ต้องแสดงความจริงใจของตัวเองออกมา ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ทำก่อนหน้านี้อาจไร้ประโยชน์เพียงแต่ไทเฮาทรงเชื่อไปแล้วอย่างไม่กังขาเลยว่าซูเฟยรู้คาถามนตรา นางจึงไม่สามารถขัดต่อพระประสงค์ของไทเฮาได้เจียวกุ้ยเฟยกลอกตาไปมาแล้วกระซิบกับไทเฮา “ไทเฮาเพคะ แม้คนในวัดเหลียงซานทั้งหมดจะเป็นพระสงฆ์ แต่ซูเฟยก็เป็นหนึ่งในสนมของฝ่าบาท คงไม่ดีที่จะขังนางไว้ตามลำพัง ให้หม่อมฉันส่งคนของหม่อมฉันไปเฝ้าจะดีกว่า พระองค์ทรงคิดว่าอย่างไรเพคะ?”ไทเฮาทรงขมวดคิ้ว “เช่นนั้นฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน”เจียวกุ้ยเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอกและสั่งให้คนของนางรีบไปทันทีนางสั่งเสียงเบา “อย่าปล่อยให้คนอื่นเข้าใกล้ซูเฟยตามอำเภอใจ"“เพคะกุ้ยเฟย”การทำเช่นนี้ทำให้นางสามารถปกป้องความปลอดภัยของซูเฟยทางอ้อมได้ หวังว่าหากซูชิงอู่รู้เรื่องนี้ นางคงไม่เข้าใจผิดว่าตนไม่ได้ออกแรงช่วยคราวนี้เจียวกุ้ยเฟยรู้สึกสบายใจแล้วจึงรับประทานอาหารร่วมกับทุกคนแต่ทันทีที่หยิบตะเกียบขึ้นมา ก็มีพระหนุ่มจากข้างนอกวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนกเจ้าอาวาสเฒ่าและราชครูที่เพิ่งหยิบชามข้าวก็เห็นพระหนุ่มเข้ามารายงานเสียงดังว่า “ท่านเจ้าอาวาส ในอาหารมีพิษขอรับ!
เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ทำได้อีกแล้วผู้คนที่วัดเหลียงซานระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และกระบวนการทดสอบพิษก่อนรับประทานอาหารถือเป็นสิ่งสำคัญกล่าวคือความเร็วในการออกฤทธิ์ของยาที่ซูชิงอู่จ่ายให้ในครั้งนี้นับว่าช้ามาก เพื่อที่นางจะได้ประสบความสำเร็จแต่ถึงกระนั้นก็มีภิกษุในวัดเพียงสองสามร้อยรูปเท่านั้นที่ได้รับการคัดเลือก ผู้ที่รับประทานอาหารช้าจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบทันทีเมื่อเห็นผู้คนมีอาการโชคดีที่ซูชิงอู่ตอบสนองอย่างรวดเร็วและดำเนินการเพื่อทำให้คนเหล่านั้นหมดสติทันทีที่พวกเขารู้ตัวขณะนี้ผู้คนมากกว่าเจ็ดในสิบส่วนในวัดเหลียงซานล้วนหมดสติไป และเหลือพระสงฆ์เพียงประมาณสามร้อยรูปเท่านั้นที่ต้องคอยดูแลสถานที่ทำให้ยังไม่รับประทานอาหารนางวางแผนที่จะหาวิธีจัดการกับคนกลุ่มนี้ก่อน จากนั้นจึงสังหารคนสองคนที่อยู่ตรงหน้านาง!หลังจากได้ยินรายงานของซูชิงอู่ เจ้าอาวาสเฒ่าก็เอ่ยปากทันที "ไร้สาระ ไปพาคนที่เหลือมาที่นี่ ฆาตกรจะต้องอยู่ในบรรดาคนกลุ่มนี้แน่!""ขอรับ!"ซูชิงอู่ไปทำตามคำสั่งทันทีนางได้บอกแก่ภิกษุรูปอื่น ๆ ที่ยังมีสติและไม่ได้กินดื่มอะไรมารวมตัวกันนอกจากพระนักรบเหล่านั้นแล้ว ภิกษุมากกว่าห
ชายคนนั้นมีรูปร่างผอมเพรียว สวมเสื้อคลุมสีดำสนิท และมีหน้ากากผีบิดบังใบหน้าซึ่งทำให้แม้เห็นเพียงแวบเดียว ก็ทำให้ผู้คนตัวสั่นได้ชายสวมหน้ากากผีนั้นดุร้ายและน่าสะพรึงกลัว ดูราวกับผีร้ายที่ผุดขึ้นจากนรก หยดเลือดยังคงหลั่งรินลงมาจากหน้ากาก ราวกับผีร้ายที่กัดกินมนุษย์ทันทีที่เห็นหน้ากากอย่างชัดเจน ดวงตาของราชครูเฒ่าก็เบิกกว้างขึ้น และเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปสองสามก้าว“โหลวชา!”เมื่อเอ่ยถึงโหลวชาความรู้สึกแรกของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ย่อมคิดถึงความชั่วร้ายและน่าสะพรึงกลัวปฏิกิริยาที่สองคือ ความรู้สึกกลัวจนขนหัวลุก!แม้แต่เจ้าอาวาสเฒ่าก็ยังมีความกลัวปรากฏในดวงตาอันสุกใสของเขาทันใดเขาเงยหน้าขึ้นและมองไปยังฝั่งตรงข้าม "อมิตาพุทธ นี่คือวัดพุทธ จะก่อบาปหนักอย่างการฆ่าคนต่อหน้าพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เมื่อถึงคราวตายเขาจะถูกโยนลงนรกขุมที่สิบแปดแน่!” โชคดีที่อีกฝ่ายมีเพียงคนเดียวทุกคนในวัดมองไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างจริงจัง พวกเขาพากันกลืนน้ำลายอย่างประหม่าพระนักรบในตอนนี้ยังมาไม่ถึง เดาว่าคงกำลังต่อกรกับกลุ่มโหลวชาอยู่ และไม่นานเหล่าพระนักรบจะต้องพ่ายแพ้การที่คนผุ้นี้สามารถฝ่าวงล้อมข
ซูชิงอู่ก้มศีรษะลงและก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวเจ้าอาวาสเฒ่าก็เป็นพระนักรบมาก่อนเช่นกันและเขาก็เป็นปรมาจารย์ที่มีฝีมือสูงมากอีกด้วย ในขณะนี้ เขากำลังต่อสู้กับชายสวมหน้ากากผีอยู่แต่ปรากฏชัดว่าเจ้าอาวาสเฒ่าเป็นฝ่ายถูกชายสวมหน้ากากผีเล่นงานเสียอย่างนั้นเกรงว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เจ้าอาวาสเฒ่าคงทนไม่ไหวแล้วถอยกลับไปตอนนี้เจ้าอาวาสเฒ่ากำลังถ่วงเวลาอยู่ แม้ว่ากลุ่มคนของเขาจะไม่มาช่วยเหลือแต่ราชครูเฒ่าก็ไม่ตื่นตระหนกนัก เขาหยิบขวดออกมาจากอ้อมแขนของตนแล้วยื่นให้ซูชิงอู่ "โยนสิ่งนี้ใส่ชายสวมหน้ากากผีเสีย"ซูชิงอู่หยิบขวดดังกล่าวมาไว้ในมือมีสีหน้ากังวลและหวาดกลัวบนใบหน้าของนาง“อาตมาทำไม่ได้ เกิดขว้างไม่ดีขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?”เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่ดูขลาดเขลาของนาง ใบหน้าของราชครูเฒ่าก็มืดลงทันที "ไปเถอะ บอกให้เจ้าไปก็ไปเสีย ไม่เช่นนั้นทั้งเจ้าและข้าจะต้องตายอยู่ที่นี่ทั้งคู่!"นอกจากนี้เขายังหยิบกริชออกมาจากแขนเสื้อของตนอีกด้วย สันคมของกริชเรืองแสงสีฟ้าจาง ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยพิษ“หากขวดยาไม่ได้ผลก็หาโอกาสใช้กริชนี้ทำร้ายชายสวมหน้ากากผีก็ได้ เจ้าอาวาสเฒ่าคอยยับยั้ง
ศีรษะเหล็กของเจ้าอาวาสเฒ่าค่อนข้างแข็งแกร่ง แม้ว่าจะถูกซูชิงอู่โจมตีอย่างแรง แต่มันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเจ้าอาวาสเฒ่าตกตะลึงและรู้สึกปวดศีรษะ และครู่ต่อมา ความเจ็บปวดสาหัสก็ถาโถมเข้าใส่เขา"อ๊า!"ของเหลวในขวดหกใส่ศีรษะของเขาและกัดกร่อนหนังศีรษะในทันที ของเหลวมีคุณสมบัติกัดกร่อนที่รุนแรง และเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ผิวหนังและเนื้อเน่าเปื่อยได้"เจ้า……"เจ้าอาวาสเฒ่าจ้องมองมาด้วยความโกรธ ดวงตาปูดโปน!ซูชิงอู่แสดงสีหน้าประหลาดใจ "โอ้ พลาดแล้ว!"‘ภิกษุหนุ่มรูปนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อช่วย แต่มาเพื่อสร้างปัญหา!’เจ้าอาวาสเฒ่าโกรธมาก ใบหน้าแดงก่ำและลำคอหดเกร็งเมื่อชายสวมหน้ากากผีเห็นฉากนี้ เขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หรี่ตาลงโดยไม่ตั้งใจเย่เสวียนถิงที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หน้ากากจะปล่อยโอกาสดี ๆ เช่นนี้ไปได้อย่างไร เขาชูดาบยาวท่ามกลางแสงจันทร์ และมุ่งหน้าเข้าหาเจ้าอาวาสเฒ่าราวกับมังกรว่ายน้ำศีรษะของเจ้าอาวาสเฒ่าเจ็บปวดอย่างรุนแรง และทักษะของเขาซึ่งด้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่แล้วนั้นยังช้ากว่าด้วย เขายกมือกุมศีรษะขณะถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่ไหล่ของเขาก็ยังถูกแทงด้วยดาบของคู่ต่อสู้อย่างหล
เจ้าอาวาสเฒ่ามีสีหน้าดุร้าย และด้วยศีรษะที่เต็มไปด้วยยาพิษ เขาคว้าข้อมือของซูชิงอู่ด้วยทันที“บัดซบ กล้าดียังไงมาลอบทำร้ายข้า?!”ซูชิงอู่ระงับรอยยิ้มของนางและถอยออกไปเกือบจะทันทีที่เจ้าอาวาสเฒ่าลงมือแต่ความเร็วของนางยังช้าเกินไปเมื่อเทียบกับเจ้าอาวาสเฒ่า!ซูชิงอู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาของเจ้าอาวาสเฒ่าเป็นสีแดงราวกับเลือด เขาหมายจะระบายความโกรธทั้งหมดในใจใส่นางทันทีที่เขาตระหนักว่าตนหมดทางรอด สิ่งที่เขาคิดไม่ใช่วิธีล้างพิษ แต่เป็นวิธีลากภิกษุน้อยที่กล้าทำร้ายเขาให้ตายไปพร้อมกัน!ซูชิงอู่กัดริมฝีปากและเริ่มหลบอย่างสิ้นหวัง ตั้งใจที่จะถ่วงเวลาอีกฝ่ายตราบใดที่นางรอจนเจ้าอาวาสเฒ่าถูกพิษเล่นงานได้ นางก็จะรอดอย่างไรก็ตาม นางประเมินพลังชีวิตและความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดของเจ้าอาวาสเฒ่าต่ำไปหลังจากที่นางหลบไปสองสามครั้ง จู่ ๆ ก็มีคนคว้าแขนนางไว้!นางไม่สามารถแยกตัวออกไปได้ ดังนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นและมองเจ้าอาวาสเฒ่านั้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว‘แย่แล้ว!’ซูชิงอู่ไม่เคยคิดจะรอให้คนอื่นมาช่วยนางขณะตกอยู่ในอันตราย ในขณะนี้วิธีแก้ปัญหามากมายวิ่งเข้ามาในใจของนางอย่างรวดเร็
ชายสวมหน้ากากผีมีสีหน้าเย็นชาและน่าสะพรึงกลัว ใบหน้าภายใต้หน้ากากไร้ร่องรอยของอารมณ์เย่เสวียนถิงไม่รู้ว่าทำไม แต่เขากลับลังเลเมื่อมองดูภิกษุน้อยผู้นี้หากเป็นยามปกติ เขาจะฆ่าลูกน้องของศัตรูโดยไม่ลังเลเลยอารมณ์อันไม่อาจอธิบายได้ที่ปะทุขึ้นในใจทำให้ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย และดวงตาที่เย็นชาเหล่านั้นก็มองที่ซูชิงอู่ผ่านหน้ากากซูชิงอู่รู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารอันรุนแรงที่เล็ดลอดออกมาจากอีกฝ่าย นางเลิกคิ้วและเอ่ยอย่างรวดเร็ว"ท่านจอมยุทธ์ ท่านปรมาจารย์ อย่าฆ่าข้าเลย ข้ารู้ว่าราชครูเฒ่าอยู่ที่ใดและสามารถช่วยนำทางให้ท่านได้!"นางไม่กล้าถอดหน้ากากออกง่าย ๆ ถึงยังไงอีกฝ่ายก็มีชื่อเสียงน่าสะพรึงกลัว และคงจะไม่ดีถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาชั่วร้ายหลังจากรู้ตัวตนของนางแล้วเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด เย่เสวียนถิงก็ค่อย ๆ เก็บดาบของเขาเข้าฝักเสียงแหบแห้งและทุ้มต่ำซึ่งจงใจปลอมตัวเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงทุ้มดั้งเดิมดังมาจากลำคอของเขา"นำทางไป"ซูชิงอู่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว นางหันหลังกลับและเดินไปข้างหน้าด้วยทักษะศิลปะการต่อสู้ของอีกฝ่าย เขาสามารถฆ่านางได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดจะตลบหลังเขา
ทางเดินยาวลึกเข้าไปในความมืดปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง มีโถงหินที่ถูกขุดเข้าไปทั้งสองด้าน มีเตียงหินจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในห้องหินเหล่านั้นบนเตียงหินเหล่านั้น มีคนถูกมัดอยู่และจับจ้องมา พวกเขาล้วนเป็นชายหนุ่มและหญิงสาวอายุระหว่างสิบถึงยี่สิบปีคนเหล่านั้นสวมอาภรณ์ขาดวิ่น และผิวหนังที่ถูกเปิดเผยล้วนเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นต่าง ๆ บนร่างกายแทบไม่มีบริเวณเว้นว่างเลยเปลือกตาของซูชิงอู่กระตุกอย่างรวดเร็วเมื่อนางเห็นฉากที่คุ้นเคยนี้ร่างกายของนางสั่นเล็กน้อย ความรู้สึกคลื่นไส้เกิดขึ้นเองอย่างห้ามไม่ได้ ทำให้นางต้องปิดปากและตัวสั่นเทิ้มเย่เสวียนถิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อเห็นฉากนี้ ใครจะคิดว่ามีเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่ในวัดพุทธอันเป็นที่พึ่งพิงของแคว้นทันใดนั้นเขาก็ขยับก้าวไปข้างหน้า และใช้ดาบยาวที่คมราวกับเหล็กกล้า ตัดเชือกและโซ่ของทุกคนที่ถูกผูกไว้กับเตียงหินออกอย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นยังคงนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น หากหน้าอกของพวกเขาไม่สั่นไหว พวกเขาก็ดูไม่ต่างไปไปจากซากศพจุดประสงค์เดิมของเย่เสวียนถิงคือการฆ่าราชครูเฒ่าเท่านั้น แต่เมื่อเห็นฉากนี้ เขาไม่คิดจะให้ภิกษุหนุ่มนำทางอี