มือนุ่มกดเข้ากับหลังมือของเขา จากนั้นก็ดึงฝ่ามือของเขามาประคองนวลแก้มของตน ซูชิงอู่เลิกคิ้วนิด ๆ พลางกล่าวว่า "หากท่านอยากจะสัมผัสก็เชิญเถิด ตอนนี้ข้าเป็นของท่านแล้วนี่เจ้าคะ" เย่เสวียนถิงพลันหูแดงก่ำ คล้ายว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นไม่ได้หยุดเลย อารมณ์ความรู้สึกนับไม่ถ้วนปริ่มล้นที่สะกดกลั้นเอาไว้ในใจดูเหมือนจะไม่อาจหาทางออกได้ เย่เสวียนถิงจึงได้แต่ยืนทื่ออยู่ตรงนั้น ถึงแม้ซูชิงอู่หาได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่เย่เสวียนถิงกำลังครุ่นคิดอยู่ ทว่ายามนี้นางกลับมีความสุขยิ่งนัก ขอเพียงนางได้เห็นบุรุษผู้นี้อยู่ตรงหน้า นางก็รู้สึกสบายใจเป็นที่สุดแล้ว อารมณ์ร้อนรนกระวนกระวายใจทั้งมวลของนางที่สุดก็มลายสิ้น ราวกับว่าบรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่ยากที่คนนอกจะเข้ามาแทรกกลางได้ ทว่าในยามนี้เอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังรบกวนบรรยากาศในห้องโถง จากนั้นเสียงขององค์ชายสาม เย่อวิ๋นถูก็ดังขึ้นมาจากนอกประตู "ชิงอู่!" ท่าทียามเขาร้องเรียกซูชิงอู่ช่างแลดูคลุมเครือนัก ซูชิงอู่ที่อยู่ในโถงหลักหันหน้าไปมองโดยไม่รู้ตัว นางเห็นซูเชียนหลิงตามรั้งท้ายกลับมาพร้อมองค์ชายสามเย่อวิ๋นถู ก่อนที่เขาจะเดินมาหานาง
สีหน้าเย่อวิ๋นถูผกผันเร็วพลันนัยน์ตาเขาประกายวับ แต่เสียงกลับนุ่มนวลเล็กน้อย“ชิงอู่ เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือ?”ซูชิงอู่เลิกคิ้ว “ข้าโกรธอันใดท่าน?”เย่หวิ๋นถูถอนหายใจ “เรื่องถอนหมั้นเป็นเสด็จแม่ข้าดำเนินการ เจ้าก็รู้นิสัยเสด็จแม่ข้า นางไม่ให้ข้าแต่งกับสตรีที่เสียแต้มพรหมจรรย์เป็นพระชายา”“แต่ใจข้าไม่เคยรังเกียจเจ้าแม้ครึ่งส่วน ภายหลังถอนหมั้นจึงไปคุกเข่าวอนเสด็จแม่ ในที่สุดพระองค์ก็อนุญาตให้ข้ารับเจ้าเป็นอนุภรรยา...”สายตาเย่อวิ๋นถูมองเย่เสวียนถิงด้วยสายตาไม่พอใจและโกรธความชิงชังประเภทนั้นคล้ายจะทะลักออกก็ไม่ปานเมื่อได้ยินวาจาดังกล่าว ซูชิงอู่ก็เกือบจะหัวเราะออกมาแต่ทันทีหลังจากนั้น สีหน้านางก็เคร่งขรึมขึ้นชาติก่อนนางช่างใสซื่อหลอกลวงได้ง่ายโดยแท้ เป็นคุณหนูอ่อนหัดไม่ทันความโหดเหี้ยมของใจใครต่อใคร หลงเชื่อถ้อยคำเขา ทึกทักไปว่าเย่เสวียนถิงทำลายลาภของนาง!ไม่ได้ใช้สมองที่ติดตัวมาฉุกคิดเลยสักนิด นางคือบุตรีภรรยาเอกแห่งจวนอัครเสนาบดี เกิดมาก็มีฐานะเป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์ เหตุใดต้องไปเป็นอนุภรรยาใคร?เจ้าเย่อวิ๋นถูมีสิทธิ์อะไร?!สิทธิ์ที่เขาหน้าหนา?สิทธิ์ที่เขาเจ้าอารมณ์
หากไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็คงดี เพลิงพิโรธของซูชิงอู่คงไม่พุ่งขึ้นกะทันหันเช่นนี้นางกอดคนในอ้อมแขนแน่น แนบแก้มตัวเองบนหลังเขา อนึ่งคิดจะใช้วิธีแบบนี้ขจัดความว้าวุ่นกับความหวาดหวั่นในใจอีกฝ่ายนางกล่าวต่อด้วยท่าทีเข้มแข็ง “หม่อมฉันไม่ยอมให้ท่านตรัสใส่ไคล้เขา!”สองมือเย่เสวียนถิงกดลงบนข้อมือซูชิงอู่เดิมทีเขาหมายจะคลายมืออีกฝ่ายออก แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำของซูชิงอู่จึงหยุดกิริยานั้นไออุ่นจากสตรีด้านหลังทำเขารู้สึกหลงใหล พลางหัวใจเยือกเย็นสงบลงไปด้วยดวงตาเย่อวิ๋นถูเยือกเย็นในพริบตาหัวคิ้วขมวดมุ่น นัยน์ตามองซูชิงอู่พินิจละเอียดหลายส่วน“ชิงอู่ ไม่นึกว่าเจ้าจะออกหน้าแทนเขา หรือว่าเจ้าลืมแล้วว่ามารดาเจ้าสิ้นเพราะเหตุใด?”ซูชิงอู่เงยหน้าขึ้น ยื่นศีรษะออกจากแผ่นหลังเย่เสวียนถิงพลางหัวเราะเย้ยหยันใส่เย่อวิ๋นถู “ไม่จำเป็นต้องให้พระองค์เตือนสติ หม่อมฉันไม่กล้าลืมแม้สักวันเดียวตลอดหลายปีที่ผ่านมา!”เย่อวิ๋นถูซักถาม “ในเมื่อเจ้าไม่ลืม แล้วตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? สนิทชิดเชื้อกับฆาตกรที่สังหารแม่เจ้าอย่างนี้น่ะหรือ?”ถ้าซูชิงอู่ไม่รู้ความจริง เกรงว่าคงหลงเชื่อเย่อวิ๋นถูไปแล้วหลายประโยคก
ยังไม่วายให้ฮ่องเต้ตอบสนอง ซูชิงอู่เชิดคางเล็กน้อย เบ้าตาแดงก่ำหยาดน้ำตาหมุนวนด้านในหางตาโดยไม่ยอมหลั่งลงการแสดงออกถึงความคับข้องใจขีดสุดเช่นนี้ของนางทำให้วาจาพระองค์จุกแน่นอยู่ในลำคอฉับพลันฮ่องเต้อดเปลี่ยนประเด็นไม่ได้ พลางเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”อาจเป็นเพราะไม่ตรภาพครั้งเยาว์วัยระหว่างพระองค์กับมารดาของนาง ฮ่องเต้จึงโอบอ้อมอารีซูชิงอู่เป็นพิเศษแม้จะไม่อาจเข้าข้างได้ชัดเจนนัก แต่อย่างไรซูชิงอู่ก็ไม่น้อยหน้าบรรดาองค์หญิงชนชั้นเจ้าซูชิงอู่เป็นคนค่อนข้างมีชื่อในแวดวงบุตรีเหล่านั้นในเมืองหลวงไม่เพียงการหมั้นหมายที่ฮองเฮาเตรียมไว้สำหรับนางและองค์ชายสามเท่านั้น ยังมีความลำเอียงของฮ่องเต้ด้วยเสียงซูชิงอู่เครือแผ่วค่อย ๆ ส่งออกจากกล่องเสียง “ฝ่าบาทเพคะ ได้โปรดอย่าโทษท่านอ๋องเลย เป็นเพราะหม่อมฉัน ท่านอ๋องถึงได้ลงมือ หากพระองค์จะลงโทษก็ลงโทษหม่อมฉันแต่เพียงผู้เดียวเถิดเพคะ หากองค์ชายสามไม่เอ่ยเรื่องน่ารังเกียจออกมา องค์ชายก็คงจะไม่ทรงกริ้ว หม่อม…หม่อมฉัน…”สองตาฮ่องเต้หรี่ขึ้นฉับพลันเขากวาดมองร่างเย่อวิ๋นถูกับเย่เสวียนถิงเฉียบคม จากนั้นถามว่า “องค์ชายสามตรัสว่าอันใด?”
ความดูถูกและเหยียดหยามฉายชัดในแววตาของนางซูเชียนหลิงเห็นเย่อวิ๋นถูโดนลงโทษเช่นนั้น นางก็อดเครียดขึ้นมิได้ หวั่นว่าต่อไปโชคร้ายจะตกมาที่ตนด้วยแต่คำภาวนาของนางกลับไม่ส่งผลซูชิงอู่จะลืมนางไปได้อย่างไร?ทันใดนั้นนางเปิดปากอีกว่า “ฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้หม่อมฉันคือพระชายาอ๋องเสวียน แต่พี่สาวหม่อมฉันนางกลับจงใจลงมือตบตีหม่อมฉัน ฝ่าบาทโปรดตัดสินให้ชิงอู่ด้วยเถอะเพคะ!”ฮ่องเต้ตำหนิองค์ชายสามไปพักหนึ่ง เพลิงโทสะคราวนี้ก็ลดลงมิน้อยแล้วเขาพูดกับซูชิงอู่ใจเย็นอ่อนโยนว่า “อย่างไรนางก็เป็นพี่สาวเจ้า แต่ข้าจะแจ้งอัครเสนาบดีให้เขามาจัดการเรื่องนี้ เจ้าว่าเช่นไร?”ซูชิงอู่ผงกศีรษะตอบอย่างเฉียบแหลม “ชิงอู่เชื่อฟังฝ่าบาทเพคะ”ซูชิงอู่รู้ขีดจำกัดของฮ่องเต้ความฉลาดกมีได้ แต่จะเนรคุณเขาไม่ได้อนาคตยังอีกยาวไกล นางจะไม่รีบร้อนตอนนี้ไหล่ของนางไหวแผ่ว เสียงสะอื้นน้อย ๆ ชวนคนสงสารได้เป็นพิเศษประหนึ่งได้รับความไม่เป็นธรรมครั้งใหญ่เย่เสวียนถิงที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ นางเห็นกิริยานี้ของนางก็ไม่อาจดับเพลิงโทสะในแววตาได้หากฮ่องเต้ไม่อยู่ที่นี่และมีคนในวังเฝ้าไม่มาก เกรงว่าเขาคงฟาดเย่อวิ๋นถูอย่าง
คำขอดังกล่าวช่างสมเหตุสมผลแต่กลับยากกว่าการใช้ฝ่ามือตบหน้าซูเชียนหลิงกับเย่อวิ๋นถูตรง ๆ เสียอีกเย่อวิ๋นถูหรี่ตาดอกท้อคู่นั้นเล็กน้อย สายมองทางเย่เสวียนถิงอย่างไม่เป็นไม่ตร“อ๋องเสวียน เจ้า…”“ข้ารู้สึกว่าอ๋องเสวียนตรัสมีเหตุผล”ฮ่องเต้เปิดปากฉับพลัน ทันใดนั้นบรรยากาศรอบ ๆ ก็เงียบสงัดเขาถอนหายใจ “อวิ๋นถู อย่างไรตอนนี้ซูชิงอู่ก็เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า เจ้าตรัสวาจาลบหลู่สมควรขอโทษขอโพยเสีย ข้าจักเป็นสักขีพยานให้ นางหนูชิงอู่น่าจะเห็นแก่หน้าข้าอภัยให้เจ้า เจ้าก้มหัวพูดนุ่มนวลขอโทษขอโพยนางเถอะ”ปรางแก้มฮองเฮาขึ้นสีระเรื่อ “ฝ่าบาท อย่างไรอวิ๋นถูก็เป็นถึงองค์ชาย ท่านกลับให้เขาขออภัยสตรี พูดไปแล้วก็เป็นท่านที่ต้องขายหน้าไปด้วย…”ฮ่องเต้ปรายมองฮองเฮา “เขาพูดไม่ดีทำเรื่องผิดเองก็สมควรรับโทษ บุรุษผู้หนึ่งจะขออภัยคนมีอันใดน่าขายหน้า?”เย่อวิ๋นถูดูก็รู้ว่าไม่มีทางพลิกสถานการณ์เรื่องนี้ได้แล้วเขาหายใจเข้าลึก ๆ ลุกขึ้นจากพื้น จากนั้นเดินไปตรงหน้าซูชิงอู่เย่เสวียนถิงจับแขนเสื้อซูชิงอู่ไว้พลางประคองให้นางลุกขึ้นครั้นมองคนทั้งสองที่ใบหน้าเเขียวช้ำบวมเหมือนหมู ซูชิงอู่ก็แอบหัวเราะในใจ แต่กล
จากนั้นดวงหน้างามละเอียดดวงนั้นเงยขึ้นถามว่า “ท่านว่าหม่อมฉันเป็นหญิงใคร่กามไม่ใช่หรือ?”สีหน้าเย่อวิ๋นถูชะงัก เปิดปากอธิบายโดยไม่รอช้า “นั่นคือคำพูดยามโกรธชั่วขณะ ต้องโทษข่าวโคมลอยพวกนั้น…”ซูชิงอู่เไม่นเขา “แต่หม่อมฉันคอยซักถามตลอด มีคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหม่อมฉันไม่มาก บิดาของหม่อมฉันปิดข่าวตั้งแต่แรก ๆ แต่อยู่ ๆ ข่าวแพร่ไปทั่วเมืองได้อย่างไรกัน?”อากัปกิริยาของหลายคนในเหตุการณ์แข็งทื่อเล็กน้อยนางกวาดตามองซูชิงอู่กับเย่อวิ๋นถู ทันใดนั้นก็เม้มมุมริมฝีปาก สายตาเฉียบคมส่อประกายมีชัย“ท่านอ๋องเป็นพยานได้ว่าหม่อมฉันไม่เคยเสียความบริสุทธิ์ให้ใคร อีกอย่างไม่นานมานี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าแต้มพรหมจรรย์ไม่ใช่ตัวพิสูจน์พรหมจารีของสตรี เมื่อสักครู่ซูเชียนหลิงคงเคยเห็นการทดลองที่หม่อมฉันทำบนตัวท่านหญิงเสวี่ยอิ๋งกับตาแล้ว…”บางเรื่องไม่พูดดีกว่าพูด พอคิดแล้วก็รู้สึกน่ากลัววาจาซูชิงอู่ทำทั้งพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนเงียบสนิท สีหน้าฮองเฮากับซูเชียนหลิงตึงเครียดเล็กน้อยฮ่องเต้เลิกคิ้ว โชคดีที่เขาไม่ได้สืบสวนหัวข้อก่อนหน้านั้น แต่ถามใคร่รู้ว่า “การทดลองอันใด?”อย่างไรเสียในพระราชวังก็หูตาสั
ซูเชียนหลิงส่ายศีรษะ “หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ แค่เห็นซูชิงอู่จิ้มลงบนร่างท่านหญิงเสวี่ยอิ๋ง จากนั้นแต้มพรหมจรรย์ของนางก็…ก็หายไป…”เรื่องนี้ฟังดูค่อนข้างเหนือธรรมชาตินักฮ่องเต้มองฮองเฮาทั้งสองพลางสบตาต่างไม่รู้จะถามเช่นไรต่อซูเชียนหลิงพลันกล่าว “ที่หม่อมฉันพูดล้วนเป็นความจริง ขอฝ่าบาทเชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ!”ฮ่องเต้หรี่สองเนตรพลางถาม “ไม่ใช่ว่านางหนูเสวี่ยอิ๋งไปอยู่ชนบทแล้วทำมันเสียไปเองรึ?”คำพูดนี้ทำใจของซูเชียนหลิงใจตุ๊ม ๆ ต้อม ๆ สักพักนางคุกเข่ากับพื้นทันควัน “ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันเป็นพยานในจุดนี้ได้ ท่านหญิงเสวี่ยอิ๋งอยู่กับหม่อมฉันตลอด แต่ไหนมาไม่เคยออกนอกกรอบเลยเพคะ!”สีหน้าฮ่องเต้ยิ่งเยือกเย็นขึ้น “พาหลินเสวี่ยอิ๋งมา ข้าจะถามนางให้ละเอียด!”ในไม่ช้า ไม่เพียงหลินเสวี่ยอิ๋งมาพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน แม้แต่หมอหลวงก็ตามมาด้วยเช่นกันหมอหลวงซุนท่านนั้นเป็นหัวหน้าสถาบันแพทย์หลวงและอยู่ข้างกายฮ่องเต้นับหลายปี เป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าให้ไว้ใจสีหน้าหลินเสวี่ยอิ๋งซีดดุจกระดาษ หลังเข้าประตูมาเห็นฮ่องเต้ ก็ร้องไห้ฉับพลัน“ฮ่องเต้…ขอให้ฝ่าบาทลงโทษซูชิงอู่ด้วย ไม่รู้ว่านางใช้อบายมุขอ