เมื่อเห็นอันกั๋วโหวที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ซูชิงอู่ก็แค่นเสียงเย็น “หากไม่ใช่เพราะข้าเห็นหลิงจูเหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่งของข้า ข้าก็คงไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องสกปรกของพวกท่านหรอก”ซูชิงอู่รู้ดีว่าเย่หลิงจูยังจำคนรักในวัยเด็กของนางได้เสมอตอนแรกที่พูดถึงเรื่องนี้กับนาง ตนยังจำท่าทีเขินอายเหมือนสาวน้อยของเย่หลิงจูได้ตัวนางไม่แน่ใจว่าสองคนนี้เหมาะสมกันจริง ๆ หรือไม่ แต่นางรู้ว่าหากในความสัมพันธ์ของทั้งสองที่มี คนหนึ่งเป็นบุตรชายของกบฏ และอีกคนเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์...ช่องว่างของสถานะที่ยากจะฝ่าฝันไปได้ย่อมกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางพวกเขาอย่างแน่นอนในฐานะพี่สะใภ้ จะให้นางเฝ้าดูน้องสามีต้องทนทุกข์ทรมานได้อย่างไร?แม้ท้ายที่สุดแล้วเย่หลิงจูและถานมู่ชิงจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาและจะไม่มีสิ่งใดอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องดังนั้นนางจึงตัดเส้นทางสู่การก่อกบฏของอันกั๋วโหวไปเสียเลยและอันกั๋วโหวผู้ทรยศต่อแคว้นอู๋ตะวันตกจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน...ซูชิงอู่ออกมาจากห้องที่อันกั๋วโหวอยู่ ซึ่งที่ด้านนอกนั้นมีหัวหน้าตระกูลหลิ่วรออยู่นานแล้ว “พระชายา ท่านจะอยู่ที่นี่ต่อหรือไม
ที่แท้เขาก็วางแผนจะทำให้ตัวเองได้นั่งบนบัลลังก์เสียเอง และสิ่งเลวร้ายที่เขาทำอย่างเปิดเผยนั้นก็เป็นการปูทางไปสู่แผนการในอนาคตและเขา...ถูกเก็บเอาไว้อย่างโง่เขลาในความมืด ราวกับคนงี่เง่าที่ไม่รู้อะไรเลย อีกทั้งยังไร้เดียงสามากที่คิดว่าภายภาคหน้าจะสู่ขอองค์หญิงมาเป็นภรรยาของตน...จริง ๆ เลย ชีวิตช่างน่าตลกสิ้นดี!หัวหน้าตระกูลหลิ่วไม่รู้ว่าความจริงที่เขาบอกไปนั้นกระทบกระเทือนจิตใจซื่อจื่อที่ป่วยและอ่อนแอผู้นี้มากเพียงใดหลังจากเรื่องนี้คลี่คลายแล้ว เขาก็พาซูชิงอู่กลับไปยังตระกูลหลิ่วเป็นการชั่วคราวสมาชิกตระกูลหลิ่วที่แต่เดิมอยู่กันกระจัดกระจายก็พากันกลับมา สุดท้ายซูชิงอู่ก็ได้เห็นบ้านหลังเก่าแก่ที่ค่อนข้างใหญ่โตของตระกูลหลิ่วและในที่สุดหลิ่วจ้งอิ๋นก็ถูกปล่อยตัว เขาจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกเลยแม้แต่น้อยทันทีที่เขาไปถึงประตูบ้าน เขาก็ห้ามปากตัวเองเอาไว้ไม่ได้ “ตาแก่ตายยากอันกั๋วโหวนั่นขังขังข้าเอาไว้เสียนาน เล่นเอาข้าตัวเหม็นไปหมด…”แต่ทุกครั้งก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาจะถูกบิดาตบหัวอย่างแรง“หุบปาก”หัวหน้าตระกูลหลิ่วเหลือบมองซูชิงอู่ และเมื่อแน่ใจว่านางไม่ได้โกรธเขาก็พูดว่า “ก่อนหน้
หลิ่วจ้งอิ๋นหน้าซีดด้วยความตกใจและรีบปิดปากของตัวเองทันทีหัวหน้าตระกูลหลิ่วรีบสั่งให้คนปิดประตูพลางมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ“ท่านอ๋อง เหตุใดท่านถึงมาอยู่ในบ้านของกระหม่อมล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”เย่เสวียนถิงให้ความเคารพหัวหน้าตระกูลหลิ่วมาก เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “มารอพระชายาน่ะ”หัวหน้าตระกูลหลิ่วรู้สึกประหลาดใจ และคนทั้งกลุ่มได้เดินเข้าไปข้างในพร้อมกับพูดคุยเรื่องข่าวล่าสุดเห็นได้ชัดว่าเย่เสวียนถิงรู้อะไรมาไม่น้อย เขาหรี่ตาลงพลางมองไปที่ใบหน้าของซูชิงอู่ และยกมือลูบหัวนางเขาพูดกับหัวหน้าตระกูลหลิ่ว “ข้ารู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับจวนอันกั๋วโหวหมดแล้ว รับรองว่าหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา เขาจะไม่ก่อเรื่องอะไรอีก”แน่นอนว่าหัวหน้าตระกูลหลิ่วไม่นึกกังขาในคำพูดของเย่เสวียนถิง “ขอขอบพระทัยท่านอ๋องและพระชายาที่ให้ความช่วยเหลือ หากไม่ใช่เพราะท่านทั้งสอง ตระกูลหลิ่วของกระหม่อมก็คงแตกแยกและกระจัดกระจายกันไป นับจากนี้ไป ตราบใดที่กระหม่อมยังมีประโยชน์อยู่ แม้ตายกระหม่อมก็จะไม่หนีไปไหนพ่ะย่ะค่ะ”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ ตอนนี้หัวหน้าตระกู
......ตกกลางคืนณ จวนอันกั๋วโหวจู่ ๆ ไฟดวงเล็กก็สว่างวาบ จากนั้นก็ลามเป็นไฟที่ลุกโหมขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ก็มีเสียงอุทานมากมาย “ไปเอาน้ำมาดับไฟเร็ว จวนโหวไหม้หมดแล้ว!”คนรับใช้ของจวนโหวทั้งหมดรีบออกมาจากห้องและวิ่งไปตักน้ำที่บ่อน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดถานมู่ชิงได้ยินเสียงอึกทึกจึงลุกเดินออกจากห้องของตัวเอง เขาเห็นห้องที่บิดาของเขาพักผ่อนอยู่ไม่ไกลมีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ประกายไฟพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเงยหน้ามองตาไปและเห็นเงาดำหลายเงาปรากฏขึ้นอยู่บนหลังคา ซึ่งเงาเหล่านั้นวิ่งเร็วมาก!ท่าทางของเขาแข็งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง “มีนักฆ่า รีบไล่ตามไปเร็วเข้า!”องครักษ์ลับหลายคนของจวนโหวไล่ตามคนเหล่านั้นตามคำสั่งของผู้เป็นนายไปยังทิศทางที่พวกเขาจากไปถานมู่ชิงรีบวิ่งไปที่ประตูห้องของบิดา เมื่อเห็นประตูที่ถูกไฟไหม้ เขาก็คิดจะพังเข้าไป แต่กลับถูกคนที่อยู่ใกล้ ๆ รั้งเอาไว้“ซื่อจื่อ ไฟโหมแรงเกินไป ท่านห้ามพังเข้าไปนะขอรับ!”ถานมู่ชิงมองดูเรือนที่พังทลายลงมา ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ เขารู้สึกอ่อนแรงไปทั้งร่าง หากไม่มีคนคอยประคอง เขาก็คงจะล้มลง
เช้าวันรุ่งขึ้น จวนอันกั๋วโหวก็ได้จัดพิธีไว้อาลัยข่าวที่อันกั๋วโหวถูกลอบสังหารเมื่อคืนได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองฉีในทันทีซูชิงอู่ที่เพิ่งมาถึงจวนโหวด้วยรถม้า เปิดม่านมองไปยังฝูงชนจำนวนมากที่มางาน พลางขมวดคิ้วเบา ๆ แล้วพูดว่า “เหตุใดถึงเร็วเช่นนี้?”แม้สายลับจากแคว้นอู๋ตะวันตกจะถูกนางทำให้ตื่นตระหนก แต่การลอบสังหารอันกั๋วโหวเพื่อแก้แค้นเป็นผลลัพธ์ที่นางไม่คาดคิดมาก่อน นึกไม่ถึงว่าอันกั๋วโหวจะตายหลังจากที่นางจากไปช่างบังเอิญเสียจริงขณะนี้คนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีคือฉินซานส่วนหลิ่วจ้งอิ๋นกับหลินอิงนั่งอยู่ตรงข้ามของเย่เสวียนถิงและซูชิงอู่ทั้งภายในและภายนอกรถม้าต่างเงียบเชียบ เย่เสวียนถิงเพียงแค่นั่งตรงตำแหน่งนั้นก็ทำเอาคนทั้งสองกลัวจนไม่กล้าส่งเสียงหัวหน้าตระกูลหลิ่วสั่งให้หลิ่วจ้งอิ๋นมาคุ้มกันนางและเย่เสวียนถิงโดยเฉพาะ และบอกว่าเจ้าเด็กนี่เป็นคนพาซูชิงอู่มาที่นี่ เขาก็ต้องเป็นคนส่งนางกลับให้เรียบร้อยเนื่องจากเย่เสวียนถิงรู้ว่าเขาลักพาตัวซูชิงอู่ไป สายตาที่อีกฝ่ายมองมาจึงค่อนข้างผิดปกติหลิ่วจ้งอิ๋นคิดว่าตนต้องถูกเก็บมาจากข้างทางแน่นอน ไม่เช่นนั้นท่านพ่อของเขาจะผลักเขาเข้าไป
ซูชิงอู่เงยหน้ามองถานมู่ชิงแล้วพูดว่า “ขอแสดงความเสียใจด้วย”ถานมู่ชิงหลุบตาลงและไม่พูดอะไร แต่ถามขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินมาจากบ่าวรับใช้ว่าพระชายาจับกลุ่มคนที่สังหารบิดาของข้าได้แล้ว เป็นเรื่องจริงหรือ?”ซูชิงอู่พยักหน้า “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง”เย่เสวียนถิงได้ให้คนมารายงานในนามของซูชิงอู่ และไม่ได้เปิดเผยตัวตนของเขาขณะนี้จะให้ใครทราบเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาดเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากที่ชายแดนและเขาก็สั่งให้องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดปลอมตัวเป็นเขา การซ่อนตัวในเงามืดก็ถือเป็นการพรางตัวอย่างหนึ่งเพราะนั่นจะทำให้เหยียนจั๋วและคนอื่น ๆ จากแคว้นอู๋ตะวันตกคิดว่าเขาจงใจพูดว่าจะออกจากชายแดนไปช่วยพระชายา แต่ในความเป็นจริงเขาวางแผนที่จะซ่อนตัวอยู่ในความมืดและจัดการกับผู้ที่อยู่ในชายแดนที่ริเริ่มก่อเรื่องหลังจากที่เขาจากไปการจากไปว่าเป็นเพียงเรื่องโกหกและแผนตลบหลังก็เท่านั้นด้วยวิธีนี้ ก็จะสามารถทำให้แคว้นอู๋ตะวันตกหวาดกลัวและคิดว่าเขาไม่ได้ออกจากเมืองชายแดนซูชิงอู่หันกลับไปมองเย่เสวียนถิง ก็เห็นเขาพยักหน้าเบา ๆขณะนั้นเอง มีคนหลายคนเดินแบกกระสอบเข้ามาคนเหล่านี้โยนกระสอบลงบนพ
ณ พระราชวังแห่งแคว้นหนานเย่เมื่อเย่ชิวหมิงเห็นกล่องไม้ที่องครักษ์นำมาให้ส่งกลิ่นเหม็นอยู่เบื้องล่าง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจเขายืนขึ้นวางมือบนโต๊ะทรงงาน พลางทำสายตาตกตะลึง“เจ้าบอกมาว่าศีรษะที่อยู่ในกล่องใบนี้เป็นของใคร?”“เรียนองค์รัชทายาท เป็นเจียวเถิงท่านลุงรองของท่านพ่ะย่ะค่ะ”ทันใดนั้นเย่ชิวหมิงก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ รู้สึกว่ามีคลื่นลูกใหญ่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ในจิตใจเขาเอ่ยทั้งที่หน้าซีด “ไปเชิญเสด็จแม่ของข้ามาที่นี่เดี๋ยวนี้!”เขาได้ฟังต้นสายปลายเหตุทั้งหมดแล้ว และหลังจากยืนยันว่าศีรษะนั้นเป็นของใคร หัวใจของเขาก็ราวจมดิ่งลงสู่ก้นทะเลสาบเหมือนถูกบังคับให้ลงไปในน้ำที่เย็นจัดหลังจากที่เจียวกุ้ยเฟยรู้ว่าถูกเรียกเข้าพบ ไม่นานนางก็มาถึงตำหนักบูรพาที่องค์รัชทายาทประทับอยู่ฉีหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายเย่ชิวหมิงอย่างเงียบ ๆ มาตลอดก็ก้าวไปปรนนิบัติรินชาให้นางด้วยความเคารพเจียวกุ้ยเฟยเหลือบมองฉีหว่านเอ๋อร์ด้วยดวงตาสีเข้ม แต่นางไม่ได้พูดอะไรและมองไปที่เย่ชิวหมิงซึ่งมีสีหน้ามืดมน“ลูกเอ๋ย ที่เจ้าเรียกแม่มาที่นี่หรือเพราะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นหรือ? แล้วเหตุใดตำหนักถึงมีกลิ
ดังนั้นเขาจะรู้สึกลำบากใจมากทุกครั้งที่ต้องจัดการเรื่องของตระกูลเจียวและหลังจากที่เขากลายเป็นองค์รัชทายาท เขาก็เลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเบี้ยหวัดของผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลเจียวอย่างต่อเนื่องแต่น่าเสียดายที่บุญคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ สำหรับตระกูลเจียวที่ละโมบโลภมากขึ้นทุกวัน มันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีค่าอะไรเจียวกุ้ยเฟยยืนขึ้น ขอบตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาตรงหางตาของนาง “เจ้าไม่เข้าข้างลุงของเจ้าก็ช่าง แต่กลับพูดว่าการตายของเขายังไม่สาสมพอ...เจ้าทำให้แม่เสียใจเป็นอย่างยิ่ง หากครั้งนี้เจ้าไม่ล้างแค้นด้วยการสังหารฆาตกรที่ฆ่าลุงของเจ้า แม่ก็จะเอาหัวโขกพื้นฆ่าตัวตายต่อหน้าเจ้า!”คำพูดของนางดูจริงจังมากจนทำให้เย่ชิวหมิงหน้าถอดสีขณะที่เขาเฝ้าดูเจียวกุ้ยเฟยจากไป ความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งก็แวบขึ้นมาในดวงตาของเขาฉีหว่านเอ๋อร์ที่อยู่อีกด้านดูเหมือนจะสังเกตเห็นว่าเขากำลังสับสน จึงเป็นฝ่ายเดินไปหาเขา จากนั้นก็ตบหลังมือของเขาอย่างปลอบโยน “องค์รัชทายาทอย่าได้กังวลไปเลย”เมื่อข้างกายเขารู้สึกถึงความอบอุ่น ความรู้สึกร้อนใจของเย่ชิวหมิงก็ทุเลาลง“หว่าน