นับตั้งแต่อายุครบ 35 ปีบริบูรณ์ โจวซิ่วหลัน ก็มักจะฝันเห็นหญิงสาวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเธอและมีชื่อแซ่เดียวกันกับเธออยู่เสมอเพียงแต่โจวซิ่วหลันคนนั้นดูอ่อนเยาว์กว่า เป็นเด็กสาวอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น เธอสวมใส่เสื้อผ้าล้าสมัย การแต่งกายบ่งบอกว่าหญิงสาวนั้นอยู่ในยุคอดีตของจีนที่ยังมีความเป็นอยู่ยากลำบาก ครั้งแรกที่ฝันเช่นนั้น ซิ่วหลันยังอดที่จะรู้สึกขำไม่ได้ คิดไปว่าเพราะช่วงนี้เธออ่านนิยายที่เกี่ยวกับยุค70 80 และอินกับมันมากเกินไป จึงได้เก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะเธอเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ชื่นชอบการอ่านนิยายเป็นชีวิตจิตใจ แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในแต่ละวันมากแค่ไหน แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอเป็นต้องเปิดเข้าไปอ่านนิยายที่กดติดตามเอาไว้ก่อนเสมอ เพราะการได้อ่านนิยายที่ชื่นชอบช่วยเยียวยาชีวิตอันเงียบเหงาของเธอได้ดีที่สุดแต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวน่าอัศจรรย์ที่มีอยู่เพียงในนิยายจะเกิดขึ้นกับตัวเธอหลังจากความฝันครั้งนั้น เธอก็พบว่า ทุกครั้งที่หลับตาลงเรื่องราวของโจวซิ่วหลันคนนั้นก็จะปรากฏขึ้นในฝันเสมอ แม้ภายในฝันจะดูลางเลือน ส
กริ๊ง!!!!เสียงนาฬิกาปลุกที่กรีดร้องดังขึ้น ปลุกให้โจวซิ่วหลันตื่นจากฝันร้ายที่แสนจะน่าหวาดหวั่นนั้น หัวใจของเธอยังคงเต้นกระหน่ำราวกับจะหลุดออกมาจากอกกับภาพอันน่ากลัวและสยดสยอง ขนอ่อนบนกายลุกชันทั่วร่าง รับรู้ถึงความเจ็บปวดยามเมื่อคมมีดกรีดลึกลงมาบนผิวกาย เธอรู้สึกทั้งหวาดกลัวและรู้สึกผิดกับชายหนุ่มในฝันซิ่วหลันสะบัดศีรษะที่หนักอึ้งอย่างแรง ขับไล่ความหวาดกลัวที่แล่นจับขั้วหัวใจของเธอ ยกสองมือที่สั่นเทาลูบใบหน้าที่ชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ ลำคอของเธอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริกจนต้องขบเม้มเข้าหากันแน่น ความฝันในครั้งนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกินหญิงสาวพยายามรวบรวมสติ พร่ำบอกกับตนเองว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน แววตาที่ยังคงสั่นไหวเหลือบมองนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาห้าโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่เธอจะต้องลุกขึ้นเตรียมตัวเพื่อที่จะออกไปทำงานเช่นดังทุกวันแม้จิตใจจะยังไม่สงบ แต่ซิ่วหลันก็บังคับตัวเองให้ลุกขึ้น ทำทุกอย่างเช่นดังปกติแม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก วันนี้เธอจะไปทำงานเป็นวันสุดท้าย ก่อนที่จะได้หยุดพักแบบยาวๆ หลังจาก
หลังจากที่มาถึงสถานพยาบาลของหมู่บ้าน โจวซิ่วหลันก็ตรงเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ในสถานพยาบาลทันที ความจริงเพียงแค่กระดูกเคลื่อนเธอก็สามารถที่จะรักษาแม่สามีเองได้ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเพียงหมออนามัยไม่ใช่หมอเฉพาะทางที่จบหลักสูตรทางการแพทย์โดยตรง แต่เธอก็มีประสบการณ์การทำงานมาเกือบสิบห้าปี สามารถรักษาคนป่วยที่มีอาการป่วยทั่วไป บาดเจ็บเล็กน้อยและไม่มีอาการรุนแรงได้ แต่ปัญหาคือเธอไม่มีอุปกรณ์และตัวยาที่ใช้ในการรักษาเลยสักอย่าง"สวัสดีค่ะคุณหมอซู"ซูเหมย เป็นพยาบาลที่ประจำอยู่ที่สถานพยาบาลแห่งนี้ และชาวบ้านก็มักจะเรียกคนที่ทำงานในสถานพยาบาลว่าหมอถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่หมอก็ตามโจวซิ่วหลันเคยพูดคุยกับอีกฝ่ายอยู่สองสามครั้งในตอนที่พึ่งจะแต่งให้กับเฉินห่าวซวน นับดูแล้วตอนนี้เธอแต่งให้เฉินห่าวซวนได้เพียงแค่หกเดือนเท่านั้น โชคดีเหลือเกินที่เธอย้อนกลับมาในตอนที่ชื่อเสียงความร้ายกาจของเธอยังไม่เป็นที่โจษจัน เธอยังทำตัวร้ายกาจแค่กับคนในบ้านของสามีเท่านั้น แต่หลังจากที่แม่สามีกลายเป็นคนพิการ ความร้ายกาจของเธอก็มีคนรู้เห็นมากขึ้น ก่อนที่จะเหม็นโฉ่ไปทั้งหมู่บ้าน กลา
ส่วนผู้ที่ทำให้ผู้อื่นจิตใจว้าวุ่น กลับไม่ได้สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร หลังจากที่เดินเข้าไปดูแม่สามีก็เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นนอนหลับไปแล้ว คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปก่อนหน้า รวมถึงความอ่อนเพลียจากการทำงานและอาการบาดเจ็บ จึงทำให้แม่เฉินหลับลึกจนไม่รู้สึกตัว แม้กระทั่งตอนที่เธอผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและห่มผ้าให้ คาดว่าคงอีกหลายชั่วโมงกว่าแม่สามีจะตื่นโจวซิ่วหลันมองดูใบหน้าซูบตอบของแม่สามี ใต้ตาของอีกฝ่ายดำคล้ำ ดูแก่กว่าอายุจริงไปหลายปี จนเธอรู้สึกสะท้อนใจอย่างรุนแรง แม่สามีผู้นี้เป็นคนดีมาก ในอดีตอีกฝ่ายไม่เคยมีปากมีเสียงกับใครเลยโดยเฉพาะกับเธอ สุขภาพของแม่สามีนั้นอ่อนแอและเจ็บป่วยมาตลอด พึ่งจะเริ่มดีขึ้นได้ไม่นานก็ต้องกลับมาทรุดหนักยิ่งกว่าเดิมก็เพราะเธออีกฝ่ายอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ ยอมลงให้เธอทุกอย่าง อ่อนแอมากจนบางครั้งเรียกได้ว่าโง่งมจนน่าปวดใจ มองสภาพย่ำแย่เช่นนี้ของแม่สามีหัวใจของเธอก็บีบรัดจนรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกเมื่อตอนที่เธอลงมือถอดเสื้อผ้าของแม่สามีออก แม่เฉินผอมมากจนน่าใจหาย ร่างกายของแม่สามีซูบผอมจากการที่ได้รับอาหารไม่เพียงพอมาเป็นเวลานา
หลังจากที่สำรวจข้าวของภายในตู้ โจวซิ่วหลันก็เลือกที่จะนำอาหารทั้งหมดไปเก็บเอาไว้ภายในห้องครัว ทุกคนภายในบ้านล้วนมีสิทธิ์ที่จะกินจะใช้ข้าวของทุกอย่างที่ใช้เงินของเฉินห่าวซวนซื้อมา หญิงสาวนำข้าวขาวอย่างดีเติมจนเต็มถัง รวมทั้งของทุกอย่างที่มีอยู่ แล้วจึงเก็บเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ ก่อนที่เธอจะลงมือจุดเตาไฟเพื่อที่จะได้ลงมือทำอาหารเสียที ตอนนี้ท้องของเธอร้องประท้วงครวญคราง หิวจนไส้กิ่วหมดแล้วและกว่าที่เธอจะจุดไฟได้สำเร็จก็เล่นเอาเหงื่อตก เพราะที่บ้านเฉินยังคงใช้ถ่านและฟืนในการประกอบอาหาร จนเธออดที่จะคิดถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในยุคปัจจุบันไม่ได้ ตอนนี้ภายในเมืองนั้นมีไฟฟ้าใช้แล้ว แต่ในหมู่บ้านอู้หยวนไฟฟ้านั้นยังเข้ามาไม่ถึง แต่ก็คงจะอีกไม่นาน เพราะทางการเริ่มที่จะดำเนินการให้ไฟฟ้าเข้าถึงหมู่บ้านบ้างแล้วหากเธอจำไม่ผิดต้นปีหน้าไฟฟ้าก็จะเข้ามาถึงในหมู่บ้านอู้หยวน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ก็ใช่ว่าผู้คนจะมีกำลังซื้อของอำนวยความสะดวกเหล่านั้น เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นมีราคาแพงมาก แต่ละชิ้นนั้นถึงกับต้องใช้เงินเดือนทั้งเดือนของเฉินห่าวซวนเลย
หลังจากที่ดูแลแม่สามีกินข้าวกินยาเรียบแล้ว โจวซิ่วหลันจึงได้ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักผ่อน ส่วนตัวเธอนั้นก็เก็บจานชามออกมาล้างทำความสะอาดสายตาของแม่สามีที่มักจะลอบมองมาอยู่บ่อยครั้ง ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ไว้ใจเธอและรู้สึกหวาดระแวงกับการที่เธอเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ แต่อย่างน้อยผลตอบรับที่ได้ในครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่ หญิงสาวมองจานชามที่ไม่เหลือแม้แต่ข้าวสักเม็ดเดียวด้วยรอยยิ้ม หากเป็นแบบนี้ต่อไปร่างกายของแม่สามีคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกฝ่ายจะคิดกับเธออย่างไรนั้น คงต้องปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เธอทำตัวร้ายกาจเสียขนาดนั้นจะให้อีกฝ่ายไว้วางใจเธอง่ายๆ ได้อย่างไรเมื่อจัดเก็บทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ซิ่วหลันจึงได้เริ่มเดินสำรวจภายในบ้านและบริเวณรอบๆ บ้าน เห็นทีว่าคงถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนผนังทั้งหมดแล้วจริงๆ เพราะส่วนผนังที่เป็นไม้ ผุพังมากกว่าที่เธอคิดบริเวณรอบๆ บ้านนั้นก็มีต้นหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมดราวกับบ้านร้าง ดอกไม้สวยงามที่เคยเบ่งบานอยู่รอบบ้านล้วนตายไปหมดแล้ว แต่เพราะมีกำแพงอิฐสูงที่ล้อมรอบบ้าน และยังมีต้นหยางเหมยพุ่มใ
โจวซิ่วหลันออกมาจากห้องในทันที ก่อนจะเดินออกไปหาเด็กทั้งสองที่เห็นแผ่นหลังไวไวเดินไปทางด้านหลังบ้าน เมื่อเดินออกมาก็ชะโงกหน้าดูตรงประตูห้องครัว เห็นว่าทั้งสองเดินไปยังส่วนที่ใช้เป็นห้องเก็บฟืน เธอจึงได้เดินเข้าไปหาเด็กทั้งสองที่กำลังก้มๆ เงยๆ เอาฟืนเก็บเข้าที่ที่แท้เด็กสองคนนี้ก็ออกไปหาฟืนนี่เอง"พี่สะใภ้"เสียงของเด็กหญิงดังขึ้นแผ่วเบายามเมื่อหันมาเห็นเธอ ก่อนจะเดินไปหลบด้านหลังของผู้เป็นพี่ชายที่ยืดตัวขึ้นในทันที มือเล็กของเด็กน้อยคว้าจับชายเสื้อของผู้เป็นพี่ชายเอาไว้แน่น แววตากลมโตมองมาที่เธออย่างตื่นกลัว ทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นส่วนเด็กผู้ชายนั้นก็คล้ายจะกางปีกปกป้องน้องสาวในทันที ทั้งยังใช้สายตาจ้องมองเธอเขม็ง สายตาของเด็กคนนั้นที่มองมากำลังเอ่ยกับเธอว่าคิดจะมาหาเรื่องอะไรอีกเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับเด็กทั้งสอง ความทรงจำเกี่ยวกับทั้งสองคนก็ผุดเข้ามาในหัวของโจวซิ่วหลันเด็กหญิงเฉินซินยี่ผู้นั้นหวาดกลัวเธอมาก เพราะตัวเธอในอดีตมักจะเกรี้ยวกราดใส่อีกฝ่ายเสมอ ทั้งยังทุบตีด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายส่วนเด็กผู้
"พี่รอง พี่ใหญ่กลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ"หลังจากที่พวกเขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีกลิ่นหอมสะอาดแตกต่างจากทุกวัน ก็ตรงมายังห้องครัวทันที ตั้งแต่เมื่อเช้าพวกเขาสองพี่น้องยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยด้วยซ้ำ นอกจากน้ำเปล่าที่กินประทังความหิวแต่ทว่าเมื่อพวกเขาเปิดฝาครอบอาหารออก จากที่คิดว่าอาหารที่พี่สะใภ้เตรียมไว้คงเป็นเพียงข้าวต้มที่มีน้ำใสๆ กับเม็ดข้าวไม่กี่เม็ดและผักดองที่อีกฝ่ายกินเหลือ แต่ภาพอาหารตรงหน้าทำให้พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาอาหารบนโต๊ะมันเกินกว่าที่พวกเขาคิดไปมาก เฉินซินยี่จึงได้ถามออกมาเช่นนั้น เพราะนั่นเป็นเพียงเหตุผลเดียวที่พอจะเป็นไปได้ แต่ตั้งแต่ที่พวกเขาเดินเข้าบ้านมาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้เป็นพี่ชาย และเฉินสือฮันก็เชื่อว่าหากพี่ชายกลับมาแล้วเห็นสภาพของทุกคนเป็นเช่นนี้ โจวซิ่วหลันคงไม่ได้เดินลอยหน้าลอยตาอยู่แบบนั้นแน่เขาจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบให้แก่น้องสาว เพราะเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน จากนั้นจึงนั่งลงบอกให้ผู้เป็นน้องสาวลงมือกินข้าวเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นหิวมากแล้ว"กินเถอะ""กินได้จริงๆ หรือพี่รอง"
เผลอแป๊บๆ ตอนนี้อายุครรภ์ของโจวซิ่วหลันก็ย่างเข้าเดือนที่เจ็ดแล้ว หน้าท้องของเธอยื่นออกมาราวกับลูกแตงโมลูกใหญ่และยังคงเป็นแม่เฉิน แม่สามีผู้แสนดีที่เป็นคนคอยดูแลเธออย่างใกล้ชิด ในตอนที่สามีของเธอออกไปทำงานหญิงสาวไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปทำงานอีกตั้งแต่ที่ตั้งครรภ์ แต่สามีก็หาคนที่ไว้ใจได้เข้ามาดูแลทุกอย่างให้เธอ ในทุกวันหยุดเขาก็จะเป็นคนพาเธอเข้าไปตรวจความเรียบร้อยด้วยตัวเอง"เสี่ยวหลันกินรังนกตุ๋นก่อนเร็วเข้า กำลังอุ่นได้ที่เลย"โจวซิ่วหลันวางมือจากการถักถุงเท้าคู่เล็กๆ สำหรับลูกที่กำลังจะเกิด เงยหน้าขึ้นมองแม่สามีที่ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความเมตตา ความรัก และความห่วงใย กำลังเดินถือถ้วยรังนกตุ๋นมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเธออีกฝ่ายมักจะหายาสมุนไพรบำรุงครรภ์และอาหารบำรุงดีๆ มาให้เธอเสมอ"ขอบคุณค่ะคุณแม่"โจวซิ่วหลันเอ่ยบอกด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะตักรังนกตุ๋นเข้าปากอย่างว่าง่าย"ลูกกำลังตั้งครรภ์ ต้องกินของดีๆ บำรุงร่างกายให้เยอะๆ นะรู้ไหม"แม่เฉินเอ่ยบอกอย่างเช่นทุกครั้ง พลางยกฝ่ามืออุ่นขึ้นลู
หลังจากที่โจวซิ่วหลันบอกเรื่องการตั้งครรภ์ของเธอกับทุกคน เธอก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากทุกคนในบ้าน ประคบประหงมราวกับไข่ในหิน ซึ่งเธอไม่ได้รู้สึกไม่ดีหรือรำคาญเลย แต่กลับรู้สึกดีมากๆ ที่ทุกคนคอยดูแลและอยู่เคียงข้างเฉิยซินยี่ถูกส่งตัวมาคอยดูแลเธออย่างใกล้ชิดอีกครั้งในเวลากลางคืน พูดง่ายๆ ก็คือ เด็กหญิงถูกแม่สามีส่งตัวมาคอยจับตาดูผู้เป็นพี่ชาย "อาซวนลูกอย่าแม้แต่จะคิดที่จะรังแกเสี่ยวหลันเชียว"แม่เฉินขึงตาดุเอ่ยกับบุตรชาย เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้จักยับยั้งช่างใจเผลอรังแกภรรยาที่ยังท้องอ่อนๆลูกชายของนางไว้ใจได้เสียที่ไหน พออยู่ใกล้ภรรยาทีไร ไอ้ท่าทางสุขุมนุ่มลึก ไม่รู้ว่าอันตรธานหายไปไหนหมด"ผมรู้ครับแม่"เฉินห่าวซวนเอ่ยบอกมารดาเสียงอ่อย ใบหน้าเหงาหงอยเซื่องซึม การได้เป็นพ่อคนก็ดีใจอยู่หรอก แต่การห้ามไม่ให้เขาใกล้ชิดภรรยามันก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจมากเหมือนกันโจวซิ่วหลันอดที่จะหัวเราะท่าทางราวกับกล้ำกลืนฝืนทนของสามีที่มองเธอตาปรอยไม่ได้ พอเธอตั้งครรภ์สามีของเธอก็ถูกกันออกจากเธออีกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่มีข้ออ้างใดๆ
วันเวลาในช่วงนี้ของโจวซิ่วหลันนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้วกับการเริ่มธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ทางด้านความงามของเธอ และนับว่าธุรกิจของเธอดำเนินไปได้ด้วยดี ตอนนี้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางและเป็นระบบระเบียบมากขึ้นตอนนี้เธอส่งสินค้าให้กับร้านของเจ๊หงส์และอีกหลายร้านค้าที่ติดต่อเข้ามา รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้าของเธอจัดจำหน่าย ยอดสั่งซื้ออีกนับหมื่นๆ ชิ้นหลั่งไหลเข้ามาและผลิตส่งกันอย่างไม่หวาดไม่ไหว จากที่มีพนักงานหญิงเพียงสองคนตอนนี้เธอมีพนักงานอยู่ในความดูแลนับยี่สิบชีวิต และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น เพราะยอดการสั่งซื้อยังเพิ่มมากขึ้นจนน่าตกใจ เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าได้ในจำนวนที่มากขึ้นและเพียงพอต่อความต้องการของตลาดอาคารที่ใช้ผลิตสินค้าจากอาคารสามชั้นสองคูหา ตอนนี้ก็ขยับขยายจนกลายเป็นโรงงานขนาดเล็ก มีเครื่องจักรเข้ามาช่วยในการผลิตธุรกิจของเธอนับได้ว่าเติบโตอย่างรวดเร็วส่วนหน้าที่การงานของเฉินห่าวซวนก็ดูจะลงตัว สามีของเธอเองก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของเขาอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะดีไปหมดและมีแนวโน้มว
ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนในอ้อมแขนที่หลับสนิทไปแล้ว ทำให้คนที่ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบาเฉินห่าวซวนกดปลายจมูกโด่งลงบนกลุ่มผมนุ่มหอมละมุนของภรรยาอย่างรู้สึกเหนื่อยอ่อน หวังให้กลิ่นหอมๆ นี้ขับกล่อมให้เขาหลับลงเสียที แต่เขาทำเช่นนี้มาเกือบชั่วโมงแล้วกลับไม่สามารถที่จะข่มตาให้หลับลงได้ และมันกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกทรมานมากขึ้นชายหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ รู้สึกราวกับว่ามีอาหารอันโอชะที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายวางอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่อาจที่จะกลืนกินได้ เขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวจนแทบจะหายใจไม่ออก ภรรยาแสนสวยนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนแท้ๆ แต่กลับไม่อาจทำอะไรได้ดั่งใจนี่มันเป็นการฆ่าเขาทางอ้อมชัดๆ ส่วนเจ้าลูกชายของเขาก็เอะอะแข็ง จูบก็แข็ง กอดก็แข็ง ขอแค่ได้อยู่ใกล้ แค่ได้กลิ่นภรรยาก็แข็งแล้วเฉินห่าวซวนพึ่งจะรู้ตัวว่าเขาทั้งหื่นและมีความต้องการที่มากมายก็ตอนนี้ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับเกิดขึ้นกับภรรยาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เขาไม่เคยคิดที่จะอยากแตะต้องหรืออยากจะใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหนเลยจริงๆเขาคงถูกภรรยาร่ายมนตร
เมื่อรถยนต์คันหรูแล่นเข้าจอดในบริเวณบ้าน เฉินห่าวซวนก็แทบจะกระโดดลงจากรถทันทีโดยไม่รอให้คนร่วมทางอย่างน้องๆ ทั้งสองคนลงมาก่อน ความคิดถึงที่ทับถมอยู่ในหัวใจของเขามาตลอดทั้งวันได้ระเบิดออกมาจนกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาต้องรีบกลับบ้าน กลับไปหาภรรยาสุดที่รักให้เร็วที่สุดเขาคิดถึงภรรยาใจจะขาดอยู่แล้ว"กลับมาแล้วครับ"เฉินห่าวซวนเอ่ยทักทายมารดาที่เดินออกกำลังโดยการดูแลแปลงดอกไม้อยู่หน้าบ้าน ก่อนจะก้าวเท้าฉับๆ เข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว จนผู้เป็นแม่มองตามแทบไม่ทันแม่เฉินบ่นตามหลังลูกชายอุบอิบกับความเร่งรีบของอีกฝ่าย ละสายตาจากลูกชายคนโตก็หันไปมองลูกๆ อีกสองคนของนางที่กำลังมองตามพี่ชายด้วยใบหน้าเหลือเชื่อเช่นกัน นางได้แต่หัวเราะออกมา ก่อนจะหันมาดูแลดอกไม้ของนางต่อ ปล่อยให้หนุ่มๆ สาวๆ ได้ใช้เวลาด้วยกันสองพี่น้องที่เดินตามกันลงมาจากรถ ต่างก็หันมามองหน้ากันกับท่าทีของพี่ชายตัวเองที่กลายเป็นชายหนุ่มผู้คลั่งรัก ไม่สนใจน้องนุ่งไปเสียแล้วเฉินสือฮันกระตุกรอยยิ้มร้าย มองตามแผ่นหลังกว้างของพี่ชายที่เดินหายเข้าไปในบ้านดูท่าพี่ชายของเ
เฉินห่าวซวนกดปลายจมูกหอมแก้มนวลของภรรยาที่ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้นด้วยความเอ็นดู หลังจากที่เขากลืนกินภรรยาอีกครั้งจนอิ่มหนำสำราญ เขาก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้อีก ได้แต่นอนมองใบหน้างามของภรรยาอยู่อย่างนั้นจะโทษเขาได้อย่างไรในเมื่อภรรยาของเขาน่ารักน่าปรารถนาถึงขนาดนี้ เป็นใครก็ไม่อาจที่จะอดใจได้ไหว และก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนสารเลว ใจดำอำมหิต เพราะลงมือลักหลับภรรยา ชายหนุ่มจึงตัดใจลุกจากที่นอนเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ภรรยาได้พักผ่อน วันนี้เห็นทีเขาคงต้องเป็นคนเข้าครัวด้วยตัวเอง เพราะแม่ครัวคนเก่งถูกเขาเคี่ยวกรำจนสลบไสลไปแล้วเสียงดังโครมคราม ควันไฟที่ลอยโขมง และกลิ่นเหม็นไหม้ฉุนกึกที่ตลบอบอวลอยู่ในห้องครัว ทำให้เฉินสือฮันที่ตื่นขึ้นมาดูแลแปลงผักเหมือนเช่นทุกวัน รีบสับฝีเท้าเข้าไปในครัว เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับพี่สะใภ้แต่คนที่ยืนอยู่หน้าเตาไฟกลับไม่ใช่คนที่เขาคิด"ทำอะไรครับพี่ใหญ่"เฉินสือฮันเอ่ยถามพี่ชายของตัวเองในทันทีด้วยความไม่แน่ใจ แม้ดูจากสภาพภายในครัวและสภาพน่าอนาถของพี่ชายแล้วก็พอจะเดาได้
วันนี้ดูเหมือนโจวซิ่วหลันจะใช้เวลาในการอาบน้ำนานมากกว่าปกติ และหากเป็นไปได้เธออยากจะนอนในห้องน้ำเสียด้วยซ้ำ เพราะรู้ดีว่าตอนนี้มีหมาป่าหิวโซกำลังรอที่จะเขมือบเธอลงท้องอยู่ในห้อง"อาซวนยับยั้งช่างใจบ้าง รู้จักหรือเปล่ารักหยกถนอมบุปผาน่ะ""คร้าบแม่"แม้ว่าคำพูดของแม่สามีที่แว่วมาเข้าหูเมื่อครู่นี้จะทำให้เธอพอจะใจชื้นขึ้นมาบ้างก็ตาม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่น รสนิยมทางเพศของเฉินห่าวซวนเธอสัมผัสมาแล้วว่ามันร้อนแรงมากขนาดไหน เขามีความต้องการที่มากมาย แม้ว่าเธอจะรู้สึกดีแต่เธอก็กลัวว่าจะไม่สามารถรับได้ไหวมันมีทั้งความรู้สึกกล้าและรู้สึกกลัว ทั้งรู้สึกปรารถนาและหวั่นเกรง เธอยังไม่สันทัดในเรื่องพวกนี้ ยังไม่คุ้นชินกับตัวตนของเขา ได้แต่หวังว่าเขาจะไว้ไมตรีให้แก่เธอบ้างหลังจากที่พอจะทำใจได้บ้างแล้วจึงสวมเสื้อผ้าอย่างอ้อยอิ่ง เดินกลับห้องไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆและก็เป็นดังที่เธอคิดโจวซิ่วหลันเม้มปากแน่น ใบหน้าร้อนผ่าว เมื่อเห็นคนที่นอนรอเธออยู่บนเตียงเตา เขาสวมเพียงกางเกงผ้า เปิดเปลือยร่างกา
เมื่อเสียงออดสุดท้ายดังขึ้น บรรยากาศหน้าโรงเรียนก็พลุกพล่านไปด้วยความวุ่นวายและเสียงหัวเราะ นักเรียนจำนวนมากหลั่งไหลออกมาจากประตูโรงเรียน หอบหิ้วกระเป๋าด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม พวกเขารีบวิ่งไปที่รถที่จอดรออยู่ บ้างก็เดินไปนั่งรอรถประจำทาง บางคนเดินกลับบ้านกับเพื่อนๆ พูดคุยกันอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับวันของพวกเขา บางคนมีผู้ปกครองปั่นจักรยานมารับผู้ปกครองรออยู่ที่ริมถนน บางคนนั่งอยู่ในรถ บางคนยืนอยู่ข้างทาง พวกเขามองหาลูกๆ ของตนเองในฝูงชน เมื่อพบกันแล้ว พวกเขาก็จะโบกมือและยิ้มให้กัน เด็กๆ วิ่งเข้าไปกอดพ่อแม่หรือผู้ปกครองอย่างมีความสุขบรรยากาศโดยทั่วไปเป็นไปด้วยความอบอุ่นและความรัก ขณะที่นักเรียนและผู้ปกครองเพลิดเพลินกับช่วงเวลาแห่งการพบปะหลังจากวันที่ยาวนานในโรงเรียนเช่นเดียวกับเด็กชายหญิงทั้งสองคน พวกเขาจับจูงมือกันเดินออกมาจากประตูโรงเรียน พากันเดินไปยังจุดรอรถประจำทาง พวกเขานั่งรอรถด้วยใจจดจ่อ อยากจะกลับบ้านเต็มที"วันนี้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้เข้าเมืองคงจะมีขนมอร่อยๆ มาฝากแน่ๆ เลย พี่รองว่าไหม"เฉินซินยี่เอ่ยบอกพี่ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน
ในที่สุดโจวซิ่วหลันก็เดินทางมาถึงโรงงานเสียที ถึงแม้ว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุการณ์ชวนให้ใจวาบหวิวจนเกือบจะขาดใจก็ตามครั้งนี้นอกจากมารับสินค้าที่สั่งเอาไว้แล้ว เธอยังสั่งผลิตบรรจุภัณฑ์เพิ่มอีกล็อตใหญ่ ซึ่งครั้งนี้เธอสั่งเป็นจำนวนมากถึงห้าพันชิ้นและยังมีแนวโน้มว่ายอดสั่งผลิตจะมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย"ยินดีด้วยนะหลันหลัน พี่จะเร่งให้เป็นพิเศษเลยนะ แล้วพี่จะทยอยส่งให้เธอ"หยางตงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี เขาชื่นชมในความสามารถของโจวซิ่วหลันที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จในการจับธุรกิจตั้งแต่ครั้งแรก และอดที่จะชื่นชมชายหนุ่มผู้เป็นสามีของเธอไม่ได้ เขารู้สึกยินดีที่เห็นว่าอีกฝ่ายใส่ใจและรักใคร่ในตัวหญิงสาว และพร้อมที่จะสนับสนุนเธอ เพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกวางใจแล้ว"ขอบคุณมากนะคะพี่ ฉันคงต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ"โจวซิ่วหลันกล่าวขอบคุณพร้อมกับยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างจริงใจ"โชคดีนะหลันหลัน"ในขณะที่หยางตงเทียนเฝ้ามองโจวซิ่วหลันเดินออกไปพร้อมกับสามีของเธอด้วยแววตาสั่นไหว หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรักและควา