ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสง่างาม ดวงตาสีนิลมองไปรอบๆร้านอย่างคุ้นเคย งานศิลปะของอดีตคนรักถูกออกแบบอย่างปราณีตและถูกสวมใส่โดยหุ่นจำลอง ผ้าไหมและส่าหรีเต็มไปด้วยสีสันงดงามและมีความหรูหรา พลันสายตาก็สะดุดกับหญิงสาวในชุดส่าหรีสีแดงเข้มเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ
" คุณมาขอพบฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ ศิวะ" ดวงตาสีน้ำผึ้งอ่อนของหญิงสาววูบไหวเล็กน้อย เธอซ่อนความรู้สึกผิดเอาไว้ในใจ น้ำเสียงอ่อนหวานสั่นเครือช่วงท้ายประโยค " ผม...อยากได้ส่าหรีให้แม่สักชุด กำลังจะถึงวันเกิดของท่านแล้วผมก็อยากให้อะไรที่มันพิเศษ " ชายหนุ่มบอกหญิงสาวเสียงนุ่ม พลางมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาคนึงหา ในใจของเขาก็พลันรู้สึกเจ็บปวด คนที่เคยอยู่เคียงข้าง เคยใกล้ชิด เคยได้รัก ตอนนี้เธอก็เดินไปเคียงข้างคนอื่นเสียแล้ว " จริงด้วย ถ้างั้นฉันจะเป็นคนตัดส่าหรีให้คุณป้าเองค่ะ รับรองว่าเสร็จก่อนวันงานแน่ๆ" เสียงหวานกล่าวกับชายหนุ่มอย่างมั่นเหมาะ ถึงอย่างไรมารดาอีกฝ่ายก็ดีกับเธอมาก อัมมาวดีอยากให้ของขวัญชิ้นนี้พิเศษกว่าทุกชิ้น " รบกวนหรือเปล่า" "ไม่หรอกค่ะ วันเกิดคุณป้าทั้งที" รอยยิ้มสดใสปรากฏบนดวงหน้าหวาน ศิวะมองรอยยิ้มนั้นอยู่นาน ก่อนเสหน้าไปทางอื่น ตอนนี้ชายหนุ่มเหมือนเป็นคนแปลกหน้าที่มองอดีตของตัวเองจากที่ไกลๆ ไม่สามารถครอบครองมันได้อีกแล้ว ดวงตาสีนิลเข้มขึ้นด้วยอารมณ์บางอย่างก่อนที่จะเลือนหายไป " ถ้ายังไงผมจะกลับมารับอีกทีตอนเย็นนะ...แล้วก็งานวันเกิดของคุณแม่..." ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดออกไป "ผมอยากจะเชิญคุณและครอบครัวไปด้วยน่ะครับ" สิ้นประโยคอัมมาวดีก็เงียบไป เธอก็ไม่คิดว่าจะได้ยินคำเชิญนี้จากปากเขาเพราะว่าหญิงสาวทำกับเขาไว้เจ็บแสบ ทว่า..มารดาของอีกฝ่ายก็ดีกับเธอมาก " ศิวะคะ...คือฉัน.." "ไปเถอะครับ แม่ผม ท่านเข้าใจ" สายตาคาดหวังของเขาทำให้เธอปฏิเสธเขาไม่ลง " ได้ค่ะ ฉันจะไปแน่นอน ขอบคุณที่เชิญนะคะ"เธอพยายามรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติแต่ว่าในใจเธอกลับหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก อัมมาวดีรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายที่ยังดีกับเธอไม่เปลี่ยนแปลงทั้งๆที่เธอนอกใจเขา หักหลังเขา ศิวะเป็นคนดีจริงๆ แต่ผู้ชายที่ดีและเพียบพร้อมเธอก็หมดรักเขาซะได้ "ยินดีครับ " ใบหน้าคมเข้มเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าในใจกลับเจ็บแปลบขึ้นมา... ความรู้สึกทั้งรัก ทั้งแค้นประทุขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวตรงหน้าคือคนที่เขารัก เมื่อจินตนาการถึงสายตาของคนที่รักกำลังแสดงความเจ็บปวดยามที่เขาได้แก้แค้นสำเร็จ หัวใจของเขากลับปวดหน่วง แต่...ทำไมเขาจะต้องเป็นฝ่ายเจ็บล่ะ " ถ้าชุดเสร็จเมื่อไหร่คุณโทรมาบอกผมนะครับ เดี๋ยวผมมารับ" สายตาของเขาวูบไหวเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติในเสี้ยววินาที เสียงนาฬิกาโบราณดังขึ้นภายในร้าน เป็นสิ่งที่ดังไพเราะแต่สำหรับเขามันเป็นเสียงตอกย้ำว่าอดีตได้ผ่านพ้นไปแล้ว ชายหนุ่มเรื่องสายตาไปรอบๆร้านก่อนจะชะงักเมื่อเห็นชุดส่าหรีชุดหนึ่งสวมอยู่ที่หุ่นจำลอง เป็นชุดสีแดงเข้มประกายทอง ผ้าส่าหรีทำด้วยผ้าไหมจัณฑีเนื้อเนียนละเอียดราวกับสายน้ำ ชายส่าหรีและพรมชาย ปากลวดลายดอกไม้โมเกรา(Mogra) และดอกชบาเป็นดอกไม้ที่พระแม่ปารวตีโปรดปราน และเสื้อเบลาส์ แขนยาวทำด้วยผ้าไหมสีทองอ่อน ปักลวดลายเล็กๆด้วยเส้นด้ายสีแดงและสีทองอย่างปราณีต ขอบส่าหรีเย็บเสริมด้วยมุกสีขาวนวล เป็นชุดที่สวยงามหรูหรา ชุดนี้หญิงสาวเป็นคนออกแบบกับมือ เพราะ...มันเป็นชุดแต่งงานของเธอกับเขา ครั้งหนึ่ง... เขาเคยเคียงข้างเธอในยามค่ำคืนเวลาเธอตัดเย็บ ชุดนี้อย่างตั้งใจ ครั้งหนึ่ง... เธอเคยบอกว่าอยากใส่ชุดนี้..ในงานแต่งงานของเรา " ศิวะคะ ถ้าฉันใส่ชุดนี้ในงานแต่งของเรา คุณจะมองฉันเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในโลกไหมคะ" "แน่นอนอยู่แล้ว คุณสวยที่สุดสำหรับผมเสมอ" ภาพในอดีตไหลย้อนเข้ามาในความทรงจำราวกับสายน้ำ ชุดนี้เคยเป็นชุดที่มีค่าที่สุดสำหรับหญิงสาว.. ตอนนี้... มันกลับถูกเอามาวางขายในร้าน ราวกับว่ามันไม่มีค่าอะไร รอยยิ้มของชายหนุ่มค่อยๆเลือนหาย ก่อนจะเดินออกจากร้านไปด้วยความเร่งรีบ อัมมาวดีมองตามแผ่นหลังของอดีตคนรักไป สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและขอโทษอยู่ในใจ " ขอโทษนะ ศิวะ" สายตาสีน้ำตาลอ่อน มองไปยังชุดที่เธอตัดเย็บมัน ตั้งใจว่าจะใส่มันในงานแต่งของเธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไป ในขณะเดียวกันอัมพิกาก็เดินเข้ามาพร้อมของกินในมือมากมาย ใบหน้าสวยหวานเปื้อนรอยยิ้ม ชายหนุ่มหยุดชะงัก ดวงตาสีนิลมองหญิงสาวด้วยสายตาเรียบนิ่งก่อนจะหลุบตาลงอย่างใช้ความคิด อัมพิกา เจ้าหญิงในกรงทองของครอบครัวเชาฮาน เธอน่ารัก นิสัยดี อ่อนโยน และไม่รู้เรื่องอะไรเลย ชายหนุ่มเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆแต่... เธอเป็นน้องสาวที่อดีตคนรัก รักมาก ถ้าการใช้เธอทำให้อัมมาวดีต้องเจ็บปวด เขาก็จะไม่ลังเลที่จะทำ " อัมมาวดี.คุณจะต้องจดจำความเจ็บปวดนี้ไปอีกนาน" เสียงทุ้มต่ำรอดออกจากริมฝีปากหนา ฝ่ามือของเขากำหมัดแน่น อารมณ์โทสะพี่มอบดับไปแล้วกลับประทุขึ้นมาใหม่ราวกับไฟจากนรก ในเมื่อความรักของเขามันไม่มีค่า.. ก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ในเมื่ออดีตคนรักเลือกที่จะฉีกอดีตที่มีร่วมกันทิ้งอย่างเลือดเย็น เขาก็จะทำให้เธอจดจำเขาไปตลอดชีวิตเช่นกัน.... อัมพิกา คือหมากชั้นดีที่จะทำให้เขาแก้แค้นได้สำเร็จ คฤหาสน์หรูย่าน Civil Lines., เมืองชัยปุระ คฤหาสน์หรูสไตล์ราชสถานตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมอินเดียดั้งเดิมผสมผสานกับความทันสมัย มีพื้นที่กว้างขวางและสวนน้ำพุขนาดใหญ่ สมกับเป็นเจ้าของธุรกิจการผลิตและการขายสินค้าอุตสาหกรรม ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทเดินก้าวเข้ามาด้านใน เคยให้เห็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยโคมไฟระย้าตรงกลางห้อง ผ้าม่านปักลวดลายสวยงามพริ้วไสวตามสายลม " กลับมาแล้วเหรอลูก" หญิงวัยกลางคนในชุดส่าหรี่สีฟ้าครามเรียบง่ายเดินเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน " ครับแม่ " ศิวะเดินโผลเข้ากอดมารดาอย่างแผ่วเบา อ้อมกอดของมารดาทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นทุกครั้งที่ได้กลับบ้าน หัวใจของเขารู้สึกเหมือนได้พักผ่อนหลังจากที่เจอมรสุมมาอย่างหนัก ศุมิตรา ลูบหลังลูกชายคนเดียวของเธอด้วยความอ่อนโยน " ไหน..ขอแม่ดูหน่อย" เธอผละออกจากลูกชาย ก่อนจะสำรวจดูชายหนุ่ม " ลูกผอมลงนะ... ทำไมไม่ดูแลตัวเองเลย" เธอพูดดุลูกชายยกใหญ่ ร่างสูงได้แต่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไรเธอไป " กลับมาได้แล้วหรอ!" เสียงทุ้มห้าวตวาดลั่นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางคน ใบหน้าคมเข้มมีหนวดเคราถูกตัดแต่งไว้อย่างดี สวมชุดครุตา เดินออกมาจากห้องทำงานอย่างสง่างาม " อกหักครั้งเดียว ถึงกับไม่กลับบ้านกลับช่อง แกคิดว่าบ้านเป็นโรงแรมเอาไว้พักชั่วคราวหรือไง" นารายณ์ อัคราวัล แม่อายุจะร่วงเลยเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่เขาก็ยังรักษาร่างกายให้แข็งแรงเรากับคนอายุสี่สิบ " ผมต้องทำงานครับ " ชายหนุ่มตอบกลับผู้เป็นพ่อไป พลางเอามือล้วงกระเป๋า "หึ... แกคิดว่าฉันจะเชื่อหรอ!" นารายณ์ที่เห็นการกระทำนั้นของลูกชายก็รู้สึกหมั่นไส้ ปนความเป็นห่วงอยู่ลึกๆที่ไม่แสดงออก เขาเลิกคิ้วถามลูกชายกลับไปเสียงสูง "ครับ" พูดจบเขาก็เดินหนีไปอีกทางทันที เพราะอยู่เถียงไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี "คุณดูมันสิ ดูมันยอกย้อมผม" เขาหันไปฟ้องภรรยาทันที ศุมิตรามองหน้าสามีอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวเบาๆ " คุณก็อย่าไปต่อปากต่อคำกับลูกสิคะ " " คุณเข้าข้างมันหรอ!!" เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เสียงโวยวายของสามีทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยใจ " เอาล่ะค่ะคุณนารายณ์ เมื่อไหร่คุณจะเลิกทะเลาะกับลูกสักทีคะ" " มันมากกว่าที่ชวนผมทะเลาะ" " ฉันไม่คุยกับคุณแล้วค่ะ" เมื่อเห็นสามีเถียงเขาเป็นเอ็น ศุมิตราก็หาทางหนีทีไล่เพราะไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขาเหมือนกัน นารายณ์ที่ถูกภรรยาและลูกชายเดินหนีเขาก็รู้สึกฮึดฮัดในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะว่านั่นก็ภรรยาที่เขารัก นั่นก็ลูกชายที่เขาภูมิใจ " ให้มันได้อย่างนี้สิ"งานวันเกิดของศุมิตรา อัคราวัล ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นภรรยาของคุณนารายณ์ อดีตประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ก่อนจะวางมือให้ลูกชายมาบริหารแทนทั้งหมด เขากลับไปบริหารโรงงานสินค้าเล็กๆของเขตอุตสาหกรรม งานถูกจัดขึ้นที่ห้องบอลรูมขนาดใหญ่ของโรงแรมหรู ในเมืองชัยปุระ ถูกจัดขึ้นอย่างงดงามและหรูหรา เพดานสูงโปร่งประดับด้วยโคมไฟคริสตัลที่เปล่งประกายสวยงาม ริมกำแพงแต่ละด้านถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวและสีทอง เป็นดอกไม้ราคาสูงและเป็นที่นิยมสำหรับชนชั้นสูง และมีการจัดโต๊ะเป็นลักษณะวงกลม กลางห้องถูกประดับด้วยพรมแดงและโตขนาดใหญ่ถูกตั้งไว้กลางห้องถูกวางด้วยเค้กวันเกิดขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งมาอย่างสวยงาม แขกทุกคนทยอยกันมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก รวมไปถึงครอบครัวเชาฮานที่ส่งลูกสาวทั้งสองมาร่วมงานด้วย "เธอ...คุณอัมมาวดี แฟนเก่าลูกชายเจ้าของงานก็มาร่วมงานด้วยนะ" " จริงหรอ ฉันว่าข่าวลือที่เขาจบกันไม่ดีคงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกมั้ง " " ใครบอกกันล่ะเธอ ฉันว่าพวกเขาสร้างภาพกันมากกว่า" เสียงซุบซิบจากแขกรอบด้านดังขึ้นเป็นระยะ ทำให้สองพี่น้องตระกูลเชาฮานรู้สึกไม่ดีอยู่เล็กน้อยที่พวกเธอเป็นที่สนใจสำหรับแขกในงาน"ดีใจที่คุณมา
อีกด้านนึงของงาน เสียงดนตรีจากไวโอลินยังคงบรรเลงขึ้นอย่างไพเราะ สร้างความผ่อนคลายและความรื่นเริงแก่แขกในงาน ทว่า...เสียงดนตรีกลับทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นไม่เป็นจังหวะ เรือนร่างในชุดอานาร์กาลีสีขาวปักดิ้นทองเคลื่อนผ่านกลุ่มแขกไปอย่างรวดเร็ว ชายกระโปรงพลิ้วไหวตามแรงเดิน สองมือบางจับผ้าคลุมไหล่แน่น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองไปรอบๆ เธอเอื้อมไปจับมือของพนักงานคนนึงเอาไว้" เห็นน้องสาวของฉันไหมคะ" น้ำเสียงหวานเอ่ยถามขึ้นอย่างรวดเร็วแฝงไปด้วยความร้อนรน" เธอมีลักษณะยังไงคะ?" พนักงานสาวลังเลเล็กน้อยก่อนที่ถามออกไป " เป็นผู้หญิงสูงประมาณนี้ ใส่ชุดสีชมพู ผมลอนค่ะ พอจะเห็นบ้างไหมคะ" หญิงสาวบอกลักษณะของน้องสาวที่รักอย่างร้อนรน ความเป็นห่วงท้วมท้นเข้ามาในหัวใจ " อ๋อ...ถ้าลักษณะแบบนี้....ฉันคิดว่าเห็นอยู่คนนึงค่ะ อยู่แถวทะเลสาบ" " ขอบคุณมากๆค่ะ" อัมมาวดียิ้มออกมาด้วยความดีใจแล้วกล่าวขอบคุณพนักงานสาวคนนั้น ก่อนจะรีบเดินออกไปมุ่งหน้าไปทางทะเลสาบหลังโรงแรม ค่ำคืนที่มืดมิด มีเพียงดวงจันทร์เป็นประกายส่องแสงท่ามกลางความมืด เสียงน้ำกระเพื่อมเบาๆกระทบขอบฝั่งจนหยดน้ำกระเซ็นเป็นประกายใต้แสงจันทร์
วิหารกลางเมืองตั้งตระหง่านท่ามกลางแสงแดดสาดส่องที่สาดส่องลงมากระทบหลังคาของวิหาร โครงสร้างของวิหารถูกแกะสลักด้วยหินทรายบอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ขององค์มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ธูปหอมลอยตลลอบอวนไปในอากาศพร้อมกับกลิ่นดอกไม้ของผู้ศรัทธาที่นำมาถวายสักการะ ด้านหน้าของวิหารเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งนักบวช ผู้แสวงบุญ และชาวเมืองที่เดินทางมาไหว้สักการะศิวะมหาเทพเพื่อขอพรในเรื่องต่างๆ หนึ่งในนั้นก็คือ อัมพิกาในชุดส่าหรีสีแดงสดปักดิ้นทองอย่างประณีต ผืนผ้าพาดไหล่ข้างหนึ่งเผยให้เห็นเสื้อสั้นสีอ่อนด้านใน ข้อมือเรียวสวมกำไลทองเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งแผ่วเบาเมื่อเธอขยับตัว เธอปล่อยผมยาวสลวยถึงบั้นเอวเป็นลอนอ่อนๆประดับด้วยดอกมะลิสีขาวบริสุทธิ์ รอยจุดติกะตรงกลางหน้าผากบ่งบอกถึงผ่านการทำพิธีบูชามาแล้ว ดวงตาสีน้ำผึ้งอ่อนทอดมองไปยังหน้าพระพักตร์ของพระองค์ ความคิดที่ฟุ้งซ่านมาหลายวันก็สงบลงเมื่อได้มาสักการะมหาเทพในวิหาร " องค์มหาเทพ...ลูกไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้กลายเป็นแบบนี้ คนดีๆคนนึงจะเปลี่ยนไปเพราะผิดหวังในความรักแค่นั้นหรอ ลูกไม่เข้าใจ" เสียงหวานเอ่ยออกมาขณะมองหน้าพระพักตร์ " ลูกหวังว
อัมพิกานิ่งงันกับคำพูดของชายหนุ่ม น้ำตาหยดแล้วหยุดเล่าไหลลงอาบแก้ม ในใจของเธอปวดหนึบจนแทบหายใจไม่ออก"พี่หมายความว่ายังไง?" เธอเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ศิวะขบกรามแน่น สายตาแข็งกร้าวของเขาวูบไหวเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับมาเย็นชาเช่นเดิม " ก็หมายความอย่างที่พูด" ดวงตาสีนิลมองหน้าหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป"เพราะฉะนั้น...เธอไม่มีสิทธิ์มาขวางทางของพี่ และเธอก็ต้องยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ถ้าไม่อยากให้คนที่เธอรักต้องเดือดร้อน ก็มาเป็นเครื่องมือของพี่ซะ" "ไม่ค่ะ" เธอไม่มีทางยอมให้อีกฝ่ายใช้เธอทำร้ายคนที่เธอรักเด็ดขาด อัมพิกามองหน้าเขาด้วยสายตาไม่ยินยอม ศิวะหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะของเขาช่างเย็นเยียบไร้อารมณ์เหลือเกิน "ก็ได้" เขาขยับเข้ามาใกล้เธอ ชายหนุ่มในเวลานี้ราวกับมีซาตานร้ายเข้ามาสิงสู่"แต่...คนที่ต้องพังทลายก็คือพี่สาวของเธอนะ" สิวศิวะเอ่ยขึ้นมาเสียงเนิบนาบ "สิ่งที่อัมมาวดีสร้างมากับมือต้องพังลงเพราะคนรักของตัวเอง" "พี่!!" หญิงสาวแทบกรีดร้องใส่เขา เสียงของเธอสั่นไหวด้วยอารมณ์โกรธ เธอไม่เคยเห็นใครบ้าได้มากขนาดนี้มาก่อนเลย"พี่..พ
ท้องฟ้ายามค่ำคืนถูกปกคลุมด้วยความมืด มีเพียงแสงจันทร์เลือนลางและดวงดาวประปรายที่สองประกายบนท้องฟ้า สายลมพัดพายอดไม้ไหวเอนตามแรงลม เสียงแมลงยามค่ำคืนดังคลอกับเสียงสวดมนต์จากวิหารใกล้ๆ ในคฤหาสน์ริมทะเลของครอบครัวเชาฮาน เต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดปกคลุมไปทั่ว จนสร้างความหวั่นเกรงให้กับคนงานในบ้าน เสียงฝีเท้ากระวนกระวายดังขึ้นเป็นระยะ บรรดาคนงานมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล ทุกคนต่างรู้ดีว่าผู้เป็นนายกำลังร้อนใจมากแค่ไหน "อามู มานั่งสงบสติอารมณ์ก่อนเถอะ" กาญจีเอ่ยกับลูกสาว ที่เดินวนไปมาหลายรอบจนเธอชักจะเวียนหัว"แม่คะ อามิยังไม่กลับมาเลยนะคะ" เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล หญิงสาวในชุดส่าหรีไหมสีเข้มขับสีผิวของเธอ ผมยาวสลวยถูกเกล้าขึ้นอย่างประณีต เครื่องประดับทองส่องประกายแวววับกับแสงไฟ ทว่าใบหน้าสวยกลับเต็มไปความกระวนกระวายและเป็นห่วง น้องสาวคนเดียวของเธอที่ยังไม่กลับบ้าน"เธอไปวิหารตั้งแต่เช้า..ป่านนี้ก็ยังไม่กลับบ้าน" "ไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า โทรศัพท์ก็ไม่ได้เอาไปด้วย" เสียงพึมพำของหญิงสาวดังขึ้นเป็นระยะ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบนมองนาฬิกาเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่ว
แสงแดดอ่อนๆลอดผ่านผ้าม่านผืนบางมายังห้องนอนของหญิงสาว เธอขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นมาช้าๆ ความรู้สึกหนักอึ้งแล่นเข้ามาทันทีเมื่อเธอพยายามยันตัวเองลุกขึ้นจากที่เตียง อัมพิกาถอนหายใจยาว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อคืนเธอแทบไม่ได้นอนเลย ดวงตาสีน้ำผึ้งเหลือบมองนาฬิกาบนผนังก่อนจะเบิกกว้างขึ้น สิบโมงกว่าแล้ว! นี่เธอตื่นสายขนาดนี้เลยหรอ"แย่แล้ว!" หญิงสาวรีบเด้งตัวลงจากเตียง แต่ทันทีที่ขยับอาการเวียนศีรษะก็เข้าจู่โจมกะทันหันจนทำให้เธอชะงักนิ่ง พยายามกะพริบตาถี่ๆเพื่อปรับโฟกัส พลางสูดลมหายใจลึกๆ แต่หัวใจของเธอกลับเต้นแรงขึ้นทุกที ทุกอย่างเริ่มหมุนคว้าง ภาพตรงหน้าพร่าเลือนลงเรื่อยๆ... จนกระทั่งโลกทั้งใบดับวูบลง"สิบโมงกว่าแล้ว" อัมมาวดีนั่งรอน้องสาวที่โต๊ะอาหารเหมือนทุกวัน เธอมองนาฬิกาติดผนังที่เข็มเวลาผ่านไปทุกนาที เธอยิ่งร้อนใจ เมื่ออัมพิกายังไม่ลงมา "ทำไม อามิยังไม่ลงมาอีกนะ" "เมื่อคืน น้องกลับดึก..อาจจะยังเพลียอยู่มั้ง" กาญจีบอกกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางคนข้าวต้มปลาในถ้วยอย่างเบามือ "ปล่อยน้องนอนไปเถอะลูก" เธอพูดออกไป แต่พอมองเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของอี
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจากกลางวันแปรเปลี่ยนเป็นกลางคืน พระจันทร์ทอแสงสาดส่องลงมาให้แสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดันขึ้นเป็นระยะ สายลมพัดพาความชื้นลอดเข้ามาผ่านผ้าม่านผืนบาง แสงไฟสีวอร์มไวท์ตั้งเรียงรายรอบๆตัวคฤหาสน์ บรรยากาศแสนอบอุ่นทว่า...กลับปกคลุมด้วยความเงียบงันที่ยากจะอธิบาย อัมมาวดีพยุงกาญจีเข้าห้องเพื่อพักผ่อน หลังจากรอคอยปราโมทย์ผู้เป็นสามีกลับบ้านมานานหลายชั่วโมง " แม่นอนพักนะคะ เดี๋ยวพ่อก็กลับมาแล้ว" หญิงสาวบอกมารดาอย่างอ่อนโยน มือบางดึงผ้าห่มคลุมร่างกายของอีกฝ่ายไว้ กาญจีพยักหน้ารับก่อนจะหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า เธอรอจนมารดาหลับไปก่อนจะเดินออกมาจากห้อง หญิงสาวเดินผ่านห้องต่างๆไปอย่างช้าๆจนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องของอัมพิกา เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ทอดมองบานประตูราวกับจะมองทะลุมันไป มือเรียวเอื้อมไปจับลูกบิดประตูอย่างช้าๆก่อนจะหยุดชะงักลง ความลังเลฉายชัดอยู่ในดวงตาสวย อัมมาวดีพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะหมุนลูกบิดประตูช้าๆ แอ๊ด...ภายในห้องเงียบสงัด มีเพียงแสงจันทร์ลอดผ่านผ้าม่านสีครีมบางๆเข้ามา ทอดเงาสอนทำบนพื้นหินอ่อน หญิงสาวกวาดมองรอบๆห้อง ทุกอย่าง
โรงพยาบาลในเมืองอุทัยปุระไฟในห้องพักผู้ป่วยส่องแสงสลัวเพื่อไม่ให้รบกวนผู้ป่วยที่กำลังพักผ่อน เสียงเครื่องวัดชีพจรดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ อัมพิกานอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากอวบอิ่มแห้งผาก ร่างบางราวกับจะบุบสลายไปทุกเมื่อ ข้างเตียง..อัมมาวดีนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง หญิงสาวเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ข้อความของอดีตคนรักยังคงวนเวียนอยู่ในหัว อีกทั้งท่าทางแปลกๆของอัมพิกาที่อยู่ในร้านของเธอ ในตอนนั้นคำพูดแปลกๆของน้องสาวที่เธอไม่ได้ใส่ใจมัน แต่ตอนนี้....อัมมาวดีกับนึกถึงมันขึ้นมาเมื่อได้เห็นข้อความนั้น ถ้าเธอเอะใจเร็วกว่านี้... น้องสาวของเธอก็คงไม่ต้องมานอนป่วยอยู่ตรงนี้..." พี่.." เสียงแผ่วเบาของอัมพิกาดังขึ้นทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ ดวงตาสีน้ำผึ้งสวยปรือขึ้นมองพี่สาว ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง "อามิ" มือบางเอื้อมไปจับมือคนป่วยด้วยความดีใจ รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย ก่อนจะกดสัญญาณเรียกพยาบาลที่อยู่ด้านนอก " เธอฟื้นแล้ว" อัมพิกามองใบหน้าของพี่สาวที่แสดงความดีใจออกมา เธอก็รู้สึกตื้นตันอยู่ในใจ หญิงสาวพยายามลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างยากลำบาก ทว่า..ควา
บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระสายลมเย็นพัดผ่านร่างของหญิงสาวที่ออกมารับลมเล่นที่ระเบียงห้อง ดวงตาสีน้ำผึ้งทอดมองไปยังพื้นผิวของน้ำทะเลสาบที่เป็นประกายระยิบระยับใต้แสงแดด เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งเป็นจังหวะ บรรยากาศดูสงบร่มเย็น ทว่า...หัวใจของเธอกลับไม่ได้สงบเช่นบรรยากาศ นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วนับแต่วันที่เธอออกจากโรงพยาบาล ศิวะไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย จะมีเพียงแค่ส่งข้อความมากวนประสาทเป็นบางวัน เธอละสายตาจากวิวทะเลมาที่โทรศัพท์เครื่องหรูในมือ ปลายนิ้วเลื่อนปลดล็อคหน้าจอ เธอเปิดค้างอยู่ที่รายชื่อติดต่อ เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเปิดหน้านี้ค้างไว้ แต่... อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นของพี่สาวของเธอ และปราโมทย์พ่อของเธอก็เชิญเขามางานนี้ด้วย ซึ่งเธอไม่มั่นใจเลยว่าชายหนุ่มจะทำอะไรที่เหนือความคาดหมายหรือเปล่า"เลิกคิดเถอะ..." เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ปลายนิ้วของเธอลูบคลำบนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ก่อนจะปิดหน้าจอลง หญิงสาวพยายามทำให้ใจสงบ ทว่า... ยิ่งพยายามสงบใจมากขึ้นเท่าไหร่ ความรุ่มร้อนภายในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น...ความคิดมากมายทะลักเข้ามาในหัว มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ถ้าเกิดว่า...
เมื่อชายหนุ่มออกไปแล้ว ปราโมทย์ก็อยู่เป็นเพื่อนลูกสาวอย่างเงียบๆ เขานั่งปอกผลไม้อย่างชำนาญ เก็บแอปเปิ้ลที่ถูกหั่นชิ้นอย่างสวยงามยื่นไปที่ปากของอัมพิกาอัมพิกาอ้าปากรับผลไม้ที่คนเป็นพ่อส่งให้ด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวปิดปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย การที่พ่อของเธอมานั่งปอกผลไม้และป้อนเธอนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เพราะปกติแล้วปราโมทย์จะนั่งอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน ยกเว้นเวลาทานอาหาร "ขอบคุณนะคะพ่อ" "ขอบคุณอะไร?" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉย มือที่กำลังปอกผลไม้อยู่ถึงกับชะงัก "ก็... ขอบคุณที่ดูแลหนู แล้วก็เข้าไปช่วยหนูไงคะ" หญิงสาวเอนตัวไปซบที่แขนแกร่งอย่างออดอ้อน รู้สึกถึงฝ่ามือที่กำลังลูบผมเธออย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มรับรู้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อเธอ "ลูกสาวตกอยู่ในอันตรายทั้งที พ่อจะอยู่เฉยได้ยังไง" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พลางดันตัวลูกสาวออกมาเบาๆ "ค่า...แล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ?" "ก็เรื่อยๆ... ปกติดี ไม่ได้แพ้อะไร" อัมพิกาพยักหน้า มารดาของเธออายุก็มากแล้ว แต่ดันมาตั้งครรภ์อีก ไม่รู้ว่า... น้องในครรภ์จะเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชายกันนะ หญิงสาวคิดขึ้นมาด้วยความสงสัย มือบางหยิบแอป
อีกด้านหนึ่งของป่า ราฟีและปราโมทย์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เดินแกะรอยทั้งสามคนเข้ามาในป่า ที่นี่เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ทำให้ป่าที่นี่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ และมีสัตว์ร้ายชุกชุม พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จนกระทั่ง...ปัง! ปัง! มีเสียงปืนดังขึ้นในอีกด้านหนึ่งของป่า ทำให้พวกเขาหยุดชะงัก หัวใจของคนเป็นพ่ออย่างปราโมทย์เต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กอย่างสุดซึ้ง เขาภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์คุ้มครองลูกสาวของเขาด้วย "เร็วเข้า!" ปราโมทย์คำรามใส่เจ้าหน้าที่เสียงดังลั่น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขาเดินไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ราฟีและเจ้าหน้าที่เร่งเดิมตามหลังชายหนุ่มใหญ่อย่างเร่งรีบ นักการเมืองหนุ่มรับรู้ถึงความเป็นห่วงพี่มีต่อลูกสาวคนเล็กของปราโมทย์ได้เป็นอย่างดี ทว่า...เสียงปืนที่ดังใกล้ขนาดนี้ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ก็ได้ "เดี๋ยวก่อน" ชายหนุ่มหยุดว่าที่พ่อตาเอาไว้ ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ปราโมทย์ถึงกับหยุดชะงัก"มีอะไร?" "เสียงปืนดังใกล้ขนาดนี้ พวกคุณคิดว่าจะเป็นพวกไหน?" น้ำเสียงเรียกเฉยของเขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเนิบนาบ ราฟีประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ หากว
"บ้าเอ๊ย!" อาร์มันสบถในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าเข้าไปตวัดขาใส่คนพูดเป็นแรก ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีอาวุธครบมือ ปัง! ปัง! เสียงปืนดังก้องไปทั่วป่า กระสุนวิ่งผ่านหูในระยะประชิดจนทำให้อาร์มันเบี่ยงตัวหลบหลังต้นไม้แทบไม่ทัน เปลือกไม้แตกตามแรงปะทะ ท่อนไม้ในมือศิวะถูกเหวี่ยงออกไปผัวะ! กระทบกับร่างกายของกลุ่มชายในเครื่องแบบอย่างรุนแรง จนเซถอยไปหลายก้าว ฮาร์มันสบโอกาสก็พุ่งเข้าไปตวัดเท้ากระแทกปืนในมือศัตรูจนมันหลุดกระเด็นไป ด้านศิวะก็ไม่น้อยหนาใช้เท้าเตะเสยคางหนึ่งในนั้นจนสลบเหมือดอึก! อาร์มันรีบเข้าเตะซ้ำจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสภาพแล้ว ก่อนจะหันหลังเข้าหากันเมื่อคนที่เหลือกระจายตัวมาล้อมพวกเขาเอาไว้ "คุณเคยแสดงละครไหม?" อาร์มันหอบหายใจหนัก พลางพูดหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างขี้เล่น"หึ!" ใบหน้าคมเข้มกระตุกรอยยิ้มมุมปากก่อนจะพุ่งเข้าหักแขนศัตรูไปด้านหลัง พร้อมกับรับปืนมาอยู่ในมือ ปัง! เสียงลั่นไกกระทบไหล่ของชายอีกคนดังลั่น แล้วเอี้ยวตัวไปยิงเข้าที่ลำตัวของเขาทันทีโดยใช้ร่างของเพื่อนศัตรูเป็นเกราะกำบัง "เวรเอ๊ย!... ฉันไม่ใช่นักแสดงหนังบู๊นะ" อาร์มันพึมพำเสียงเบาๆ ในใจนึกถึงหน้าลูกเมียเอาไว้เพื่อเป
หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงความฟกช้ำตามร่างกาย ดวงตาคู่สวยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น สายตากวาดไปรอบๆด้วยความมึนงง ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นช้าๆ การกระทำของเธออยู่ในสายตาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล"ตื่นแล้วสินะ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างเนิบนาบ อัมพิกาหันไปมองทางต้นเสียง ศิวะกำลังยืนกอดอกมองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก "..." เธอไม่ได้ตอบเขา หญิงสาวเคลื่อนตัวออกมาจากเพิง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน ทว่า... ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนเธอเกือบจะล้มลง "อ๊ะ!" แต่...วงแขนแกร่งเข้ามาโอบร่างของเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น "ระวังหน่อย" ร่างสูงเอ่ยขึ้นมาเสียงดุ ใบหน้าเคร่งขรึมของเขามองเธออย่างคาดโทษ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น พยายามดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ช่างมีน้อยเหลือเกิน "อยู่เฉยๆ " เสียงทุ้มดุของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นมาแนบอก ซึ่งบุคคลที่สามอย่างอาร์มันก็มองภาพตรงหน้าด้วยสายตายิ้มๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ "ไหนบอกเป็นแค่เครื่องมือไง" ผู้ช่วยหนุ่มพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเดินเข้าหาทั้งสองคน " ให้ผมช่วยไหมครับ?" ศิวะปรายตามองอาร์มันอย่าง
"หนูผิดเอง...หนูผิดเองค่ะ" เสียงสั่นเครือของเธอเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา หญิงสาวกล่าวโทษตัวเองที่เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวตกอยู่ในอันตราย ถ้าเธอ...ไม่เข้าไปช่วยแม่ค้าคนนั้น น้องสาวของเธอคงจะยืนอยู่ตรงนี้"มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อามู" ราฟีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า...คำอธิบายของชายหนุ่มกลับทำให้อีกคนเดือดดาล และรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเรื่องที่ทำให้ลูกสาวของเขาถูกตามล่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง"เพราะแค่เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ พวกมันถึงกับตามล่าลูกสาวฉันเลยหรอ" ปราโมทย์แทบสบถออกมา เสียงเย็นเยียบของเขากล่าวออกมาจนราฟีเองก็สัมผัสได้ถึงแรงโทสะที่กำลังปะทุอยู่ในใจของชายสูงวัย "ใช่ครับ" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ "พวกมันไม่ใช่แค่เป็นพ่อค้าคนกลางธรรมดา แต่ว่าพวกมันมีเบื้องลึกมากกว่านั้น พวกมันมีเส้นสายกับนักการเมืองท้องถิ่นบางคนและจ่ายส่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่" "แล้วไอ้คนที่ถูกคุมตัวอยู่มันพูดว่าอะไรบ้าง?" เขาถามกลับ "ตอนแรกก็ไม่ยอมพูดอะไรครับ แต่ว่าพอใช้วิธีนิดหน่อย พวกมันก็เลยยอมพูด" ราฟีหรี่ตามองบิดาของคนรัก พลางยิ้มมุมปากเล็
คำถามนั้นทำให้ศิวะพูดไม่ออก เขาเหมือนถูกค้อนทุบที่หัว ในใจหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก "เธอไม่ควรถามอะไรแบบนี้นะ" "ทำไหมคะ?" อัมพิกามองหน้าเขา น้ำตาคลอเบ้า หญิงสาวพยายามเค้นเสียงของตัวเองออกมาเพื่อถามเขา "ทำไมถึงไม่ตอบล่ะ" ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ดวงตาคมเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนและเจ็บปวด "เพราะพี่...ไม่อยากมีน้องสาว" เขาพูดเสียงเรียบ พลางก้มมองหญิงสาวในอ้อมแขน พร้อมกระชับอ้อมกอดเพื่อส่งความอบอุ่นเข้าไปในร่างกายของเธอมากที่สุด ชายหนุ่มเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เขากอดเธอนิ่งๆไม่ยอมปล่อยร่างของเธอเป็นอิสระ เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน... หรือจริงๆแล้ว... เขาแค่ไม่อยากยอมรับมัน อัมพิกาเงียบไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงอีกครั้ง ร่างกายของเธออ่อนแอจนเกินรับไหว แต่ก่อนที่เธอจะจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา เสียงแผ่วเบาของเธอก็ดังขึ้น "พี่ไม่อยากตอบ ก็ไม่เป็นไรค่ะ... หนูรู้ตัวเองดี" ว่าเป็นได้แค่เครื่องมือที่เอาไว้ใช้แก้แค้นพี่สาว....ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงบีบรัดที่หัวใจ มันเจ็บจนหายใจไม่ออก ลมหายใจของเขาสะดุดลงเมื่อได้ยินคำพูดตัดพ้อของคนในอ้อมกอดความแค้นที่เขายึดมั่นนักหนา... ตอนนี้กำลังจะทำให้หญิงสาวที่เคยสด
เปลวไฟเต้นเร้าอยู่ในอากาศ เสียงไม้แตกกระทบกันดังสนั่นเพื่อขับไล่ความมืดและสัตว์ป่าที่จะเข้ามาทำร้ายพวกเขา อาร์มันและศิวะช่วยกันสร้างเพิงเล็กๆ 2 หลังเพื่อเป็นที่พักค้างแรมในค่ำคืนนี้ พวกเขาหาใบไม้สดมาปูรองเป็นที่นอน ชายหนุ่มเข้าไปอุ้มอัมพิกาที่นอนพิงต้นไม้ใหญ่เข้ามานอนในเพิงพร้อมจัดท่าทางให้เรียบร้อย ก่อนจะเข้ามานั่งข้างๆกับผู้ช่วยของเขา "ลำบากคุณแล้ว" ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะนั่งมองเปลวไฟที่กำลังลุกโชนท่ามกลางความมืด "ผมไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ... ผมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของคุณ ก็ต้องช่วยคุณอย่างถึงที่สุดถูกต้องไหมครับ" อาร์มันพูดเย้าแหย่เจ้านายด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมคายมีหนวดเคราที่ถูกจัดแต่งเป็นอย่างดี ทว่า...เขาเป็นคนอัธยาศัยดี ขี้เล่น และเป็นผู้ช่วยของศิวะมานานถึงสิบสามปี "ผมว่าผมควรจะให้โบนัสคุณเพิ่มแล้วล่ะ" ผู้ช่วยหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะมองเจ้านายด้วยสายตาหยอกเย้า "ผมว่าคุณควรให้พักร้อนกับผมนะ " คราวนี้ถึงตาศิวะเป็นคนหัวเราะบ้างแล้ว แต่ในใจเขาก็เห็นด้วยที่จะให้พักร้อนกับผู้ช่วยของเขา อาร์มัน เขามีภรรยาและลูกๆทั้งห้าคนรออยู่ที่บ้าน "โอเค... แต่ต้อง
วงแขนแกร่งโอบเอวเธอไว้อย่างอ่อนโยน ดวงตาสีนิลเหลือบมองกลุ่มผมสีดำสนิทร่วงลงมาราวกับผ้าม่าน ความห่วงหาสะท้อนชัดอยู่ในแววตาโดยที่เขาไม่รู้ตัว"เป็นอะไรไหม?""ไม่...เป็นไร" อัมพิกาหันมาตอบเขา ทว่า...ใบหน้าหล่อเหลากลับอยู่ใกล้เพียงคืบจนปลายจมูกของทั้งสองแตะกัน ดวงตาสีน้ำผึ้งสบกับดวงตาสีนิลของเขา ความเย็นชาไร้จุดหมาย แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง ทำให้หัวใจของหญิงสาวเกิดสั่นไหว ร่างบางค่อยๆลงมาจากตักของเขา แล้วกระเถิบไปชิดประตูอีกฝั่ง พลางก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อหลบกระสุนที่สาดเข้ามา อาร์มันพยายามหลบหลีกกระสุนอย่างยากลำบาก เขาส่งสายตาหาเจ้านายเพื่อต้องการความคิดเห็นดวงตาคมกริบมองหน้าของเลขาคนสนิทอย่างเรียบนิ่ง"เปิดระบบขับรถอัตโนมัติ" เขาสั่งการอย่างรวดเร็ว พลางดึงแขนของอัมพิกาเข้ามาใกล้ "มารวมตัวกับฉันเอาไว้" "ได้ครับคุณศิวะ " อาร์มันรีบเปิดระบบขับรถอัตโนมัติ ก่อนจะเข้าไปรวมตัวกับเจ้านายที่เบาะหลัง รถเคลื่อนตัวไปตามความเร็วที่ถูกตั้งไว้ จนมาถึงทางโค้งทางหนึ่ง"เราต้องรีบโดดเดี๋ยวนี้" ชายหนุ่มพูดเสียงเข้มก่อนจะรวบตัวคนตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมกอด มืออีกข้างจากที่ประตูรถไว้แน่น เสียงปังยังคงด