บุรุษผู้นั้นสายตาเย็นชา จากนั้นริมฝีปากบางเฉียบก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า "พอได้แล้ว!" หลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกคับข้องใจอยู่ไม่น้อยที่ถูกตวาดใส่ ยามที่นางมองเย่เสวียนถิง สายตาของนางที่เผยออกมาจึงผสมปนเประหว่างความชื่นชมและเคารพยำเกรง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า "สิ่งที่เสวี่ยอิ๋งพูดมาเป็นเรื่องจริงนะเจ้าคะ การแต่งงานกับสตรีที่มีราคีรังแต่จะทำให้ญาติผู้พี่ถูกคนทั้งโลกหัวเราะเยาะเอาได้! " เย่เสวียนถิงจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชาแล้วหันมาคำนับซูเฟย "เสด็จแม่ อย่าได้ฟังนางกล่าววาจาเลื่อนเปื้อน ยกเข้ามาได้!" นอกประตูพลันมีคนขานตอบขึ้นมาทันที เมื่อซูชิงอู่เห็นเย่เสวียนถิงยืนหยัดเพื่อนาง ก็ใหรู้สึกใจเต้นแรง ถึงแม้ว่านางจะสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ ทว่าการที่มีบุรุษผู้นี้ยืนหยัดเคียงข้างก็ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยได้น่าเหลือเชื่อ ข้าหลวงเฝ้าประตูก้มหน้าแล้วยกถาดเข้ามา มีผ้าคลุมเอาไว้ชั้นหนึ่ง ทำให้ซูชิงอู่เดาไม่ออกว่าเป็นสิ่งใดกันแน่ แม่นมข้างกายซูเฟยเปิดผ้าคลุมออก แล้วคลี่กางผ้าซับเลือดพรหมจรรย์ที่พับเอาไว้เรียบร้อยอยู่ในนั้นออกมา รอยสีแดงสดบนนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้แก่ทุกคนที่อยู่ ณ ท
หน้าตาของนางพลันขาวซีดลงทันที จากนั้นก็มีเหงื่อเย็น ๆ ผุดซึมหน้าผาก "เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน? แต้มพรหมจรรย์ของข้าเล่า? แต้มพรหมจรรย์ของข้าหายไปไหนกัน?" ม่านตาของนางหดวูบราวกับนางรู้สึกตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด แม้แต่ผู้อื่นในห้องก็แทบไม่อยากเชื่อสายตาเช่นกัน ซูเชียนหลิงไม่อยากเชื่อเลยว่าซูชิงอู่จะมีวิธีการเช่นนี้ด้วย นางเองก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาบ้างแล้ว "ท่านหญิง อย่าเพิ่งร้อนใจ ซูชิงอู่คงจะทำอะไรสักอย่างเป็นแน่ ข้าจะสั่งให้นางคืนแต้มพรหมจรรย์ให้ท่านเอง!" ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น "เมื่อสูญเสียสิ่งนี้ไปแล้ว ก็ย่อมต้องเสียไปถาวร ท่านจะเอากลับคืนมาได้อย่างไรเล่า?" ในแคว้นหนานเย่ คงไม่ต้องบอกว่าแต้มพรหมจรรย์มีความสำคัญต่อสตรีเพียงใด พวกนางล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ที่วันข้างหน้าย่อมถูกลิขิตให้แต่งงานกับผู้ทรงอำนาจและทรงอิทธิพล เมื่อหลินเสวี่ยอิ๋งได้ยินคำพูดของซูชิงอู่ นางก็โมโหมากเสียจนไม่อาจระงับโทสะ ราวกับว่าคิดจะพุ่งเข้าไปฉีกทึ้งซูชิงอู่ให้เป็นชิ้น ๆ "นางสารเลว!" นางแค้นใจมากเสียจนยกมือขึ้นหมายจะตบหน้าซูชิงอู่ เมื่อซูชิงอู่เห็นหลินเสวี่ยอิ๋งเป็นเช่นนั้นก็ยืนนิ
ซูเชียนหลิงร้อนใจเพราะเกรงว่าหลินเสวี่ยอิ๋งจะโทษว่าเป็นความผิดของตน ดังนั้นจึงรีบไล่ตามออกไป เมื่อซูชิงอู่เห็นหลินเสวี่ยอิ๋งตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ นางก็เลิกคิ้วแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อเห็นเย่เสวียนถิงที่อยู่ข้าง ๆ กำลังมองมาที่นาง ซูชิงอู่ก็รีบปั้นหน้าเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า "ยามที่มาถึง ชะรอยท่านหญิงคงจะมีอาการท้องเสียเป็นแน่" เย่เสวียนถิงถอนสายตากลับโดยไม่ได้เอ่ยวาจาใด อันที่จริงแล้วซูชิงอู่ใช้เข็มเงินร่วมกับการฝังเข็มเพื่อช่วยขับพิษให้แก่หลินเสวี่ยอิ๋ง แต้มพรหมจรรย์ที่ว่าเป็นแค่แผนการที่ใช้ควบคุมสตรีก็เท่านั้น เมื่อขับพิษออกไปแล้ว ย่อมส่งผลข้างเคียงบางอย่าง ในเมื่อหลินเสวี่ยอิ๋งถูกหามออกไปแล้ว ซูเชียนหลิงที่มาพร้อมกับหลินเสวี่ยอิ๋งย่อมไร้เหตุผลให้อยู่ที่นี่อีกต่อไป ซูชิงอู่มองดูเงาร่างที่กำลังล่าถอยกลับไปพร้อมรอยยิ้มขม นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าท่านหญิงผู้นี้จัดฉากเล่นงานตน? แม้แต่ความคิดเรื่องสมุดภาพเหล่านั้นก็น่าจะเป็นแผนการของอีกฝ่ายเช่นกัน ซูเฟยสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ แล้วจิบน้ำชาไปหลายอึกกว่าจะระงับอาการคลื่นเหียนลงได้ ใบหน้างามประณีตกลับซีดขาวเล็กน้อ
มือนุ่มกดเข้ากับหลังมือของเขา จากนั้นก็ดึงฝ่ามือของเขามาประคองนวลแก้มของตน ซูชิงอู่เลิกคิ้วนิด ๆ พลางกล่าวว่า "หากท่านอยากจะสัมผัสก็เชิญเถิด ตอนนี้ข้าเป็นของท่านแล้วนี่เจ้าคะ" เย่เสวียนถิงพลันหูแดงก่ำ คล้ายว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นไม่ได้หยุดเลย อารมณ์ความรู้สึกนับไม่ถ้วนปริ่มล้นที่สะกดกลั้นเอาไว้ในใจดูเหมือนจะไม่อาจหาทางออกได้ เย่เสวียนถิงจึงได้แต่ยืนทื่ออยู่ตรงนั้น ถึงแม้ซูชิงอู่หาได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่เย่เสวียนถิงกำลังครุ่นคิดอยู่ ทว่ายามนี้นางกลับมีความสุขยิ่งนัก ขอเพียงนางได้เห็นบุรุษผู้นี้อยู่ตรงหน้า นางก็รู้สึกสบายใจเป็นที่สุดแล้ว อารมณ์ร้อนรนกระวนกระวายใจทั้งมวลของนางที่สุดก็มลายสิ้น ราวกับว่าบรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่ยากที่คนนอกจะเข้ามาแทรกกลางได้ ทว่าในยามนี้เอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังรบกวนบรรยากาศในห้องโถง จากนั้นเสียงขององค์ชายสาม เย่อวิ๋นถูก็ดังขึ้นมาจากนอกประตู "ชิงอู่!" ท่าทียามเขาร้องเรียกซูชิงอู่ช่างแลดูคลุมเครือนัก ซูชิงอู่ที่อยู่ในโถงหลักหันหน้าไปมองโดยไม่รู้ตัว นางเห็นซูเชียนหลิงตามรั้งท้ายกลับมาพร้อมองค์ชายสามเย่อวิ๋นถู ก่อนที่เขาจะเดินมาหานาง
สีหน้าเย่อวิ๋นถูผกผันเร็วพลันนัยน์ตาเขาประกายวับ แต่เสียงกลับนุ่มนวลเล็กน้อย“ชิงอู่ เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือ?”ซูชิงอู่เลิกคิ้ว “ข้าโกรธอันใดท่าน?”เย่หวิ๋นถูถอนหายใจ “เรื่องถอนหมั้นเป็นเสด็จแม่ข้าดำเนินการ เจ้าก็รู้นิสัยเสด็จแม่ข้า นางไม่ให้ข้าแต่งกับสตรีที่เสียแต้มพรหมจรรย์เป็นพระชายา”“แต่ใจข้าไม่เคยรังเกียจเจ้าแม้ครึ่งส่วน ภายหลังถอนหมั้นจึงไปคุกเข่าวอนเสด็จแม่ ในที่สุดพระองค์ก็อนุญาตให้ข้ารับเจ้าเป็นอนุภรรยา...”สายตาเย่อวิ๋นถูมองเย่เสวียนถิงด้วยสายตาไม่พอใจและโกรธความชิงชังประเภทนั้นคล้ายจะทะลักออกก็ไม่ปานเมื่อได้ยินวาจาดังกล่าว ซูชิงอู่ก็เกือบจะหัวเราะออกมาแต่ทันทีหลังจากนั้น สีหน้านางก็เคร่งขรึมขึ้นชาติก่อนนางช่างใสซื่อหลอกลวงได้ง่ายโดยแท้ เป็นคุณหนูอ่อนหัดไม่ทันความโหดเหี้ยมของใจใครต่อใคร หลงเชื่อถ้อยคำเขา ทึกทักไปว่าเย่เสวียนถิงทำลายลาภของนาง!ไม่ได้ใช้สมองที่ติดตัวมาฉุกคิดเลยสักนิด นางคือบุตรีภรรยาเอกแห่งจวนอัครเสนาบดี เกิดมาก็มีฐานะเป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์ เหตุใดต้องไปเป็นอนุภรรยาใคร?เจ้าเย่อวิ๋นถูมีสิทธิ์อะไร?!สิทธิ์ที่เขาหน้าหนา?สิทธิ์ที่เขาเจ้าอารมณ์
หากไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็คงดี เพลิงพิโรธของซูชิงอู่คงไม่พุ่งขึ้นกะทันหันเช่นนี้นางกอดคนในอ้อมแขนแน่น แนบแก้มตัวเองบนหลังเขา อนึ่งคิดจะใช้วิธีแบบนี้ขจัดความว้าวุ่นกับความหวาดหวั่นในใจอีกฝ่ายนางกล่าวต่อด้วยท่าทีเข้มแข็ง “หม่อมฉันไม่ยอมให้ท่านตรัสใส่ไคล้เขา!”สองมือเย่เสวียนถิงกดลงบนข้อมือซูชิงอู่เดิมทีเขาหมายจะคลายมืออีกฝ่ายออก แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำของซูชิงอู่จึงหยุดกิริยานั้นไออุ่นจากสตรีด้านหลังทำเขารู้สึกหลงใหล พลางหัวใจเยือกเย็นสงบลงไปด้วยดวงตาเย่อวิ๋นถูเยือกเย็นในพริบตาหัวคิ้วขมวดมุ่น นัยน์ตามองซูชิงอู่พินิจละเอียดหลายส่วน“ชิงอู่ ไม่นึกว่าเจ้าจะออกหน้าแทนเขา หรือว่าเจ้าลืมแล้วว่ามารดาเจ้าสิ้นเพราะเหตุใด?”ซูชิงอู่เงยหน้าขึ้น ยื่นศีรษะออกจากแผ่นหลังเย่เสวียนถิงพลางหัวเราะเย้ยหยันใส่เย่อวิ๋นถู “ไม่จำเป็นต้องให้พระองค์เตือนสติ หม่อมฉันไม่กล้าลืมแม้สักวันเดียวตลอดหลายปีที่ผ่านมา!”เย่อวิ๋นถูซักถาม “ในเมื่อเจ้าไม่ลืม แล้วตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? สนิทชิดเชื้อกับฆาตกรที่สังหารแม่เจ้าอย่างนี้น่ะหรือ?”ถ้าซูชิงอู่ไม่รู้ความจริง เกรงว่าคงหลงเชื่อเย่อวิ๋นถูไปแล้วหลายประโยคก
ยังไม่วายให้ฮ่องเต้ตอบสนอง ซูชิงอู่เชิดคางเล็กน้อย เบ้าตาแดงก่ำหยาดน้ำตาหมุนวนด้านในหางตาโดยไม่ยอมหลั่งลงการแสดงออกถึงความคับข้องใจขีดสุดเช่นนี้ของนางทำให้วาจาพระองค์จุกแน่นอยู่ในลำคอฉับพลันฮ่องเต้อดเปลี่ยนประเด็นไม่ได้ พลางเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”อาจเป็นเพราะไม่ตรภาพครั้งเยาว์วัยระหว่างพระองค์กับมารดาของนาง ฮ่องเต้จึงโอบอ้อมอารีซูชิงอู่เป็นพิเศษแม้จะไม่อาจเข้าข้างได้ชัดเจนนัก แต่อย่างไรซูชิงอู่ก็ไม่น้อยหน้าบรรดาองค์หญิงชนชั้นเจ้าซูชิงอู่เป็นคนค่อนข้างมีชื่อในแวดวงบุตรีเหล่านั้นในเมืองหลวงไม่เพียงการหมั้นหมายที่ฮองเฮาเตรียมไว้สำหรับนางและองค์ชายสามเท่านั้น ยังมีความลำเอียงของฮ่องเต้ด้วยเสียงซูชิงอู่เครือแผ่วค่อย ๆ ส่งออกจากกล่องเสียง “ฝ่าบาทเพคะ ได้โปรดอย่าโทษท่านอ๋องเลย เป็นเพราะหม่อมฉัน ท่านอ๋องถึงได้ลงมือ หากพระองค์จะลงโทษก็ลงโทษหม่อมฉันแต่เพียงผู้เดียวเถิดเพคะ หากองค์ชายสามไม่เอ่ยเรื่องน่ารังเกียจออกมา องค์ชายก็คงจะไม่ทรงกริ้ว หม่อม…หม่อมฉัน…”สองตาฮ่องเต้หรี่ขึ้นฉับพลันเขากวาดมองร่างเย่อวิ๋นถูกับเย่เสวียนถิงเฉียบคม จากนั้นถามว่า “องค์ชายสามตรัสว่าอันใด?”
ความดูถูกและเหยียดหยามฉายชัดในแววตาของนางซูเชียนหลิงเห็นเย่อวิ๋นถูโดนลงโทษเช่นนั้น นางก็อดเครียดขึ้นมิได้ หวั่นว่าต่อไปโชคร้ายจะตกมาที่ตนด้วยแต่คำภาวนาของนางกลับไม่ส่งผลซูชิงอู่จะลืมนางไปได้อย่างไร?ทันใดนั้นนางเปิดปากอีกว่า “ฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้หม่อมฉันคือพระชายาอ๋องเสวียน แต่พี่สาวหม่อมฉันนางกลับจงใจลงมือตบตีหม่อมฉัน ฝ่าบาทโปรดตัดสินให้ชิงอู่ด้วยเถอะเพคะ!”ฮ่องเต้ตำหนิองค์ชายสามไปพักหนึ่ง เพลิงโทสะคราวนี้ก็ลดลงมิน้อยแล้วเขาพูดกับซูชิงอู่ใจเย็นอ่อนโยนว่า “อย่างไรนางก็เป็นพี่สาวเจ้า แต่ข้าจะแจ้งอัครเสนาบดีให้เขามาจัดการเรื่องนี้ เจ้าว่าเช่นไร?”ซูชิงอู่ผงกศีรษะตอบอย่างเฉียบแหลม “ชิงอู่เชื่อฟังฝ่าบาทเพคะ”ซูชิงอู่รู้ขีดจำกัดของฮ่องเต้ความฉลาดกมีได้ แต่จะเนรคุณเขาไม่ได้อนาคตยังอีกยาวไกล นางจะไม่รีบร้อนตอนนี้ไหล่ของนางไหวแผ่ว เสียงสะอื้นน้อย ๆ ชวนคนสงสารได้เป็นพิเศษประหนึ่งได้รับความไม่เป็นธรรมครั้งใหญ่เย่เสวียนถิงที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ นางเห็นกิริยานี้ของนางก็ไม่อาจดับเพลิงโทสะในแววตาได้หากฮ่องเต้ไม่อยู่ที่นี่และมีคนในวังเฝ้าไม่มาก เกรงว่าเขาคงฟาดเย่อวิ๋นถูอย่าง
เย่เสวียนถิงออกบ้านมานานถึงเพียงนี้ ทำได้แค่คอยไปแอบมองเด็ก ๆ ลับหลังเท่านั้น และไม่เคยแม้แต่จะเข้าไปอยู่ใกล้เด็ก ๆ เลยคราวนี้เขาถอดหน้ากากออกเพื่อเปิดเผยตัวตน ซึ่งทำให้หลายคนในห้องตกใจอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงก้าวไปมองเย่เสวียนถิงด้วยสีหน้าตกใจซูชิงอู่เห็นเขายืนอยู่ข้างเตียงด้วยความระมัดระวัง และเห็นสายตาท่าทางของเขาที่กำลังจับจ้องไปเด็ก ๆ นางจึงยื่นตัวเจ้าหนูคนเล็กส่งให้อีกฝ่าย“มาสิ อุ้มลูกสาวท่านหน่อย”เด็กหญิงตัวเล็กผู้มีพี่ชายสองคนที่เกิดในเดือนเดียวกันหลังจากการเปลี่ยนแปลงภายในไม่กี่เดือน จากรูปร่างที่เล็กและบอบบางในตอนแรก นางก็กลายเป็นตุ๊กตากระเบื้องที่แกะสลักด้วยหยกสีชมพูลักษณะหน้าตาของนางเหมือนซูชิงอู่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดดวงตาที่คล้ายองุ่นสีดำคู่นั้นงดงามราวกับอัญมณีที่บริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้าเย่เสวียนถิงรู้ดีอยู่แล้วเกี่ยวกับสถานการณ์ของเจ้าหนูคนเล็ก และใจของเขาก็ห่อเหี่ยวทันทีเมื่อเขานึกถึงการที่ซูชิงอู่เกือบจะประสบเหตุตอนที่นางให้กำเนิดเด็กคนนี้เขาแตะปลายจมูกของเจ้าหนูคนเล็กอย่างระมัดระวังสัมผัสที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่น“ฮัดชิ่ว
เย่เสวียนถิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก แต่ยังไว้ซึ่งท่าทีเคารพนอบน้อม “เสด็จแม่ทรงไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ”“แม่จะไม่กังวลได้อย่างไร”ซูไทเฮาตอบกลับ แต่นางก็รู้เช่นกันว่านางทำอะไรไม่ได้ “ตอนนี้เจ้ากลับมาเช่นนี้ หลายคนก็น่าจะเห็นแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหากทางชายแดนได้รับข่าวหรือ?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ "กลับมาคราวนี้ ประการแรกก็เพื่อความปลอดภัยของอาอู่ และประการที่สอง เพื่อล่องูออกจากรูและจู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว ไม่สำคัญว่ากระหม่อมจะอยู่ที่ชายแดนหรือไม่ ขอเพียงกระหม่อมปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสมก็พอพ่ะย่ะค่ะ”ซูไทเฮาตกตะลึง “ช่างเถอะ ข้าก็ค่อยไม่เข้าใจกลยุทธ์ในสนามรบของพวกเจ้านัก ขอเพียงพวกเจ้าทุกคนปลอดภัย ก็ดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว"ซูไทเฮายังไม่รู้ว่าเจียวกุ้ยเฟยทำอะไรลงไป เมื่อซูชิงอู่ตามเข้าไปข้างใน นางก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนและหลังให้ซูไทเฮาฟังเมื่อซูไทเฮาได้ยินว่าเจียวกุ้ยเฟยแอบพาสตรีนางหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ออกจากพระราชวัง และซ่อนนางไว้ในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิง ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด“หรือที่ตระกูลเจียวทำเช่นนี้เพราะต้องการก่อกบฏ?”ซู
ทหารม้าของตระกูลหลิ่วและเมืองฉีต่างหิวโหย พวกเขาเร่งฝีเท้าตามมาทันที เพื่อเตรียมหาสถานที่พักฟื้นเมื่อเย่ชิวหมิงเห็นภาพนี้ นิ้วมือของเขาที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวก็กระชับขึ้นเล็กน้อยเขามองลงไปที่พื้น “ศพทั้งหมดในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิงถูกกำจัดไปแล้วหรือยัง?"“ทูลฝ่าบาท จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทุกศพถูกรวมไว้ด้วยกันและให้คนนำไปฝังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”คนที่ส่งข่าวหยุดชะงักและถามว่า “มีอยู่หนึ่งศพที่กระหม่อมและคนอื่น ๆ ไม่สามารถตัดสินใจได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงช่วยตัดสินใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ศพหนึ่งถูกลากมาศพมีเลือดออกจากทุกช่องทวาร และมีคราบเลือดทั่วร่างกายขุนนางชันสูตรศพผู้หนึ่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบศพแล้วจึงรายงานด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท สตรีนางนี้ตั้งครรภ์ได้เกือบสามเดือนแล้ว และนางก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ขณะที่ขุนนางชันสูตรพูด เขาก็ถอดหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของอีกฝ่ายออกอย่างระมัดระวัง และเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางนางเป็นสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างงดงามเพียงแต่ว่าสภาพการตายของนางในเวลานี้ช่างน่าสังเวชอย่างยิ่ง สีหน้าของนางบิดเบี้ยว ริมฝีปากสีแดงของนางกลายเป็นสีดำ แ
ความรู้สึกนี้ว่างเปล่าเล็กน้อย และซูชิงอู่ก็รีบเดินออกจากประตูบ้านทันทีและมองออกไปข้างนอกเมื่อมองที่นี่ในเวลากลางวัน ทิวทัศน์ก็งดงามเป็นพิเศษไม่ง่ายเลยที่จะหาสถานที่เช่นนี้ในเขตชานเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงได้นางรีบวิ่งออกไป ไม่ไกลนัก นางเห็นเย่เสวียนถิงนำม้ามาที่นี่ เขาเร่งฝีเท้าเข้ามาหานาง พลางยื่นมืออุ้มนางขึ้นหลังม้า“เสวียนถิง ไปเอาม้ามาจากไหน?”เย่เสวียนถิงพูดข้างหูของนาง “เย่ชิวหมิงให้คนส่งมาให้”เมื่อได้ยินชื่อนี้ ซูชิงอู่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เขาน่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักชีฮุ่ยชิงอันแล้ว ไปหาเขากันเถอะ"เย่เสวียนถิงไม่ได้สวมหน้ากาก และใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างยิ่งของเขาก็ถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคนอย่างน่าประทับใจกองทัพเมืองฉีรู้ตัวตนของท่านอ๋องมานานแล้ว ดังนั้นสีหน้าท่าทางของพวกเขาจึงเป็นธรรมชาติมาก ทว่าเหล่าแม่ทัพและรองแม่ทัพที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่ชิวหมิงต่างก็เบิกตากว้าง“ทะ...ท่านอ๋องเสวียน!”“เหตุใดเขาถึงอยู่ที่นี่ล่ะ?”"หากอ๋องเสวียนอยู่ในเมืองหลวง แล้วที่ชาย..."ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อมีเพียงเย่ชิวหมิงเท่านั้นที่พอจะคาดเดาความจริงได้แล้
ซูชิงอู่คว้าเสื้อคลุมที่เขาสวมบนตัวนางแล้วถามอย่างไม่สบายใจว่า “แล้วท่านล่ะ?"เย่เสวียนถิงหลุบสายตาลงเล็กน้อย มีแสงจันทร์สะท้อนในดวงตาของเขา "บนภูเขาไม่ปลอดภัย ข้าจะเฝ้าอยู่ข้างนอก"ซูชิงอู่ไม่ถามอะไรอีก นางเดินไปที่บ่อน้ำและถอดเสื้อผ้าของนางออกหากเย่เสวียนถิงไม่อยู่ที่นี่ นางคงไม่สามารถอาบน้ำในป่าได้ง่าย ๆเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ ๆ ซูชิงอู่จึงรู้สึกค่อนข้างปลอดภัยหลังจากอาบน้ำเสร็จก็เห็นเสื้อผ้าวางอยู่บนฝั่งขนาดกำลังพอดีสำหรับนาง ราวกับมันถูกเตรียมไว้เพื่อนางโดยเฉพาะหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขาขนาดไม่ใหญ่นัก นอกจากบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ในบริเวณบ้านพักแล้ว ก็มีบ้านเพียงห้าหลังเท่านั้นบ้านที่อยู่ตรงกลางคือหลังที่ใหญ่ที่สุด ซูชิงอู่เดินเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็พบว่าข้างในบ้านตกแต่งเรียบง่ายและสะอาดสะอ้านเดินเข้าไปข้างในก็คือบ้านที่ใช้อยู่อาศัย มีเตียงขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลาง นอกจากตรงจุดนี้ที่ได้รับการทำความสะอาดแล้ว ส่วนอื่น ๆ ก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเป็นชั้น เห็นได้ชัดว่าเย่เสวียนถิงเข้ามาทำความสะอาดให้เมื่อครู่ซูชิงอู่รู้สึกอบอุ่นใจทว่านางไม่ได้ออกปาก
ทันใดนั้นก็มีเสื้อคลุมอีกตัวหนึ่งคลุมตัวของนางไว้ความหนาวเย็นบนร่างกายของนางถูกขจัดออกไปในทันที และจู่ ๆ เย่เสวียนถิง ก็โน้มตัวลงมาและดึงนางให้ลุกขึ้นยืน“อาอู่ มากับข้าสิ”ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยืนขึ้นต่อหน้าทุกคน กองไฟตรงหน้านางยังคงปะทุอยู่ และผู้คนที่นั่งรอกันอย่างเบื่อหน่ายก็มองตรงไปยังทิศทางที่พวกเขาทั้งสองจากไปทุกคนยังคงหิวอยู่ ตอนนี้ดึกมากแล้ว แม้กระทั่งการกินข้าวจึงกลายเป็นปัญหา หลินอิงย่างกระต่ายป่าที่นางเพิ่งจับได้และมอบให้นายน้อยของนางอย่างระมัดระวัง“นายน้อย ทานสิเจ้าคะ”หลิ่วจ้งอิ๋นเหลือบมองหลินอิง เดิมทีเขาต้องการทิ้งเด็กคนนี้ไว้ที่บ้านเพื่อดูแลคนชรา แต่นางไม่ยอม จึงกลายเป็นว่ามีสตรีติดตามเขาไปทุกที่เขารับกระต่ายขึ้นมาแล้วมองสายตาของเด็กน้อยที่แอบมองเขา แต่ก็ลังเลที่จะพูด จากนั้นเขาก็ยื่นขากระต่ายทั้งสองข้างให้นางแม้หลินอิงจะไม่ได้พูดตลอดการเดินทาง แต่ในระหว่างการต่อสู้ไม่นานมานี้ นางซึ่งเป็นสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมดาบในมือ สิ่งนี้ทำให้เขาดูเป็นคนใจร้าย และนั่นก็ค่อนข้างน่าสะเทือนใจในฐานะนายน้อยตระกูลหลิ่ว เขามีชีวิตที่ราบรื่นและได
“เสวียนถิง ท่านมองข้าสิ”ม่านตาของเย่เสวียนถิงสั่นไหวเล็กน้อย เขาคว้าข้อมือของซูชิงอู่ไว้ดาบในมือของเขาหล่นลงกับพื้นทั้งที่ยังคงเปื้อนเลือด“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหนอีก”ซูชิงอู่ตอบอย่างจริงจัง น้ำเสียงของนางมั่นคงหนักแน่นนางจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเสียใจทีหลังอีก“ดูสิ ตอนนี้ข้าสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ท่านกลับจากชายแดนเมื่อไร ช่วยสอนวรยุทธให้ข้าได้หรือไม่?”นางปลอบประโลมอารมณ์ในดวงตาของเย่เสวียนถิงได้เขาใช้นิ้วลูบหลังมือของนางเบา ๆ“เอาล่ะ อาอู่ หนอนกู่พวกนั้นก็อันตรายมากเช่นกัน จากนี้เจ้าไม่…”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ พลางก้มหน้า “กู่เหล่านั้นเป็นวิธีที่ข้าใช้ปกป้องตัวเอง อีกทั้งท่านอ๋องก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างข้าได้ตลอด หากข้าไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ท่านจะเป็นห่วงข้ามากกว่าเดิมหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เสวียนถิงก็เลิกคิ้วและพยักหน้าเขารู้สึกไม่ชอบใจที่ตัวเขาไร้ประโยชน์ทั้งยังทำให้อาอู่ตกอยู่ในอันตรายหากเขาอยู่เคียงข้างนาง เขายังสามารถจับตาดูนางได้ แต่เมื่อเขาต้องจากที่นี่ไปยังสนามรบชายแดน ถึงตอนนั้น…เย่เสวียนถิงไม่กล้านึกถึงความฝันที่เขาพูดถึงเหตุผลท
คนมากกว่าหนึ่งพันคนก็กลายเป็นม่านดำหนาทึบ แม้พวกเขาจะพบกับสถานการณ์ที่วุ่นวาย แต่พวกเขาก็มีเวลาจัดการเหลือเฟือทว่าในขณะที่เย่เสวียนถิงโยนลูกปัดอสนีบาตเข้าไปในฝูงชน และผู้คนยังคงถูกโจมตีอย่างโหดร้าย ทหารของตระกูลเจียวที่เดิมต้องการเร่งรุดไปข้างหน้าก็เริ่มถอยหนีอย่างรวดเร็วเย่เสวียนถิงสามารถบังคับให้คนเหล่านั้นล่าถอยไปได้ด้วยความแข็งแกร่งของเขาไม่มีใครอยากตายโดยไม่รู้ตัว เพราะอาวุธที่ซูชิงอู่หยิบออกมานั้นเกินความคาดหมายของทุกคน“มีอันตราย ถอยออกไปเร็ว!”ใครบางคนในฝูงชนตะโกนเสียงดัง และรูปขบวนทั้งหมดก็หยุดชะงักหลิ่วจ้งอิ๋นและคนอื่น ๆ รู้สึกว่าบรรยากาศภายนอกเปลี่ยนไป พวกเขาจึงเอื้อมมือออกไปและเปิดประตูด้านหน้าออก “ทุกคน ออกไปฆ่ามัน!”ตอนนี้เป็นโอกาสของพวกเขาที่จะลงมือนี่คือโอกาสที่ท่านอ๋องและพระชายาสร้างขึ้นเพื่อทำการตอบโต้!แม้คนเหล่านี้จะมีความสามารถไม่มากนัก แต่ตอนนี้พวกเขาเกือบตายในอารามนี้แล้ว และทุกคนก็เก็บความหวาดหวั่นไว้ในใจเพื่อเป็นพลังเสียงตะโกนแห่งการสังหารยังคงดำเนินต่อไป และคนของตระกูลเจียวเหล่านั้นต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ประกอบกับการจู่โจมที่น่าเกรงขามของหลิ่วจ
ความมืดทำให้พวกเขามีที่กำบังที่ดีแม้บางคนจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นหนอนกู่ตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ได้เย่เสวียนถิงคว้าดาบมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ พลางโอบซูชิงอู่ไว้ในมือข้างหนึ่ง และอีกมือหนึ่งก็สกัดกั้นลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหลังจากที่ซูชิงอู่ขว้างขวดไป เขาก็พานางไปที่กำแพงอีกฝั่งหนึ่งที่ค่อนข้างปกปิดได้ดี และต่อต้านการโจมตีของนักธนูที่อยู่ด้านบนไปด้วยขณะนี้ ทหารของในตระกูลเจียวที่บุกเข้ามาจากประตูวัดรู้สึกปั่นปวนและไม่สบายใจเพราะแมงมุมม่ายสวรรค์ซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อย มองผู้คนเหล่านั้นที่วิ่งหนีไปราวกับพวกเขาเห็นผี นางก็ยิ้มมุมปากโดยอัตโนมัติทว่าคนที่อยู่ตรงนั้นก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน และคนที่เป็นผู้นำก็ตะโกนเสียงดังทันที “จดจ่อกับการป้องกันและสังหารคนสองคนที่ออกมาเมื่อครู่นี้เสีย!”ผู้ที่ไม่ได้ถูกแมงมุมม่ายสวรรค์กัดตายก็เข้ามาหาทันทีโชคดีที่ขึ้นไปบนภูเขาได้ทันท่วงที และเส้นทางแคบจึงมีคนไม่มากนักที่จะขึ้นมาได้ในคราวเดียวเย่เสวียนถิงยืนขวางทางอยู่เพียงคนเดียวคู่กับดาบหนึ่งเล่ม เหมือนกับบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าศัตรูนับหมื่น一夫当关万夫莫开的架势บรรดาผู้ที่ร