แม้ตอนนี้นางจะถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักและไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ อีกทั้งคนจากภายนอกก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเยี่ยมนางได้ตามต้องการ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นไทเฮา ซึ่งเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของฮ่องเต้ วังหลังแห่งนี้ใครจะกล้ามีเรื่องกับนางความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ต้องพูดถึงตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลเสนาบดีเซี่ยที่คอยหนุนหลังนางอยู่เป็นที่รู้กันว่านอกจากกองทัพเมืองหน้าด่านตะวันตกที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นหนานเย่ ตระกูลเสนาบดีเซี่ยนั้นควบคุมอำนาจในเขตพระราชฐานทั้งหมดแม้แต่ในราชวงศ์ก่อน ๆ พวกเขาก็มีบทบาทที่สำคัญอย่างมากพี่ชายของไทเฮาเป็นขุนนางชั้นสูงที่มีอำนาจไม่เป็นสองรองใคร แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่กล้าขัดโชคดีที่แม่ทัพเซี่ยประจำการอยู่ที่ชายแดนตลอดทั้งปีจึงยังไม่กลับเมืองหลวงมาง่าย ๆนางกำนัลอาวุโสวางขนมต่อหน้าไทเฮาและพูดด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันได้ยินมาว่าหลายวันมานี้ท่านอ๋องได้ไปวิงวอนขอร้องให้ฝ่าบาททรงปล่อยพระองค์ อีกทั้งทางขุนนางฝั่งตระกูลเสนาบดีเซี่ยได้ร่วมมือกับตระกูลมู่หรงเพื่อกดดันฝ่าบาท หม่อมฉันเชื่อว่าในอีกไม่กี่วัน ฝ่าบาทต้องทรงอยากคืนดีกับพระองค์แน่นอนเพคะ”คำพู
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก ฮ่องเต้เฒ่าและนางสนมคนอื่น ๆ มองไปเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้อ้าปากค้างขณะนี้ไทเฮาทรงสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เรียบร้อย และมีท่าทีที่ไม่สู้ดีนักทันทีที่นางเห็นว่ามีคนอยู่หน้าประตู นางก็รีบถลามาคว้าอาภรณ์ของฮ่องเต้เอาไว้ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงอย่างยิ่ง ทรงต้องการจะดึงตัวไทเฮาออก แต่ก็ไม่เป็นผลแม้เขาจะเป็นฮ่องเต้มาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ทุกคนที่อยู่ด้านหลังไม่ส่งเสียงใด เพียงจ้องมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเงียบงันโชคดีที่ปฏิกิริยาของฮ่องเต้ค่อนข้างรวดเร็ว ทรงทราบดีว่าจะให้ใครเห็นไทเฮาในสภาพเช่นนี้ไม่ได้จึงทรงดันไทเฮาเข้าไปในห้องทันทีเจียวกุ้ยเฟยและซูเฟยต่างมองหน้ากันด้วยความสับสน เพราะพวกนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเวลานี้ฮ่องเต้เฒ่าได้เข้ามาในห้องแล้ว พลางจับพระหัตถ์ของไทเฮาเพื่อป้องกันไม่ให้นางสูญเสียความสงบไปมากกว่านี้ และตรัสด้วยสีหน้าเย็นชา “ไทเฮา!”ไทเฮาที่ทรงได้ยินเสียงก็ตกตะลึง “ร้อนเหลือเกิน…”ทันทีที่ฮ่องเต้เฒ่าเห็นก็รู้ว่าไทเฮาคงถูกวางยาโดยไม่รู้ตัว ทรงมองไปรอบ ๆ มองหาน้ำที่จะสาดใส่พระพักตร์ของไทเฮ
“ฝ่าบาท?”เจียวกุ้ยเฟยถามว่า “ทรงเป็นอะไรไหมเพคะ…”ฮ่องเต้เฒ่าทรงสูดลมหายใจลึก และเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหน้าจนเกินไปจึงทรงพาไทเฮาขึ้นมานอนบนเตียง“ข้าไม่เป็นอะไร”เจียวกุ้ยเฟยพูดเสียงเบา “หม่อมฉันเรียกหมอหลวงมาให้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วทรงผลักประตูออกไปเมื่อเห็นสีพระพักตร์เย็นชาของพระองค์ ทุกคนก็ยิ่งไม่กล้าพูดและเงียบกริบ“ไปตรวจดูอาการให้ไทเฮาหน่อย”หมอหลวงรีบเดินถือกล่องยาเข้าไปทันทีแม้คำพูดของฮ่องเต้เฒ่าจะดูเหมือนยามปกติ แต่ในน้ำเสียงของพระองค์ดูเหมือนทรงกำลังกัดฟันตรัสออกมาเจียวกุ้ยเฟยกังวล “ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นกับไทเฮาหรือเพคะ?”ฮ่องเต้เฒ่าทรงหรี่ตาลง “คนแก่ก็อย่างนี้แหละ สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว”เจียวกุ้ยเฟยรู้สึกประหลาดใจ “ฟังจากอาการดูเหมือนจะเป็นโรคร้ายแรงนะเพคะ…”ฮ่องเต้หรี่ทรงตาลงพลางมองไปรอบ ๆ “เรื่องในคืนนี้ห้ามใครแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด!”บรรดาคนรับใช้คุกเข่าลงทันที “มิกล้าเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ!”ซูเฟยครุ่นคิดเป็นความคิดของซูชิงอู่ที่ให้นางเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้เสด็จมาเข้าเฝ้าไทเฮาในวันนี้แม้นางจะรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นที่ตำหนักของไทเฮ
วันรุ่งขึ้น มีเหตุการณ์สำคัญสองเหตุการณ์เกิดขึ้นในแคว้นหนานเย่เหตุการณ์แรกส่งผลกระทบโดยตรงไปทั่วทั้งแคว้น!ฮ่องเต้ไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทมาหลายปีแล้ว แต่จู่ ๆ ก็มีพระราชโองการประกาศให้โลกได้รับรู้ว่าองค์ชายใหญ่เย่ชิวหมิงผู้ซึ่งได้กอบกู้แคว้นไว้เมื่อไม่นานมานี้ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแล้วทันทีที่พระราชโองการออกมา ทั้งเมืองหลวงก็ตกอยู่ในความโกลาหลเพราะการแต่งตั้งองค์รัชทายาทถือเป็นเรื่องใหญ่เมื่อเขาได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว แน่นอนว่าตำหนักรัชทายาททิศบูรพาก็จะได้มีเจ้าของด้วยเช่นกัน!โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ฮ่องเต้ทรงประชวรหนัก ทำให้ผู้คนเริ่มแสดงเจตจำนงอยากเลือกข้าง แต่อย่างไรก็ตาม องค์ชายใหญ่และองค์ชายสามก็ถือว่ามีอำนาจเท่าเทียมกัน นั่นจึงทำให้หลายคนตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทว่าในตอนนี้กลับมีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทอย่างไม่ทันตั้งตัวเสียอย่างนั้นทั้งตระกูลมู่หรงและตระกูลเสนาบดีเซี่ยต่างตกตะลึงเพราะอีกเหตุการณ์ที่ฮ่องเต้าเฒ่าประกาศนั่นคือไทเฮาทรงวิกลจริตและถูกส่งตัวจากพระราชวังไปกักตัวอยู่ในอารามฮุ่ยชิงที่นั่นคือสำนักชีที่มีชื่อเสียง ซึ่งแตกต่างจา
นางยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ทั้งยังกระชับเสื้อตัวนั้นให้ปกคลุมร่างกายมากขึ้นกว่าเดิม“รับทราบเพคะท่านอ๋อง”รอยยิ้มของนางอบอุ่นราวกับดอกไม้บาน อบอุ่นกว่าสายลมฤดูใบไม้ผลิด้านอกเสียอีกใบหน้างดงามของนางมองไปที่เย่เสวียนถิงด้วยความอ่อนโยนทำเอาฉีเทียนหยวนตกตะลึงแม้เขาจะได้ยินมานานแล้วว่าอ๋องเสวียนกับพระชายารักใคร่ต่อกัน แต่เมื่อได้มาเห็นพวกเขาต่อหน้า เขาก็รู้สึกว่าเรื่องราวที่ได้ยินมานั้นไม่จริงเลยพวกเขาเหมือนกับคู่รักที่ตัวติดกันเป็นตังเม และรักกันหวานซึ้งปานจะกลืนกินต่างหาก!หลังจากที่ซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงคุยกันจบ พวกเขาก็หันความสนใจไปที่กลุ่มของฉีเทียนหยวนนางเลิกคิ้วแล้วถามว่า “วันนี้องค์ชายสามเสด็จมาที่บ้านของหม่อมฉันด้วยธุระอะไรหรือเพคะ?”ฉีเทียนหยวนตอบด้วยความตื่นตระหนกในทันที “คือว่า ข้ามาที่นี่เพื่อ...เพื่อมอบของขวัญให้ท่านอ๋องกับพระชายาน่ะ”ซูชิงอู่สะดุ้ง “ของขวัญ? ไม่มีของขวัญใดที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เหตุใดจู่ ๆ องค์ชายสามถึงทรงมอบของขวัญให้กับหม่อมฉันล่ะเพคะ?”“พระชายาโปรดอย่าเข้าใจข้าผิด ของขวัญชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ข้ามอบให้ด้วยใจ แม้จะไม่ใช่
ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็เริ่มสนใจมากขึ้นเป็นที่รู้กันว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นสมบัติที่หายากในโลกแม้แต่นางก็ยังหวั่นไหวอยู่บ้างโดยเฉพาะผ้าไหมจั๊กจั่นน้ำแข็งซึ่งเป็นเครื่องบรรณาการที่สำคัญและไม่สามารถหาซื้อได้แม้จะมีเงินมากเพียงใดก็ตามมีเพียงผู้มีอำนาจเท่านั้นที่สามารถสวมใส่ได้ฉีเทียนหยวนแนะนำสิ่งของอีกสองสามกล่องด้วยความประจบประแจง “พระชายาคิดว่าของขวัญเหล่านี้คือสิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่?”ซูชิงอู่พยักหน้า “ไม่เลวเลยเพคะ”ฉีเทียนหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหัวเราะ “เช่นนั้นการอภิเษกระหว่างหว่านเอ๋อร์กับองค์ชายใหญ่…”แก้มของฉีหว่านเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเมื่อนางได้ยินเสด็จพี่ของตนพูดถึงเรื่องนี้แม้พวกเขาจะไม่ได้พบหน้ากันบ่อยนัก แต่ฉีหว่านเอ๋อร์ก็พอใจในตัวเย่ชิวหมิงมาก ทุกครั้งที่พวกเขาพบกัน พวกเขาจะหน้าแดงและพูดไม่ออก“เสด็จพี่...”ฉีเทียนหยวนมองนางด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน “อย่างไรเล่า หว่านเอ๋อร์ไม่ต้องการรึ?”ฉีหว่านเอ๋อร์ก้มหน้าไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆฉีเทียนหยวนถือโอกาสพูด “ไม่ทราบว่าข้าขอพาหว่านเอ๋อร์กลับไปได้หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ต
ขอแค่เขารู้สึกสบายใจก็พอตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงคลอดบุตรก็ใช้เวลาสิบเดือน ตอนนี้ทารกในท้องของนางอายุครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว และนางไม่สามารถซ่อนหน้าท้องที่ป่องออกมาได้อีกต่อไปท้องของนางก็ดูผิดปกติเล็กน้อย ด้วยเพราะมีขนาดใหญ่กว่าท้องของสตรีมีครรภ์ทั่วไปมากเย่เสวียนถิงได้เชิญหมอหลวงมาตรวจร่างกายของนางซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จนเจ้าตัวรู้สึกโล่งใจ พลางคิดว่าลูกของเขาคงแค่เกิดมาตัวใหญ่กว่าคนอื่น...เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะออกไป ฉีเทียนหยวนก็ไม่กล้ารบกวนพวกเขาอีก เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของแคว้นอื่นและเขาไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงจนเกินขอบเขตได้“เช่นนั้นข้าขอพาน้องสาวกลับก่อน!”ซูชิงอู่พยักหน้าแล้วมองเขาอย่างมีเลศนัย “หม่อมฉันหวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันอย่างมีความสุขนะเพคะ”ฉีเทียนหยวนพยักหน้าซ้ำ ๆ ทั้งยังมีเหงื่อบาง ๆ ผุดบนหน้าผากของเขาด้วยเขารีบออกจากจวนพร้อมกับผู้ติดตามพร้อมพาฉีหว่านเอ๋อร์กลับไปยังที่พำนักของตนฉีหว่านเอ๋อร์ลงจากรถม้าและได้ยินพี่ชายของนางถามว่า “หว่านเอ๋อร์ หลายวันนี้ที่เจ้าอยู่ที่จวนอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?”“ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่เป็นห่วงเพคะ”
ท่าทางของซูชิงอู่ทำให้คนรับใช้รอบ ๆ ตัวนางตะลึงจึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไปท่าทีของเจียวกุ้ยเฟยรอยยิ้มบนใบหน้าของเจียวกุ้ยเฟยแข็งทื่อ แต่นางไม่ได้พูดอะไร พลางโบกมือแล้วพูดว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”“เพคะ”หลังจากที่เหล่านางกำนัลออกไปแล้ว เจียวกุ้ยเฟยก็นั่งตรงข้ามกับพวกเขา พลางมองไปที่ซูชิงอู่ และท้องป่องของนาง อดไม่ได้ที่จะถามว่า “พูดมาสิ พระชายามีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าหรือ?”ซูชิงอู่ไม่ได้เล่าออกมาทั้งหมด “หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อถามท่านว่า องค์ชายใหญ่ทรงเป็นโอรสของฝ่าบาทหรือไม่เพคะ?”คำถามที่โพล่งออกอย่างฉับพลันนี้ทำให้เจียวกุ้ยเฟยตกตะลึง “เมื่อครู่พระชายาถามว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ค่อยชัด…”ซูชิงอู่พูดซ้ำอีกครั้ง “องค์ชายใหญ่ใช่โอรสของฝ่าบาทไหมเพคะ?”เจียวกุ้ยเฟยตกตะลึง “แน่นอนสิ!”รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหายไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งในดวงตาของนางยังเจือไปด้วยความโกรธเคือง“พระชายายเสวียน เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดจู่ ๆ ถึงถามข้าเช่นนี้!”ซูชิงอู่เงยหน้ามองและเพิกเฉยต่อความโกรธเกรี้ยวของเจียวกุ้ยเฟย นางพูดอย่างสงบ “เป็นเพราะไทเฮาตรัสว่าพระนางมีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าองค์ชายใหญ่ไม่ใช