวนแห่ หญิงสาวในชุดส่าหรีสีแดงประดับทองอร่ามเดินถือหม้อน้ำที่ตกแต่งอย่างงดงาม บนใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้มที่สดใส เส้นผมดำยาวพริ้วไหวตามสายลม เธอดูราวกับเทพธิดาที่ก้าวลงมาจากสรวงสวรรค์ศิวะมองเธอราวกับถูกดึงดูด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาไม่อาจละสายตาได้"ระวัง!" เสียงของเขาดังขึ้นเมื่อหม้อน้ำในมือของหญิงสาวทำท่าจะหลุดจากศีรษะเขาก้าวเข้าไปคว้าหม้อน้ำไว้ทันเวลา ก่อนที่มันจะตกลงพื้น"ขอบคุณค่ะ..." เสียงของเธอนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา คนแปลกหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือเธอ และรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเธอก็ทำให้หัวใจของศิวะเต้นแรง"ค
3 เดือนก่อนหน้านั้น บ้านตระกูลเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระบ้านตระกูลเชาฮานตั้งอยู่ใจกลางเมืองชัยปุระ ตัวบ้านเป็นอาคารสไตล์ราชสถานแท้ ๆ ผนังสีชมพูตกแต่งด้วยลวดลายแกะสลักประณีต หน้าบ้านมีสวนขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้สีสันสดใส น้ำพุหินอ่อนกลางสวนส่งเสียงเบา ๆ ช่วยเพิ่มความร่มรื่นภายในบ้าน ห้องโถงใหญ่ประดับโคมไฟระย้าคริสตัล พื้นหินอ่อนเย็นเฉียบสะท้อนภาพเพดานสูงที่ตกแต่งด้วยลวดลายศิลปะโบราณในห้องนั่งเล่น หญิงสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายข้างหน้าต่าง เธออยู่ในชุดส่าหรีสีฟ้าอ่อนที่ประดับด้วยดิ้นเงิน ผมยาวตรงของเธอถูกปล่อยลงมาคลอเคลียไหล่ ใบหน้าเรียวเล็กของเธอแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตากลมโตเปล่งประกายคล้ายสะท้อนแสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่าน"อามิ! มาช่วยแม่จัดโต๊ะหน่อยลูก" เสียงเรียกของคุณนายเชาฮานดังขึ้นจากห้องอาหาร"ค่ะ คุณแม่!" อามิหรือ อัมพิกาตอบรับอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปช่วยแม่โต๊ะอาหารยาวถูกปูด้วยผ้าลินินสีขาวสะอาดตา บนโต๊ะมีจานชามที่จัดเรียงอย่างประณีต พร้อมดอกไม้สดที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงามอัมพิกาช่วยแม่จัดช้อนส้อมและแก้วน้ำ เธอทำงานด้วยความคล่องแคล่ว"คืนนี้พวกเราต้
กลับมาที่ปัจจุบันหญิงสาวในชุดส่าหรีสีฟ้ากลับเข้ามาในบ้าน ร่างเพรียวเดินเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ ในใจมีแต่ความรู้สึกผิด ที่เธอได้ทำผิดต่อคนรัก " พี่อามู พี่เป็นอะไร" "อามิ...พี่" อัมมาวดีลังเลที่จะพูดเพราะเธอรู้ว่าน้องสาวของเธอนั้นเคารพศิวะเหมือนดั่งพี่ชายแท้ๆ "คะ?." "พี่กับศิวะเราเลิกกันแล้ว" "ฮะ.." ในที่สุดอัมมาวดีก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้น้องสาวฟังรวมไปถึงเรื่องที่เธอแอบคบหาราฟีตอนที่ยังคบกับศิวะอยู่ด้วย "พี่อามู! พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง...พี่บอกเลิกพี่ศิวะเพื่อไปคบกับผู้ชายที่เพิ่งเจอได้ยังไง" อัมพิกาโวยวายเสียงดัง"อามิ ฟังพี่ก่อน พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด ราฟีไม่ใช่คนเลว เขาทำให้พี่รู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย""แล้วพี่ศิวะล่ะคะ" "พี่ไม่ได้รักเขาแล้ว อีกอย่างพวกเราก็ไม่เหมาะสมกัน" อัมพิกายืนนิ่งไปชั่วขณะหลังจากได้ยินคำพูดของพี่สาว น้ำเสียงที่แฝงความแน่วแน่ของอัมมาวดีสะท้อนถึงการตัดสินใจที่ชัดเจน ทว่าในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง“พี่อามู...พี่เคยคิดถึงความรู้สึกของพี่ศิวะบ้างไหมคะ? ผู้ชายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อพี่...”น้ำเสียงของอัมพิกาแผ่วลง ดวงตาคู่สวยฉายแววผิดหวัง หญิงสาวไม่เคยเลยว
แสงดวงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบพื้นผิวน้ำทะเล เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งช่างเงียบสงบและไพเราะ สายลมพัดเข้ามากระทบผ้าม่านสีขาวผื่นบางพริ้วไสวตามสายลม ทว่า....มันไม่ได้ช่วยดับแรงโทสะของเจ้าบ้านเลยสักนิด เพี๊ยะ! ฝ่ามือใหญ่ของเจ้าบ้านฟาดลงไปบนแก้มภรรยาอย่างแรง "แม่!!" " คุณสั่งสอนลูกยังไง ให้มันหลงผู้ชายขนาดนี้!! " เสียงกัมปนาทราวกับพายุตลาดลั่นใส่ภรรยา เหล่าคนงานในบ้านต่างแตกตื่นตกใจเมื่อคุณผู้หญิงของบ้านถูกทำร้าย "มันไม่แหกตาดูหน่อยเหรอ! ว่าผู้ชายคนนั้นมันคนละศาสนากับเรา!!" อัมพิกาก้าวออกจากห้องของตนหลังได้ยินเสียงโต้เถียงดังมาจากห้องโถง เธอสวมชุดส่าหรีสีขาวงาช้างลวดลายปักด้วยดิ้นทองละเอียดอ่อน ชายส่าหรีพลิ้วไหวตามจังหวะก้าวเดิน ผมสีดำขลับถูกรวบไว้หลวมๆ มีปอยผมเล็กๆร่วงหล่นคลอเคลียกับแก้มสีชมพูอ่อนที่ถูกแต่งแต้มด้วยบลัชออน มือเรียวยกชายส่าหรีขึ้นเล็กน้อยก่อนเร่งฝีเท้า หัวใจเต้นระรัวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนัก ดวงตาสีน้ำผึ้งจับจ้องไปยังภาพตรงหน้าราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนเมื่อ ปราโมทย์ เชาฮาน บิดาของเธอกำลังตะคอกใส่มารดาเธออย่างรุนแรง มือหนาของเขาตบลงโต๊ะด้านหน้าเสียงดังสนั่น ตรงพวงแก
บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระ บรรยากาศยามเย็นในบ้านเชาฮานเต็มไปด้วยความเงียบงันและอึมครึม หลังจากเหตุการณ์ทะเลาะกันเมื่อช่วงสาย อัมพิกายังคงเป็นกังวลเรื่องอาการของมารดา แม้ว่าแม่ของเธอจะยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก แต่แววตาที่ดูอ่อนล้าของกาญจีกลับทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ"แม่นั่งพักตรงนี้ก่อนนะคะ" หญิงสาวบอกกับมารดาก่อนจะตัดสินใจโทรหาคุณหมอประจำตระกูล "หมอศานนท์ ปัทมกุล" ชายวัยกลางคนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการรักษา และยังเป็นคนที่ครอบครัวเชาฮานไว้ใจมาอย่างยาวนาน( ฮัลโหล) เสียงแหบทุ้มดังขึ้นจากปลายสาย ( สวัสดีค่ะ คุณลุง หนูเองค่ะ อัมพิกา ) ( คุณลุงคะ คุณลุงช่วยมาตรวจดูคุณแม่ให้หนูหน่อยได้ไหมคะ พอดีว่าคุณแม่ท่านเป็นลมน่ะคะ ) ( ได้สิ เดี๋ยวอีกสักพักลุงเข้าไปนะ ) ( ค่ะคุณลุง ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ) พูดจบเธอก็ตัดสายไป อัมพิกาเดินเข้ามาดูกาญจีที่นั่งอ่อนแรงอยู่ในห้องนั่งเล่น" เป็นยังไงบ้างคะแม่ " " แม่ไม่เป็นอะไร อีกสักพักแม่ก็หาย" เสียงอ่อนแรงของมารดาทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น กาญจีเอามือไปแตะมือลูกสาวเบาๆ เธอไม่อยากให้ลูกสาวต้องเป็นกังวลเพราะเธอ " อามิ เชื่อแม่นะลูก " " ไม่เชื่อได
ภายในคฤหาสน์ตระกูลเชาฮาน ที่ตกแต่งด้วยผ้าไหมสีทองและแดงเข้ม ประดับด้วยดอกไม้หลากสีเรียงรายตลอดแนวระเบียง กลิ่นกำยานอ่อนๆ หอมอบอวลทั่วงานโถงใหญ่ แสงไฟจากโคมระย้ากระทบกับเครื่องประดับอันหรูหรา สร้างบรรยากาศอันโอ่อ่าศิวะปรากฏตัวในชุดโจฎปุรีประดับลวดลายทองอันวิจิตร บ่งบอกถึงความสง่างามและฐานะที่น่าเกรงขาม เสื้อคลุมของเขาถักทอด้วยผ้าชั้นดีตัดเย็บอย่างประณีต มีลวดลายราชสีห์อันทรงอำนาจ เขาก้าวเข้ามาในงานอย่างสง่าผ่าเผย ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาที่หน้าทางเข้างาน อัมมาวดีและอัมพิกา ลูกสาวทั้งสองของตระกูลเชาฮาน ยืนต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้มอัมมาวดีอยู่ในชุดส่าหรีสีแดงเข้มปักลายทองละเอียดอ่อน ผ้าอาภรณ์สะท้อนแสงไฟระยิบระยับ ทรงผมเกล้ามวยสูง ตกแต่งด้วยดอกมะลิสดและจิวเวลรีที่ทำจากเพชรน้ำงาม ดูงดงามราวกับนางพญาอัมพิกาแต่งกายในชุดเลเฮนกาสีชมพูพีชประดับด้วยงานปักสีเงิน เสื้อครอปเข้ารูปเผยให้เห็นความอ่อนหวานของวัยสาว เธอประดับสร้อยคอพลอยสีชมพูเข้ากับต่างหูระย้าเข้ากับดวงตาสีน้ำผึ้งประกายสดใสของเธอ สองพี่น้องยืนเคียงกันเป็นภาพที่งดงามประหนึ่งนางเทพีแห่งความงามประจำค่ำคืน สร้างความประทับใจให้แขกเหรื่อที่เ
บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระ บรรยากาศยามเย็นในบ้านเชาฮานเต็มไปด้วยความเงียบงันและอึมครึม หลังจากเหตุการณ์ทะเลาะกันเมื่อช่วงสาย อัมพิกายังคงเป็นกังวลเรื่องอาการของมารดา แม้ว่าแม่ของเธอจะยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก แต่แววตาที่ดูอ่อนล้าของกาญจีกลับทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ"แม่นั่งพักตรงนี้ก่อนนะคะ" หญิงสาวบอกกับมารดาก่อนจะตัดสินใจโทรหาคุณหมอประจำตระกูล "หมอศานนท์ ปัทมกุล" ชายวัยกลางคนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการรักษา และยังเป็นคนที่ครอบครัวเชาฮานไว้ใจมาอย่างยาวนาน( ฮัลโหล) เสียงแหบทุ้มดังขึ้นจากปลายสาย ( สวัสดีค่ะ คุณลุง หนูเองค่ะ อัมพิกา ) ( คุณลุงคะ คุณลุงช่วยมาตรวจดูคุณแม่ให้หนูหน่อยได้ไหมคะ พอดีว่าคุณแม่ท่านเป็นลมน่ะคะ ) ( ได้สิ เดี๋ยวอีกสักพักลุงเข้าไปนะ ) ( ค่ะคุณลุง ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ) พูดจบเธอก็ตัดสายไป อัมพิกาเดินเข้ามาดูกาญจีที่นั่งอ่อนแรงอยู่ในห้องนั่งเล่น" เป็นยังไงบ้างคะแม่ " " แม่ไม่เป็นอะไร อีกสักพักแม่ก็หาย" เสียงอ่อนแรงของมารดาทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น กาญจีเอามือไปแตะมือลูกสาวเบาๆ เธอไม่อยากให้ลูกสาวต้องเป็นกังวลเพราะเธอ " อามิ เชื่อแม่นะลูก " " ไม่เชื่อได
แสงดวงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบพื้นผิวน้ำทะเล เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งช่างเงียบสงบและไพเราะ สายลมพัดเข้ามากระทบผ้าม่านสีขาวผื่นบางพริ้วไสวตามสายลม ทว่า....มันไม่ได้ช่วยดับแรงโทสะของเจ้าบ้านเลยสักนิด เพี๊ยะ! ฝ่ามือใหญ่ของเจ้าบ้านฟาดลงไปบนแก้มภรรยาอย่างแรง "แม่!!" " คุณสั่งสอนลูกยังไง ให้มันหลงผู้ชายขนาดนี้!! " เสียงกัมปนาทราวกับพายุตลาดลั่นใส่ภรรยา เหล่าคนงานในบ้านต่างแตกตื่นตกใจเมื่อคุณผู้หญิงของบ้านถูกทำร้าย "มันไม่แหกตาดูหน่อยเหรอ! ว่าผู้ชายคนนั้นมันคนละศาสนากับเรา!!" อัมพิกาก้าวออกจากห้องของตนหลังได้ยินเสียงโต้เถียงดังมาจากห้องโถง เธอสวมชุดส่าหรีสีขาวงาช้างลวดลายปักด้วยดิ้นทองละเอียดอ่อน ชายส่าหรีพลิ้วไหวตามจังหวะก้าวเดิน ผมสีดำขลับถูกรวบไว้หลวมๆ มีปอยผมเล็กๆร่วงหล่นคลอเคลียกับแก้มสีชมพูอ่อนที่ถูกแต่งแต้มด้วยบลัชออน มือเรียวยกชายส่าหรีขึ้นเล็กน้อยก่อนเร่งฝีเท้า หัวใจเต้นระรัวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนัก ดวงตาสีน้ำผึ้งจับจ้องไปยังภาพตรงหน้าราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนเมื่อ ปราโมทย์ เชาฮาน บิดาของเธอกำลังตะคอกใส่มารดาเธออย่างรุนแรง มือหนาของเขาตบลงโต๊ะด้านหน้าเสียงดังสนั่น ตรงพวงแก
กลับมาที่ปัจจุบันหญิงสาวในชุดส่าหรีสีฟ้ากลับเข้ามาในบ้าน ร่างเพรียวเดินเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ ในใจมีแต่ความรู้สึกผิด ที่เธอได้ทำผิดต่อคนรัก " พี่อามู พี่เป็นอะไร" "อามิ...พี่" อัมมาวดีลังเลที่จะพูดเพราะเธอรู้ว่าน้องสาวของเธอนั้นเคารพศิวะเหมือนดั่งพี่ชายแท้ๆ "คะ?." "พี่กับศิวะเราเลิกกันแล้ว" "ฮะ.." ในที่สุดอัมมาวดีก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้น้องสาวฟังรวมไปถึงเรื่องที่เธอแอบคบหาราฟีตอนที่ยังคบกับศิวะอยู่ด้วย "พี่อามู! พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง...พี่บอกเลิกพี่ศิวะเพื่อไปคบกับผู้ชายที่เพิ่งเจอได้ยังไง" อัมพิกาโวยวายเสียงดัง"อามิ ฟังพี่ก่อน พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด ราฟีไม่ใช่คนเลว เขาทำให้พี่รู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย""แล้วพี่ศิวะล่ะคะ" "พี่ไม่ได้รักเขาแล้ว อีกอย่างพวกเราก็ไม่เหมาะสมกัน" อัมพิกายืนนิ่งไปชั่วขณะหลังจากได้ยินคำพูดของพี่สาว น้ำเสียงที่แฝงความแน่วแน่ของอัมมาวดีสะท้อนถึงการตัดสินใจที่ชัดเจน ทว่าในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง“พี่อามู...พี่เคยคิดถึงความรู้สึกของพี่ศิวะบ้างไหมคะ? ผู้ชายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อพี่...”น้ำเสียงของอัมพิกาแผ่วลง ดวงตาคู่สวยฉายแววผิดหวัง หญิงสาวไม่เคยเลยว
3 เดือนก่อนหน้านั้น บ้านตระกูลเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระบ้านตระกูลเชาฮานตั้งอยู่ใจกลางเมืองชัยปุระ ตัวบ้านเป็นอาคารสไตล์ราชสถานแท้ ๆ ผนังสีชมพูตกแต่งด้วยลวดลายแกะสลักประณีต หน้าบ้านมีสวนขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้สีสันสดใส น้ำพุหินอ่อนกลางสวนส่งเสียงเบา ๆ ช่วยเพิ่มความร่มรื่นภายในบ้าน ห้องโถงใหญ่ประดับโคมไฟระย้าคริสตัล พื้นหินอ่อนเย็นเฉียบสะท้อนภาพเพดานสูงที่ตกแต่งด้วยลวดลายศิลปะโบราณในห้องนั่งเล่น หญิงสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายข้างหน้าต่าง เธออยู่ในชุดส่าหรีสีฟ้าอ่อนที่ประดับด้วยดิ้นเงิน ผมยาวตรงของเธอถูกปล่อยลงมาคลอเคลียไหล่ ใบหน้าเรียวเล็กของเธอแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตากลมโตเปล่งประกายคล้ายสะท้อนแสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่าน"อามิ! มาช่วยแม่จัดโต๊ะหน่อยลูก" เสียงเรียกของคุณนายเชาฮานดังขึ้นจากห้องอาหาร"ค่ะ คุณแม่!" อามิหรือ อัมพิกาตอบรับอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปช่วยแม่โต๊ะอาหารยาวถูกปูด้วยผ้าลินินสีขาวสะอาดตา บนโต๊ะมีจานชามที่จัดเรียงอย่างประณีต พร้อมดอกไม้สดที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงามอัมพิกาช่วยแม่จัดช้อนส้อมและแก้วน้ำ เธอทำงานด้วยความคล่องแคล่ว"คืนนี้พวกเราต้
ห้าปีก่อน เสียงเพลงพื้นเมืองดังก้องไปทั่วบริเวณงาน ผู้คนสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสร่วมขบวนแห่ที่คึกคัก เทศกาลแกงการาเป็นการเฉลิมฉลองให้กับพระอิศวรและพระแม่ปารวตี เทพเจ้าแห่งความรักและความสมบูรณ์ในชีวิตแต่งงานศิวะ อัคราวัล ชายหนุ่มในวัยสามสิบปี เจ้าของธุรกิจที่กำลังเติบโต มองผู้คนรอบตัวด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขามางานเทศกาลนี้เพียงเพื่อมอบทุนสนับสนุนในนามบริษัทของครอบครัว งานที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาไม่ได้มีความหมายสำหรับเขามากนัก... จนกระทั่งเขาได้เห็นเธอกลางขบวนแห่ หญิงสาวในชุดส่าหรีสีแดงประดับทองอร่ามเดินถือหม้อน้ำที่ตกแต่งอย่างงดงาม บนใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้มที่สดใส เส้นผมดำยาวพริ้วไหวตามสายลม เธอดูราวกับเทพธิดาที่ก้าวลงมาจากสรวงสวรรค์ศิวะมองเธอราวกับถูกดึงดูด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาไม่อาจละสายตาได้"ระวัง!" เสียงของเขาดังขึ้นเมื่อหม้อน้ำในมือของหญิงสาวทำท่าจะหลุดจากศีรษะเขาก้าวเข้าไปคว้าหม้อน้ำไว้ทันเวลา ก่อนที่มันจะตกลงพื้น"ขอบคุณค่ะ..." เสียงของเธอนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา คนแปลกหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือเธอ และรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเธอก็ทำให้หัวใจของศิวะเต้นแรง"ค