ภายในคฤหาสน์ตระกูลเชาฮาน ที่ตกแต่งด้วยผ้าไหมสีทองและแดงเข้ม ประดับด้วยดอกไม้หลากสีเรียงรายตลอดแนวระเบียง กลิ่นกำยานอ่อนๆ หอมอบอวลทั่วงานโถงใหญ่ แสงไฟจากโคมระย้ากระทบกับเครื่องประดับอันหรูหรา สร้างบรรยากาศอันโอ่อ่า
ศิวะปรากฏตัวในชุดโจฎปุรีประดับลวดลายทองอันวิจิตร บ่งบอกถึงความสง่างามและฐานะที่น่าเกรงขาม เสื้อคลุมของเขาถักทอด้วยผ้าชั้นดีตัดเย็บอย่างประณีต มีลวดลายราชสีห์อันทรงอำนาจ เขาก้าวเข้ามาในงานอย่างสง่าผ่าเผย ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา ที่หน้าทางเข้างาน อัมมาวดีและอัมพิกา ลูกสาวทั้งสองของตระกูลเชาฮาน ยืนต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้ม อัมมาวดีอยู่ในชุดส่าหรีสีแดงเข้มปักลายทองละเอียดอ่อน ผ้าอาภรณ์สะท้อนแสงไฟระยิบระยับ ทรงผมเกล้ามวยสูง ตกแต่งด้วยดอกมะลิสดและจิวเวลรีที่ทำจากเพชรน้ำงาม ดูงดงามราวกับนางพญา อัมพิกาแต่งกายในชุดเลเฮนกาสีชมพูพีชประดับด้วยงานปักสีเงิน เสื้อครอปเข้ารูปเผยให้เห็นความอ่อนหวานของวัยสาว เธอประดับสร้อยคอพลอยสีชมพูเข้ากับต่างหูระย้าเข้ากับดวงตาสีน้ำผึ้งประกายสดใสของเธอ สองพี่น้องยืนเคียงกันเป็นภาพที่งดงามประหนึ่งนางเทพีแห่งความงามประจำค่ำคืน สร้างความประทับใจให้แขกเหรื่อที่เดินผ่านไปมา ทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า อัมมาวดีถึงกับชะงักไปเพราะไม่คิดว่าอดีตคนรักจะมางานนี้ " ศิวะ ไม่คิดว่าคุณจะมานะคะ ยินดีต้อนรับค่ะ" น้ำเสียงจืดชืดถูกมอบให้กับอดีตคนรัก รอยยิ้มที่ฝืดเคืองปรากฏขึ้นบนใบหน้า ตรงข้ามกับอดีตคนรักอย่างศิวะที่กำลังยิ้มบางๆให้พวกเธอ " พวกเรารู้จักกันมานาน ทำไมผมจะมาไม่ได้ล่ะครับ อีกอย่างพ่อของทุกคนเป็นคนเชิญผมเอง ผมก็ต้องให้เกียรติมางานนี้" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ติดขัด พลางต้องมองใบหน้าสละสวยของอดีตคนรัก ดวงตาคมวูบไหวชั่วขณะหนึ่ง ในใจของเขาก็รู้สึกคะนึงหา เจ็บปวดและเคียดแค้น ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยซ่อนความรู้สึกมากมายไว้ข้างใน สายตาของแขกในงานต่างจ้องมองมายังทั้งสองพลางซุบซิบกันอย่างออกรถ " นี่ ได้ข่าวว่าลูกสาวคนโตบ้านนี้หักอกคุณศิวะ แล้วไม่มีคนอื่นนะเธอ " " จริงหรอ คบกันมาตั้ง 5 ปี คิดว่าจะมีข่าวดีกันแล้วนะเนี่ย " " จริงเธอ " เสียงซุบซิบดังขึ้นรอบด้านของทั้งสามคน แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้สนใจเสียงรอบข้างเลยสักนิด " คุณดูเปลี่ยนไปมากนะคะ ศิวะ " เสียงของอัมมาวดีกล่าวขึ้นอย่างเคร่งเครียด เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นข้างของเธอจนหญิงสาวแทบมุดดินหนี " เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน การจมอยู่กับอดีตมันไม่ได้ช่วยอะไร เธอไม่คิดแบบนั้นหรออามู " ชายหนุ่มต้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ คำพูดและรอยยิ้มของชายหนุ่มกรีดลึกเข้าไปในใจ หญิงสาวพยายามรักษาท่าทีเรียบเฉยเอาไว้ ทว่าในใจกลับร้อนรุ่ม ท่าทางของอดีตคนรักผิดแปลกไปทำให้เธอรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ " อ้าว...คุณศิวะ " เสียงของราฟี เชค ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มเดินเข้ามาจากทางด้านหลังของสองสาว พลางใช้มือโอบไหล่ของคนรักเอาไว้อย่างอ่อนโยน "ยินดีต้อนรับเข้าสู่งานครับ ไม่คิดว่าคุณจะมานะ" ศิวะแสยะยิ้มออกมา แววตาคมกริบจ้องมองการกระทำนั้นด้วยสายตาดุดัน ยิ่งเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าเขาก็ยิ่งรู้สึกแค้นเคืองมากขึ้น ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไร เขาเดินผ่านสองคู่รักไปอย่างไม่แยแสทว่าในใจของเขากลับเดือดพล่านด้วยเพลิงแค้นที่สุมอยู่ในใจ อัมพิกาหันมองตามร่างสูงของศิวะไปด้วยความไม่สบายใจ ดวงตาคู่สวยฉายแววความกังวล เธอมองพี่สาวสลับกับแผ่นหลังของร่างสูง ก่อนที่จะตัดสินใจเดินตามคนพี่ไปด้วยความเป็นห่วงคนที่เธอเคารพดุจดั่งพี่ชาย " อามิ! จะไปไหนน่ะ! " เสียงร้องเรียกของพี่สาวไล่ตามหลังเธอ ทว่าอัมพิกากลับไม่สนใจเลยสักนิด เธอเป็นห่วงชายหนุ่มตรงหน้ามากกว่า ศิวะเดินออกมาไกลถึงระเบียงด้านนอก เขายืนมองวิวทะเลนิ่ง ภาพทั้งสองโอบกอดกันทำเอาหัวใจเขาบีบรัดด้วยความเจ็บปวด ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน พวกเขาดูมีความสุขกันมากขณะที่เขาต้องอยู่กับความเจ็บปวดทุกวี่ทุกวัน ยิ่งคิด...ก็ยิ่งแค้นเคือง.. "พี่คะ! " หญิงสาววิ่งตามหลังชายหนุ่มมายังระเบียงด้านนอก ร่างสูงใหญ่ยืนมองวิวทะเล สายลมอ่อนๆพัดผ่านร่างกายทว่าหัวใจเธอกลับร้อนรนราวกับโดนเผา อัมพิกาเดินเข้ามาหาชายหนุ่มจากทางด้านหลัง แผ่นหลังกว้างดูทระนง อ้างว้าง โดดเดี่ยวจนเธอรู้สึกเจ็บที่เขาต้องเจ็บปวดเพราะการกระทำของพี่สาวเธอ " พี่คะ เป็นอะไรไหมคะ" หญิงสาวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงพลางเอามือแตะแขนอีกฝ่ายเบาๆ ทว่าฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มกลับรวบข้อมือเธอเอาไว้ สายตาดุดันมองหญิงสาวด้วยความเดือดดาล ใบหน้าสวยที่ละม้ายคล้ายคลึงพี่สาว ยกเว้นดวงตาสีน้ำผึ้งสวยกำลังมองเขาด้วยความเป็นห่วง " เป็นอะไรไหมหรอ หึ!.. " ชายหนุ่มหัวเราะเย้ยหยันในลำคอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทว่า...แววตาสีนิลกลับสั่นไหวราวกับซ่อนอะไรไว้ ศิวะปล่อยมือเธออย่างแรง " กลับไปซะ ฉันอยากอยู่คนเดียว" ข้อมือบางขึ้นรอยแดงจากการบีบ แต่เธอกลับเจ็บปวดในใจมากกว่า เพราะท่าทาง คำพูด และน้ำเสียงของชายหนุ่มช่างดูห่างเหิน เขาเปลี่ยนไปราวกับคนละคน " แต่ฉันเป็นห่วงพี่นะคะ " "เป็นห่วง ? เธอนะหรอ? อยากปลอบใจฉันงั้นสิ" ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามก่อนจะใช้สายตากวาดมองทั่วเรือนร่างของหญิงสาวอย่างหยาบโลน ฝ่ามือปัดปอยผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายออก ก่อนจะเลื่อนมือไปโอบเอวบางแล้วดึงเข้าหาตัวเองอย่างแรง รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วโน้มหน้าเข้าใกล้เธอ ใบหน้าของเขาห่างกับใบหน้าของเธอเพียงคืบเดียว "พี่จะทำอะไรคะ.?" อัมพิกาในเวลานี้หวาดกลัวชายหนุ่มเป็นอย่างมาก ฝ่ามือบางพยายามดันหน้าอกของอีกฝ่ายออก แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะร่างกายสูงใหญ่ของศิวะต่างจากร่างกายของเธอมาก " ปล่อยนะคะ " หญิงสาวพยายามดันร่างกายของอีกฝ่ายออกไปอย่างสุดแรง แต่เขาก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย " ทำไม อยากปลอบไม่ใช้หรอ" น้ำเสียงทุ้มต่ำกระซิบลงข้างหู ฝ่ามือบีบเอวบางอย่างหยอกล้อ แต่เธอไม่สนุกด้วย! " พี่เป็นอะไรไปคะ " คนตรงหน้าเธอเปลี่ยนไปเยอะมาก จากคนที่อ่อนโยนแสนดีเป็นคนหยาบคาย แข็งกระด้าง พี่เขาไม่ใช่คนเดิมที่เธอเคยรู้จัก " ปล่อยนะคะ " หญิงสาวดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของคนตรงหน้า จนเขาต้องกระชับอ้อมกอดแน่น " อย่าเข้าใกล้ฉันอีก ถ้าเธอไม่อยากเจ็บปวดไปชั่วชีวิต " ชายหนุ่มกล่าวเตือน ตามแผนเดิมเขาจะต้องทำให้อัมมาวดีเจ็บปวดโดยไม่สนว่าใครจะเดือดร้อน แต่หญิงสาวตรงหน้าคือคนที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ฝ่ามือร้อนไล้ใบหน้าสวยมาหยุดอยู่ตรงริมฝีปากอวบอิ่ม ดวงตาสีนิลสว่างวาบก่อนจะผลักคนตัวเล็กออกเล็กน้อย ผมที่ถูกเซตมาอย่างดีถูกเสยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ภาพของอดีตคนรักซ้อนทับอัมพิกาจนเขาเสียการควบคุม แววตาเย็นชาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดบาดลึกลงในใจ ความรู้สึกปวดหน่วงคอยบีบรัดหัวใจจนแทบจะบ้าเมื่อได้เห็นน้ำตาที่คลออยู่บนดวงตาคู่สวย " ทำไหมพี่ถึงเป็นแบบนี้ " ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา เขาเคยเป็นคนที่อ่อนโยน ใส่ใจ คอยดูแลเธอเหมือนเธอเป็นน้องสาวของเขา ตอนนี้เขาเหมือนคนแปลกหน้าที่เธอไม่เคยรู้จัก น้ำตาเอ่อล้นออกมาเป็นสายด้วยความเสียใจที่เขาเปลี่ยนไป ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้หรือพี่สาวของเธอทำให้เขาเจ็บปวดจนต้องสร้างกำแพงขึ้นแบบนี้ขิ้นมา "กลับไปซะ ! ฉันอยากอยู่คนเดียว " ชายหนุ่มหันหลังให้เธอ ยิ่งเขาเห็นเธอ ก็ยิ่งลังเล ไม่ได้อยากทำร้ายเธอ แต่ก็ไม่อาจปล่อยวางความแค้นในใจลงได้ จนกว่าอัมมาวดีและราฟีจะเจ็บปวดเหมือนที่เขาเคยเจ็บ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ในใจเขารู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก อีกมุมนึงของงาน ภายในห้องนอนที่ประดับด้วยผ้าม่านสีทอง และเครื่องไม้สักสีเข้ม แสงจากโคมไฟระย้ากระทบบนพื้นกระเบื้องหินอ่อน ศิลปะรูปปั้นโบราณถูกวางไว้บนพื้นห้องทั้งสามชิ้น ริมหน้าต่างถูกเปิดออกเผยให้เห็นสวนดอกไม้อยู่ด้านนอก กลิ่นหอมจากดอกกุหลาบและดอกมะลิส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ปราโมทย์ เชาฮาน นั่งอยู่คนโซฟาตรงปลายเตียงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ตรงหน้าเขามีร่างของคุณหมอหนุ่มยืนอยู่ " ไหนลองบอกเหตุผลดีๆสักข้อได้ไหม ว่าทำไมนายถึงต้องทำร้ายเธอ" ศานนท์พูดเสียงเย็น ปรายตามองเจ้าของห้องอย่างโกรธเคือง " ผู้ชายไม่ว่าจะโกรธสักแค่ไหน ต่อให้โกรธจะไม่มีสติก็ไม่ควรไปทำร้ายผู้หญิง โดยเฉพาะภรรยาของตัวเอง " คุณหมอหนุ่มยกมือขึ้นกอดอก พลางมองเพื่อนสนิทด้วยสายตาเชือดเฉือน ปราโมทย์ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เขาถูกเพื่อนสนิทอบรมบ่มนิสัยมาเกือบชั่วโมงแล้ว จนขี้หูออกมาเต้นระบำได้ " ฉันแค่โกรธ แค่..." " แค่? เหอะ!" ศานนท์พูดแทรกเสียงแข็ง " นายก็แค่โกรธจนขาดสติ จนทำร้ายเธอ...และความเจ็บปวดของกาญจีล่ะ ต้องให้เธอแบบรับคำว่า 'แค่โกรธ' ของนายไปจนถึงเมื่อไหร่นายถึงจะพอ ปราโมทย์" คุณหมอหนุ่มแทบจะพ่นไฟใส่เพื่อนสนิทได้อยู่แล้ว ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความโมโห " ฉันรู้ว่าฉันผิด แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันยังไง" หนุ่มใหญ่พูดเสียงแผ่ว มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ดวงตาสีสวยหม่นหมองด้วยความรู้สึกผิดและโกรธตัวเอง " ไม่รู้จะแก้ไขยังไง อยู่มาจนเกือบจะ 60 อยู่แล้ว นายยังไม่รู้อีกหรอว่าจะต้องทำยังไง แต่ก็เอาเถอะ นายมันเย็นชา เฉยชาอยู่แล้ว ปราโมทย์ ฉันจะบอกอะไรนายให้นะ ถึงนายจะไม่ได้รักเธอ แต่ก็ไม่ควรไปทำร้ายเธอแบบนั้น เธอเป็นภรรยา เป็นคู่ชีวิต แล้วก็เป็นแม่ของลูกนาย ได้โปรดให้เกียรติร่างกายและหัวใจของเธอ เข้าใจไหม " บรรยากาศในห้องหนักอึ้ง ความตึงเครียดถาโถมใส่เจ้าของห้อง ปราโมทย์นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา กดไปที่หมายเลขโทรศัพท์ที่คุ้นเคย ใช้เวลารอสายไม่นานเสียงจากปลายสายกระดังขึ้น ( ฮัลโหล) (ทัช ช่วยมารับศานนท์หน่อย) หนุ่มใหญ่บอกปลายสายด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า ( เขาจะฆ่าฉันอยู่แล้ว) เสียงหัวเราะดังขึ้นจากปลายสายอย่างขบขัน ( เขาคงด่าคุณมากกว่าที่จะฆ่าคุณอีกนะ เอาเป็นว่าผมจะรีบไปก็แล้วกัน) เมื่ออีกฝ่ายตอบตกลงปราโมทย์ก็วางสายไป สายตาเหลือบมองเพื่อนสนิทที่ยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาอาฆาต " เอาเป็นนายสอนฉันแค่นี้ก็แล้วกัน ทัชกำลังจะมารับนาย หวังว่านายคงไม่ด่าฉันจนเขามาถึงหรอกนะ" " นายนี่มัน..." ศานนท์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยใจ ไม่รู้ว่าเขาตาบอด หรือว่าถูกมนต์สะกดถึงได้มาเป็นเพื่อนกับคนเย็นชาเหมือนน้ำแข็งพันปีอย่างปราโมทย์ แต่ก็เอาเถอะ อุตส่าห์คบกันมาตั้ง 40 ปีแล้ว จะเลิกคบตอนนี้ก็คงไม่ได้ " ฉันต้องไปแล้ว ส่วนนายก็นั่งทบทวนความผิดของตัวเองอยู่ในห้อง ฉันจะไปรอด้านนอก" พูดจบคุณหมอหนุ่มก็เดินออกไปพร้อมกับชายคนรัก เหลือเพียงเจ้าของห้องนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ปราโมทย์ เชาฮาน เกิดมาในตระกูลชนชั้นราชปุตที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย เป็นตระกูลชนชั้นสูง ต้นตระกูลเป็นถึงนักรบเคียงบ่าเคียงไหล่พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ มีทั้งเกียรติยศและประวัติอันยาวนาน เขาจึงทระนงตน เย่อหยิ่ง เย็นชา งั้นก็พอชายหนุ่มเกิดมาเป็นความหวังของพ่อแม่ ตั้งแต่เล็กจนโตปราโมทย์ไม่เคยได้เที่ยวเล่นสนุกเหมือนคนอื่นๆ ตั้งแต่จำความได้เขาก็ต้องฝึกมารยาทของชนชั้นสูง ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว ไม่มีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตอิสระ เมื่อพ่อยกทุกอย่างให้เขา เขาก็เลยต้องรับผิดชอบงานมากขึ้น ชีวิตหลายชีวิตอยู่ในกำมือของเขาเพียงแค่จรดปลายปากกาลงบนแผ่นกระดาษ ส่วนกาญจีในตอนนั้นเธอเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย ที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับเขายังไม่มีทางเลือก ชีวิตคู่เริ่มขึ้นปราศจากความรัก พวกเขาใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันอยู่นับปี ก็มีลูกสาวคนแรกออกมา อัมมาวดี ที่หมายถึงแผ่นดินของแม่ ลูกสาวคนนี้พวกเขาคอยรักคอยทะนุถนอมเธอ แล้วค่อยประคับประคองดูแลภรรยา เวลาเธอเหนื่อยจากการเลี้ยงลูก และเหนื่อยจากการทำงานบ้าน ปราโมทย์ก็เลยสละเวลาจากการทำงานมาดูแลลูกสาวคนโตในช่วงเวลาที่ภรรยาพักผ่อน จนกระทั่งล่วงเลยเวลาไปหกปี ลูกสาวคนที่สองก็ถือกำเนิด อัมพิกา ชื่อนี้ปราโมทย์เป็นคนตั้งให้ หมายถึง หญิงแห่งสายน้ำ และ ผู้เป็นมารดา พวกเขาคอยประคับประคองลูกสาวทั้งสองจนเติบโตมาอย่างสวยงาม ในบางครั้งพวกเขาก็ขึ้นไปขอพรที่วิหารของมหาเทพเพื่อจะขอลูกชายสักคนให้มาสืบทอดธุรกิจของตระกูล แต่นานวันเข้าความหวังเขาก็เริ่มริบหรี่พร้อมทั้งอายุของภรรยาที่เพิ่มขึ้น จะล่วงเลยมายี่สิบแปดปี ปราโมทย์ก็เริ่มทำใจได้แล้วว่าธุรกิจของครอบครัวเขาจะเป็นคนบริหารมันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ส่วนลูกสาวทั้งสองเขาอยากให้ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ต้องแบกรับภาระอะไรมากมาย ชายหนุ่มจึงเก็บทุกอย่างไว้เพียงคนเดียว ทั้งปัญหาเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เขาไม่เคยบอกใคร มีก็เพียงแต่ภรรยาที่คอยสังเกต ใครนั่งอยู่ข้างๆให้กำลังใจ คอยทำอาหารแสนอร่อย ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ได้คุยกันมากนักทว่าพวกเขากลับเข้าใจกันมากกว่าที่คิด ชีวิตคู่ที่แสนเรียบง่ายมาตลอดยี่สิบเก้าปี ไม่อาจเรียกว่ารักดั่งคนรักทั่วไป หากแต่ผูกพันกันดั่งเช่นคนในครอบครัว __________ เกร็ดน่าอ่าน ราชปุต (จากสันสกฤต ราชบุตร) เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ หลายองค์ประกอบ ที่ประกอบด้วยชนชั้นวรรณะ, เครือสายคณาญาติ และกลุ่มท้องถิ่น ที่มีจุดร่วมคือสถานะทางสังคมและการเป็นผู้สืบเชื้อสายทางวงศ์วานมาจากอนุทวีปอินเดีย คำว่าราชปุตรวมถึงเผ่าวงศ์ตระกูลทางบิดา ที่ซึ่งในอดีตมีความเกี่ยวโยงกับความเป็นนักรบ แหล่งข้อมูล : G****eชายวัยกลางคนในชุดชุดเชอร์วานีสีดำประดับลวดลายปักทองสะท้อนแสงไฟระยิบระยับจากโคมระย้าขนาดใหญ่กลางงาน ปราโมทย์ยิ้มทักทายแขกในงานอย่างเป็นมิตร " ยินดีนะคะคุณปราโมทย์ " "ขอบคุณครับ ขอบคุณที่มางาน" เขายกมือไหว้แขกทุกคนอย่างให้เกียรติ ปรายตามองงานที่ตกแต่งด้วยมาลัยดอกมะลิและกุหลาบสีแดงสด เสียงดนตรีแบบคลาสสิกอินเดียจากวงดนตรีสดช่วยสร้างบรรยากาศให้รื่นเริง ของทุกชิ้นในงานเขาเป็นคนเลือกเองกับมือ แสงไฟสาดส่องลงมาบนทางเดิน ร่างบอบบางในชุดเลห์งาร์สีทองประดับด้วยดอกไม้มุกสีขาวนวล สวมใส่เครื่องประดับสีทองตัดกับชุด เข็มขัดประดับเพชรสวยงามคาดอยู่ที่เอวส่งเสริมให้เธอดูโดดเด่น กาญจีเดินมาพร้อมลูกสาวทั้งสองคอยประคองเดินลงบันไดมาอย่างช้าๆ เดินย่างกรายมายังเก้าอี้ตัวยาวประดับด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ชนิดอย่างสวยงาม ร่างงามหย่อนตัวลงนั่งโดยมีลูกสาวประคองเอาไว้ แขกที่รอมอบของขวัญต่างมองด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะทยอยเดินเข้ามามอบของขวัญและคำอวยพรให้เธอ เสียงของดนตรีพื้นเมืองดังขึ้นเป็นระยะสร้างบรรยากาศให้รื่นเริงและอบอุ่น " คุณนาย ขอให้มีความสุขนะคะ " รอยยิ้มสวยปรากฏบนใบหน้า " คุณกาญจี ขอให้เด็กคนนี้เกิด
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แขกทุกคนทยอยกลับบ้านจนเกือบหมด อัมพิกายืนส่งแขกคนสุดท้ายด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน " ขอบคุณที่มานะคะ" เสียงนุ่มนวลกล่าวลาแขกคนสุดท้าย ความเหนื่อยล้าแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ งานในวันนี้กินพลังเธอไปหมดสิ้น เสียงดนตรีรื่นเริงที่ได้ยินก่อนหน้าตอนนี้กลับเงียบเชียบ หญิงสาวนั่งลงที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ภาพเหตุการณ์บนระเบียงในตอนนั้นก็กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง "พี่ศิวะ " อัมพิกาหลับตาลง พลางยกมือนวดขมับเบาๆ ผู้ชายที่เธอเคารพรักเหมือนพี่ชายแท้ๆในตอนนี้กลายเป็นคนที่เธอไม่รู้จัก ทั้งเย็นชา แข็งกระด้าง ปากร้าย ผู้ชายที่อ่อนโยนในตอนนั้นหายไปไหนแล้ว แสงจากโคมไฟระย้าสาดส่องลงมากระทบกับชุดสวยงามของเธอ ร่างอรชรนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องนั่งเล่น สายลมอ่อนๆพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง กลิ่นหอมจากดอกไม้ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย _วันนี้อากาศหนาว อย่าลืมกินน้ำอุ่นด้วยล่ะ_เสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มดังขึ้นมาในหัว ศิวะในตอนนั้นช่างดูอบอุ่น ทั้งน้ำเสียง แล้วแววตา อีกทั้งความรักในดวงตาของเขาที่มองพี่สาวของเธอมันช่างมั่นคง อ่อนหวาน พวกเขาเดินเคียงคู่กันมา
แสงแดดอ่อนในยามเช้าสาดส่องผ่านผ้าม่านแพรสีครีมที่พริ้วไหวทางสายลม ภายในห้องสีขาวมุกที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเครื่องไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม พื้นกระเบื้องลายหินอ่อนถูกปูด้วยพรหมทอมือลวดลายวิจิตรบรรจงสร้างบรรยากาศให้ดูอ่อนหวานและสวยงาม เตียงคิงไซส์ถูกคลุมด้วยผ้าปูที่นอนสีชมพูอ่อนที่ปักลวดลายดอกไม้ด้วยด้ายสีทองเข้ากันกับบรรยากาศห้องอย่างลงตัว หญิงสาวเจ้าของห้องยืนอยู่ตรงกระจกบานใหญ่ พลางยกมือขึ้นหวีผมยาวสลวยจนถึงบั้นเอว สวมใส่ชุดอานาร์กาลีสีฟ้าอ่อนประดับด้วยลูกปัดสีน้ำเงิน ที่ทำมาจากผ้าไหมเนื้อบางพริ้วไหวเวลาขยับตัว ตัวชุดคลุมไปถึงข้อเท้า ด้านในสวมใส่เลกกิ้งเพื่อความเรียบร้อย ทับด้วยส่าหรีสีขาวปักด้วยดิ้นทองอ่อนๆบางๆ คลุมพาดบนไหล่ ทำให้เธองดงามราวกับเทพธิดา หญิงสาวหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เสียงกระพรวนที่ข้อเท้าดังกระทบกันอย่างไพเราะ เดินผ่านห้องโถงไปยังห้องรับประทานอาหารของครอบครัว ห้องกว้างขวางถูกตกแต่งด้วยกระจกเงาแกะสลักสวยงาม โต๊ะไม้สักยาวถูกปูด้วยค่าปักลายสีทอง บนโต๊ะถูกวางด้วยชุดเครื่องถ้วยที่ทำมาจากกระเบื้องเคลือบ และประดับด้วยแจกันหินอ่อนท
ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสง่างาม ดวงตาสีนิลมองไปรอบๆร้านอย่างคุ้นเคย งานศิลปะของอดีตคนรักถูกออกแบบอย่างปราณีตและถูกสวมใส่โดยหุ่นจำลอง ผ้าไหมและส่าหรีเต็มไปด้วยสีสันงดงามและมีความหรูหรา พลันสายตาก็สะดุดกับหญิงสาวในชุดส่าหรีสีแดงเข้มเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ " คุณมาขอพบฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ ศิวะ" ดวงตาสีน้ำผึ้งอ่อนของหญิงสาววูบไหวเล็กน้อย เธอซ่อนความรู้สึกผิดเอาไว้ในใจ น้ำเสียงอ่อนหวานสั่นเครือช่วงท้ายประโยค " ผม...อยากได้ส่าหรีให้แม่สักชุด กำลังจะถึงวันเกิดของท่านแล้วผมก็อยากให้อะไรที่มันพิเศษ " ชายหนุ่มบอกหญิงสาวเสียงนุ่ม พลางมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาคนึงหา ในใจของเขาก็พลันรู้สึกเจ็บปวด คนที่เคยอยู่เคียงข้าง เคยใกล้ชิด เคยได้รัก ตอนนี้เธอก็เดินไปเคียงข้างคนอื่นเสียแล้ว " จริงด้วย ถ้างั้นฉันจะเป็นคนตัดส่าหรีให้คุณป้าเองค่ะ รับรองว่าเสร็จก่อนวันงานแน่ๆ" เสียงหวานกล่าวกับชายหนุ่มอย่างมั่นเหมาะ ถึงอย่างไรมารดาอีกฝ่ายก็ดีกับเธอมาก อัมมาวดีอยากให้ของขวัญชิ้นนี้พิเศษกว่าทุกชิ้น " รบกวนหรือเปล่า" "ไม่หรอกค่ะ วันเกิดคุณป้าทั้งที" รอยยิ้มสดใสปรากฏบนดวงหน้าหวาน ศิว
งานวันเกิดของศุมิตรา อัคราวัล ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นภรรยาของคุณนารายณ์ อดีตประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ก่อนจะวางมือให้ลูกชายมาบริหารแทนทั้งหมด เขากลับไปบริหารโรงงานสินค้าเล็กๆของเขตอุตสาหกรรม งานถูกจัดขึ้นที่ห้องบอลรูมขนาดใหญ่ของโรงแรมหรู ในเมืองชัยปุระ ถูกจัดขึ้นอย่างงดงามและหรูหรา เพดานสูงโปร่งประดับด้วยโคมไฟคริสตัลที่เปล่งประกายสวยงาม ริมกำแพงแต่ละด้านถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวและสีทอง เป็นดอกไม้ราคาสูงและเป็นที่นิยมสำหรับชนชั้นสูง และมีการจัดโต๊ะเป็นลักษณะวงกลม กลางห้องถูกประดับด้วยพรมแดงและโตขนาดใหญ่ถูกตั้งไว้กลางห้องถูกวางด้วยเค้กวันเกิดขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งมาอย่างสวยงาม แขกทุกคนทยอยกันมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก รวมไปถึงครอบครัวเชาฮานที่ส่งลูกสาวทั้งสองมาร่วมงานด้วย "เธอ...คุณอัมมาวดี แฟนเก่าลูกชายเจ้าของงานก็มาร่วมงานด้วยนะ" " จริงหรอ ฉันว่าข่าวลือที่เขาจบกันไม่ดีคงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกมั้ง " " ใครบอกกันล่ะเธอ ฉันว่าพวกเขาสร้างภาพกันมากกว่า" เสียงซุบซิบจากแขกรอบด้านดังขึ้นเป็นระยะ ทำให้สองพี่น้องตระกูลเชาฮานรู้สึกไม่ดีอยู่เล็กน้อยที่พวกเธอเป็นที่สนใจสำหรับแขกในงาน"ดีใจที่คุณมา
อีกด้านนึงของงาน เสียงดนตรีจากไวโอลินยังคงบรรเลงขึ้นอย่างไพเราะ สร้างความผ่อนคลายและความรื่นเริงแก่แขกในงาน ทว่า...เสียงดนตรีกลับทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นไม่เป็นจังหวะ เรือนร่างในชุดอานาร์กาลีสีขาวปักดิ้นทองเคลื่อนผ่านกลุ่มแขกไปอย่างรวดเร็ว ชายกระโปรงพลิ้วไหวตามแรงเดิน สองมือบางจับผ้าคลุมไหล่แน่น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองไปรอบๆ เธอเอื้อมไปจับมือของพนักงานคนนึงเอาไว้" เห็นน้องสาวของฉันไหมคะ" น้ำเสียงหวานเอ่ยถามขึ้นอย่างรวดเร็วแฝงไปด้วยความร้อนรน" เธอมีลักษณะยังไงคะ?" พนักงานสาวลังเลเล็กน้อยก่อนที่ถามออกไป " เป็นผู้หญิงสูงประมาณนี้ ใส่ชุดสีชมพู ผมลอนค่ะ พอจะเห็นบ้างไหมคะ" หญิงสาวบอกลักษณะของน้องสาวที่รักอย่างร้อนรน ความเป็นห่วงท้วมท้นเข้ามาในหัวใจ " อ๋อ...ถ้าลักษณะแบบนี้....ฉันคิดว่าเห็นอยู่คนนึงค่ะ อยู่แถวทะเลสาบ" " ขอบคุณมากๆค่ะ" อัมมาวดียิ้มออกมาด้วยความดีใจแล้วกล่าวขอบคุณพนักงานสาวคนนั้น ก่อนจะรีบเดินออกไปมุ่งหน้าไปทางทะเลสาบหลังโรงแรม ค่ำคืนที่มืดมิด มีเพียงดวงจันทร์เป็นประกายส่องแสงท่ามกลางความมืด เสียงน้ำกระเพื่อมเบาๆกระทบขอบฝั่งจนหยดน้ำกระเซ็นเป็นประกายใต้แสงจันทร์
วิหารกลางเมืองตั้งตระหง่านท่ามกลางแสงแดดสาดส่องที่สาดส่องลงมากระทบหลังคาของวิหาร โครงสร้างของวิหารถูกแกะสลักด้วยหินทรายบอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ขององค์มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ธูปหอมลอยตลลอบอวนไปในอากาศพร้อมกับกลิ่นดอกไม้ของผู้ศรัทธาที่นำมาถวายสักการะ ด้านหน้าของวิหารเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งนักบวช ผู้แสวงบุญ และชาวเมืองที่เดินทางมาไหว้สักการะศิวะมหาเทพเพื่อขอพรในเรื่องต่างๆ หนึ่งในนั้นก็คือ อัมพิกาในชุดส่าหรีสีแดงสดปักดิ้นทองอย่างประณีต ผืนผ้าพาดไหล่ข้างหนึ่งเผยให้เห็นเสื้อสั้นสีอ่อนด้านใน ข้อมือเรียวสวมกำไลทองเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งแผ่วเบาเมื่อเธอขยับตัว เธอปล่อยผมยาวสลวยถึงบั้นเอวเป็นลอนอ่อนๆประดับด้วยดอกมะลิสีขาวบริสุทธิ์ รอยจุดติกะตรงกลางหน้าผากบ่งบอกถึงผ่านการทำพิธีบูชามาแล้ว ดวงตาสีน้ำผึ้งอ่อนทอดมองไปยังหน้าพระพักตร์ของพระองค์ ความคิดที่ฟุ้งซ่านมาหลายวันก็สงบลงเมื่อได้มาสักการะมหาเทพในวิหาร " องค์มหาเทพ...ลูกไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้กลายเป็นแบบนี้ คนดีๆคนนึงจะเปลี่ยนไปเพราะผิดหวังในความรักแค่นั้นหรอ ลูกไม่เข้าใจ" เสียงหวานเอ่ยออกมาขณะมองหน้าพระพักตร์ " ลูกหวังว
อัมพิกานิ่งงันกับคำพูดของชายหนุ่ม น้ำตาหยดแล้วหยุดเล่าไหลลงอาบแก้ม ในใจของเธอปวดหนึบจนแทบหายใจไม่ออก"พี่หมายความว่ายังไง?" เธอเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ศิวะขบกรามแน่น สายตาแข็งกร้าวของเขาวูบไหวเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับมาเย็นชาเช่นเดิม " ก็หมายความอย่างที่พูด" ดวงตาสีนิลมองหน้าหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป"เพราะฉะนั้น...เธอไม่มีสิทธิ์มาขวางทางของพี่ และเธอก็ต้องยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ถ้าไม่อยากให้คนที่เธอรักต้องเดือดร้อน ก็มาเป็นเครื่องมือของพี่ซะ" "ไม่ค่ะ" เธอไม่มีทางยอมให้อีกฝ่ายใช้เธอทำร้ายคนที่เธอรักเด็ดขาด อัมพิกามองหน้าเขาด้วยสายตาไม่ยินยอม ศิวะหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะของเขาช่างเย็นเยียบไร้อารมณ์เหลือเกิน "ก็ได้" เขาขยับเข้ามาใกล้เธอ ชายหนุ่มในเวลานี้ราวกับมีซาตานร้ายเข้ามาสิงสู่"แต่...คนที่ต้องพังทลายก็คือพี่สาวของเธอนะ" สิวศิวะเอ่ยขึ้นมาเสียงเนิบนาบ "สิ่งที่อัมมาวดีสร้างมากับมือต้องพังลงเพราะคนรักของตัวเอง" "พี่!!" หญิงสาวแทบกรีดร้องใส่เขา เสียงของเธอสั่นไหวด้วยอารมณ์โกรธ เธอไม่เคยเห็นใครบ้าได้มากขนาดนี้มาก่อนเลย"พี่..พ
"หนูผิดเอง...หนูผิดเองค่ะ" เสียงสั่นเครือของเธอเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา หญิงสาวกล่าวโทษตัวเองที่เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวตกอยู่ในอันตราย ถ้าเธอ...ไม่เข้าไปช่วยแม่ค้าคนนั้น น้องสาวของเธอคงจะยืนอยู่ตรงนี้"มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อามู" ราฟีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า...คำอธิบายของชายหนุ่มกลับทำให้อีกคนเดือดดาล และรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเรื่องที่ทำให้ลูกสาวของเขาถูกตามล่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง"เพราะแค่เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ พวกมันถึงกับตามล่าลูกสาวฉันเลยหรอ" ปราโมทย์แทบสบถออกมา เสียงเย็นเยียบของเขากล่าวออกมาจนราฟีเองก็สัมผัสได้ถึงแรงโทสะที่กำลังปะทุอยู่ในใจของชายสูงวัย "ใช่ครับ" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ "พวกมันไม่ใช่แค่เป็นพ่อค้าคนกลางธรรมดา แต่ว่าพวกมันมีเบื้องลึกมากกว่านั้น พวกมันมีเส้นสายกับนักการเมืองท้องถิ่นบางคนและจ่ายส่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่" "แล้วไอ้คนที่ถูกคุมตัวอยู่มันพูดว่าอะไรบ้าง?" เขาถามกลับ "ตอนแรกก็ไม่ยอมพูดอะไรครับ แต่ว่าพอใช้วิธีนิดหน่อย พวกมันก็เลยยอมพูด" ราฟีหรี่ตามองบิดาของคนรัก พลางยิ้มมุมปากเล็
คำถามนั้นทำให้ศิวะพูดไม่ออก เขาเหมือนถูกค้อนทุบที่หัว ในใจหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก "เธอไม่ควรถามอะไรแบบนี้นะ" "ทำไหมคะ?" อัมพิกามองหน้าเขา น้ำตาคลอเบ้า หญิงสาวพยายามเค้นเสียงของตัวเองออกมาเพื่อถามเขา "ทำไมถึงไม่ตอบล่ะ" ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ดวงตาคมเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนและเจ็บปวด "เพราะพี่...ไม่อยากมีน้องสาว" เขาพูดเสียงเรียบ พลางก้มมองหญิงสาวในอ้อมแขน พร้อมกระชับอ้อมกอดเพื่อส่งความอบอุ่นเข้าไปในร่างกายของเธอมากที่สุด ชายหนุ่มเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เขากอดเธอนิ่งๆไม่ยอมปล่อยร่างของเธอเป็นอิสระ เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน... หรือจริงๆแล้ว... เขาแค่ไม่อยากยอมรับมัน อัมพิกาเงียบไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงอีกครั้ง ร่างกายของเธออ่อนแอจนเกินรับไหว แต่ก่อนที่เธอจะจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา เสียงแผ่วเบาของเธอก็ดังขึ้น "พี่ไม่อยากตอบ ก็ไม่เป็นไรค่ะ... หนูรู้ตัวเองดี" ว่าเป็นได้แค่เครื่องมือที่เอาไว้ใช้แก้แค้นพี่สาว....ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงบีบรัดที่หัวใจ มันเจ็บจนหายใจไม่ออก ลมหายใจของเขาสะดุดลงเมื่อได้ยินคำพูดตัดพ้อของคนในอ้อมกอดความแค้นที่เขายึดมั่นนักหนา... ตอนนี้กำลังจะทำให้หญิงสาวที่เคยสด
เปลวไฟเต้นเร้าอยู่ในอากาศ เสียงไม้แตกกระทบกันดังสนั่นเพื่อขับไล่ความมืดและสัตว์ป่าที่จะเข้ามาทำร้ายพวกเขา อาร์มันและศิวะช่วยกันสร้างเพิงเล็กๆ 2 หลังเพื่อเป็นที่พักค้างแรมในค่ำคืนนี้ พวกเขาหาใบไม้สดมาปูรองเป็นที่นอน ชายหนุ่มเข้าไปอุ้มอัมพิกาที่นอนพิงต้นไม้ใหญ่เข้ามานอนในเพิงพร้อมจัดท่าทางให้เรียบร้อย ก่อนจะเข้ามานั่งข้างๆกับผู้ช่วยของเขา "ลำบากคุณแล้ว" ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะนั่งมองเปลวไฟที่กำลังลุกโชนท่ามกลางความมืด "ผมไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ... ผมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของคุณ ก็ต้องช่วยคุณอย่างถึงที่สุดถูกต้องไหมครับ" อาร์มันพูดเย้าแหย่เจ้านายด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมคายมีหนวดเคราที่ถูกจัดแต่งเป็นอย่างดี ทว่า...เขาเป็นคนอัธยาศัยดี ขี้เล่น และเป็นผู้ช่วยของศิวะมานานถึงสิบสามปี "ผมว่าผมควรจะให้โบนัสคุณเพิ่มแล้วล่ะ" ผู้ช่วยหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะมองเจ้านายด้วยสายตาหยอกเย้า "ผมว่าคุณควรให้พักร้อนกับผมนะ " คราวนี้ถึงตาศิวะเป็นคนหัวเราะบ้างแล้ว แต่ในใจเขาก็เห็นด้วยที่จะให้พักร้อนกับผู้ช่วยของเขา อาร์มัน เขามีภรรยาและลูกๆทั้งห้าคนรออยู่ที่บ้าน "โอเค... แต่ต้อง
วงแขนแกร่งโอบเอวเธอไว้อย่างอ่อนโยน ดวงตาสีนิลเหลือบมองกลุ่มผมสีดำสนิทร่วงลงมาราวกับผ้าม่าน ความห่วงหาสะท้อนชัดอยู่ในแววตาโดยที่เขาไม่รู้ตัว"เป็นอะไรไหม?""ไม่...เป็นไร" อัมพิกาหันมาตอบเขา ทว่า...ใบหน้าหล่อเหลากลับอยู่ใกล้เพียงคืบจนปลายจมูกของทั้งสองแตะกัน ดวงตาสีน้ำผึ้งสบกับดวงตาสีนิลของเขา ความเย็นชาไร้จุดหมาย แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง ทำให้หัวใจของหญิงสาวเกิดสั่นไหว ร่างบางค่อยๆลงมาจากตักของเขา แล้วกระเถิบไปชิดประตูอีกฝั่ง พลางก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อหลบกระสุนที่สาดเข้ามา อาร์มันพยายามหลบหลีกกระสุนอย่างยากลำบาก เขาส่งสายตาหาเจ้านายเพื่อต้องการความคิดเห็นดวงตาคมกริบมองหน้าของเลขาคนสนิทอย่างเรียบนิ่ง"เปิดระบบขับรถอัตโนมัติ" เขาสั่งการอย่างรวดเร็ว พลางดึงแขนของอัมพิกาเข้ามาใกล้ "มารวมตัวกับฉันเอาไว้" "ได้ครับคุณศิวะ " อาร์มันรีบเปิดระบบขับรถอัตโนมัติ ก่อนจะเข้าไปรวมตัวกับเจ้านายที่เบาะหลัง รถเคลื่อนตัวไปตามความเร็วที่ถูกตั้งไว้ จนมาถึงทางโค้งทางหนึ่ง"เราต้องรีบโดดเดี๋ยวนี้" ชายหนุ่มพูดเสียงเข้มก่อนจะรวบตัวคนตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมกอด มืออีกข้างจากที่ประตูรถไว้แน่น เสียงปังยังคงด
หญิงสาวที่โดนลากออกมาจากร้านด้วยความไม่เต็มใจ เธอสะบัดมือออกจากการจับกุมของเขาอย่างสุดแรง "ที่พาหนูออกมาเนี่ย พี่ต้องการอะไรคะ?" แม้จะรู้สึกจับที่ข้อมือเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่แสดงอาการออกไป หญิงสาวเอามือขึ้นกอดอก พลางถามเขาออกไปเสียงเรียบ "ทำไม... ไหนบอกจะเป็นเครื่องมือให้พี่ไง" ศิวะพูดหยอกเย้าหญิงสาวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นล้วงกระเป๋ากางเกง "คิดจะว่ากลับคำพูดหรอ" "เปล่าค่ะ... หนูแค่สงสัยว่า..พอรู้ว่าพี่อามูจะแต่งงาน พี่ก็ข้ามเมืองมาถึงที่นี่ เพื่อมาแย่งพี่เขากลับไปหาตัวเองหรอคะ?" ชายหนุ่มมองหน้าอีกคนด้วยสายตาเคร่งขรึม ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา"แย่งกลับมาหาตัวเอง...? ทำไม เธอหึงพี่หรอ" ปลายนิ้วยกนิ้วไปเล่นปลายผมอีกเธออย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะถูกหญิงสาวปัดออกอย่างรวดเร็ว "แต่พี่ว่า...เธอคงไม่อยากให้พี่กลับไปหาอัมมาวดีหรอกจริงไหม...หืม?" ว่าแล้วก็โน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูของคนตัวเล็ก ทว่า...เธอกลับออกแรงผลักเขาออกอย่างแรง จนตัวเขาถอยหลังไปสองก้าว "หนูไม่ได้หึงค่ะ... แล้วอีกอย่างนะคะต่อให้พี่ลงทุนลงแรงแย่งพี่สาวหนูกลับไป พี่เขาก็ไม่กลับไปหาพี่หรอกค่ะ เพราะเขาไม่ได้รัก
ท่าทางกระตือรือร้นของอัมมาวดี ทำให้ผู้เป็นน้องสาวอย่างอัมพิการู้สึกชุ่มชื้นในหัวใจ พี่สาวของเธอผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมา เธอก็อยากให้อีกฝ่ายผ่อนคลายบ้าง ดวงตาสีน้ำผึ้งกวาดมองรอบๆตลาดด้วยความชื่นชม "ไม่มานานเหมือนกันนะ" บรรยากาศคึกคักของผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย เสียงต่อรองราคาอย่างจริงจังระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ร้านค้าบางร้านก็มีเบาะรองนั่งกับเก้าอี้เอาไว้ต้อนรับลูกค้าโดยเฉพาะ หญิงสาวเดินดูของตามร้านต่างๆสนใจสะดุดตากับร้านขายกำไลร้านหนึ่ง หน้าร้านตกแต่งด้วยผ้าม่านสีทองและประดับด้วยไฟระยิบระยับสีสันสวยงาม โต๊ะไม้แกะสลักถูกปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดง บนโต๊ะนั้นถูกวางด้วยกำไลเรียงเป็นชั้นๆ บางชั้นจะเป็นกำไลแก้ว บางชั้นเป็นกำไลโลหะสีเงินและทอง บางชั้นถูกประดับด้วยเพชรและมุกสีสันสวยงาม มีทั้งกำไลจูดี(chudi) แบบดั้งเดิมของอินเดีย กำไลกันกัน( kangan) สำหรับเจ้าสาว และกำไลคาดา( kada) เอาไว้สวมใส่ในชีวิตประจำวัน อัมพิกาหยุดมองดูร้านขายกำไลด้วยความสนใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านอย่างร่าเริง หญิงสาวในชุดส่าหรีสีสันสดใสมองดูกำไลที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ จนไปสะดุดตากับกำไลแก้วสีฟ้าครามชั้นหนึ่ง เธอจึงเก็บขึ้
...และการกระทำนั้น อยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่งอยู่ตลอดเวลา... ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมชุดสูทสีดำ ยืนล้วงกระเป๋ามองสองพี่น้องเดินไปจนลับตา ดวงตาสีนิลฉายแววความเคร่งขรึมยากที่จะอ่านออก เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของแม่ค้า เคล้ากับเสียงเจรจาต่อรองราคาจากผู้คนรอบด้าน ภาพฝูงชนเบียดเสียดกัน ไม่อาจทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากตรงนั้น"คุณไม่เข้าไปทักทายพวกเขาหน่อยหรอครับ" ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยถามผู้เป็นนาย "ไม่จำเป็น" เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ในใจของเขารู้สึกเจ็บปวด เพราะว่าบทสนทนาทั้งหมดก่อนหน้านี้เขาได้ยิน ชายหนุ่มแสยะยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดในใจ "แต่งงานงั้นหรอ?" ... มันน่าแปลกตรงที่ เธอเดินทางไปไกลแสนไกล แต่ตัวเขายังคงวนเวียนติดอยู่กับอดีตไม่ไปไหน... ฝ่ามือทั้งสองกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ก็ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดที่อยู่ในใจลงได้ "อาร์มัน" "ครับ คุณศิวะ" "นายกลับไปก่อน ฉันขออยู่คนเดียวสักพัก" ศิวะพูดกับเลขาคนสนิทเสียงเบา พลางถอดเสื้อสูทนอกออกให้อีกฝ่ายด้วย เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำอยู่บนร่างกาย อาร์มันรับเสื้อสูทนอกของเจ้านายมาด้วยความเต็มใจ ก่อน
เสียงดนตรีพื้นเมืองบรรเลงเพลงอย่างไพเราะ เคล้าคลอกับเสียงผู้คนเบียดเสียดกันมาจับจ่ายใช้สอย สองขนาบข้างทางเต็มด้วยร้านค้าตั้งเรียงแถวกัน ไม่ว่าจะเป็น ร้านขายของกิน ของใช้ เครื่องประดับ มีให้เลือกมากมาย ลมพัดเย็นสบายผสมผสานไปกับกลิ่นเครื่องเทศตลบอบอวนไปทั่วบริเวณ ร้านค้าบางร้านก็จะมีเสื่อหรือเบาะนั่งไว้รองรับลูกค้าและต่อรองราคา สองพี่น้องตระกูลเชาฮานพากันเดินชมร้านค้าด้วยความเบิกบานใจ อัมมาวดีถูกบรรยากาศภายในตลาดดึงดูดจนลืมเรื่องเศร้าหมองไปชั่วขณะ "พี่คะ... ที่นี่คึกคักมากเลย ดูสิคะ" ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองไปรอบๆ มองดูแม่ค้าขายผลไม้ที่กำลังต่อราคากับลูกค้าอย่างดุเดือด แม้จะโดนลูกค้าต่อราคาจนจะขาดทุน แต่ใบหน้าของเธอกลับยิ้มแย้ม จนอัมมาวดีขมวดคิ้วมุ่น ... เธอไม่เคยเห็นใครต่อราคาจนน่ารังเกียจขนาดนี้มาก่อนเลย... "อามิ... เดี๋ยวพี่มานะ" "เอ๊ะ!?.... ค่ะ" อัมพิกาชะงักเล็กน้อย ก่อนตอบกลับพี่สาวไป สายตามองตามร่างของอีกฝ่ายไปจนไปถึงร้านขายผลไม้ร้านหนึ่ง เธอขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทีของแม่ค้าร้านผลไม้ ไม่ใช่ว่ากำลังโดนโกงอยู่หรอกนะ... หญิงสาวคิดในใจ เธอรีบเดินตามพี่สาวอย่างรีบร้อน
กว่าสองชั่วโมงที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามควบคุมเพลิงไม่ให้ไฟมันลามไปที่อื่น สภาพร้านที่เคยเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ตอนนี้กลับเหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง หุ่นที่เคยสวมส่าหรีสวยงาม ตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่เศษวัสดุที่เหลือจากการถูกไฟเผา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองรอบๆร้านด้วยสายตาเหม่อลอย ร่างบางในชุดนอนยืนเกาะฉากกั้นของเจ้าหน้าที่ ด้านหลังราฟียืนโอบไหล่คนรักอย่างปลอบโยน สายตาแข็งกร้าวตวัดหาเจ้าหน้าที่โดยรอบ "หัวหน้าทีมสืบสวนอยู่ไหน?" เสียงเรียบเย็นเอ่ยขึ้นมา ตำรวจนายหน้ารีบก้าวเข้ามา"ผมเองครับ.." ชายหนุ่มมองหน้าของตำรวจนายนั้น ก่อนจะยื่นนามบัตรให้อีกฝ่าย " คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?" ดวงตาคมเข้มมองคนตรงหน้าด้วยสายตากดดัน "เรากำลังรวบรวมหลังฐานอยู่ครับ ตอนนี้กำลังตรวจสอบฟุตเทจจากกล้องวงจรปิดครับ" ตำรวจหนุ่มรายงานด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ทว่า...กลับแฝงไปด้วยความเคารพยำเกรง นิ้วเรียวขยับปรับเนคไทลง ดวงตาคมกริบตวัดมองเจ้าหน้าที่ตรงหน้า "ผมไม่ต้องการคำว่า 'กำลังตรวจสอบ' ผมต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้!" เสียงของเขาหนักแน่นทว่าเย็นชา จนตำรวจและเจ้าหน้าที่รอบๆเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างยาก