“ฝ่าบาท?”เจียวกุ้ยเฟยถามว่า “ทรงเป็นอะไรไหมเพคะ…”ฮ่องเต้เฒ่าทรงสูดลมหายใจลึก และเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหน้าจนเกินไปจึงทรงพาไทเฮาขึ้นมานอนบนเตียง“ข้าไม่เป็นอะไร”เจียวกุ้ยเฟยพูดเสียงเบา “หม่อมฉันเรียกหมอหลวงมาให้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วทรงผลักประตูออกไปเมื่อเห็นสีพระพักตร์เย็นชาของพระองค์ ทุกคนก็ยิ่งไม่กล้าพูดและเงียบกริบ“ไปตรวจดูอาการให้ไทเฮาหน่อย”หมอหลวงรีบเดินถือกล่องยาเข้าไปทันทีแม้คำพูดของฮ่องเต้เฒ่าจะดูเหมือนยามปกติ แต่ในน้ำเสียงของพระองค์ดูเหมือนทรงกำลังกัดฟันตรัสออกมาเจียวกุ้ยเฟยกังวล “ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นกับไทเฮาหรือเพคะ?”ฮ่องเต้เฒ่าทรงหรี่ตาลง “คนแก่ก็อย่างนี้แหละ สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว”เจียวกุ้ยเฟยรู้สึกประหลาดใจ “ฟังจากอาการดูเหมือนจะเป็นโรคร้ายแรงนะเพคะ…”ฮ่องเต้หรี่ทรงตาลงพลางมองไปรอบ ๆ “เรื่องในคืนนี้ห้ามใครแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด!”บรรดาคนรับใช้คุกเข่าลงทันที “มิกล้าเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ!”ซูเฟยครุ่นคิดเป็นความคิดของซูชิงอู่ที่ให้นางเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้เสด็จมาเข้าเฝ้าไทเฮาในวันนี้แม้นางจะรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นที่ตำหนักของไทเฮ
วันรุ่งขึ้น มีเหตุการณ์สำคัญสองเหตุการณ์เกิดขึ้นในแคว้นหนานเย่เหตุการณ์แรกส่งผลกระทบโดยตรงไปทั่วทั้งแคว้น!ฮ่องเต้ไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทมาหลายปีแล้ว แต่จู่ ๆ ก็มีพระราชโองการประกาศให้โลกได้รับรู้ว่าองค์ชายใหญ่เย่ชิวหมิงผู้ซึ่งได้กอบกู้แคว้นไว้เมื่อไม่นานมานี้ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแล้วทันทีที่พระราชโองการออกมา ทั้งเมืองหลวงก็ตกอยู่ในความโกลาหลเพราะการแต่งตั้งองค์รัชทายาทถือเป็นเรื่องใหญ่เมื่อเขาได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว แน่นอนว่าตำหนักรัชทายาททิศบูรพาก็จะได้มีเจ้าของด้วยเช่นกัน!โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ฮ่องเต้ทรงประชวรหนัก ทำให้ผู้คนเริ่มแสดงเจตจำนงอยากเลือกข้าง แต่อย่างไรก็ตาม องค์ชายใหญ่และองค์ชายสามก็ถือว่ามีอำนาจเท่าเทียมกัน นั่นจึงทำให้หลายคนตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทว่าในตอนนี้กลับมีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทอย่างไม่ทันตั้งตัวเสียอย่างนั้นทั้งตระกูลมู่หรงและตระกูลเสนาบดีเซี่ยต่างตกตะลึงเพราะอีกเหตุการณ์ที่ฮ่องเต้าเฒ่าประกาศนั่นคือไทเฮาทรงวิกลจริตและถูกส่งตัวจากพระราชวังไปกักตัวอยู่ในอารามฮุ่ยชิงที่นั่นคือสำนักชีที่มีชื่อเสียง ซึ่งแตกต่างจา
นางยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ทั้งยังกระชับเสื้อตัวนั้นให้ปกคลุมร่างกายมากขึ้นกว่าเดิม“รับทราบเพคะท่านอ๋อง”รอยยิ้มของนางอบอุ่นราวกับดอกไม้บาน อบอุ่นกว่าสายลมฤดูใบไม้ผลิด้านอกเสียอีกใบหน้างดงามของนางมองไปที่เย่เสวียนถิงด้วยความอ่อนโยนทำเอาฉีเทียนหยวนตกตะลึงแม้เขาจะได้ยินมานานแล้วว่าอ๋องเสวียนกับพระชายารักใคร่ต่อกัน แต่เมื่อได้มาเห็นพวกเขาต่อหน้า เขาก็รู้สึกว่าเรื่องราวที่ได้ยินมานั้นไม่จริงเลยพวกเขาเหมือนกับคู่รักที่ตัวติดกันเป็นตังเม และรักกันหวานซึ้งปานจะกลืนกินต่างหาก!หลังจากที่ซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงคุยกันจบ พวกเขาก็หันความสนใจไปที่กลุ่มของฉีเทียนหยวนนางเลิกคิ้วแล้วถามว่า “วันนี้องค์ชายสามเสด็จมาที่บ้านของหม่อมฉันด้วยธุระอะไรหรือเพคะ?”ฉีเทียนหยวนตอบด้วยความตื่นตระหนกในทันที “คือว่า ข้ามาที่นี่เพื่อ...เพื่อมอบของขวัญให้ท่านอ๋องกับพระชายาน่ะ”ซูชิงอู่สะดุ้ง “ของขวัญ? ไม่มีของขวัญใดที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เหตุใดจู่ ๆ องค์ชายสามถึงทรงมอบของขวัญให้กับหม่อมฉันล่ะเพคะ?”“พระชายาโปรดอย่าเข้าใจข้าผิด ของขวัญชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ข้ามอบให้ด้วยใจ แม้จะไม่ใช่
ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็เริ่มสนใจมากขึ้นเป็นที่รู้กันว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นสมบัติที่หายากในโลกแม้แต่นางก็ยังหวั่นไหวอยู่บ้างโดยเฉพาะผ้าไหมจั๊กจั่นน้ำแข็งซึ่งเป็นเครื่องบรรณาการที่สำคัญและไม่สามารถหาซื้อได้แม้จะมีเงินมากเพียงใดก็ตามมีเพียงผู้มีอำนาจเท่านั้นที่สามารถสวมใส่ได้ฉีเทียนหยวนแนะนำสิ่งของอีกสองสามกล่องด้วยความประจบประแจง “พระชายาคิดว่าของขวัญเหล่านี้คือสิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่?”ซูชิงอู่พยักหน้า “ไม่เลวเลยเพคะ”ฉีเทียนหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหัวเราะ “เช่นนั้นการอภิเษกระหว่างหว่านเอ๋อร์กับองค์ชายใหญ่…”แก้มของฉีหว่านเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเมื่อนางได้ยินเสด็จพี่ของตนพูดถึงเรื่องนี้แม้พวกเขาจะไม่ได้พบหน้ากันบ่อยนัก แต่ฉีหว่านเอ๋อร์ก็พอใจในตัวเย่ชิวหมิงมาก ทุกครั้งที่พวกเขาพบกัน พวกเขาจะหน้าแดงและพูดไม่ออก“เสด็จพี่...”ฉีเทียนหยวนมองนางด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน “อย่างไรเล่า หว่านเอ๋อร์ไม่ต้องการรึ?”ฉีหว่านเอ๋อร์ก้มหน้าไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆฉีเทียนหยวนถือโอกาสพูด “ไม่ทราบว่าข้าขอพาหว่านเอ๋อร์กลับไปได้หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ต
ขอแค่เขารู้สึกสบายใจก็พอตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงคลอดบุตรก็ใช้เวลาสิบเดือน ตอนนี้ทารกในท้องของนางอายุครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว และนางไม่สามารถซ่อนหน้าท้องที่ป่องออกมาได้อีกต่อไปท้องของนางก็ดูผิดปกติเล็กน้อย ด้วยเพราะมีขนาดใหญ่กว่าท้องของสตรีมีครรภ์ทั่วไปมากเย่เสวียนถิงได้เชิญหมอหลวงมาตรวจร่างกายของนางซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จนเจ้าตัวรู้สึกโล่งใจ พลางคิดว่าลูกของเขาคงแค่เกิดมาตัวใหญ่กว่าคนอื่น...เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะออกไป ฉีเทียนหยวนก็ไม่กล้ารบกวนพวกเขาอีก เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของแคว้นอื่นและเขาไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงจนเกินขอบเขตได้“เช่นนั้นข้าขอพาน้องสาวกลับก่อน!”ซูชิงอู่พยักหน้าแล้วมองเขาอย่างมีเลศนัย “หม่อมฉันหวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันอย่างมีความสุขนะเพคะ”ฉีเทียนหยวนพยักหน้าซ้ำ ๆ ทั้งยังมีเหงื่อบาง ๆ ผุดบนหน้าผากของเขาด้วยเขารีบออกจากจวนพร้อมกับผู้ติดตามพร้อมพาฉีหว่านเอ๋อร์กลับไปยังที่พำนักของตนฉีหว่านเอ๋อร์ลงจากรถม้าและได้ยินพี่ชายของนางถามว่า “หว่านเอ๋อร์ หลายวันนี้ที่เจ้าอยู่ที่จวนอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?”“ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่เป็นห่วงเพคะ”
ท่าทางของซูชิงอู่ทำให้คนรับใช้รอบ ๆ ตัวนางตะลึงจึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไปท่าทีของเจียวกุ้ยเฟยรอยยิ้มบนใบหน้าของเจียวกุ้ยเฟยแข็งทื่อ แต่นางไม่ได้พูดอะไร พลางโบกมือแล้วพูดว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”“เพคะ”หลังจากที่เหล่านางกำนัลออกไปแล้ว เจียวกุ้ยเฟยก็นั่งตรงข้ามกับพวกเขา พลางมองไปที่ซูชิงอู่ และท้องป่องของนาง อดไม่ได้ที่จะถามว่า “พูดมาสิ พระชายามีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าหรือ?”ซูชิงอู่ไม่ได้เล่าออกมาทั้งหมด “หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อถามท่านว่า องค์ชายใหญ่ทรงเป็นโอรสของฝ่าบาทหรือไม่เพคะ?”คำถามที่โพล่งออกอย่างฉับพลันนี้ทำให้เจียวกุ้ยเฟยตกตะลึง “เมื่อครู่พระชายาถามว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ค่อยชัด…”ซูชิงอู่พูดซ้ำอีกครั้ง “องค์ชายใหญ่ใช่โอรสของฝ่าบาทไหมเพคะ?”เจียวกุ้ยเฟยตกตะลึง “แน่นอนสิ!”รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหายไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งในดวงตาของนางยังเจือไปด้วยความโกรธเคือง“พระชายายเสวียน เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดจู่ ๆ ถึงถามข้าเช่นนี้!”ซูชิงอู่เงยหน้ามองและเพิกเฉยต่อความโกรธเกรี้ยวของเจียวกุ้ยเฟย นางพูดอย่างสงบ “เป็นเพราะไทเฮาตรัสว่าพระนางมีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าองค์ชายใหญ่ไม่ใช
ผู้นำตระกูลเจียวคนก่อนได้วางรากฐานอันยิ่งใหญ่สำหรับตระกูลเจียวเอาไว้“พระชายาเสวียนหมายถึง…”ซูชิงอู่กล่าว “หากหม่อมฉันช่วยองค์ชายใหญ่ให้รอดจากวิกฤตนี้ ตระกูลเจียวของท่านจะต้องมอบข้าว จำนวนห้าหมื่นตั้นเป็นการแลกเปลี่ยนเพคะ!”“ข้าว?”ซูชิงอู่พยักหน้า “หม่อมฉันไม่สนใจว่าท่านจะใช้วิธีการไหน ดีที่สุดคือต้องเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยภายในหนึ่งเดือน จากนั้นหม่อมฉันจะแจ้งจุดให้ท่านนำข้าวไปจัดวางเพคะ”แม้เจียวกุ้ยเฟยจะรู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย แต่นางก็ครุ่นคิดไปมาและพยักหน้า “ตกลง”ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ นางเชื่อว่าซูชิงอู่สามารถทำได้ตราบใดที่เย่ชิวหมิงอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทอย่างปลอดภัย ข้าวห้าหมื่นตั้นมันจะสักเท่าไรกันเชียว?ยิ่งไปกว่านั้น หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างดี ไม่เพียงแต่จะสูญเสียเงินเท่านั้น แต่ยังอาจสูญเสียหัวไปด้วย!ซูชิงอู่ลดเสียงลงและพูดกับเย่เสวียนถิงว่า “ท่านอ๋อง ขอข้าคุยกับพระสนมเจียวก่อนนะ”เย่เสวียนถิงจูบหน้าผากของนาง “ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างนอก”“ได้”ซูชิงอู่ยิ้มและกลอกตา จากนั้นนางและเจียวกุ้ยเฟยก็เข้าไปในห้องโถงด้านข้างหลังจากยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ร
เจียวกุ้ยเฟยกล่าวต่อ “ในเมื่อพระชายาถามถึงเรื่องนี้ ข้าก็จะเล่าให้ฟัง...พระชายาน่าจะได้ยินว่าตอนยังเด็กท่านอ๋องเสวียนไม่ได้มีชีวิตในวังที่ดีนัก จนกระทั่งเขาอายุแปดขวบก็ถูกซูเฟยรับไปเลี้ยง เหตุผลก็เพราะฟาง...แม่ของพระชายาเคยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”ซูชิงอู่ไม่เคยสนใจเรื่องของเย่เสวียนถิงในชาติก่อน นางจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรขณะนี้ที่นางกำลังฟังเจียวกุ้ยเฟยเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเย่เสวียนถิง นางก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของนางถูกแทงด้วยเข็ม และมันก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก...“ไม่รู้ว่าเด็กน้อยเช่นนั้นมีชีวิตรอดมาได้อย่างไรในวังหลัง คนดีในวังมีไม่มากนัก และเซี่ยโหวชิ่นก็ไม่เหลืออะไรไว้ให้เขาเลย แม้เขาจะเป็นองค์ชาย ทว่าแม้แต่ฐานะฝ่าบาทยังไม่ทรงมอบให้ด้วยซ้ำ เขาถูกบรรดาคนในวังดุด่าทุบตี ทั้งยังถูกองค์ชายองค์หญิงคนอื่น ๆ คอยรังแกอีกด้วย”เจียวกุ้ยเฟยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นนางชื่นชมอ๋องเสวียนในใจที่สามารถมาถึงจุดนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร เพียงแค่พึ่งพาความพยายามของเขาเองเพื่อคว้าโอกาสต่าง ๆ องค์ชายที่ไร้อำนาจและคนหนุนหลัง ทั้งยังไม่มีใครชื่นชอบ แต่เย่เสวียนถิงกลับ
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้