บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระ
บรรยากาศยามเย็นในบ้านเชาฮานเต็มไปด้วยความเงียบงันและอึมครึม หลังจากเหตุการณ์ทะเลาะกันเมื่อช่วงสาย อัมพิกายังคงเป็นกังวลเรื่องอาการของมารดา แม้ว่าแม่ของเธอจะยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก แต่แววตาที่ดูอ่อนล้าของกาญจีกลับทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ "แม่นั่งพักตรงนี้ก่อนนะคะ" หญิงสาวบอกกับมารดาก่อนจะตัดสินใจโทรหาคุณหมอประจำตระกูล "หมอศานนท์ ปัทมกุล" ชายวัยกลางคนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการรักษา และยังเป็นคนที่ครอบครัวเชาฮานไว้ใจมาอย่างยาวนาน ( ฮัลโหล) เสียงแหบทุ้มดังขึ้นจากปลายสาย ( สวัสดีค่ะ คุณลุง หนูเองค่ะ อัมพิกา ) ( คุณลุงคะ คุณลุงช่วยมาตรวจดูคุณแม่ให้หนูหน่อยได้ไหมคะ พอดีว่าคุณแม่ท่านเป็นลมน่ะคะ ) ( ได้สิ เดี๋ยวอีกสักพักลุงเข้าไปนะ ) ( ค่ะคุณลุง ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ) พูดจบเธอก็ตัดสายไป อัมพิกาเดินเข้ามาดูกาญจีที่นั่งอ่อนแรงอยู่ในห้องนั่งเล่น " เป็นยังไงบ้างคะแม่ " " แม่ไม่เป็นอะไร อีกสักพักแม่ก็หาย" เสียงอ่อนแรงของมารดาทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น กาญจีเอามือไปแตะมือลูกสาวเบาๆ เธอไม่อยากให้ลูกสาวต้องเป็นกังวลเพราะเธอ " อามิ เชื่อแม่นะลูก " " ไม่เชื่อได้ไหมคะ" หญิงสาวพูดขึ้นอย่างดื้อรั้น ทำเอาคนเป็นมารดาต้องระบายยิ้มด้วยความเอ็นดู "ดื้อจริงๆ" "แม่คะ เดี๋ยวอีกสักพัก คุณลุงหมอจะมาตรวจร่างกายแม่นะคะ ช่วงนี้แม่ดูซูบไปเยอะมากเลยนะคะ " ดวงตาสีน้ำผึ้งสวยมองไปตามร่างกายของคนตรงหน้า แม่ของเธอซูบผอมลงไปเยอะจริงๆ ดูสิ ... แก้มตอบลงไปตั้งเยอะ " เด็กคนนี้..แม่บอกว่าไม่เป็นอะไรไงจ๊ะ " " อย่าดื้อนะคะแม่ " หญิงสาวล้อเลียนเสียงของมารดาตอนที่ดุเธอเป็นประจำ ร่างบางลุกขึ้นไปหยิบยาสมุนไพรมาทาแก้มให้แม่ของเธอ รอยแดงซ้ำเริ่มขึ้นสีชัดทำให้อัมพิกาเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว ผ่านไปสักพัก คุณหมอชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามาในบ้าน พร้อมกับกระเป๋าสัมภาระ หญิงสาวก็เดินเข้ามาต้อนรับคุณหมอศานนท์ด้วยความยินดี "สวัสดีค่ะคุณลุงหมอ ไม่เจอกันนานเลยนะคะ " ร่างบางยกมือไหว้คนตรงหน้าด้วยความเคารพ พร้อมกับคำทักทายที่สนิทสนม " สวัสดีจ้ะ ไม่เจอกันนานเหมือนกันนะ โตเป็นสาวแล้วหลานลุง " " ขอบคุณค่ะ " " แล้วนี่แม่ของเธอเป็นอะไร ทำไมถึงได้เรียกลุงมากระทันหันแบบนี่ " คำถามของคนตรงหน้าทำให้อัมพิกาอ้ำอึ้ง ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับศานนท์ฟัง หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดคุณหมอหนุ่มใหญ่ก็ยกมือขึ้นกุมขมับทันที เขาไม่คิดเลยว่าเพื่อนสนิทของตัวเองจะเลือดร้อนเหมือนตอนหนุ่มๆไม่มีผิด คิดว่ามันหมดไฟไปแล้ว แต่ถึงขั้นต้องทำร้ายร่างกายภรรยาตัวเองแบบนี้เขาคงต้องเรียกเพื่อนมาปรับทัศนคติกันใหม่ " ไอ้เพื่อนเวร!! " เสียงสบถจากศานนท์ ทำให้หญิงสาวที่อยู่ข้างๆถึงกับสะดุ้ง แต่ก็รีบนำทางคุณลุงหมอไปตรวจอาการแม่เธอทันที หลังจากตรวจเช็คร่างกายของกาญจีอย่างละเอียด หมอศานนท์มองกาญจีอย่างครุ่นคิด ก่อนจะโพล่งออกไปอย่างไม่คิด "กาญจี เธอกับหมอนั่นมีอะไรกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่" " เอ่อ...." สองแม่ลูกเชาฮานมองหน้ากันเลิ่กลั่ก โดยเฉพาะ อัมพิกา ความร้อนเห่อขึ้นใบหน้าสวยทันที " ขอโทษทีที่ฉันไปละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว แต่ฉันต้องการคำตอบ " "ส...สองเดือนที่แล้ว " เมื่อได้ฟังคำตอบจากเมียเพื่อน ศานนท์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปคุยกับอัมพิกาที่รอฟังผลตรวจอย่างใจจดใจจ่อ “เธอไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงหรอก อ่อนเพลียเล็กน้อย แต่อาจจะต้องพักผ่อนให้มากขึ้น...” หมอหนุ่มหยุดพูดไปพักนึง ก่อนจะหันไปพูดกับเมียเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และอีกเรื่อง...เธอกำลังตั้งครรภ์นะกาญจี” คำพูดของหมอทำให้หญิงสาวชะงัก ดวงตาสีน้ำผึ้งเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปมองมารดาที่ตกอยู่ในอาการเช่นเดียวกันกับเธอ “แม่...ตั้งครรภ์? เดี๋ยวนะ!” อัมพิกาพึมพำออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ดวงตาคู่สวยหลับตาลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดานอย่างเหม่อลอย ซึ่งไม่ต่างจากผู้เป็นมารดาเลยสักนิด “แม่เองก็ไม่คิดว่าจะมีลูกอีกในวัยนี้...แต่แม่...” เสียงของกาญจีสั่นเครือ เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงช็อกกับข่าวนี้ "...." หญิงสาวยังคงนิ่งเงียบ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด สายตาเหลือบมองสาวใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ไปตามคุณพ่อมาที บอกว่าฉันมีเรื่องสำคัญจะพูดด้วย” "ค่ะคุณหนู" สาวใช้รีบพยักหน้าและเดินออกไป อัมพิกาหันกลับมามองมารดาที่นั่งอยู่บนเตียง เธอค่อย ๆ บีบมือมารดาเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ “แม่ไม่ต้องกังวลนะคะ หนูจะอยู่ข้างแม่เสมอ” แววตาสีน้ำผึ้งจ้องมองมารดาที่เธอรักมากที่สุดด้วยความหนักแน่น " แม่รู้จ้ะ... พี่ศานนท์พอจะทราบอายุครรภ์ไหมคะ" กาญจีหันไปถามเพื่อนสนิทของสามีด้วยความเป็นกังวล " จากคำบอกเล่าของเธอ ตอนนี้อายุครรภ์ก็จะประมาณ 7-8 สัปดาห์ ยังไงก็ไปตรวจรายละเอียดที่โรงพยาบาลอีกทีแล้วกันนะ" ศานนท์ระบุอายุครรภ์ที่แน่นอนไม่ได้ จึงแนะนำให้เธอไปตรวจที่โรงพยาบาลอย่างละเอียดอีกที " แล้วนี่สามีเธอยังไม่มาอีกหรอ" " เขาคงอยู่ที่วิหารมหาเทพน่ะคะ " " มันก็เป็นแบบนี้ทุกที ชอบหนีปัญหา " คุณหมอหนุ่มพูดออกมาด้วยความเหนื่อยใจ วิหารพระศิวะประจำตระกูลเชาฮานตั้งตระหง่านกลางสวนกว้าง บรรยากาศรอบข้างสงบร่มรื่น รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ทอดเงาปกคลุมพื้นที่โดยรอบ แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดกระทบยอดโดมสีทองสว่างไสวราวกับประกายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วแว่วมากับสายลมเย็น กลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้บูชาพระศิวะอบอวลไปทั่วบริเวณ ปราโมทย์ เชาฮาน ในชุดโจฎปุรีสีขาวสะอาดตา ยืนอย่างสง่าหน้าศิวลึงค์ที่ประดิษฐานอยู่กลางวิหาร ร่างสูงสงบนิ่ง ดวงตาคมเข้มจับจ้องไปยังศิวลึงค์สีดำมันเงาที่ประดับด้วยพวงมาลัยดอกดาวเรืองและดอกชบาสีสด เขายกมือขึ้นพนม ก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์พระศิวะที่แกะสลักไว้เหนือศิวลึงค์ สายลมอ่อนพัดผ่านเข้ามาภายในวิหารจนเสียงกระดิ่งลมที่แขวนอยู่ส่งเสียงดังกังวาน เขายืนครุ่นคิดถึงคำอธิษฐานที่เคยเอ่ยขอไว้ต่อพระศิวะเมื่อหลายปีก่อน ความคิดของเขาย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่ครอบครัวของเขาต้องการลูกชายอีกคนเพื่อสืบทอดนามสกุลเชาฮาน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความหวังนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไปตามอายุของภรรยา "คุณท่านคะ" เสียงแผ่วเบาของสาวใช้ทำลายความเงียบสงบ ร่างสูงหันไปมองเธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง "มีอะไร?" เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความสงสัย "คุณหนูให้มาตามค่ะ เธอบอกว่ามีเรื่องอยากจะพูดกับคุณท่านค่ะ" สาวใช้ตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม "เดี๋ยวฉันตามไป"ชายหนุ่มพยักหน้า ยกมือไหว้ศิวลิงค์ก่อนจะเดินออกจากวิหารไปยังห้องโถงใหญ่ เมื่อมาถึง เขาเห็นศานนท์ เพื่อนสนิทที่เป็นหมอประจำตระกูล นั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์อยู่ในห้องนั่งเล่น มือเรียวสวยของคุณหมอหนุ่มยกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนที่เดินเข้ามาด้วยแววตาเชือดเฉือน "ศานนท์...มาทำอะไรที่นี่?" ปราโมทย์ถามเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงราบเรียบเมินแววตาอาฆาตของเพื่อนสนิท " ฉันมาเยี่ยมเมียเพื่อนผิดตรงไหน.. " คุณหมอหนุ่มตอบอย่างไม่สนสายตาเย็นชาของเจ้าบ้านเลย " แกมีธุระอะไร" " คุณลุงหมอมาตรวจร่างกายแม่ค่ะ หนูเป็นคนโทรเรียกท่านมาเอง" อัมพิกาอธิบายให้คนเป็นพ่อเข้าใจ " หมดธุระแล้วก็กลับไปสิ" " เฮ้ย!....แกจะไม่รอฟังข่าวดีจากปากฉันเลยหรอ" "ข่าวดี?" ปราโมทย์เลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย พลางเพื่อนสนิทที่นั่งดื่มชาอย่างละเมียดละไมไม่ยอมตอบคำถามของตนสักที "ใช่" " เรื่องอะไร?" "ภรรยานายกำลังตั้งครรภ์ ทั้งๆ ที่อายุของเธอเข้าเลขสี่แล้ว ฉันต้องบอกว่ามหัศจรรย์สุดๆ " คุณหมอหนุ่มพูดด้วยความตื่นเต้น สายตาจ้องมองเพื่อนสนิทที่นิ่งค้างไป ความรู้สึกทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจปรากฏขึ้นในใจ ดวงตาคมกริบวูบไหวเสี้ยววินาที แต่เขากลับเลือกที่จะเก็บอาการเอาไว้ " นิ่งเป็นท่อนไม้เลยนะแก" ศานนท์พูดอย่างประชดประชันพลางหันไปหาภรรยาเพื่อนอยากให้กำลังใจ ที่ได้สามีไม่ต่างจากท่อนไม้ กาญจีที่ยืนมองเขาอยู่ใกล้ๆ รู้สึกถึงระยะห่างที่มองไม่เห็นระหว่างเธอและสามี หญิงสาวที่กำลังจะได้เป็นแม่อีกครั้งลูบท้องตัวเองเบาๆ ด้วยความรู้สึกอ่อนไหวและน้อยใจ แต่เธอไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแค่ยิ้มจางๆ อย่างฝืนทน อัมพิกายืนมองทั้งสองคนก่อนจะส่ายหัวเบาๆ คนนึงเย็นชาเก็บความรู้สึก อีกคนนึงพูดน้อยอ่อนหวานเก็บทุกอย่างไว้ในใจ... คิดแล้วก็กลุ้มใจจริงๆ สายลมพัดผ้าม่านสีขาวบางให้พริ้วไหว ร่างสูงยกถ้วยชาขึ้นจิบเงียบๆ ขณะที่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความคิดหลากหลาย "ขอบใจมาก ศานนท์..." เขาเอ่ยขึ้นเรียบๆ ก่อนจะเหลือบมองภรรยาของเขา "เธอพักผ่อนเถอะ อย่าหักโหม" คำพูดเพียงสั้นๆ ที่ไม่ได้แสดงความอ่อนโยนทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ท่ามกลางความว่างเปล่า เธอหันไปสบตาศานนท์ที่พยักหน้าอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทว่า...ภายในใจของปราโมทย์เองก็ไม่ได้สงบนิ่งอย่างที่ภรรยาเข้าใจ เขาแอบยิ้มเล็กๆ ขณะที่คิดถึงเด็กน้อยในครรภ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นมา แล้วก็เป็นห่วงสุขภาพของภรรยาที่ตั้งครรภ์ตอนอายุมาก ทั้งแอบรู้สึกผิดที่ทำร้ายร่างกายภรรยาด้วยความโมโห คิดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกอยากชกหน้าตัวเองหนักๆสักที " พ่อคะ " เสียงของลูกสาวทำเอาคนเป็นพ่อหลุดออกจากภวังค์ความคิด " มีอะไร? " "เรื่องที่แม่กำลังจะมีน้องอีกคน พ่อดีใจไหมคะ" หญิงสาวถามคนตรงหน้าด้วยความสงสัย " ดีใจสิ " เขาตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทำเอาอัมพิกาพูดไม่ออก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงดัง "เฮ้อ!...พ่อคะ บางทีหนูก็อยากให้พ่อแสดงความรู้สึกออกไปให้แม่รู้บ้าง แม่เขาจะได้มีกำลังใจไงคะ" นิ่งเป็นท่อนไม้เหมือนที่คุณลุงหมอพูดไปไม่มีผิด " พ่อจะพยายาม " ดวงตาคมเข้มหลุบต่ำลงอย่างใช้ความคิด บ้านอัคราวัล, เมืองชัยปุระ เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านม่านบางในห้องนั่งเล่นอันโอ่อ่าของตระกูลอัคราวัล ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด จิบกาแฟร้อนที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นเคล้ากับเสียงนกร้องเบาๆ ด้านนอกหน้าต่าง หนังสือพิมพ์ฉบับเช้าถูกเปิดอ่านอย่างตั้งใจ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นขัดจังหวะความสงบ กริ่ง~ ศิวะวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์ น้ำเสียงเรียบนิ่งถูกกรอกลงในสาย (ฮัลโหล ) (สวัสดี ศิวะหรอ) (ครับคุณลุง) (ขอโทษที่รบกวนนะ แต่ลุงมีเรื่องสำคัญจะบอก) (เรื่องสำคัญอะไรหรือครับ?) ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม (ภรรยาของลุงกำลังตั้งครรภ์ ลุงตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับเด็กในครรภ์ตามธรรมเนียม ลุงเลยอยากชวนเธอมางานด้วย) ปลายสายตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งทว่าแฝงไปด้วยความสุขเล็กๆ (ขอแสดงความยินดีด้วยครับ เป็นข่าวที่น่ายินดีจริงๆ แล้วงานเลี้ยงจัดขึ้นเมื่อไหร่?) ดวงตาคมกริบของชายหนุ่มเป็นประกายวูบหนึ่ง (อีกสองวัน อีกเดี๋ยวลุงจะพาเธอไปหาหมอด้วย ตั้งครรภ์ทั้งๆที่อายุขนาดนี้ มีความเสี่ยงไม่น้อยเลย ) (ฝากความเป็นห่วงถึงคุณป้าด้วยนะครับคุณลุง ยังไงผมจะไปร่วมงานแน่นอนครับ) ชายหนุ่มตอบกลับก่อนจะวางสายไป งานเลี้ยงในอีกสองวันนี้เป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มแผนการของเขา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกจุดขึ้นบนริมฝีปาก " อัมมาวดี ผมอยากจะรู้นัก ว่าคุณจะทำยังไงตอนที่เห็นหน้าผม" ความเจ็บปวดสายนึงแล่นเข้ามาในหัวใจทว่า...เขากลับไม่ได้สนใจมันเลย ความรักที่มีต่อหญิงสาวช่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่าเธอจะปันใจให้ชายอื่นและเลิกทิ้งเขาไป มันน่าขำตรงที่..เขาไม่สามารถเลือกรักเธอได้เลย แต่ก็ไม่สามารถปล่อยวางความแค้นเพราะเธอได้เช่นกัน งานเลี้ยงที่ปราโมทย์กล่าวถึงเรียกว่า "สรีมันทาน" (Seemantha) ซึ่งเป็นธรรมเนียมโบราณของอินเดียในการเฉลิมฉลองการตั้งครรภ์ครั้งแรกของสตรี ช่วงเวลานี้มักจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่ออวยพรให้แม่และเด็กในครรภ์แข็งแรง แขกเหรื่อมารวมตัวกันเพื่อมอบคำอวยพรและของขวัญอันเป็นมงคลแก่ครอบครัว ในวันงาน ร่างสูงใหญ่ของศิวะในชุดโจฎปุรีประดับลายทองอันสง่างาม เขาเตรียมของขวัญสำหรับเด็กในครรภ์อย่างพิถีพิถัน เดินก้าวเข้ามาในงานบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงดนตรีพื้นเมืองดังคลอไปทั่วงาน ตกแต่งด้วยดอกไม้สีสดที่พาดระโยงระยาง แขกจากทุกสารทิศล้วนแต่งกายอย่างหรูหราภายในคฤหาสน์ตระกูลเชาฮาน ที่ตกแต่งด้วยผ้าไหมสีทองและแดงเข้ม ประดับด้วยดอกไม้หลากสีเรียงรายตลอดแนวระเบียง กลิ่นกำยานอ่อนๆ หอมอบอวลทั่วงานโถงใหญ่ แสงไฟจากโคมระย้ากระทบกับเครื่องประดับอันหรูหรา สร้างบรรยากาศอันโอ่อ่าศิวะปรากฏตัวในชุดโจฎปุรีประดับลวดลายทองอันวิจิตร บ่งบอกถึงความสง่างามและฐานะที่น่าเกรงขาม เสื้อคลุมของเขาถักทอด้วยผ้าชั้นดีตัดเย็บอย่างประณีต มีลวดลายราชสีห์อันทรงอำนาจ เขาก้าวเข้ามาในงานอย่างสง่าผ่าเผย ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาที่หน้าทางเข้างาน อัมมาวดีและอัมพิกา ลูกสาวทั้งสองของตระกูลเชาฮาน ยืนต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้มอัมมาวดีอยู่ในชุดส่าหรีสีแดงเข้มปักลายทองละเอียดอ่อน ผ้าอาภรณ์สะท้อนแสงไฟระยิบระยับ ทรงผมเกล้ามวยสูง ตกแต่งด้วยดอกมะลิสดและจิวเวลรีที่ทำจากเพชรน้ำงาม ดูงดงามราวกับนางพญาอัมพิกาแต่งกายในชุดเลเฮนกาสีชมพูพีชประดับด้วยงานปักสีเงิน เสื้อครอปเข้ารูปเผยให้เห็นความอ่อนหวานของวัยสาว เธอประดับสร้อยคอพลอยสีชมพูเข้ากับต่างหูระย้าเข้ากับดวงตาสีน้ำผึ้งประกายสดใสของเธอ สองพี่น้องยืนเคียงกันเป็นภาพที่งดงามประหนึ่งนางเทพีแห่งความงามประจำค่ำคืน สร้างความประทับใจให้แขกเหรื่อที่เ
ชายวัยกลางคนในชุดชุดเชอร์วานีสีดำประดับลวดลายปักทองสะท้อนแสงไฟระยิบระยับจากโคมระย้าขนาดใหญ่กลางงาน ปราโมทย์ยิ้มทักทายแขกในงานอย่างเป็นมิตร " ยินดีนะคะคุณปราโมทย์ " "ขอบคุณครับ ขอบคุณที่มางาน" เขายกมือไหว้แขกทุกคนอย่างให้เกียรติ ปรายตามองงานที่ตกแต่งด้วยมาลัยดอกมะลิและกุหลาบสีแดงสด เสียงดนตรีแบบคลาสสิกอินเดียจากวงดนตรีสดช่วยสร้างบรรยากาศให้รื่นเริง ของทุกชิ้นในงานเขาเป็นคนเลือกเองกับมือ แสงไฟสาดส่องลงมาบนทางเดิน ร่างบอบบางในชุดเลห์งาร์สีทองประดับด้วยดอกไม้มุกสีขาวนวล สวมใส่เครื่องประดับสีทองตัดกับชุด เข็มขัดประดับเพชรสวยงามคาดอยู่ที่เอวส่งเสริมให้เธอดูโดดเด่น กาญจีเดินมาพร้อมลูกสาวทั้งสองคอยประคองเดินลงบันไดมาอย่างช้าๆ เดินย่างกรายมายังเก้าอี้ตัวยาวประดับด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ชนิดอย่างสวยงาม ร่างงามหย่อนตัวลงนั่งโดยมีลูกสาวประคองเอาไว้ แขกที่รอมอบของขวัญต่างมองด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะทยอยเดินเข้ามามอบของขวัญและคำอวยพรให้เธอ เสียงของดนตรีพื้นเมืองดังขึ้นเป็นระยะสร้างบรรยากาศให้รื่นเริงและอบอุ่น " คุณนาย ขอให้มีความสุขนะคะ " รอยยิ้มสวยปรากฏบนใบหน้า " คุณกาญจี ขอให้เด็กคนนี้เกิด
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แขกทุกคนทยอยกลับบ้านจนเกือบหมด อัมพิกายืนส่งแขกคนสุดท้ายด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน " ขอบคุณที่มานะคะ" เสียงนุ่มนวลกล่าวลาแขกคนสุดท้าย ความเหนื่อยล้าแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ งานในวันนี้กินพลังเธอไปหมดสิ้น เสียงดนตรีรื่นเริงที่ได้ยินก่อนหน้าตอนนี้กลับเงียบเชียบ หญิงสาวนั่งลงที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ภาพเหตุการณ์บนระเบียงในตอนนั้นก็กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง "พี่ศิวะ " อัมพิกาหลับตาลง พลางยกมือนวดขมับเบาๆ ผู้ชายที่เธอเคารพรักเหมือนพี่ชายแท้ๆในตอนนี้กลายเป็นคนที่เธอไม่รู้จัก ทั้งเย็นชา แข็งกระด้าง ปากร้าย ผู้ชายที่อ่อนโยนในตอนนั้นหายไปไหนแล้ว แสงจากโคมไฟระย้าสาดส่องลงมากระทบกับชุดสวยงามของเธอ ร่างอรชรนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องนั่งเล่น สายลมอ่อนๆพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง กลิ่นหอมจากดอกไม้ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย _วันนี้อากาศหนาว อย่าลืมกินน้ำอุ่นด้วยล่ะ_เสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มดังขึ้นมาในหัว ศิวะในตอนนั้นช่างดูอบอุ่น ทั้งน้ำเสียง แล้วแววตา อีกทั้งความรักในดวงตาของเขาที่มองพี่สาวของเธอมันช่างมั่นคง อ่อนหวาน พวกเขาเดินเคียงคู่กันมา
แสงแดดอ่อนในยามเช้าสาดส่องผ่านผ้าม่านแพรสีครีมที่พริ้วไหวทางสายลม ภายในห้องสีขาวมุกที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเครื่องไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม พื้นกระเบื้องลายหินอ่อนถูกปูด้วยพรหมทอมือลวดลายวิจิตรบรรจงสร้างบรรยากาศให้ดูอ่อนหวานและสวยงาม เตียงคิงไซส์ถูกคลุมด้วยผ้าปูที่นอนสีชมพูอ่อนที่ปักลวดลายดอกไม้ด้วยด้ายสีทองเข้ากันกับบรรยากาศห้องอย่างลงตัว หญิงสาวเจ้าของห้องยืนอยู่ตรงกระจกบานใหญ่ พลางยกมือขึ้นหวีผมยาวสลวยจนถึงบั้นเอว สวมใส่ชุดอานาร์กาลีสีฟ้าอ่อนประดับด้วยลูกปัดสีน้ำเงิน ที่ทำมาจากผ้าไหมเนื้อบางพริ้วไหวเวลาขยับตัว ตัวชุดคลุมไปถึงข้อเท้า ด้านในสวมใส่เลกกิ้งเพื่อความเรียบร้อย ทับด้วยส่าหรีสีขาวปักด้วยดิ้นทองอ่อนๆบางๆ คลุมพาดบนไหล่ ทำให้เธองดงามราวกับเทพธิดา หญิงสาวหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เสียงกระพรวนที่ข้อเท้าดังกระทบกันอย่างไพเราะ เดินผ่านห้องโถงไปยังห้องรับประทานอาหารของครอบครัว ห้องกว้างขวางถูกตกแต่งด้วยกระจกเงาแกะสลักสวยงาม โต๊ะไม้สักยาวถูกปูด้วยค่าปักลายสีทอง บนโต๊ะถูกวางด้วยชุดเครื่องถ้วยที่ทำมาจากกระเบื้องเคลือบ และประดับด้วยแจกันหินอ่อนท
ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสง่างาม ดวงตาสีนิลมองไปรอบๆร้านอย่างคุ้นเคย งานศิลปะของอดีตคนรักถูกออกแบบอย่างปราณีตและถูกสวมใส่โดยหุ่นจำลอง ผ้าไหมและส่าหรีเต็มไปด้วยสีสันงดงามและมีความหรูหรา พลันสายตาก็สะดุดกับหญิงสาวในชุดส่าหรีสีแดงเข้มเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ " คุณมาขอพบฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ ศิวะ" ดวงตาสีน้ำผึ้งอ่อนของหญิงสาววูบไหวเล็กน้อย เธอซ่อนความรู้สึกผิดเอาไว้ในใจ น้ำเสียงอ่อนหวานสั่นเครือช่วงท้ายประโยค " ผม...อยากได้ส่าหรีให้แม่สักชุด กำลังจะถึงวันเกิดของท่านแล้วผมก็อยากให้อะไรที่มันพิเศษ " ชายหนุ่มบอกหญิงสาวเสียงนุ่ม พลางมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาคนึงหา ในใจของเขาก็พลันรู้สึกเจ็บปวด คนที่เคยอยู่เคียงข้าง เคยใกล้ชิด เคยได้รัก ตอนนี้เธอก็เดินไปเคียงข้างคนอื่นเสียแล้ว " จริงด้วย ถ้างั้นฉันจะเป็นคนตัดส่าหรีให้คุณป้าเองค่ะ รับรองว่าเสร็จก่อนวันงานแน่ๆ" เสียงหวานกล่าวกับชายหนุ่มอย่างมั่นเหมาะ ถึงอย่างไรมารดาอีกฝ่ายก็ดีกับเธอมาก อัมมาวดีอยากให้ของขวัญชิ้นนี้พิเศษกว่าทุกชิ้น " รบกวนหรือเปล่า" "ไม่หรอกค่ะ วันเกิดคุณป้าทั้งที" รอยยิ้มสดใสปรากฏบนดวงหน้าหวาน ศิว
งานวันเกิดของศุมิตรา อัคราวัล ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นภรรยาของคุณนารายณ์ อดีตประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ก่อนจะวางมือให้ลูกชายมาบริหารแทนทั้งหมด เขากลับไปบริหารโรงงานสินค้าเล็กๆของเขตอุตสาหกรรม งานถูกจัดขึ้นที่ห้องบอลรูมขนาดใหญ่ของโรงแรมหรู ในเมืองชัยปุระ ถูกจัดขึ้นอย่างงดงามและหรูหรา เพดานสูงโปร่งประดับด้วยโคมไฟคริสตัลที่เปล่งประกายสวยงาม ริมกำแพงแต่ละด้านถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวและสีทอง เป็นดอกไม้ราคาสูงและเป็นที่นิยมสำหรับชนชั้นสูง และมีการจัดโต๊ะเป็นลักษณะวงกลม กลางห้องถูกประดับด้วยพรมแดงและโตขนาดใหญ่ถูกตั้งไว้กลางห้องถูกวางด้วยเค้กวันเกิดขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งมาอย่างสวยงาม แขกทุกคนทยอยกันมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก รวมไปถึงครอบครัวเชาฮานที่ส่งลูกสาวทั้งสองมาร่วมงานด้วย "เธอ...คุณอัมมาวดี แฟนเก่าลูกชายเจ้าของงานก็มาร่วมงานด้วยนะ" " จริงหรอ ฉันว่าข่าวลือที่เขาจบกันไม่ดีคงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกมั้ง " " ใครบอกกันล่ะเธอ ฉันว่าพวกเขาสร้างภาพกันมากกว่า" เสียงซุบซิบจากแขกรอบด้านดังขึ้นเป็นระยะ ทำให้สองพี่น้องตระกูลเชาฮานรู้สึกไม่ดีอยู่เล็กน้อยที่พวกเธอเป็นที่สนใจสำหรับแขกในงาน"ดีใจที่คุณมา
อีกด้านนึงของงาน เสียงดนตรีจากไวโอลินยังคงบรรเลงขึ้นอย่างไพเราะ สร้างความผ่อนคลายและความรื่นเริงแก่แขกในงาน ทว่า...เสียงดนตรีกลับทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นไม่เป็นจังหวะ เรือนร่างในชุดอานาร์กาลีสีขาวปักดิ้นทองเคลื่อนผ่านกลุ่มแขกไปอย่างรวดเร็ว ชายกระโปรงพลิ้วไหวตามแรงเดิน สองมือบางจับผ้าคลุมไหล่แน่น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองไปรอบๆ เธอเอื้อมไปจับมือของพนักงานคนนึงเอาไว้" เห็นน้องสาวของฉันไหมคะ" น้ำเสียงหวานเอ่ยถามขึ้นอย่างรวดเร็วแฝงไปด้วยความร้อนรน" เธอมีลักษณะยังไงคะ?" พนักงานสาวลังเลเล็กน้อยก่อนที่ถามออกไป " เป็นผู้หญิงสูงประมาณนี้ ใส่ชุดสีชมพู ผมลอนค่ะ พอจะเห็นบ้างไหมคะ" หญิงสาวบอกลักษณะของน้องสาวที่รักอย่างร้อนรน ความเป็นห่วงท้วมท้นเข้ามาในหัวใจ " อ๋อ...ถ้าลักษณะแบบนี้....ฉันคิดว่าเห็นอยู่คนนึงค่ะ อยู่แถวทะเลสาบ" " ขอบคุณมากๆค่ะ" อัมมาวดียิ้มออกมาด้วยความดีใจแล้วกล่าวขอบคุณพนักงานสาวคนนั้น ก่อนจะรีบเดินออกไปมุ่งหน้าไปทางทะเลสาบหลังโรงแรม ค่ำคืนที่มืดมิด มีเพียงดวงจันทร์เป็นประกายส่องแสงท่ามกลางความมืด เสียงน้ำกระเพื่อมเบาๆกระทบขอบฝั่งจนหยดน้ำกระเซ็นเป็นประกายใต้แสงจันทร์
วิหารกลางเมืองตั้งตระหง่านท่ามกลางแสงแดดสาดส่องที่สาดส่องลงมากระทบหลังคาของวิหาร โครงสร้างของวิหารถูกแกะสลักด้วยหินทรายบอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ขององค์มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ธูปหอมลอยตลลอบอวนไปในอากาศพร้อมกับกลิ่นดอกไม้ของผู้ศรัทธาที่นำมาถวายสักการะ ด้านหน้าของวิหารเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งนักบวช ผู้แสวงบุญ และชาวเมืองที่เดินทางมาไหว้สักการะศิวะมหาเทพเพื่อขอพรในเรื่องต่างๆ หนึ่งในนั้นก็คือ อัมพิกาในชุดส่าหรีสีแดงสดปักดิ้นทองอย่างประณีต ผืนผ้าพาดไหล่ข้างหนึ่งเผยให้เห็นเสื้อสั้นสีอ่อนด้านใน ข้อมือเรียวสวมกำไลทองเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งแผ่วเบาเมื่อเธอขยับตัว เธอปล่อยผมยาวสลวยถึงบั้นเอวเป็นลอนอ่อนๆประดับด้วยดอกมะลิสีขาวบริสุทธิ์ รอยจุดติกะตรงกลางหน้าผากบ่งบอกถึงผ่านการทำพิธีบูชามาแล้ว ดวงตาสีน้ำผึ้งอ่อนทอดมองไปยังหน้าพระพักตร์ของพระองค์ ความคิดที่ฟุ้งซ่านมาหลายวันก็สงบลงเมื่อได้มาสักการะมหาเทพในวิหาร " องค์มหาเทพ...ลูกไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้กลายเป็นแบบนี้ คนดีๆคนนึงจะเปลี่ยนไปเพราะผิดหวังในความรักแค่นั้นหรอ ลูกไม่เข้าใจ" เสียงหวานเอ่ยออกมาขณะมองหน้าพระพักตร์ " ลูกหวังว
บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระสายลมเย็นพัดผ่านร่างของหญิงสาวที่ออกมารับลมเล่นที่ระเบียงห้อง ดวงตาสีน้ำผึ้งทอดมองไปยังพื้นผิวของน้ำทะเลสาบที่เป็นประกายระยิบระยับใต้แสงแดด เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งเป็นจังหวะ บรรยากาศดูสงบร่มเย็น ทว่า...หัวใจของเธอกลับไม่ได้สงบเช่นบรรยากาศ นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วนับแต่วันที่เธอออกจากโรงพยาบาล ศิวะไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย จะมีเพียงแค่ส่งข้อความมากวนประสาทเป็นบางวัน เธอละสายตาจากวิวทะเลมาที่โทรศัพท์เครื่องหรูในมือ ปลายนิ้วเลื่อนปลดล็อคหน้าจอ เธอเปิดค้างอยู่ที่รายชื่อติดต่อ เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเปิดหน้านี้ค้างไว้ แต่... อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นของพี่สาวของเธอ และปราโมทย์พ่อของเธอก็เชิญเขามางานนี้ด้วย ซึ่งเธอไม่มั่นใจเลยว่าชายหนุ่มจะทำอะไรที่เหนือความคาดหมายหรือเปล่า"เลิกคิดเถอะ..." เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ปลายนิ้วของเธอลูบคลำบนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ก่อนจะปิดหน้าจอลง หญิงสาวพยายามทำให้ใจสงบ ทว่า... ยิ่งพยายามสงบใจมากขึ้นเท่าไหร่ ความรุ่มร้อนภายในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น...ความคิดมากมายทะลักเข้ามาในหัว มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ถ้าเกิดว่า...
เมื่อชายหนุ่มออกไปแล้ว ปราโมทย์ก็อยู่เป็นเพื่อนลูกสาวอย่างเงียบๆ เขานั่งปอกผลไม้อย่างชำนาญ เก็บแอปเปิ้ลที่ถูกหั่นชิ้นอย่างสวยงามยื่นไปที่ปากของอัมพิกาอัมพิกาอ้าปากรับผลไม้ที่คนเป็นพ่อส่งให้ด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวปิดปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย การที่พ่อของเธอมานั่งปอกผลไม้และป้อนเธอนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เพราะปกติแล้วปราโมทย์จะนั่งอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน ยกเว้นเวลาทานอาหาร "ขอบคุณนะคะพ่อ" "ขอบคุณอะไร?" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉย มือที่กำลังปอกผลไม้อยู่ถึงกับชะงัก "ก็... ขอบคุณที่ดูแลหนู แล้วก็เข้าไปช่วยหนูไงคะ" หญิงสาวเอนตัวไปซบที่แขนแกร่งอย่างออดอ้อน รู้สึกถึงฝ่ามือที่กำลังลูบผมเธออย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มรับรู้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อเธอ "ลูกสาวตกอยู่ในอันตรายทั้งที พ่อจะอยู่เฉยได้ยังไง" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พลางดันตัวลูกสาวออกมาเบาๆ "ค่า...แล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ?" "ก็เรื่อยๆ... ปกติดี ไม่ได้แพ้อะไร" อัมพิกาพยักหน้า มารดาของเธออายุก็มากแล้ว แต่ดันมาตั้งครรภ์อีก ไม่รู้ว่า... น้องในครรภ์จะเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชายกันนะ หญิงสาวคิดขึ้นมาด้วยความสงสัย มือบางหยิบแอป
อีกด้านหนึ่งของป่า ราฟีและปราโมทย์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เดินแกะรอยทั้งสามคนเข้ามาในป่า ที่นี่เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ทำให้ป่าที่นี่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ และมีสัตว์ร้ายชุกชุม พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จนกระทั่ง...ปัง! ปัง! มีเสียงปืนดังขึ้นในอีกด้านหนึ่งของป่า ทำให้พวกเขาหยุดชะงัก หัวใจของคนเป็นพ่ออย่างปราโมทย์เต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กอย่างสุดซึ้ง เขาภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์คุ้มครองลูกสาวของเขาด้วย "เร็วเข้า!" ปราโมทย์คำรามใส่เจ้าหน้าที่เสียงดังลั่น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขาเดินไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ราฟีและเจ้าหน้าที่เร่งเดิมตามหลังชายหนุ่มใหญ่อย่างเร่งรีบ นักการเมืองหนุ่มรับรู้ถึงความเป็นห่วงพี่มีต่อลูกสาวคนเล็กของปราโมทย์ได้เป็นอย่างดี ทว่า...เสียงปืนที่ดังใกล้ขนาดนี้ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ก็ได้ "เดี๋ยวก่อน" ชายหนุ่มหยุดว่าที่พ่อตาเอาไว้ ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ปราโมทย์ถึงกับหยุดชะงัก"มีอะไร?" "เสียงปืนดังใกล้ขนาดนี้ พวกคุณคิดว่าจะเป็นพวกไหน?" น้ำเสียงเรียกเฉยของเขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเนิบนาบ ราฟีประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ หากว
"บ้าเอ๊ย!" อาร์มันสบถในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าเข้าไปตวัดขาใส่คนพูดเป็นแรก ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีอาวุธครบมือ ปัง! ปัง! เสียงปืนดังก้องไปทั่วป่า กระสุนวิ่งผ่านหูในระยะประชิดจนทำให้อาร์มันเบี่ยงตัวหลบหลังต้นไม้แทบไม่ทัน เปลือกไม้แตกตามแรงปะทะ ท่อนไม้ในมือศิวะถูกเหวี่ยงออกไปผัวะ! กระทบกับร่างกายของกลุ่มชายในเครื่องแบบอย่างรุนแรง จนเซถอยไปหลายก้าว ฮาร์มันสบโอกาสก็พุ่งเข้าไปตวัดเท้ากระแทกปืนในมือศัตรูจนมันหลุดกระเด็นไป ด้านศิวะก็ไม่น้อยหนาใช้เท้าเตะเสยคางหนึ่งในนั้นจนสลบเหมือดอึก! อาร์มันรีบเข้าเตะซ้ำจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสภาพแล้ว ก่อนจะหันหลังเข้าหากันเมื่อคนที่เหลือกระจายตัวมาล้อมพวกเขาเอาไว้ "คุณเคยแสดงละครไหม?" อาร์มันหอบหายใจหนัก พลางพูดหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างขี้เล่น"หึ!" ใบหน้าคมเข้มกระตุกรอยยิ้มมุมปากก่อนจะพุ่งเข้าหักแขนศัตรูไปด้านหลัง พร้อมกับรับปืนมาอยู่ในมือ ปัง! เสียงลั่นไกกระทบไหล่ของชายอีกคนดังลั่น แล้วเอี้ยวตัวไปยิงเข้าที่ลำตัวของเขาทันทีโดยใช้ร่างของเพื่อนศัตรูเป็นเกราะกำบัง "เวรเอ๊ย!... ฉันไม่ใช่นักแสดงหนังบู๊นะ" อาร์มันพึมพำเสียงเบาๆ ในใจนึกถึงหน้าลูกเมียเอาไว้เพื่อเป
หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงความฟกช้ำตามร่างกาย ดวงตาคู่สวยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น สายตากวาดไปรอบๆด้วยความมึนงง ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นช้าๆ การกระทำของเธออยู่ในสายตาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล"ตื่นแล้วสินะ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างเนิบนาบ อัมพิกาหันไปมองทางต้นเสียง ศิวะกำลังยืนกอดอกมองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก "..." เธอไม่ได้ตอบเขา หญิงสาวเคลื่อนตัวออกมาจากเพิง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน ทว่า... ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนเธอเกือบจะล้มลง "อ๊ะ!" แต่...วงแขนแกร่งเข้ามาโอบร่างของเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น "ระวังหน่อย" ร่างสูงเอ่ยขึ้นมาเสียงดุ ใบหน้าเคร่งขรึมของเขามองเธออย่างคาดโทษ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น พยายามดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ช่างมีน้อยเหลือเกิน "อยู่เฉยๆ " เสียงทุ้มดุของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นมาแนบอก ซึ่งบุคคลที่สามอย่างอาร์มันก็มองภาพตรงหน้าด้วยสายตายิ้มๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ "ไหนบอกเป็นแค่เครื่องมือไง" ผู้ช่วยหนุ่มพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเดินเข้าหาทั้งสองคน " ให้ผมช่วยไหมครับ?" ศิวะปรายตามองอาร์มันอย่าง
"หนูผิดเอง...หนูผิดเองค่ะ" เสียงสั่นเครือของเธอเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา หญิงสาวกล่าวโทษตัวเองที่เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวตกอยู่ในอันตราย ถ้าเธอ...ไม่เข้าไปช่วยแม่ค้าคนนั้น น้องสาวของเธอคงจะยืนอยู่ตรงนี้"มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อามู" ราฟีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า...คำอธิบายของชายหนุ่มกลับทำให้อีกคนเดือดดาล และรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเรื่องที่ทำให้ลูกสาวของเขาถูกตามล่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง"เพราะแค่เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ พวกมันถึงกับตามล่าลูกสาวฉันเลยหรอ" ปราโมทย์แทบสบถออกมา เสียงเย็นเยียบของเขากล่าวออกมาจนราฟีเองก็สัมผัสได้ถึงแรงโทสะที่กำลังปะทุอยู่ในใจของชายสูงวัย "ใช่ครับ" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ "พวกมันไม่ใช่แค่เป็นพ่อค้าคนกลางธรรมดา แต่ว่าพวกมันมีเบื้องลึกมากกว่านั้น พวกมันมีเส้นสายกับนักการเมืองท้องถิ่นบางคนและจ่ายส่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่" "แล้วไอ้คนที่ถูกคุมตัวอยู่มันพูดว่าอะไรบ้าง?" เขาถามกลับ "ตอนแรกก็ไม่ยอมพูดอะไรครับ แต่ว่าพอใช้วิธีนิดหน่อย พวกมันก็เลยยอมพูด" ราฟีหรี่ตามองบิดาของคนรัก พลางยิ้มมุมปากเล็
คำถามนั้นทำให้ศิวะพูดไม่ออก เขาเหมือนถูกค้อนทุบที่หัว ในใจหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก "เธอไม่ควรถามอะไรแบบนี้นะ" "ทำไหมคะ?" อัมพิกามองหน้าเขา น้ำตาคลอเบ้า หญิงสาวพยายามเค้นเสียงของตัวเองออกมาเพื่อถามเขา "ทำไมถึงไม่ตอบล่ะ" ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ดวงตาคมเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนและเจ็บปวด "เพราะพี่...ไม่อยากมีน้องสาว" เขาพูดเสียงเรียบ พลางก้มมองหญิงสาวในอ้อมแขน พร้อมกระชับอ้อมกอดเพื่อส่งความอบอุ่นเข้าไปในร่างกายของเธอมากที่สุด ชายหนุ่มเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เขากอดเธอนิ่งๆไม่ยอมปล่อยร่างของเธอเป็นอิสระ เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน... หรือจริงๆแล้ว... เขาแค่ไม่อยากยอมรับมัน อัมพิกาเงียบไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงอีกครั้ง ร่างกายของเธออ่อนแอจนเกินรับไหว แต่ก่อนที่เธอจะจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา เสียงแผ่วเบาของเธอก็ดังขึ้น "พี่ไม่อยากตอบ ก็ไม่เป็นไรค่ะ... หนูรู้ตัวเองดี" ว่าเป็นได้แค่เครื่องมือที่เอาไว้ใช้แก้แค้นพี่สาว....ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงบีบรัดที่หัวใจ มันเจ็บจนหายใจไม่ออก ลมหายใจของเขาสะดุดลงเมื่อได้ยินคำพูดตัดพ้อของคนในอ้อมกอดความแค้นที่เขายึดมั่นนักหนา... ตอนนี้กำลังจะทำให้หญิงสาวที่เคยสด
เปลวไฟเต้นเร้าอยู่ในอากาศ เสียงไม้แตกกระทบกันดังสนั่นเพื่อขับไล่ความมืดและสัตว์ป่าที่จะเข้ามาทำร้ายพวกเขา อาร์มันและศิวะช่วยกันสร้างเพิงเล็กๆ 2 หลังเพื่อเป็นที่พักค้างแรมในค่ำคืนนี้ พวกเขาหาใบไม้สดมาปูรองเป็นที่นอน ชายหนุ่มเข้าไปอุ้มอัมพิกาที่นอนพิงต้นไม้ใหญ่เข้ามานอนในเพิงพร้อมจัดท่าทางให้เรียบร้อย ก่อนจะเข้ามานั่งข้างๆกับผู้ช่วยของเขา "ลำบากคุณแล้ว" ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะนั่งมองเปลวไฟที่กำลังลุกโชนท่ามกลางความมืด "ผมไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ... ผมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของคุณ ก็ต้องช่วยคุณอย่างถึงที่สุดถูกต้องไหมครับ" อาร์มันพูดเย้าแหย่เจ้านายด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมคายมีหนวดเคราที่ถูกจัดแต่งเป็นอย่างดี ทว่า...เขาเป็นคนอัธยาศัยดี ขี้เล่น และเป็นผู้ช่วยของศิวะมานานถึงสิบสามปี "ผมว่าผมควรจะให้โบนัสคุณเพิ่มแล้วล่ะ" ผู้ช่วยหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะมองเจ้านายด้วยสายตาหยอกเย้า "ผมว่าคุณควรให้พักร้อนกับผมนะ " คราวนี้ถึงตาศิวะเป็นคนหัวเราะบ้างแล้ว แต่ในใจเขาก็เห็นด้วยที่จะให้พักร้อนกับผู้ช่วยของเขา อาร์มัน เขามีภรรยาและลูกๆทั้งห้าคนรออยู่ที่บ้าน "โอเค... แต่ต้อง
วงแขนแกร่งโอบเอวเธอไว้อย่างอ่อนโยน ดวงตาสีนิลเหลือบมองกลุ่มผมสีดำสนิทร่วงลงมาราวกับผ้าม่าน ความห่วงหาสะท้อนชัดอยู่ในแววตาโดยที่เขาไม่รู้ตัว"เป็นอะไรไหม?""ไม่...เป็นไร" อัมพิกาหันมาตอบเขา ทว่า...ใบหน้าหล่อเหลากลับอยู่ใกล้เพียงคืบจนปลายจมูกของทั้งสองแตะกัน ดวงตาสีน้ำผึ้งสบกับดวงตาสีนิลของเขา ความเย็นชาไร้จุดหมาย แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง ทำให้หัวใจของหญิงสาวเกิดสั่นไหว ร่างบางค่อยๆลงมาจากตักของเขา แล้วกระเถิบไปชิดประตูอีกฝั่ง พลางก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อหลบกระสุนที่สาดเข้ามา อาร์มันพยายามหลบหลีกกระสุนอย่างยากลำบาก เขาส่งสายตาหาเจ้านายเพื่อต้องการความคิดเห็นดวงตาคมกริบมองหน้าของเลขาคนสนิทอย่างเรียบนิ่ง"เปิดระบบขับรถอัตโนมัติ" เขาสั่งการอย่างรวดเร็ว พลางดึงแขนของอัมพิกาเข้ามาใกล้ "มารวมตัวกับฉันเอาไว้" "ได้ครับคุณศิวะ " อาร์มันรีบเปิดระบบขับรถอัตโนมัติ ก่อนจะเข้าไปรวมตัวกับเจ้านายที่เบาะหลัง รถเคลื่อนตัวไปตามความเร็วที่ถูกตั้งไว้ จนมาถึงทางโค้งทางหนึ่ง"เราต้องรีบโดดเดี๋ยวนี้" ชายหนุ่มพูดเสียงเข้มก่อนจะรวบตัวคนตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมกอด มืออีกข้างจากที่ประตูรถไว้แน่น เสียงปังยังคงด