หากไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็คงดี เพลิงพิโรธของซูชิงอู่คงไม่พุ่งขึ้นกะทันหันเช่นนี้นางกอดคนในอ้อมแขนแน่น แนบแก้มตัวเองบนหลังเขา อนึ่งคิดจะใช้วิธีแบบนี้ขจัดความว้าวุ่นกับความหวาดหวั่นในใจอีกฝ่ายนางกล่าวต่อด้วยท่าทีเข้มแข็ง “หม่อมฉันไม่ยอมให้ท่านตรัสใส่ไคล้เขา!”สองมือเย่เสวียนถิงกดลงบนข้อมือซูชิงอู่เดิมทีเขาหมายจะคลายมืออีกฝ่ายออก แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำของซูชิงอู่จึงหยุดกิริยานั้นไออุ่นจากสตรีด้านหลังทำเขารู้สึกหลงใหล พลางหัวใจเยือกเย็นสงบลงไปด้วยดวงตาเย่อวิ๋นถูเยือกเย็นในพริบตาหัวคิ้วขมวดมุ่น นัยน์ตามองซูชิงอู่พินิจละเอียดหลายส่วน“ชิงอู่ ไม่นึกว่าเจ้าจะออกหน้าแทนเขา หรือว่าเจ้าลืมแล้วว่ามารดาเจ้าสิ้นเพราะเหตุใด?”ซูชิงอู่เงยหน้าขึ้น ยื่นศีรษะออกจากแผ่นหลังเย่เสวียนถิงพลางหัวเราะเย้ยหยันใส่เย่อวิ๋นถู “ไม่จำเป็นต้องให้พระองค์เตือนสติ หม่อมฉันไม่กล้าลืมแม้สักวันเดียวตลอดหลายปีที่ผ่านมา!”เย่อวิ๋นถูซักถาม “ในเมื่อเจ้าไม่ลืม แล้วตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? สนิทชิดเชื้อกับฆาตกรที่สังหารแม่เจ้าอย่างนี้น่ะหรือ?”ถ้าซูชิงอู่ไม่รู้ความจริง เกรงว่าคงหลงเชื่อเย่อวิ๋นถูไปแล้วหลายประโยคก
ยังไม่วายให้ฮ่องเต้ตอบสนอง ซูชิงอู่เชิดคางเล็กน้อย เบ้าตาแดงก่ำหยาดน้ำตาหมุนวนด้านในหางตาโดยไม่ยอมหลั่งลงการแสดงออกถึงความคับข้องใจขีดสุดเช่นนี้ของนางทำให้วาจาพระองค์จุกแน่นอยู่ในลำคอฉับพลันฮ่องเต้อดเปลี่ยนประเด็นไม่ได้ พลางเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”อาจเป็นเพราะไม่ตรภาพครั้งเยาว์วัยระหว่างพระองค์กับมารดาของนาง ฮ่องเต้จึงโอบอ้อมอารีซูชิงอู่เป็นพิเศษแม้จะไม่อาจเข้าข้างได้ชัดเจนนัก แต่อย่างไรซูชิงอู่ก็ไม่น้อยหน้าบรรดาองค์หญิงชนชั้นเจ้าซูชิงอู่เป็นคนค่อนข้างมีชื่อในแวดวงบุตรีเหล่านั้นในเมืองหลวงไม่เพียงการหมั้นหมายที่ฮองเฮาเตรียมไว้สำหรับนางและองค์ชายสามเท่านั้น ยังมีความลำเอียงของฮ่องเต้ด้วยเสียงซูชิงอู่เครือแผ่วค่อย ๆ ส่งออกจากกล่องเสียง “ฝ่าบาทเพคะ ได้โปรดอย่าโทษท่านอ๋องเลย เป็นเพราะหม่อมฉัน ท่านอ๋องถึงได้ลงมือ หากพระองค์จะลงโทษก็ลงโทษหม่อมฉันแต่เพียงผู้เดียวเถิดเพคะ หากองค์ชายสามไม่เอ่ยเรื่องน่ารังเกียจออกมา องค์ชายก็คงจะไม่ทรงกริ้ว หม่อม…หม่อมฉัน…”สองตาฮ่องเต้หรี่ขึ้นฉับพลันเขากวาดมองร่างเย่อวิ๋นถูกับเย่เสวียนถิงเฉียบคม จากนั้นถามว่า “องค์ชายสามตรัสว่าอันใด?”
ความดูถูกและเหยียดหยามฉายชัดในแววตาของนางซูเชียนหลิงเห็นเย่อวิ๋นถูโดนลงโทษเช่นนั้น นางก็อดเครียดขึ้นมิได้ หวั่นว่าต่อไปโชคร้ายจะตกมาที่ตนด้วยแต่คำภาวนาของนางกลับไม่ส่งผลซูชิงอู่จะลืมนางไปได้อย่างไร?ทันใดนั้นนางเปิดปากอีกว่า “ฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้หม่อมฉันคือพระชายาอ๋องเสวียน แต่พี่สาวหม่อมฉันนางกลับจงใจลงมือตบตีหม่อมฉัน ฝ่าบาทโปรดตัดสินให้ชิงอู่ด้วยเถอะเพคะ!”ฮ่องเต้ตำหนิองค์ชายสามไปพักหนึ่ง เพลิงโทสะคราวนี้ก็ลดลงมิน้อยแล้วเขาพูดกับซูชิงอู่ใจเย็นอ่อนโยนว่า “อย่างไรนางก็เป็นพี่สาวเจ้า แต่ข้าจะแจ้งอัครเสนาบดีให้เขามาจัดการเรื่องนี้ เจ้าว่าเช่นไร?”ซูชิงอู่ผงกศีรษะตอบอย่างเฉียบแหลม “ชิงอู่เชื่อฟังฝ่าบาทเพคะ”ซูชิงอู่รู้ขีดจำกัดของฮ่องเต้ความฉลาดกมีได้ แต่จะเนรคุณเขาไม่ได้อนาคตยังอีกยาวไกล นางจะไม่รีบร้อนตอนนี้ไหล่ของนางไหวแผ่ว เสียงสะอื้นน้อย ๆ ชวนคนสงสารได้เป็นพิเศษประหนึ่งได้รับความไม่เป็นธรรมครั้งใหญ่เย่เสวียนถิงที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ นางเห็นกิริยานี้ของนางก็ไม่อาจดับเพลิงโทสะในแววตาได้หากฮ่องเต้ไม่อยู่ที่นี่และมีคนในวังเฝ้าไม่มาก เกรงว่าเขาคงฟาดเย่อวิ๋นถูอย่าง
คำขอดังกล่าวช่างสมเหตุสมผลแต่กลับยากกว่าการใช้ฝ่ามือตบหน้าซูเชียนหลิงกับเย่อวิ๋นถูตรง ๆ เสียอีกเย่อวิ๋นถูหรี่ตาดอกท้อคู่นั้นเล็กน้อย สายมองทางเย่เสวียนถิงอย่างไม่เป็นไม่ตร“อ๋องเสวียน เจ้า…”“ข้ารู้สึกว่าอ๋องเสวียนตรัสมีเหตุผล”ฮ่องเต้เปิดปากฉับพลัน ทันใดนั้นบรรยากาศรอบ ๆ ก็เงียบสงัดเขาถอนหายใจ “อวิ๋นถู อย่างไรตอนนี้ซูชิงอู่ก็เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า เจ้าตรัสวาจาลบหลู่สมควรขอโทษขอโพยเสีย ข้าจักเป็นสักขีพยานให้ นางหนูชิงอู่น่าจะเห็นแก่หน้าข้าอภัยให้เจ้า เจ้าก้มหัวพูดนุ่มนวลขอโทษขอโพยนางเถอะ”ปรางแก้มฮองเฮาขึ้นสีระเรื่อ “ฝ่าบาท อย่างไรอวิ๋นถูก็เป็นถึงองค์ชาย ท่านกลับให้เขาขออภัยสตรี พูดไปแล้วก็เป็นท่านที่ต้องขายหน้าไปด้วย…”ฮ่องเต้ปรายมองฮองเฮา “เขาพูดไม่ดีทำเรื่องผิดเองก็สมควรรับโทษ บุรุษผู้หนึ่งจะขออภัยคนมีอันใดน่าขายหน้า?”เย่อวิ๋นถูดูก็รู้ว่าไม่มีทางพลิกสถานการณ์เรื่องนี้ได้แล้วเขาหายใจเข้าลึก ๆ ลุกขึ้นจากพื้น จากนั้นเดินไปตรงหน้าซูชิงอู่เย่เสวียนถิงจับแขนเสื้อซูชิงอู่ไว้พลางประคองให้นางลุกขึ้นครั้นมองคนทั้งสองที่ใบหน้าเเขียวช้ำบวมเหมือนหมู ซูชิงอู่ก็แอบหัวเราะในใจ แต่กล
จากนั้นดวงหน้างามละเอียดดวงนั้นเงยขึ้นถามว่า “ท่านว่าหม่อมฉันเป็นหญิงใคร่กามไม่ใช่หรือ?”สีหน้าเย่อวิ๋นถูชะงัก เปิดปากอธิบายโดยไม่รอช้า “นั่นคือคำพูดยามโกรธชั่วขณะ ต้องโทษข่าวโคมลอยพวกนั้น…”ซูชิงอู่เไม่นเขา “แต่หม่อมฉันคอยซักถามตลอด มีคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหม่อมฉันไม่มาก บิดาของหม่อมฉันปิดข่าวตั้งแต่แรก ๆ แต่อยู่ ๆ ข่าวแพร่ไปทั่วเมืองได้อย่างไรกัน?”อากัปกิริยาของหลายคนในเหตุการณ์แข็งทื่อเล็กน้อยนางกวาดตามองซูชิงอู่กับเย่อวิ๋นถู ทันใดนั้นก็เม้มมุมริมฝีปาก สายตาเฉียบคมส่อประกายมีชัย“ท่านอ๋องเป็นพยานได้ว่าหม่อมฉันไม่เคยเสียความบริสุทธิ์ให้ใคร อีกอย่างไม่นานมานี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าแต้มพรหมจรรย์ไม่ใช่ตัวพิสูจน์พรหมจารีของสตรี เมื่อสักครู่ซูเชียนหลิงคงเคยเห็นการทดลองที่หม่อมฉันทำบนตัวท่านหญิงเสวี่ยอิ๋งกับตาแล้ว…”บางเรื่องไม่พูดดีกว่าพูด พอคิดแล้วก็รู้สึกน่ากลัววาจาซูชิงอู่ทำทั้งพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนเงียบสนิท สีหน้าฮองเฮากับซูเชียนหลิงตึงเครียดเล็กน้อยฮ่องเต้เลิกคิ้ว โชคดีที่เขาไม่ได้สืบสวนหัวข้อก่อนหน้านั้น แต่ถามใคร่รู้ว่า “การทดลองอันใด?”อย่างไรเสียในพระราชวังก็หูตาสั
ซูเชียนหลิงส่ายศีรษะ “หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ แค่เห็นซูชิงอู่จิ้มลงบนร่างท่านหญิงเสวี่ยอิ๋ง จากนั้นแต้มพรหมจรรย์ของนางก็…ก็หายไป…”เรื่องนี้ฟังดูค่อนข้างเหนือธรรมชาตินักฮ่องเต้มองฮองเฮาทั้งสองพลางสบตาต่างไม่รู้จะถามเช่นไรต่อซูเชียนหลิงพลันกล่าว “ที่หม่อมฉันพูดล้วนเป็นความจริง ขอฝ่าบาทเชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ!”ฮ่องเต้หรี่สองเนตรพลางถาม “ไม่ใช่ว่านางหนูเสวี่ยอิ๋งไปอยู่ชนบทแล้วทำมันเสียไปเองรึ?”คำพูดนี้ทำใจของซูเชียนหลิงใจตุ๊ม ๆ ต้อม ๆ สักพักนางคุกเข่ากับพื้นทันควัน “ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันเป็นพยานในจุดนี้ได้ ท่านหญิงเสวี่ยอิ๋งอยู่กับหม่อมฉันตลอด แต่ไหนมาไม่เคยออกนอกกรอบเลยเพคะ!”สีหน้าฮ่องเต้ยิ่งเยือกเย็นขึ้น “พาหลินเสวี่ยอิ๋งมา ข้าจะถามนางให้ละเอียด!”ในไม่ช้า ไม่เพียงหลินเสวี่ยอิ๋งมาพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน แม้แต่หมอหลวงก็ตามมาด้วยเช่นกันหมอหลวงซุนท่านนั้นเป็นหัวหน้าสถาบันแพทย์หลวงและอยู่ข้างกายฮ่องเต้นับหลายปี เป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าให้ไว้ใจสีหน้าหลินเสวี่ยอิ๋งซีดดุจกระดาษ หลังเข้าประตูมาเห็นฮ่องเต้ ก็ร้องไห้ฉับพลัน“ฮ่องเต้…ขอให้ฝ่าบาทลงโทษซูชิงอู่ด้วย ไม่รู้ว่านางใช้อบายมุขอ
เดิมทีแต้มพรหมจรรย์คือพันธนาการของสตรีตอนนี้ซูชิงอู่นับว่าอาศัยกำลังส่วนตัวทำให้ฮ่องเต้ยกเลิกเครื่องจองจำนี้ลงได้ซูชิงอู่ถอนหายใจ รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกเรื่องวุ่นวายของหลินเสวี่ยอิ๋งใหญ่โตนัก ในไม่ช้าก็กระจายไปทั่ว มีข่าวซุบซิบทุกประเภทภายในวังไม่เคยขาดอนาคตหากมีคนกล้าเอาเรื่องแต้มพรหมจรรย์มาพูดต่อหน้าซูชิงอู่อีก หลินเสวี่ยอิ๋งจะเป็นโล่ของนางเสียงร่ำไห้ของหลินเสวี่ยอิ๋งลดแผ่วลง ก่อนกล่าวอย่างคับข้องใจว่า “ฝ่าบาท แต่…”“แต่อะไร? ในเมื่อเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด ข้าก็ออกปากให้แล้ว แต้มพรหมจรรย์ก็หายสิ้นไปแล้ว”เพียงประโยคเดียวของฮ่องเต้ก็อุดปากหลินเสวี่ยอิ๋งเอาไว้ได้สีหน้านางดูแย่ลงทันที แต่เดิมไร้สีเลือดอยู่แล้วก็ทวีความซีดขึ้นอีกหลินเสวี่ยอิ๋งจ้องซูชิงอู่อย่างเคียดแค้น ในใจอยากจะพุ่งไปบีบคอนางให้ตาย!ฮ่องเต้พูดออกมาเช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?กฎเกณฑ์ดังกล่าวมอมเมาผู้คนมานานหลายปี วันนี้เรื่องของนางถูกคนเปิดโปงแล้ว โอกาสที่นางจะได้ออกเรือนไปกับคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่อีกในอนาคตก็ถึงคราวหมดสิ้นลงเว้นแต่จะหาคนที่ไม่คิดหยุมหยิมอย่างเย่เสวียนถิงพบ…แต่ทว่าแคว้นหนานเ
“มือท่านเจ็บหรือไม่? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? เย่อวิ๋นถูต่อยท่านที่ใด?”แม้จะทะเลาะกันเมื่อครู่ แต่ก็เป็นเขาถือไพ่เหนือกว่าอยู่ฝ่ายเดียวถึงแม้ขาเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่ฉายาราชันแห่งสงครามก็ไม่ใช่เพียงชื่อเกินจริงคนที่วรยุทธเหนือกว่าเขาใต้หล้า ใช้มือเดียวนับก็หมดแล้วแต่หน้าเย่เสวียนถิงปรากฏความประหลาดใจพลางมองดูซูชิงอู่ที่ตรวจมือเขาอย่างตั้งใจ แล้วเขาก็เข้าใจการกระทำนางเมื่อครู่ทันที“ข้า…”ลูกกระเดือกเขาขยับสักพัก สมองว่างเปล่าไม่รู้ว่าจะตอบออกไปเช่นไร“ข้าไม่เป็นไร ไม่ได้รับบาดเจ็บ…”ซูชิงอู่กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถ้าเย่อวิ๋นถูบังอาจทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเส้นผมล่ะก็ ข้าจักหั่นเขาเป็นแปดสับ สับให้เละเป็นโจ๊กทีเดียว!”วาจานี้นางมิใช่สักแต่จะพูดและมิได้ล้อเล่นด้วยแสงเย็นวูบขึ้นในดวงตาความป่าเถื่อนบังเกิดอย่างบ้าคลั่งและเหนือการควบคุมนิ้วมือของซูชิงอู่ไล่ตามข้อต่อนิ้วเรียวยาวและแข็งขืนของเย่เสวียนถิง หลังมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บจากการวิวาทกับเย่อวิ๋นถูจึงถอนหายใจอย่างนึกโล่งอก“ไม่บาดเจ็บจริงด้วย…ไม่ถูกต้อง ตรงนี้ผิวแตกนิดหน่อย!”ซูชิงอู่คล้ายค้นพบบางอย่าง ฉ
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้