นางกำนัลทั้งสามไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกนางคุกเข่าต่อหน้าซูเฟยพร้อมกับก้มศีรษะลงซูชิงอู่หยิบดอกไม้ออกมาเล่นในมือ จากนั้นจึงมองดูคนทั้งสามและถามว่า "ดอกไม้นี้มาจากไหน?"หลังจากที่สาวใช้ทั้งสามเห็นดอกไม้ในมือของซูชิงอู่อย่างชัดเจนสีหน้าของพวกนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยพวกนางรีบส่ายหน้าและพูดว่า "ทูลพระชายา บ่าวไม่ทราบเพคะ..."ซูชิงอู่ถามต่อว่า "ไม่รู้หรือไม่เคยเห็นมันมาก่อนงั้นหรือ?"หนึ่งในนั้นพูดอย่างกล้าหาญว่า "บ่าวไม่เคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้มาก่อน ถ้าได้เห็นดอกไม้ที่พิเศษเช่นนี้ บ่าวจะจำได้แน่ และสองวันที่ผ่านมาบ่าวไม่ได้เข้าเวรที่นี่เลย..."“เจ้าคิดว่ามีคนปลูกดอกไม้นี้ในแปลงดอกไม้นี้เมื่อสองวันที่ผ่านมาเหรอ?”"เพคะ"ซูเฟยเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ "ชิงอู่ดอกไม้นี้มีอะไรผิดปกติหรือ?"ซูชิงอู่ยิ้ม "มีสิเพคะ ปัญหาใหญ่เลย ดอกไม้นี้เรียกว่าดอกลำโพงเลือด และมันค่อนข้างแตกต่างจากดอกลำโพงทั่วไป เมื่อได้กลิ่นนาน ๆ จะทำให้เกิดภาพหลอน จิตใจสับสน”ซูเฟยสะดุ้ง นางปัดดอกไม้ออกจากมือของซูชิงอู่โดยไม่รู้ตัว และดึงนางออกให้ห่าง“เร็วเข้า เอาดอกไม้พวกนี้ไปเผาทิ้งให้หมด!”เมื่อเห็นซูเฟยตระหนกอย
ซูชิงอู่ยิ้ม "แน่นอนว่ามี ทุกวันนี้มีหมอหลวงเข้าและออกจากตำหนักจิ้งอี๋อยู่ใช่หรือไม่เพคะ"เห็นได้ชัดว่าซูเฟยไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้“หมอหลวงเข้ามาแล้ว ข้าก็ให้คนตามไปส่งทุกครั้ง...”ซูชิงอู่ถามว่า"ไม่มีช่วงที่นางกำนัลละสายตาเลยหรือ?"ทันใดนั้นหนึ่งในสามนางกำนัลก็ดูเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่าง "ข้าจำได้แล้วเมื่อสามวันก่อนข้าบังเอิญไปเจอหมอหลวงที่มารักษาพระชายา ท่านหมอบอกว่าตอนไปปลดทุกข์ เขาบังเอิญหลงทางในตำหนัก..."ซูเฟยตกตะลึงเล็กน้อย แต่นางไม่คาดคิดว่าซูชิงอู่จะเดาเบาะแสนี้ได้ทันที“เรื่องสำคัญขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งพูด?”“บ่าวเพิ่งนึกขึ้นได้เพคะ โปรดยกโทษให้บ่าวด้วย!”ซูเฟยพูดอย่างเคร่งขรึม"ไปเรียกหมอหลวงหลี่มาหาข้า บอกว่าข้ามีเรื่องจะพูดกับเขา!"ดอกไม้ทั้งสองชนิดนี้มีไม่มากนัก แต่พวกมันถูกซ่อนไว้อย่างลับ ๆ นางกำนัลทั้งสามคนค้นหานานกว่าจะถอนออกมาจนหมดซูชิงอู่ขอให้คนใส่มันลงในกล่อง และเตรียมนำมันออกไปอย่างไรก็ตาม ดอกไม้พวกนี้ก็เป็นสมุนไพรที่หายาก ถ้าใช้อย่างเหมาะสมจะมีมูลค่ามหาศาล แม้แต่ในคลังยาในวังหลวงยังหาได้ยากซูชิงอู่สนใจคนที่ลงมือมากเพราะมีคนรู้จักดอกไม้สองชนิดนี้ไ
แม้ตอนนี้นางจะถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักและไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ อีกทั้งคนจากภายนอกก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเยี่ยมนางได้ตามต้องการ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นไทเฮา ซึ่งเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของฮ่องเต้ วังหลังแห่งนี้ใครจะกล้ามีเรื่องกับนางความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ต้องพูดถึงตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลเสนาบดีเซี่ยที่คอยหนุนหลังนางอยู่เป็นที่รู้กันว่านอกจากกองทัพเมืองหน้าด่านตะวันตกที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นหนานเย่ ตระกูลเสนาบดีเซี่ยนั้นควบคุมอำนาจในเขตพระราชฐานทั้งหมดแม้แต่ในราชวงศ์ก่อน ๆ พวกเขาก็มีบทบาทที่สำคัญอย่างมากพี่ชายของไทเฮาเป็นขุนนางชั้นสูงที่มีอำนาจไม่เป็นสองรองใคร แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่กล้าขัดโชคดีที่แม่ทัพเซี่ยประจำการอยู่ที่ชายแดนตลอดทั้งปีจึงยังไม่กลับเมืองหลวงมาง่าย ๆนางกำนัลอาวุโสวางขนมต่อหน้าไทเฮาและพูดด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันได้ยินมาว่าหลายวันมานี้ท่านอ๋องได้ไปวิงวอนขอร้องให้ฝ่าบาททรงปล่อยพระองค์ อีกทั้งทางขุนนางฝั่งตระกูลเสนาบดีเซี่ยได้ร่วมมือกับตระกูลมู่หรงเพื่อกดดันฝ่าบาท หม่อมฉันเชื่อว่าในอีกไม่กี่วัน ฝ่าบาทต้องทรงอยากคืนดีกับพระองค์แน่นอนเพคะ”คำพู
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก ฮ่องเต้เฒ่าและนางสนมคนอื่น ๆ มองไปเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้อ้าปากค้างขณะนี้ไทเฮาทรงสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เรียบร้อย และมีท่าทีที่ไม่สู้ดีนักทันทีที่นางเห็นว่ามีคนอยู่หน้าประตู นางก็รีบถลามาคว้าอาภรณ์ของฮ่องเต้เอาไว้ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงอย่างยิ่ง ทรงต้องการจะดึงตัวไทเฮาออก แต่ก็ไม่เป็นผลแม้เขาจะเป็นฮ่องเต้มาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ทุกคนที่อยู่ด้านหลังไม่ส่งเสียงใด เพียงจ้องมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเงียบงันโชคดีที่ปฏิกิริยาของฮ่องเต้ค่อนข้างรวดเร็ว ทรงทราบดีว่าจะให้ใครเห็นไทเฮาในสภาพเช่นนี้ไม่ได้จึงทรงดันไทเฮาเข้าไปในห้องทันทีเจียวกุ้ยเฟยและซูเฟยต่างมองหน้ากันด้วยความสับสน เพราะพวกนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเวลานี้ฮ่องเต้เฒ่าได้เข้ามาในห้องแล้ว พลางจับพระหัตถ์ของไทเฮาเพื่อป้องกันไม่ให้นางสูญเสียความสงบไปมากกว่านี้ และตรัสด้วยสีหน้าเย็นชา “ไทเฮา!”ไทเฮาที่ทรงได้ยินเสียงก็ตกตะลึง “ร้อนเหลือเกิน…”ทันทีที่ฮ่องเต้เฒ่าเห็นก็รู้ว่าไทเฮาคงถูกวางยาโดยไม่รู้ตัว ทรงมองไปรอบ ๆ มองหาน้ำที่จะสาดใส่พระพักตร์ของไทเฮ
“ฝ่าบาท?”เจียวกุ้ยเฟยถามว่า “ทรงเป็นอะไรไหมเพคะ…”ฮ่องเต้เฒ่าทรงสูดลมหายใจลึก และเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหน้าจนเกินไปจึงทรงพาไทเฮาขึ้นมานอนบนเตียง“ข้าไม่เป็นอะไร”เจียวกุ้ยเฟยพูดเสียงเบา “หม่อมฉันเรียกหมอหลวงมาให้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วทรงผลักประตูออกไปเมื่อเห็นสีพระพักตร์เย็นชาของพระองค์ ทุกคนก็ยิ่งไม่กล้าพูดและเงียบกริบ“ไปตรวจดูอาการให้ไทเฮาหน่อย”หมอหลวงรีบเดินถือกล่องยาเข้าไปทันทีแม้คำพูดของฮ่องเต้เฒ่าจะดูเหมือนยามปกติ แต่ในน้ำเสียงของพระองค์ดูเหมือนทรงกำลังกัดฟันตรัสออกมาเจียวกุ้ยเฟยกังวล “ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นกับไทเฮาหรือเพคะ?”ฮ่องเต้เฒ่าทรงหรี่ตาลง “คนแก่ก็อย่างนี้แหละ สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว”เจียวกุ้ยเฟยรู้สึกประหลาดใจ “ฟังจากอาการดูเหมือนจะเป็นโรคร้ายแรงนะเพคะ…”ฮ่องเต้หรี่ทรงตาลงพลางมองไปรอบ ๆ “เรื่องในคืนนี้ห้ามใครแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด!”บรรดาคนรับใช้คุกเข่าลงทันที “มิกล้าเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ!”ซูเฟยครุ่นคิดเป็นความคิดของซูชิงอู่ที่ให้นางเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้เสด็จมาเข้าเฝ้าไทเฮาในวันนี้แม้นางจะรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นที่ตำหนักของไทเฮ
วันรุ่งขึ้น มีเหตุการณ์สำคัญสองเหตุการณ์เกิดขึ้นในแคว้นหนานเย่เหตุการณ์แรกส่งผลกระทบโดยตรงไปทั่วทั้งแคว้น!ฮ่องเต้ไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทมาหลายปีแล้ว แต่จู่ ๆ ก็มีพระราชโองการประกาศให้โลกได้รับรู้ว่าองค์ชายใหญ่เย่ชิวหมิงผู้ซึ่งได้กอบกู้แคว้นไว้เมื่อไม่นานมานี้ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแล้วทันทีที่พระราชโองการออกมา ทั้งเมืองหลวงก็ตกอยู่ในความโกลาหลเพราะการแต่งตั้งองค์รัชทายาทถือเป็นเรื่องใหญ่เมื่อเขาได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว แน่นอนว่าตำหนักรัชทายาททิศบูรพาก็จะได้มีเจ้าของด้วยเช่นกัน!โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ฮ่องเต้ทรงประชวรหนัก ทำให้ผู้คนเริ่มแสดงเจตจำนงอยากเลือกข้าง แต่อย่างไรก็ตาม องค์ชายใหญ่และองค์ชายสามก็ถือว่ามีอำนาจเท่าเทียมกัน นั่นจึงทำให้หลายคนตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทว่าในตอนนี้กลับมีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทอย่างไม่ทันตั้งตัวเสียอย่างนั้นทั้งตระกูลมู่หรงและตระกูลเสนาบดีเซี่ยต่างตกตะลึงเพราะอีกเหตุการณ์ที่ฮ่องเต้าเฒ่าประกาศนั่นคือไทเฮาทรงวิกลจริตและถูกส่งตัวจากพระราชวังไปกักตัวอยู่ในอารามฮุ่ยชิงที่นั่นคือสำนักชีที่มีชื่อเสียง ซึ่งแตกต่างจา
นางยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ทั้งยังกระชับเสื้อตัวนั้นให้ปกคลุมร่างกายมากขึ้นกว่าเดิม“รับทราบเพคะท่านอ๋อง”รอยยิ้มของนางอบอุ่นราวกับดอกไม้บาน อบอุ่นกว่าสายลมฤดูใบไม้ผลิด้านอกเสียอีกใบหน้างดงามของนางมองไปที่เย่เสวียนถิงด้วยความอ่อนโยนทำเอาฉีเทียนหยวนตกตะลึงแม้เขาจะได้ยินมานานแล้วว่าอ๋องเสวียนกับพระชายารักใคร่ต่อกัน แต่เมื่อได้มาเห็นพวกเขาต่อหน้า เขาก็รู้สึกว่าเรื่องราวที่ได้ยินมานั้นไม่จริงเลยพวกเขาเหมือนกับคู่รักที่ตัวติดกันเป็นตังเม และรักกันหวานซึ้งปานจะกลืนกินต่างหาก!หลังจากที่ซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงคุยกันจบ พวกเขาก็หันความสนใจไปที่กลุ่มของฉีเทียนหยวนนางเลิกคิ้วแล้วถามว่า “วันนี้องค์ชายสามเสด็จมาที่บ้านของหม่อมฉันด้วยธุระอะไรหรือเพคะ?”ฉีเทียนหยวนตอบด้วยความตื่นตระหนกในทันที “คือว่า ข้ามาที่นี่เพื่อ...เพื่อมอบของขวัญให้ท่านอ๋องกับพระชายาน่ะ”ซูชิงอู่สะดุ้ง “ของขวัญ? ไม่มีของขวัญใดที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เหตุใดจู่ ๆ องค์ชายสามถึงทรงมอบของขวัญให้กับหม่อมฉันล่ะเพคะ?”“พระชายาโปรดอย่าเข้าใจข้าผิด ของขวัญชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ข้ามอบให้ด้วยใจ แม้จะไม่ใช่
ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็เริ่มสนใจมากขึ้นเป็นที่รู้กันว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นสมบัติที่หายากในโลกแม้แต่นางก็ยังหวั่นไหวอยู่บ้างโดยเฉพาะผ้าไหมจั๊กจั่นน้ำแข็งซึ่งเป็นเครื่องบรรณาการที่สำคัญและไม่สามารถหาซื้อได้แม้จะมีเงินมากเพียงใดก็ตามมีเพียงผู้มีอำนาจเท่านั้นที่สามารถสวมใส่ได้ฉีเทียนหยวนแนะนำสิ่งของอีกสองสามกล่องด้วยความประจบประแจง “พระชายาคิดว่าของขวัญเหล่านี้คือสิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่?”ซูชิงอู่พยักหน้า “ไม่เลวเลยเพคะ”ฉีเทียนหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหัวเราะ “เช่นนั้นการอภิเษกระหว่างหว่านเอ๋อร์กับองค์ชายใหญ่…”แก้มของฉีหว่านเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเมื่อนางได้ยินเสด็จพี่ของตนพูดถึงเรื่องนี้แม้พวกเขาจะไม่ได้พบหน้ากันบ่อยนัก แต่ฉีหว่านเอ๋อร์ก็พอใจในตัวเย่ชิวหมิงมาก ทุกครั้งที่พวกเขาพบกัน พวกเขาจะหน้าแดงและพูดไม่ออก“เสด็จพี่...”ฉีเทียนหยวนมองนางด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน “อย่างไรเล่า หว่านเอ๋อร์ไม่ต้องการรึ?”ฉีหว่านเอ๋อร์ก้มหน้าไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆฉีเทียนหยวนถือโอกาสพูด “ไม่ทราบว่าข้าขอพาหว่านเอ๋อร์กลับไปได้หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ต