......ตกกลางคืนณ จวนอันกั๋วโหวจู่ ๆ ไฟดวงเล็กก็สว่างวาบ จากนั้นก็ลามเป็นไฟที่ลุกโหมขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ก็มีเสียงอุทานมากมาย “ไปเอาน้ำมาดับไฟเร็ว จวนโหวไหม้หมดแล้ว!”คนรับใช้ของจวนโหวทั้งหมดรีบออกมาจากห้องและวิ่งไปตักน้ำที่บ่อน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดถานมู่ชิงได้ยินเสียงอึกทึกจึงลุกเดินออกจากห้องของตัวเอง เขาเห็นห้องที่บิดาของเขาพักผ่อนอยู่ไม่ไกลมีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ประกายไฟพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเงยหน้ามองตาไปและเห็นเงาดำหลายเงาปรากฏขึ้นอยู่บนหลังคา ซึ่งเงาเหล่านั้นวิ่งเร็วมาก!ท่าทางของเขาแข็งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง “มีนักฆ่า รีบไล่ตามไปเร็วเข้า!”องครักษ์ลับหลายคนของจวนโหวไล่ตามคนเหล่านั้นตามคำสั่งของผู้เป็นนายไปยังทิศทางที่พวกเขาจากไปถานมู่ชิงรีบวิ่งไปที่ประตูห้องของบิดา เมื่อเห็นประตูที่ถูกไฟไหม้ เขาก็คิดจะพังเข้าไป แต่กลับถูกคนที่อยู่ใกล้ ๆ รั้งเอาไว้“ซื่อจื่อ ไฟโหมแรงเกินไป ท่านห้ามพังเข้าไปนะขอรับ!”ถานมู่ชิงมองดูเรือนที่พังทลายลงมา ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ เขารู้สึกอ่อนแรงไปทั้งร่าง หากไม่มีคนคอยประคอง เขาก็คงจะล้มลง
เช้าวันรุ่งขึ้น จวนอันกั๋วโหวก็ได้จัดพิธีไว้อาลัยข่าวที่อันกั๋วโหวถูกลอบสังหารเมื่อคืนได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองฉีในทันทีซูชิงอู่ที่เพิ่งมาถึงจวนโหวด้วยรถม้า เปิดม่านมองไปยังฝูงชนจำนวนมากที่มางาน พลางขมวดคิ้วเบา ๆ แล้วพูดว่า “เหตุใดถึงเร็วเช่นนี้?”แม้สายลับจากแคว้นอู๋ตะวันตกจะถูกนางทำให้ตื่นตระหนก แต่การลอบสังหารอันกั๋วโหวเพื่อแก้แค้นเป็นผลลัพธ์ที่นางไม่คาดคิดมาก่อน นึกไม่ถึงว่าอันกั๋วโหวจะตายหลังจากที่นางจากไปช่างบังเอิญเสียจริงขณะนี้คนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีคือฉินซานส่วนหลิ่วจ้งอิ๋นกับหลินอิงนั่งอยู่ตรงข้ามของเย่เสวียนถิงและซูชิงอู่ทั้งภายในและภายนอกรถม้าต่างเงียบเชียบ เย่เสวียนถิงเพียงแค่นั่งตรงตำแหน่งนั้นก็ทำเอาคนทั้งสองกลัวจนไม่กล้าส่งเสียงหัวหน้าตระกูลหลิ่วสั่งให้หลิ่วจ้งอิ๋นมาคุ้มกันนางและเย่เสวียนถิงโดยเฉพาะ และบอกว่าเจ้าเด็กนี่เป็นคนพาซูชิงอู่มาที่นี่ เขาก็ต้องเป็นคนส่งนางกลับให้เรียบร้อยเนื่องจากเย่เสวียนถิงรู้ว่าเขาลักพาตัวซูชิงอู่ไป สายตาที่อีกฝ่ายมองมาจึงค่อนข้างผิดปกติหลิ่วจ้งอิ๋นคิดว่าตนต้องถูกเก็บมาจากข้างทางแน่นอน ไม่เช่นนั้นท่านพ่อของเขาจะผลักเขาเข้าไป
ซูชิงอู่เงยหน้ามองถานมู่ชิงแล้วพูดว่า “ขอแสดงความเสียใจด้วย”ถานมู่ชิงหลุบตาลงและไม่พูดอะไร แต่ถามขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินมาจากบ่าวรับใช้ว่าพระชายาจับกลุ่มคนที่สังหารบิดาของข้าได้แล้ว เป็นเรื่องจริงหรือ?”ซูชิงอู่พยักหน้า “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง”เย่เสวียนถิงได้ให้คนมารายงานในนามของซูชิงอู่ และไม่ได้เปิดเผยตัวตนของเขาขณะนี้จะให้ใครทราบเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาดเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากที่ชายแดนและเขาก็สั่งให้องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดปลอมตัวเป็นเขา การซ่อนตัวในเงามืดก็ถือเป็นการพรางตัวอย่างหนึ่งเพราะนั่นจะทำให้เหยียนจั๋วและคนอื่น ๆ จากแคว้นอู๋ตะวันตกคิดว่าเขาจงใจพูดว่าจะออกจากชายแดนไปช่วยพระชายา แต่ในความเป็นจริงเขาวางแผนที่จะซ่อนตัวอยู่ในความมืดและจัดการกับผู้ที่อยู่ในชายแดนที่ริเริ่มก่อเรื่องหลังจากที่เขาจากไปการจากไปว่าเป็นเพียงเรื่องโกหกและแผนตลบหลังก็เท่านั้นด้วยวิธีนี้ ก็จะสามารถทำให้แคว้นอู๋ตะวันตกหวาดกลัวและคิดว่าเขาไม่ได้ออกจากเมืองชายแดนซูชิงอู่หันกลับไปมองเย่เสวียนถิง ก็เห็นเขาพยักหน้าเบา ๆขณะนั้นเอง มีคนหลายคนเดินแบกกระสอบเข้ามาคนเหล่านี้โยนกระสอบลงบนพ
ณ พระราชวังแห่งแคว้นหนานเย่เมื่อเย่ชิวหมิงเห็นกล่องไม้ที่องครักษ์นำมาให้ส่งกลิ่นเหม็นอยู่เบื้องล่าง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจเขายืนขึ้นวางมือบนโต๊ะทรงงาน พลางทำสายตาตกตะลึง“เจ้าบอกมาว่าศีรษะที่อยู่ในกล่องใบนี้เป็นของใคร?”“เรียนองค์รัชทายาท เป็นเจียวเถิงท่านลุงรองของท่านพ่ะย่ะค่ะ”ทันใดนั้นเย่ชิวหมิงก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ รู้สึกว่ามีคลื่นลูกใหญ่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ในจิตใจเขาเอ่ยทั้งที่หน้าซีด “ไปเชิญเสด็จแม่ของข้ามาที่นี่เดี๋ยวนี้!”เขาได้ฟังต้นสายปลายเหตุทั้งหมดแล้ว และหลังจากยืนยันว่าศีรษะนั้นเป็นของใคร หัวใจของเขาก็ราวจมดิ่งลงสู่ก้นทะเลสาบเหมือนถูกบังคับให้ลงไปในน้ำที่เย็นจัดหลังจากที่เจียวกุ้ยเฟยรู้ว่าถูกเรียกเข้าพบ ไม่นานนางก็มาถึงตำหนักบูรพาที่องค์รัชทายาทประทับอยู่ฉีหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายเย่ชิวหมิงอย่างเงียบ ๆ มาตลอดก็ก้าวไปปรนนิบัติรินชาให้นางด้วยความเคารพเจียวกุ้ยเฟยเหลือบมองฉีหว่านเอ๋อร์ด้วยดวงตาสีเข้ม แต่นางไม่ได้พูดอะไรและมองไปที่เย่ชิวหมิงซึ่งมีสีหน้ามืดมน“ลูกเอ๋ย ที่เจ้าเรียกแม่มาที่นี่หรือเพราะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นหรือ? แล้วเหตุใดตำหนักถึงมีกลิ
ดังนั้นเขาจะรู้สึกลำบากใจมากทุกครั้งที่ต้องจัดการเรื่องของตระกูลเจียวและหลังจากที่เขากลายเป็นองค์รัชทายาท เขาก็เลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเบี้ยหวัดของผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลเจียวอย่างต่อเนื่องแต่น่าเสียดายที่บุญคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ สำหรับตระกูลเจียวที่ละโมบโลภมากขึ้นทุกวัน มันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีค่าอะไรเจียวกุ้ยเฟยยืนขึ้น ขอบตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาตรงหางตาของนาง “เจ้าไม่เข้าข้างลุงของเจ้าก็ช่าง แต่กลับพูดว่าการตายของเขายังไม่สาสมพอ...เจ้าทำให้แม่เสียใจเป็นอย่างยิ่ง หากครั้งนี้เจ้าไม่ล้างแค้นด้วยการสังหารฆาตกรที่ฆ่าลุงของเจ้า แม่ก็จะเอาหัวโขกพื้นฆ่าตัวตายต่อหน้าเจ้า!”คำพูดของนางดูจริงจังมากจนทำให้เย่ชิวหมิงหน้าถอดสีขณะที่เขาเฝ้าดูเจียวกุ้ยเฟยจากไป ความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งก็แวบขึ้นมาในดวงตาของเขาฉีหว่านเอ๋อร์ที่อยู่อีกด้านดูเหมือนจะสังเกตเห็นว่าเขากำลังสับสน จึงเป็นฝ่ายเดินไปหาเขา จากนั้นก็ตบหลังมือของเขาอย่างปลอบโยน “องค์รัชทายาทอย่าได้กังวลไปเลย”เมื่อข้างกายเขารู้สึกถึงความอบอุ่น ความรู้สึกร้อนใจของเย่ชิวหมิงก็ทุเลาลง“หว่าน
เจียวกุ้ยเฟยแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง“พวกเจ้าว่าอย่างไรนะ? สำนักสงฆ์ฮุ่ยชิงอะไรกัน!”นั่นคือสถานที่ซึ่งไทเฮาและฮองเฮาเคยถูกคุมขังไม่ใช่หรือ?ยิ่งไปกว่านั้น นางก็เคยส่งคนไปลอบปลงพระชนม์ไทเฮาที่นั่นด้วย!“นี่คือคำสั่งขององค์รัชทายาท พวกกระหม่อมเองก็ไม่ทราบแน่ชัด ขอเชิญกุ้ยเฟยตามพวกกระหม่อมไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“ให้เย่ชิวหมิงมาพบข้า!”เจียวกุ้ยเฟยโกรธมากจนหน้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู ซึ่งเย่ชิวหมิงได้พาคนมาด้วยเขาทำสีหน้าจนใจ “เสด็จแม่ หากท่านยังต้องการรักษาชีวิตของตัวเอง ก็ฟังลูกเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เย่ชิวหมิงทำเช่นนี้เพื่อให้ได้ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายประการแรก มันจะสามารถทำให้ซูชิงอู่หายโกรธได้ และประการที่สองมันสามารถปกป้องชีวิตของเจียวกุ้ยเฟยได้...เขาเชื่อว่าหากเขาไม่ทำอะไรเลย เมื่อถึงตอนที่พระชายาเสวียนกลับมา ก็จะถึงเวลาตายของเจียวกุ้ยเฟยเป็นแน่!นางคือมารดาผู้ให้กำเนิดของเขา เขาจะทนดูนางตายต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรเจียวกุ้ยเฟยโกรธมากจนรู้สึกเวียนหัว “เย่ชิวหมิง เจ้า...เจ้ามันไร้หัวใจและอกตัญญู เจ้าคิดจะทำอะไรกับข้ากันแน่ แ
ในค่ำคืนอันเงียบสงัด รอบข้างล้อมรอบด้วยนายทหารที่ขวางประตูบ้านตระกูลเจียวแม้วันนี้ซูชิงอู่จะจับกุมหัวหน้าตระกูลเจียวและคนอื่น ๆ ได้ แต่ใช่ว่าสมาชิกทุกคนในตระกูลเจียวจะอยู่ที่นี่ ยังมีอีกหลายคนที่กระจัดกระจายไปตามที่ต่าง ๆนางหลุบตาลงและคลี่ยิ้มออกมา นางป่าวประกาศออกมาด้วยรอยยิ้มสดใสว่า “ข้านี่แหละคือกฎหมาย!”หัวหน้าตระกูลเจียวตกตะลึง ไม่อยากเชื่อเลยว่าซูชิงอู่จะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัล!“พระชายาเสวียน ท่านกำลังดูหมิ่นอำนาจของฮ่องเต้และไม่เห็นฝ่าบาทอยู่สายตา!”ซูชิงอู่เลิกคิ้ว นางเคยเห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตาตอนไหนกัน?ฮ่องเต้เฒ่าเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่อาณาจักรของตัวเองก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้“ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยนะ แม้วันนี้ข้าจะทำลายจวนตระกูลเจียวของพวกเจ้า แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรข้าได้!”หัวหน้าตระกูลเจียวย่อมไม่เชื่อ เขายิ้มเยาะและพูดว่า “องค์รัชทายาทใกล้จะเสด็จมาถึงแล้ว มาดูกันซิว่าท่านจะยังหยิ่งผยองอยู่ต่อหน้าพระองค์ได้หรือไม่ นอกจากนี้ราชองครักษ์ของเมืองหลวงก็จะสังหารเหล่าโจรกบฏของพวกท่านจนสิ้น!”“โจรกบฏรึ?”ซูชิงอู่เลิกคิ้วและพูดเสียงเย็น “เจียวกุ้ยเฟ
“หยุดเดี๋ยวนี้ ใครอนุญาตให้พวกเจ้าทำเช่นนี้ พวกเจ้าไม่รู้รึว่าที่นี่คือที่ใด?”หลิ่วจ้งอิ๋นเอ่ยอย่างคนปากเสีย “รู้สิ หน้าประตูก็มีป้ายเขียนไว้ไม่ใช่รึ? จวนตระกูลเจียวใช่หรือไม่ ข้านี่อ่านตัวอักษรเก่งใช้ได้นะเนี่ย”คำพูดเหล่าดังกล่าวทำให้เจียวกุ้ยเฟยหน้าเปลี่ยนสีด้วยความโกรธนางไม่รู้จักหลิ่วจ้งอิ๋น ดังนั้นนางจึงพูดกับซูชิงอู่ “พระชายาเสวียน เจ้ารู้ว่าที่นี่คือเขตแดนของตระกูลเจียว แต่ก็ยังไม่บอกให้คนของเจ้าหยุด หรือว่าเจ้าคิดจะก่อกบฏ?”ซูชิงอู่มองเจียวกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าเย็นชาพร้อมส่งรอยยิ้มแปลก ๆ มาให้เจียวกุ้ยเฟยขนลุกไปทั้งตัวเมื่อนางเห็นรอยยิ้มนั้นนางรู้ดีว่าซูชิงอู่แข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นนางจึงกล้าสร้างปัญหาเฉพาะตอนที่อีกฝ่ายไม่อยู่ นางคิดว่าซูชิงอู่จะไม่กลับมา แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้พบอีกฝ่ายเร็วเช่นนี้!นางกระเดือกน้ำลายสองอึกใหญ่ ความกลัวทำให้นางไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ชั่วขณะซูชิงอู่ค่อย ๆ เอ่ยปาก “ปากของกุ้ยเฟยก็เอาแต่พูดว่ากบฏอย่างนั้นกบฏอย่างนี้ เป็นผู้กระทำที่รู้จักชิงกล่าวบิดเบือนความจริงก่อนเสียจริง!”เจียวกุ้ยเฟยกัดฟัน “ซูชิงอู่ หากเจ้าเห็นแก่ความเป็นพันธมิตรที่เรา