“หากข้าสามารถทำให้เถ้าแก่หลิวเลิกซื้อปลาจากหลินฉางหยูได้ การค้าของมันก็ต้องพังพินาศ! พวกมันจะต้องพบกับความอับจน ความอดอยาก และความทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับพวกเรา!”
จูฉางไห่คิดอย่างมุ่งร้าย ความพยาบาทครอบงำจิตใจของเขาจนหมดสิ้น
เขาจึงเริ่มดำเนินการตามแผน โดยเริ่มจากการปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับปลาของหลินฉางหยู แพร่กระจายไปทั่วตลาด ราวกับเชื้อไฟที่ลามทุ่ง เขาใช้คำพูดที่ดูเหมือนหวังดี แต่แฝงไปด้วยเจตนาร้าย เพื่อให้ผู้คนหลงเชื่อ
“ข้าได้ยินมาว่าปลาของหลินฉางหยูเลี้ยงในบ่อที่ไม่สะอาด ทำให้ปลาเป็นโรค เนื้อปลาจึงมีรสชาติแปลกประหลาด บางคนกินเข้าไปก็ท้องเสีย”
จูฉางไห่กระซิบกระซาบกับชาวบ้านในตลาด ทำทีเป็นหวังดี อยากให้ทุกคนระวัง
“จริงหรือ? เช่นนั้นเราก็ต้องระวังอย่าซื้อปลาจากเขา”
ชาวบ้านตอบด้วยความกังวล เริ่มลังเลที่จะซื้อปลาจากหลินฉางหยู
ข่าวล
หลังจากที่สองย่าหลาน แม่เฒ่าจูและจูไห่เฟิง พยายามอย่างสุดกำลังที่จะดูแลร้านค้าเล็กๆ นั้น แต่ด้วยความไม่เชี่ยวชาญและขาดประสบการณ์ พวกเขาจึงต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย สินค้าขายไม่ออก เงินทุนที่เหลืออยู่น้อยนิดก็ร่อยหรอลงทุกที ดุจดั่งน้ำที่ซึมออกจากโอ่งที่ก้นรั่ว ไร้ทางที่จะเติมเต็มแม่เฒ่าจูเริ่มตระหนักว่าหากปล่อยสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะไม่มีเงินเหลือไว้ประทังชีวิต นางจึงตัดสินใจที่จะขายร้านค้า เพื่อรักษาเงินทุนที่เหลือไว้โชคยังดีที่พวกเขาสามารถขายร้านให้กับทางการได้ แม้ราคาจะไม่สูงเท่าที่หวัง แต่ก็ยังได้เงินกลับมาห้าสิบตำลึง ถือเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับพวกเขาในยามนี้แม่เฒ่าจูเก็บเงินก้อนนี้ไว้อย่างดี ดุจดั่งสมบัติล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้ นางกำชับจูไห่เฟิงอย่างหนักแน่นไม่ให้แตะต้องเงินก้อนนี้แม้แต่อีแปะเดียว นางกลัวว่าหลานชายจะนำเงินไปเล่นการพนันอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ยากของครอบครัวให้หนักยิ่งกว่าเดิมหลายวันผ่านไป แม่เฒ่าจูครุ่นคิดถึง
คุณหนูเฉินเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมพบปะผู้ใด นางตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวและเสียใจอย่างสุดซึ้ง ความงดงามที่เคยเปล่งประกายบนใบหน้าบัดนี้กลับเลือนหายไป เหลือเพียงความเศร้าหมองและความหวาดระแวงข่าวลือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเริ่มแพร่สะพัดไปในหมู่คนรับใช้ในจวน ทำให้เศรษฐีเฉินยิ่งกังวลใจ เขาตระหนักดีว่าหากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปภายนอก จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของตระกูลอย่างร้ายแรงด้วยความรักบุตรีและความกังวลต่อชื่อเสียงของตระกูล เศรษฐีเฉินจึงตัดสินใจที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และหาทางออกที่ดีที่สุดหลังจากไตร่ตรองอย่างหนัก เศรษฐีเฉินก็ตัดสินใจที่จะให้คุณหนูเฉินแต่งงานกับจูไห่เฟิง แม้เขาจะรู้ว่าจูไห่เฟิงเป็นคนต่ำช้าและมิคู่ควรกับบุตรีของตน แต่เขาเชื่อว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะรักษาเกียรติของตระกูลเมื่อคุณหนูเฉินทราบเรื่อง นางก็ตกใจและเสียใจเป็นอย่างมาก นางไม่ยอมรับการแต่งงานกับคนที่ทำร้ายนาง นางพยายามอ้อนวอนบิดา แต่ก็ไม่เป็นผล
เมื่อสายลมเหมันต์แรกพัดโชยมาสัมผัสผืนดินแห่งต้าไห่ เป็นสัญญาณแห่งการสิ้นสุดฤดูเพาะปลูกและเริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยว ท้องทุ่งนาสีทองอร่ามไกลสุดลูกหูลูกตา แปรเปลี่ยนเป็นผืนพรมสีเหลืองอำพัน ดุจดั่งทองคำที่ส่องประกายระยิบระยับยามต้องแสงตะวันชาวบ้านต้าไห่ต่างออกมาช่วยกันเก็บเกี่ยวพืชผลอย่างขะมักเขม้น ทั้งชาย หญิง คนชรา และเด็ก ต่างร่วมแรงร่วมใจกันอย่างแข็งขัน เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และเสียงเพลงพื้นบ้านดังก้องกังวานไปทั่วท้องทุ่ง สร้างบรรยากาศแห่งความสุข ความอบอุ่น และความสามัคคี ดุจดั่งบทเพลงแห่งชีวิตที่ขับขานถึงความอุดมสมบูรณ์และความร่วมมือร่วมใจภาพของชาวนาที่ก้มหน้าก้มตาเกี่ยวข้าวสาลี เคียวสีเงินวาววับในมือตัดผ่านต้นข้าวอย่างชำนาญ หยาดเหงื่อที่ไหลรินอาบใบหน้ากร้านแดด เป็นเครื่องยืนยันถึงความเหน็ดเหนื่อยและความอุตสาหะของพวกเขาเด็กๆ วิ่งเล่นซุกซนอยู่ตามคันนา เก็บดอกหญ้าและแมลงต่างๆ อย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะคิกคักของพวกเขาสร้างความสดใสให้กับบรรยากาศในท้องทุ่ง
ในวันว่างวันหนึ่ง หลินฉิงอันเกิดความคิดที่จะชวนหลินฉางหยูขึ้นไปเดินเล่นบนเขา นางอยากจะสำรวจพื้นที่ที่พวกเขายังไม่เคยไปถึง และสูดอากาศบริสุทธิ์ของป่าเขา“ท่านพ่อ วันนี้อากาศดี ข้าอยากจะชวนท่านขึ้นเขาไปเดินเล่น ไปดูว่ามีสิ่งใดน่าสนใจบ้าง” หลินฉิงอันเอ่ยชวนบิดาด้วยรอยยิ้ม“เช่นนั้นก็ดี ข้าเองก็อยากจะพักผ่อนบ้าง ไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนเขาคงจะดีไม่น้อย” หลินฉางหยูตอบรับคำชวนของลูกสาวสองพ่อลูกจึงเตรียมตัวออกเดินทางขึ้นเขา พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กๆ ที่คดเคี้ยวไปตามไหล่เขา ผ่านป่าสนที่เขียวชอุ่มและลำธารน้ำใสที่ไหลริน พวกเขาได้ยินเสียงนกร้องและเสียงแมลงต่างๆ เป็นเสียงเพลงธรรมชาติที่ไพเราะเมื่อเดินลึกเข้าไปในป่า พวกเขาก็ได้พบกับพื้นที่ที่พวกเขาไม่เคยไปถึงมาก่อน ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นอย่างหนาแน่น แสงแดดส่องลงมาเพียงรำไร ทำให้บริเวณนั้นดูร่มรื่นและเย็นสบายและแล้วสายตาของหลินฉิงอันก็เหลือบไปเห็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง
ในวันต่อมา หลังจากที่หลินฉางหยูและหลินฉิงอันส่งปลาให้กับลูกค้าเสร็จ พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะไปพบผู้ใหญ่บ้านหลี่ เพื่อเสนอความคิดที่จะช่วยเหลือชาวบ้านในการเก็บเกาลัดและนำไปขายที่อำเภอในช่วงหน้าหนาวพวกเขาเดินทางไปยังบ้านของผู้ใหญ่บ้านหลี่ และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น“ท่านผู้ใหญ่บ้าน พวกเรามีเรื่องที่จะขอหารือกับท่าน” หลินฉางหยูกล่าว“เชิญว่ามาเถิด ฉางหยู มีเรื่องอันใดหรือ?” ผู้ใหญ่บ้านหลี่ถามด้วยความสนใจหลินฉางหยูจึงเล่าเรื่องการค้นพบสวนเกาลัดบนเขา และความคิดของหลินอ้ายที่จะช่วยเหลือชาวบ้านให้ผู้ใหญ่บ้านหลี่ฟัง“ภรรยาของข้าคิดว่าเราควรจะชวนชาวบ้านขึ้นไปเก็บเกาลัดมารวมกัน แล้วหาตัวแทนนำไปขายที่อำเภอในช่วงหน้าหนาว เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้เสริม” หลินฉางหยูอธิบายผู้ใหญ่บ้านหลี่ฟังเรื่องราวด้วยความตั้งใจ เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ตระกูลหลินมีน้
หลังการสอนคั่วเกาลัดแล้ว เหล่าชาวบ้านกับลูกหลานลองชิมเกาลัดที่เพิ่งทำเสร็จร้อน ๆ พวกเขาพบว่ารสชาติของมันอร่อยยิ่งนัก“โอ้ อร่อยมากจริง ๆ”“ใช่ ๆ ข้าคิดว่าหน้าหนาวนี้เราไม่ต้องอดอยากกันแล้วล่ะ”“ถ้าเอาไปขายในอำเภอเราน่าจะได้กำไรมากมายเลยนะ”“อ่า… เช่นนั้นพวกเราแบ่งหน้าที่กันก่อนเถอะ”ชาวบ้านตื่นเต้นมากที่ผลเกาลัดจะทำเงินให้กับคนในหมู่บ้านได้แน่นอน ผู้ใหญ่บ้านกับครอบครัวหลินต่างยิ้มพอใจที่เห็นชาวบ้านเริ่มแบ่งกลุ่มกันทำงาน“ฉางหยู เจ้าไม่เสียดายรายได้นี้แน่นะ?”“พวกเราไม่เสียดายขอรับ ผู้ใหญ่บ้านโปรดวางใจ”“เฮ้อ หมู่บ้านเราโชคดีจริง ๆ ที่มีพวกเจ้าอยู่ ไม่เช่นนั้นคงยากที่ชาวบ้านจะลืมตาอ้าปากได้ ยิ่งหน้าหนาวที่จะถึงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหนาวมากเพียงใด”
เมื่อก่อนรุ่งเช้ามาถึง เสียงไก่ขันในหมู่บ้านดังขึ้น หลินฉิงอันตื่นขึ้นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า นางเตรียมตัวอย่างรวดเร็วเพื่อออกไปช่วยพ่อส่งปลาตามปกติ ก่อนที่จะออกเดินทาง นางได้ขอเงินจากหลินอ้ายเพิ่มอีกห้าตำลึง“ท่านแม่ วันนี้ข้าขอเงินเพิ่มอีกห้าตำลึงได้หรือไม่เจ้าคะ” หลินฉิงอันเอ่ยขอด้วยความนอบน้อม ขณะจัดแต่งเสื้อผ้าหลินอ้ายมองบุตรีด้วยสายตาเอ็นดู นางสังเกตเห็นแววตาที่มุ่งมั่นและแฝงไปด้วยความห่วงใยของหลินฉิงอัน นางจึงเข้าใจถึงเจตนาของลูกสาว“เจ้าต้องการนำเงินไปทำสิ่งใดหรือ ฉิงเออร์?” หลินอ้ายถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าอยากจะซื้อที่นอนและผ้าห่มใหม่ให้กับทุกคนในบ้านเจ้าค่ะ ก่อนที่อากาศจะหนาวเย็นไปมากกว่านี้ ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงมากแล้ว ข้าเป็นห่วงว่าทุกคนจะหนาว” หลินฉิงอันตอบด้วยความเป็นห่วงหลินอ้ายได้ฟังดังนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา นางไม่ได้สอบถามอะไรเพิ่มเติม เพียงแต่เดินเข้าไปในห้องนอนและหย
เมื่อรุ่งเช้าของวันต่อมา แสงตะวันเพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า หลินฉิงอันก็ตื่นขึ้นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า นางตั้งใจที่จะขึ้นเขาไปหาของป่าด้วยตนเอง เพื่อนำไปขายในวันที่ต้องไปส่งปลาอีกครั้งในวันมะรืนนี้ นางหวังว่าภายในสองวันนี้ นางจะสามารถหาของป่าได้มากพอที่จะนำเงินไปซื้อเกวียนลาให้ท่านพ่อก่อนที่ฤดูหนาวจะมาถึงหลินฉิงอันแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ทะมัดทะแมง สวมรองเท้าผ้าที่แข็งแรง และเตรียมตะกร้าสานขนาดใหญ่สำหรับใส่ของป่า นางสำรวจอุปกรณ์ต่างๆ อย่างละเอียด ทั้งมีดเล็กสำหรับตัดเก็บสมุนไพร เชือกป่าน และผ้าเช็ดหน้าหลินอ้ายเห็นว่าลูกสาวของตนตั้งใจที่จะไปเป็นเวลานาน จึงได้เตรียมอาหารกลางวันใส่ตะกร้า พร้อมกับกระบอกน้ำเย็นให้นางไปด้วย“อันเออร์ เจ้าจะไปทั้งวันเช่นนั้นหรือ? ระวังตัวด้วยนะลูก” หลินอ้ายถามด้วยความเป็นห่วง“เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะระวังตัวเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะกลับมาก่อนตะวันตกดิน” หลินฉิงอันตอบด้วยรอยยิ้ม และรับตะกร้าอาหารจากมาร
เช้าวันต่อมา หลังอาหารเช้า หลินฉางหยูเดินทางไปพบช่างไม้ที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้าน เพื่อปรึกษาเรื่องการทำชั้นวางผลไม้ตามที่หลินฉิงอันต้องการ เขาต้องการสั่งทำชั้นวางจำนวนสิบอัน เนื่องจากปริมาณผลไม้ที่เก็บมานั้นมีจำนวนมาก เขาเกรงว่าพื้นที่ในห้องเก็บของจะไม่เพียงพอเมื่อไปถึงบ้านช่างไม้ หลินฉางหยูได้อธิบายรายละเอียดของชั้นวางที่ต้องการให้ช่างไม้ฟังอย่างละเอียด รวมถึงขนาดและจำนวนชั้นของแต่ละอัน ช่างไม้ได้ฟังรายละเอียดทั้งหมดแล้วก็แจ้งราคาให้หลินฉางหยูทราบ ราคาสำหรับชั้นวางพร้อมถาดวางทั้งสามสิบอัน (ชั้นวาง 10 อัน แต่ละอันมี 3 ชั้น) คือชุดละ 500 อีแปะ เนื่องจากช่างไม้ต้องไปจ้างคนสานถาดเพิ่มเติมหลินฉางหยูได้วางเงินมัดจำจำนวน 1 ตำลึงให้กับช่างไม้ และตกลงกันว่าจะให้ช่างไม้นำชั้นวางมาส่งที่บ้านเมื่อทำเสร็จ ซึ่งช่างไม้แจ้งว่าจะใช้เวลาอย่างเร็วที่สุด 3 วัน และอย่างช้าที่สุด 4 วันต่อหนึ่งชุดหลินฉางหยูพยักหน้าตกลงและขอบคุณช่างไม้ ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านเพื่อแจ้งข่าวให้หลินฉิงอันทราบ
เมื่อมาถึงสวนผลไม้บนเขา หลินฉางหยูและหลินฉิงอันได้เริ่มชี้แนะวิธีการเก็บผลไม้ที่ถูกต้องให้กับชาวบ้าน พวกเขาอธิบายถึงลักษณะของผลไม้ที่เหมาะสมสำหรับการนำไปแช่อิ่ม“ลูกพลับที่ใช้ได้ต้องมีสีเหลืองอมส้ม เปลือกไม่แตก และไม่ช้ำ”หลินฉางหยูอธิบายพร้อมกับชี้ให้ดูผลพลับบนต้น“ส่วนมะขาม ต้องเลือกฝักที่แก่จัด เปลือกสีน้ำตาลเข้ม และแห้งสนิท” หลินฉิงอันเสริม“สำหรับพุทรา ต้องเลือกลูกที่ผิวเรียบ สีเขียวอมเหลือง และแน่น ส่วนมะดัน ต้องเลือกลูกที่ยังดิบอยู่ มีสีเขียวสด และเนื้อแน่น”พวกเขายังได้สอนวิธีการเก็บผลไม้โดยไม่ให้ต้นไม้และผลไม้ได้รับความเสียหาย เช่น การใช้มีดตัดขั้วผลไม้แทนการเด็ด หรือการใช้ตะกร้าที่บุผ้าเพื่อป้องกันผลไม้ช้ำ ถึงแม้วันนี้ชาวบ้านจะไม่ได้มีตะกร้าบุผ้ามา แต่คราวหน้าพวกเขาคงจัดทำกันขึ้นมาเองอย่างแน่นอนเมื่อชาวบ้านได้ฟังคำอธิบายของหลินฉางหยูและหลินฉิงอันแล้ว พ
เช้าวันต่อมา หลังอาหารเช้าไม่นาน ผู้ใหญ่บ้านหลี่ก็เดินทางมาที่บ้านของหลินฉางหยู พร้อมกับโฉนดบ้านและที่ดินในมือ เขาได้นำโฉนดมามอบให้กับหลินเจี้ยนด้วยตนเอง“นี่คือโฉนดบ้านและที่ดินในชื่อของท่านหลินเจี้ยน” ผู้ใหญ่บ้านหลี่กล่าวพร้อมกับยื่นโฉนดให้หลินเจี้ยนหลินเจี้ยนรับโฉนดมาด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย เขามองดูโฉนดด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ หลังจากนั้น ทุกคนก็ช่วยกันขนย้ายสิ่งของต่างๆ ไปยังบ้านใหม่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก บ่าวทั้งสี่ โจวซาน เฉียนซื่อ ซุนฮวา และเจิ้งหง ช่วยกันทำความสะอาดบ้านใหม่ก่อนที่จะช่วยขนของเข้าไปเก็บให้เรียบร้อยหลินฉางหยูและหลินเจี้ยนเดินสำรวจรอบๆ บ้านใหม่ด้วยกัน พวกเขาดูความเรียบร้อยของบ้านและตรวจสอบสภาพของแปลงผักหลังบ้าน หลินเจี้ยนหันไปขอบคุณหลินฉางหยูจากใจจริง“ขอบคุณน้องเขยมาก ข้าไม่รู้จะกล่าวขอบคุณเจ้ากับอ้ายเออร์อย่างไรดี” หลินเจี้ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งหลินฉางหยูตบไหล่หลินเจี้ยนเ
“นายหญิง นี่คือเงินค่าปลาและถั่วงอกที่ขายได้ในวันนี้ขอรับ” โจวซานและเฉียนซื่อกล่าวพร้อมกับยื่นเงินให้หลินอ้ายหลินอ้ายรับเงินมาและกล่าวขอบคุณบ่าวทั้งสอง“ขอบคุณมากนะ พวกเจ้าเหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนเถิด” หลินอ้ายกล่าวแต่โจวซานและเฉียนซื่อไม่ได้คิดที่จะพักผ่อน พวกเขามีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ นั่นคือการปลูกต้นกล้าผลไม้ที่นำลงมาจากเขาหลังจากมอบเงินให้หลินอ้ายแล้ว โจวซานและเฉียนซื่อก็รีบไปที่แปลงที่ดินใหม่เพื่อเริ่มงานปลูกต้นกล้า พวกเขาไม่ได้พักผ่อนแม้แต่น้อย เพราะต้องการที่จะทำงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุด ซุนฮวาและเจิ้งหงก็ออกมาช่วยงานปลูกต้นกล้าด้วยเช่นกัน พวกนางช่วยจัดเตรียมดินและรดน้ำต้นกล้าที่ปลูกเสร็จแล้วระหว่างที่หลินฉางหยูและหลินฉิงอันไม่อยู่ บ่าวไพร่ทั้งสี่คนไม่ได้เกียจคร้านแม้แต่น้อย พวกเขาทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ทำให้ต้นกล้าผลไม้ที่นำลงมาจากภูเขาถูกนำลงแปลงปลูกในที่ดินผืนใหม่ไปจำนวนมากแล้ว
ก่อนที่แสงแรกของวันจะสาดส่อง ท้องฟ้ายังคงมืดมิด บรรดาบ่าวไพร่ในบ้านตระกูลหลินต่างก็ตื่นขึ้นมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง เสียงไก่ขันปลุกให้ทุกคนตื่นจากนิทราโจวซานและเฉียนซื่อซึ่งมีหน้าที่ต้องนำปลาและถั่วงอกไปส่งที่โรงเตี๊ยมไห่ถังในวันนี้ พวกเขารีบตื่นกันตั้งแต่ยามอิ๋น (03:00-05:00 น.) และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ทะมัดทะแมง เพื่อไปจับปลาในบ่อขึ้นใส่ตะกร้าบนเกวียนลาและถอนถั่วงอกใส่ตะกร้าเหมือนเช่นทุกครั้งซุนฮวาและเจิ้งหงก็ตื่นขึ้นมาเช่นกัน พวกนางเริ่มเตรียมหุงหาอาหารเช้าสำหรับทุกคนในบ้าน และทำความสะอาดบริเวณบ้าน ถึงแม้ว่าหลินฉางหยูและหลินฉิงอันจะไม่ต้องเดินทางไปส่งสินค้าที่โรงเตี๊ยมด้วยตนเองแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่เช่นเคย พวกเขาต้องการที่จะช่วยเหลือโจวซานและเฉียนซื่อในการเตรียมปลาและถั่วงอกหลินฉางหยูตรวจสอบปลาที่อยู่ในตะกร้าอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าปลาทุกตัวยังคงสดใหม่ ส่วนหลินฉิงอันก็ช่วยคัดเลือกถั่วงอกที่งอกงามเต็มที่และบรรจุลงในตะกร้าอย่างระมัดระวัง หลินอ้ายเองก
เนื่องจากครอบครัวของหลินเจี้ยนมีทรัพย์สินติดตัวไม่มากนัก การเก็บข้าวของจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว พวกเขามีเพียงเสื้อผ้า เครื่องใช้ส่วนตัว และของใช้จำเป็นเล็กน้อยเท่านั้น ทุกคนช่วยกันเก็บข้าวของเหล่านั้นลงหีบและห่อผ้าอย่างเรียบร้อย ไม่นานนัก ข้าวของทั้งหมดก็ถูกขนขึ้นเกวียนลาจนหมดสิ้น ของฝากที่หลินฉางหยูและหลินอ้ายซื้อมาจากตลาดในอำเภอจึงยังไม่ได้ถูกนำลงจากเกวียน เนื่องจากพวกเขาตั้งใจจะนำไปมอบให้ที่หมู่บ้านต้าไห่ทีหลังเมื่อทุกอย่างพร้อม หลินฉางหยูก็ขึ้นไปนั่งบนที่นั่งคนขับเกวียน โดยมีหลินอ้าย หลินฉิงอัน หลินซู หลินเจี้ยน หลินหุย หลินหยง และหลินเสี่ยวนั่งอยู่บนเกวียนด้านหลัง เกวียนลาค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้านฉิงไห่ มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านต้าไห่ ระหว่างการเดินทาง หลินอ้ายสังเกตเห็นว่าทุกคนในครอบครัวของนางดูเหน็ดเหนื่อยและหิวโหย นางจึงนำขนมและผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดออกมาแบ่งปันให้ทุกคนได้รับประทานรองท้อง“ท่านแม่ พี่ใหญ่ ทุกคนลองทานขนมและผลไม้เหล่านี้ก่อนเถิด อีกไม่นานเราก็จะถึงต้าไห่แล้ว” หลินอ้ายกล่าวพร้อม
หลังจากที่หลินฉางหยู หลินอ้าย และหลินฉิงอัน ออกเดินทางจากอำเภอไห่ตง พวกเขาใช้เวลาเดินทางอีกพักใหญ่ก็มาถึงหมู่บ้านฉิงไห่ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอำเภอ บรรยากาศของหมู่บ้านดูเงียบสงบ แตกต่างจากความคึกคักของตลาดในอำเภอเมื่อเกวียนลาของครอบครัวหลินเคลื่อนตัวเข้าไปในหมู่บ้าน พวกเขาก็สังเกตเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่บริเวณหน้าหมู่บ้าน ชาวบ้านเหล่านั้นหันมามองพวกเขาด้วยสายตาที่แปลกประหลาด บางคนมองด้วยความสงสัย บางคนมองด้วยความประหลาดใจ และบางคนมองด้วยความเห็นใจหลินฉิงอันสังเกตเห็นสายตาของชาวบ้านเหล่านั้น นางรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาจึงมองมาที่ครอบครัวของนางเช่นนั้น นางจึงหันไปถามหลินอ้ายผู้เป็นแม่“ท่านแม่เจ้าคะ เหตุใดชาวบ้านเหล่านั้นจึงมองพวกเราเช่นนั้นหรือเจ้าคะ?” หลินฉิงอันถามด้วยความสงสัยหลินอ้ายเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน นางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของนางที่ฉิงไห่ นางพยายามมองหาความคุ้นเคยจากชาวบ้านเหล่านั้น แต่ก
หลินฉางหยูลุกขึ้นขอบคุณผู้ใหญ่บ้านหลี่ ก่อนส่งเขาออกจากบ้านไปพร้อมรอยยิ้ม ตอนนี้ถึงแม้ที่บ้านจะใช้เงินมากในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่หลินฉางหยูก็จำได้ว่าลูกสาวของเขาบอกว่ามันคือการลงทุนที่คุ้มค่า เขาจึงยอมให้ภรรยานำเงินออกมาใช้จ่ายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นหลังเวลาอาหารเที่ยงครึ่งชั่วยาม ผู้ใหญ่บ้านก็พาชาวบ้านสิบคนพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับปรับหน้าดินและตัดไม้ทำรั้วให้บ้านหลิน หลินฉางหยูขอบคุณผู้ใหญ่บ้านก่อนที่เขาจะจากไปแล้วปล่อยให้ชาวบ้านรับฟังงานที่หลินฉางหยูจะให้พวกเขาทำ“ข้าต้องรบกวนพวกท่านแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มขอรับ กลุ่มหนึ่งติดตามข้าและโจวซานขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่มาไว้สำหรับทำรั้วรอบที่ดิน โดยให้รั้วเชื่อมต่อกับที่บ้านของข้าขอรับ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งให้ปรับหน้าดินรอไปก่อน หลังจากได้ไม้ไผ่มากพอแล้ว พวกท่านค่อยรวมกลุ่มกันทำรั้วก่อนแล้วค่อยปรับที่ดินทีหลัง”ชาวบ้านรับคำสั่งของหลินฉางหยู พวกเขาแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มแล้วแยกย้ายกันไปทำงานทันที งานปรับหน้าดินมีเฉียนซื่อคอยควบคุมแทนหลิน
หลังจากที่หลินฉางหยู หลินอ้าย และหลินฉิงอัน ได้ปรึกษาหารือกันเรื่องการปรับพื้นที่ดินและสร้างรั้ว พวกเขาตัดสินใจว่าจะจ้างชาวบ้านในหมู่บ้านมาช่วยทำงาน เนื่องจากที่ดินมีขนาดใหญ่ การทำเองทั้งหมดคงต้องใช้เวลานานเมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น หลินฉางหยูจึงเรียกโจวซานและเฉียนซื่อมาพบ“โจวซาน เฉียนซื่อ พวกเจ้าว่างหรือไม่? ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยงานเล็กน้อย” หลินฉางหยูกล่าว“พวกเราว่างขอรับ นายท่าน มีอะไรให้พวกเราช่วยหรือขอรับ?” โจวซานและเฉียนซื่อตอบพร้อมกัน“ข้าต้องการให้พวกเจ้าขึ้นเขาไปกับข้าและฉิงเออร์ เพื่อนำต้นกล้าผลไม้ที่เราพบเมื่อวานลงมา” หลินฉางหยูกล่าวโจวซานและเฉียนซื่อรับคำอย่างยินดี พวกเขาต้องการที่จะช่วยเหลือครอบครัวหลินอย่างเต็มที่ เมื่อได้รับคำสั่งจากหลินฉางหยู โจวซานและเฉียนซื่อก็รีบไปเตรียมตัวสำหรับการขึ้นเขา พวกเขาไปตรวจสอบรถเข็นที่ใช้สำหรับขนของ และนำตะกร้าใส่ปลาที่เพิ่งล้างเสร็จออกมาต