เย่อวิ๋นถูยังคงยืนอยู่ในท้องพระโรง แต่รู้สึกราวกับว่าทั้งร่างจมอยู่ในสระน้ำเย็นเขาทั้งฟังราชโองการแต่งตั้งเย่ชิวหมิงเป็นรัชทายาท และต้องได้ยินว่าแม่ของเขาถูกส่งไปยังสำนักชีเขาเองก็กลายเป็นหมากที่ฝ่าบาทเกลียดชัง ไม่มีทางได้นั่งตำแหน่งนั้นอีกต่อไปทุกอย่างพังทลายหมดแล้ว!เขาเดินออกจากท้องพระโรงด้วยสีหน้าเศร้าสลด รู้สึกว่าพื้นใต้เท้าล่องลอย...ซูชิงอู่ยืนอยู่ที่ประตูท้องพระโรง เงยหน้าขึ้นมองไปยังแผ่นหลังของเย่อวิ๋นถูเย่เสวียนถิงรู้สึกกังวลทันที และอดไม่ได้ที่จะกระชับนิ้วของเขาให้แน่นขึ้น "อาอู่..."ซูชิงอู่เบนสายตากลับมายิ้มให้เย่เสวียนถิง "ในสายตาของข้า เขาก็ไม่ต่างจากสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง"ดวงตาของเย่เสวียนถิงอ่อนลงทันที เขาพยักหน้าเล็กน้อย "ใช่ นับว่าคล้ายกันมากจริง ๆ"พวกเขาทั้งสองแอบเหน็บเย่อวิ๋นถูซูชิงอู่พอใจกับผลลัพธ์ที่นางสร้างขึ้นมากยามนี้ไทเฮาและฮองเฮาต่างพ่ายแพ้ไปอย่างสิ้นเชิง เนื้อร้ายทั้งสองนี้ถูกกำจัดออกจากพระราชวังไปอย่างสมบูรณ์แล้วเย่ชิวหมิงได้ขึ้นเป็นรัชทายาท และนางก็สามารถควบคุมชีวิตและความตายของเขาได้อีกไม่นาน ฮ่องเต้เฒ่าจะค่อย ๆ ถ่ายโอนอำนาจ นางและเย่เ
คำพูดของซูชิงอู่ทำให้หัวใจของเย่ชิวหมิงสั่นสะท้านเขายังเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ“เป็น...เป็นไปได้ยังไง? ล้อกันเล่นใช่ไหม?”ซูชิงอู่หรี่ตาลงเล็กน้อย "หม่อมฉันไม่ได้ล้อเล่น แม้ว่าท่านไม่รู้ความจริงน่าจะดีกว่าก็เถอะ แต่ท่านต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้น ไม่เช่นนั้นท่านจะเป็นองค์รัชทายาทที่ดีได้อย่างไร?"เย่ชิวหมิงกลืนน้ำลาย สีหน้าของเขาน่าเกลียดมากเขาก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยในชีวิตซูชิงอู่มองหน้าของเขาและถอนหายใจเล็กน้อย "ท่านจะแสดงสีหน้าเช่นนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้คนอื่นสงสัยเอา"สมองของเย่ชิวหมิงกำลังส่งเสียงหึ่ง ๆในชั่วพริบตา สีหน้าของเขาก็ไม่ต่างไปจากเย่อวิ๋นถูร่างนั้นเซเล็กน้อย ซูชิงอู่ก็อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นฉากนี้เย่เสวียนถิงเอียงศีรษะ ลูบหัวของซูชิงอู่เบา ๆ "อาอู่ นี่เจ้าพูดจริงหรือ?"ซูชิงอู่หัวเราะ "ข้าก็ไม่รู้ ข้าเดาเอาเท่านั้น"เย่เสวียนถิงอึ้งไป "..."นางหันไปมองเย่เสวียนถิงและยิ้มเล็กน้อย "ใครใช้ให้เขามารบกวนเราล่ะ แต่บอกเขาไปก็ไม่เป็นไร แม้เป็นเพียงการคาดเดาแต่ก็ใกล้เคียงความจริงนะเจ้าคะ"หากไม่ได้ผ่านเรื่องบางอย่างมาในชีวิตคร
เจียวกุ้ยเฟยมั่นใจมากเมื่อนางพูดสิ่งนี้ ไม่มีร่องรอยของการโกหกใด ๆ เลยเย่ชิวหมิงขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเขาอาจเข้าใจแม่ของเขาผิดจริง ๆ บางทีซูชิงอู่อาจจะโกหกเขาก็เป็นได้เขาลุกขึ้นยืนก้มศีรษะโค้งคำนับขอโทษ "ขออภัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ ลูกคิดไม่รอบคอบและไม่ควรสงสัยท่านเลย"เจียวกุ้ยเฟยด้วยความเอื้ออารี “เรื่องนี้เจ้าอย่าคิดมาก คนอื่นนินทาลับหลัง เจ้าอย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน แม่จะจัดคนมาอยู่ข้าง ๆ เจ้าใ ห้ช่วยเจ้าในฐานะรัชทายาท เจ้าคิดว่าอย่างไร?”เย่ชิวหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง "เสด็จแม่อย่ากังวล ไม่จำเป็นต้องลำบากท่าน ข้าเชื่อว่าจะสามารถทำงานได้ดี"เมื่อเห็นว่าเขายืนกรานไม่รับคนที่นางจัดหาให้ เจียวกุ้ยเฟยไม่ได้บังคับเขาอีกหลังจากส่งเย่ชิวหมิงออกไป สีหน้าของนางก็หม่นลงทันทีนางกำนัลข้าง ๆ เห็นสีหน้าของเจียวกุ้ยเฟย ก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย "พระนาง องค์รัชทายาททรงค้นพบบางสิ่งแล้วหรือไม่?"เจียวกุ้ยเฟยกัดฟัน "ชิวหมิงหูเบา ไม่รู้ว่ามีใครพูดอะไรต่อหน้าเขา ตอนนี้สองคนนั้นก็ตายแล้ว เรื่องในอดีตถูกเก็บเงียบ ข้าก็สบายใจขึ้นมากทีเดียว..."“ท่านอุตส่าห์ส่งคนไปตามฆ่าหมอตำแยและหมอหลวงคนนั้นแล้วแท้ ๆ แต่ไ
เจียวกุ้ยเฟยสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางต้องการฉีกกระดาษให้เป็นชิ้น ๆ อย่างประหม่าและทำลายมันให้หมด แสร้งทำเป็นว่ามันไม่เคยปรากฏขึ้นแต่พอนึกถึงวิธีที่อีกฝ่ายส่งจดหมายมา ใบหน้าของนางก็ซีดเผือด ก่อนลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ ตะโกนเสียงดัง "ออกมา ออกมานะ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องอยู่ที่นี่ บอกข้าตรง ๆ ว่าเจ้าต้องการอะไร?"การที่ความลับของนางถูกบุคคลลึกลับนี้จับตามอง ทำให้เจียวกุ้ยเฟยรู้สึกราวกับว่านางมีมีดมาจ่อที่ลำคอของนางอีกครั้งหนังศีรษะของเจียวกุ้ยเฟยชาวาบ นางตะโกนอยู่ในห้องเหมือนคนบ้าเป็นเวลานาน แต่ไม่มีใครตอบกลับนางมาทั่วทั้งบริเวณเงียบสงบ……แคว้นหนานเย่ได้สถาปนารัชทายาท ฮองเฮาและไทเฮาต่างถูกคุมขังในสำนักแม่ชี ขุนนางที่นำโดยมหาราชครูมู่หรงถูกกลดอำนาจ สถานการณ์ในราชสำนักก็เปลี่ยนไปอย่างมากฮ่องเต้เฒ่าชราลงอย่างมากในทันที ช่วงนี้ฮ่องเต้ปฏิบัติราชกิจช่วงเข้าในราชสำนักน้อยลง และผู้นำของแคว้นฉีตะวันออกได้เสนอให้ทำการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ โดยยกน้องสาวของตนแต่งงานกับรัชทายาทเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้นหลังจากได้ยินสิ่งนี้ ฮ่องเต้เฒ่าก็รู้ถึงภูมิหลังของฉีเทียนหยวน ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลที่ดีที่สุดใน
เย่เสวียนถิงหรี่ตาลงและคว้าแขนของหมออาวุโสไว้โดยไม่รู้ตัว "มีวิธีใดบ้างที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ได้?"หมออาวุโสสะดุ้ง "ท่านอ๋องนี่คงเป็นเรื่องยากสำหรับกระหม่อม ความเสี่ยงนี้มีอยู่แน่นอน อย่าว่าแต่สตรีข้างนอกเลย แม้แต่ในวังหลวงแต่ละปีก็มีสตรีที่เสียชีวิตจากการคลอดลูกมากมาย"ทันใดนั้น ดวงตาของเย่เสวียนถิงก็ดุดันขึ้น "อย่าพูดเรื่องเป็นเรื่องตายที่นี่!"เห็นได้ชัดว่าหมออาวุโสรู้สึกหวาดกลัวกับรัศมีของเย่เสวียนถิงจนเหงื่อผุดพรายขึ้นบนหน้าผากของเขาเขาเช็ดหน้าผากแล้วละล่ำละลักพูดอย่างรวดเร็ว "ไม่มีวิธีพิเศษใด ๆ แต่อย่างน้อยข้ามีสูตรยาพื้นบ้านอยู่บ้าง แต่ไม่แน่ว่าจะใช้ได้กับพระชายาหรือไม่ ท่านอ๋องควรหาหมอตำแยฝีมือดีสักสองคนมาก่อน เพื่อเพิ่มความมั่นใจ”เย่เสวียนถิงพยักหน้า "เรื่องหมอตำแย ข้าจะจัดหาเอง"แต่ต้องคัดเลือกอย่างพิถีพิถันเด็กในท้องของซูชิงอู่อาจเกิดในอีกสองเดือนข้างหน้า เขารู้สึกว่าตอนนี้เวลาไม่พอเลยจริง ๆท้องของนางดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงทุกวัน ร่างกายของนางก็เริ่มเคลื่อนไหวลำบากขึ้น นางไม่ได้ออกจากจวนมานานแล้วเขาถามหมออาวุโสอีกครั้งว่า "ข้าอยากรู้ว่ามีวิธีที่มั่นใจแน่นอนหร
เย่เสวียนถิงช่วยซูชิงอู่ออกจากประตู ขณะนี้เป็นฤดูร้อนมีลมร้อนพัดเข้ามากระทบหน้าเย่เสวียนถิงถือร่มให้นางด้วยมือของเขาเองและช่วยนางขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปยังศาลาทะเลสาบทางฝั่งตะวันตกของเมืองหลวงตอนออกจากบ้าน เย่เสวียนถิงไม่ได้นำองครักษ์มาด้วยมากนัก แต่ให้สายลับคอยคุ้มกันรอบ ๆ และตรวจตราความเคลื่อนไหว เพื่อป้องกันไม่ให้มีมือสังหารปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันลมเย็นพัดผ่านศาลากลางน้ำ ทำให้อากาศน่าอภิรมย์ยิ่งนักซูชิงอู่นั่งเงียบ ๆ บนแท่นหิน มองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาใกล้ ๆ และมีเด็ก ๆ หลายคนเล่นอยู่ริมทะเลสาบเมื่อมองไปที่คนเหล่านั้น ดวงตาของซูชิงอู่ก็อ่อนลง นางจินตนาการว่าในอนาคตเด็กในท้องของนางจะเป็นเหมือนเด็กเหล่านั้นหรือไม่ชีวิตครั้งก่อน นางตั้งท้องพวกเขามานานแล้ว แต่นางไม่ได้เห็นว่าพวกเขาเกิดมาอย่างราบรื่นซึ่งถือเป็นความอยุติธรรมสำหรับพวกเขาตอนนี้นางได้กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้งพร้อมพวกเขา นางจะต้องชดเชยให้พวกเขาอย่างดีเย่เสวียนถิงเก็บดอกไม้ริมทะเลสาบให้กับซูชิงอู่จากนั้นมืออันคล่องแคล่วของซูชิงอู่ก็ถักมันให้เป็นมงกุฎดอกไม้และสวมลงบนศีรษะของเขาซูชิงอู่มองไปที่รูปลักษณ์ปัจจุ
ซูชิงอู่หรี่ตาลงและก้าวไปข้างหน้าทันทีเมื่อเห็นฉากนี้เย่เสวียนถิงก็จับมือนางไว้ทันที“อาอู่ การระวังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เราอย่ายุ่งเรื่องของคนอื่นดีกว่า”ถ้าเป็นเมื่อก่อน ซูชิงอู่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่นอย่างแน่นอนแต่ตอนนี้นางกำลังท้อง หากเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริงแล้วนางเห็นเด็กคนหนึ่งตายต่อหน้าต่อตา นางจะรู้สึกไม่สบายใจแน่จุดประสงค์ของซูชิงอู่ในการมีชีวิตใหม่ คือการที่นางจะไม่ทำอะไรที่จะทำให้นางเสียใจอีกครั้งยิ่งกว่านั้นเพียงเด็กคนเดียว นางไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายนางได้"ไม่เป็นไร ข้ามั่นใจ"เสียงของซูชิงอู่สงบ แต่ในสายตามีความเข้มแข็งแวววับนางหยิบสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมาอย่างเงียบ ๆ เพื่อปกป้องตัวเองและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเย่เสวียนถิงพูดถูก ต้องระวังตนเอาไว้ให้มากในขณะที่ช่วยเหลือผู้อื่น ความปลอดภัยของตัวเองก็สำคัญมากเช่นกันเย่เสวียนถิงโบกมือและองครักษ์ทั้งสองก็เดินเข้าไปคว้าเด็กจากอ้อมแขนของสตรีนางนั้นทันทีสตรีนางนั้นสะดุ้ง ตกใจจนร้องไห้ไม่ออก "เจ้าจะทำอะไร จะขโมยลูกของข้า พวกเจ้าเป็นใคร?!"“ถ้าอยากช่วยลูกของเจ้า ก็หุบปา
ซูชิงอู่ยกนิ้วขึ้นและดีดเข็มเงินระหว่างนิ้วของเด็กคนนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของนางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางลูบศีรษะเขา"ซนจริง ๆ"ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้าง เขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาซึ่งงดงามราวกับนางฟ้าในภาพวาดจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้เขายังคิดว่าอีกฝ่ายจะโกรธและตบเขาหรือไม่ก็ฆ่าเขาเสียอีกเขายังคิดว่าคนที่รอบข้างนางคงอยากจะบีบคอเขาให้ตายแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยซูชิงอู่คว้าข้อมือของเย่เสวียนถิงไว้ด้วยมืออีกข้างของนางแล้วส่ายหัวเบา ๆ จากนั้นนางก็ยังคงรักษาใบหน้าอ่อนโยนของนางไว้ และเก็บเข็มเงินนั้นออกไป“ร่างกายของเจ้ายังอ่อนแอมาก ข้าชอบช่วยคนจนถึงที่สุด เช่นนั้นเจ้าก็ตามข้ากลับไปด้วยกันเถอะ”ทันทีที่นางพูดจบ ผู้หญิงอีกคนที่อยู่ตรงข้ามก็วิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา คุกเข่าลงต่อหน้าซูชิงอู่ "ลูกของข้าโง่เขลาและซุกซน โปรดปล่อยลูกของข้าไปเถอะ!"ซูชิงอู่ตกตะลึงและมองไปที่สตรีนางนั้นด้วยความไม่เข้าใจ“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? เหตุใดข้าถึงต้องปล่อยเขาไปด้วย? เมื่อครู่เขากำลังจะตาย ข้าเพิ่งทำให้เขาฟื้นขึ้นมาไม่ใช่หรือ?”นางลดสายตาลง ดวงตาเต็มไปด้วยความคับข
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้