“ได้สิถ้าเจ้าต้องการ ว่าแต่เราสองคนกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ อากาศก็กำลังดี อาการเมามายก็กำลังพอดี เราควรมาทำอะไรที่คนสองคนอยู่ด้วยกันเพียงลำพังเขาทำกันดีไหม”
“ฝ่าบาทนี่เป็นหนทางเดียวที่ข้าจะกลับบ้านได้”
“เจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่กับข้าหรือไร”
น้ำเสียงเศร้าสร้อย พริมมี่หลับตาลงช้าๆ จะบอกอย่างไรว่าอีกไม่ถึงสามปี เจี้ยนเหวินจะต้องตายด้วยวัย24ปี หรือหากไม่ตายเขาก็หายไป นั่นยิ่งเศร้ากว่านี้ เจี้ยนเหวินจะทำอย่างไรหากรู้เรื่องนี้ หรือว่าบางทีสวรรค์ให้พริมมี่มาเพื่อแก้ไขทุกอย่าง แก้ไขสิ่งที่เลวร้ายให้ดีขึ้น ไม่สินาฬิกาเรือนนั้นถูกฝังไว้ที่ต้นไป่กว๋อ และจะต้องเป็นพริมมี่ที่พบมันหรืออาจเป็นใครก็ได้ที่ตีความอักษรได้แล้วกดนาฬิกาพร้อมกันเพื่อย้อนเวลามาที่นี่ ไม่สิต้องเป็นพริมมี่ที่มีนาฬิกาอีกเรือนเท่านั้น นาฬิกาพกที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดแม่อรของพริมมี่บอกว่า หลังจากที่คลอดพริมมี่และให้นมพริมมี่จะหลับไปทั้งแม่ทั้งลูกตื่นมาอีกทีก็พบนาฬิกาพกเรือนนี้ ข้างเบาะเด็กอ่อนของพริมมี่ในโรงพยาบาล จึงให้โรงพยาบาลประกาศตามหาเจ้าของแต่ไม่พบ แม่อรจึงเก็บนาฬิกาเรือนนั้นไว้ข้างกายพริมมี่เสมอมา อยู่ๆน้ำตาก็ไหลมันเศร้าๆจริงหรือว่าพริมมี่เมากันนะ พริมมี่จะต้องจากไปจริงๆ มาได้ก็ต้องกลับได้สินะแล้วจะกลับมาที่นี่ได้อีกไหม แล้วเจี้ยนเหวินจะยังจำพริมมี่ได้ไหม แล้วจะยังรักกันเหมือนเดิมไหม แล้ว แล้วจะมีวันนี้ไหม
“เจ้าร้องไห้ทำไมกัน”
เจี้ยนเหวินจูบซับน้ำตาให้
“ไป๋กว่อ เหลืองอร่ามแต่เจ้ากลับงดงามท่ามกลางคืนมืดมิด
พรุ่งนี้หากตื่นลืมตาไม่พบข้า จึงไม่มีเจ้า
ของกำนัลมากมาย เพื่อเจ้ายามพานพบ
แค่เพียง หล่อหลอมรวมกัน ใต้แสงจันทร์ข้าก็พร้อมมอบของกำนัลให้เจ้า
ซุนเยี่ยเต๋อคุณปู่ซุนจะต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อให้พริมมี่ได้มาพบนาฬิกา
“ฝ่าบาท พริมมี่ชอบยามที่ใบไป๋กว๋อเหลืองอร่ามทั้งต้นหากข้าจากไปหวังเพียงว่า จะพบกันอีกครั้งที่ต้นไป่กว๋อ”
พริมมี่นิ่งงันต้นไป่กว๋อต้นนั้น ที่ตำหนักชมดาว
“ข้าไม่ให้เจ้าไป ได้ยินไหม ข้ารักเจ้าข้ารักเจ้าไปแล้วข้าไม่ให้เจ้าไปได้ยินไหม” น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอ
พริมมี่สะบัดมือ ลุกขึ้นไปยืนที่หน้าต่าง ชูนาฬิกาทั้งสองเรือนอาบแสงจันทร์
เจี้ยนเหวินไปยืนตรงหน้าอุ้มร่างบางให้ขึ้นไปนั่งบนโต๊ะเครื่องแป้ง พริมมี่หดตัวหนีเสียเมื่อถูกจ้องตากลมที่มีท่าทีเขินอายซ่อนในนั้น ริมฝีปากบางจุมพิตอ่อนหวานคราวนี้ล้วงลึกซอกซอนหวานจนแทบจะกลืนกิน พริมมี่หลับตาลงปล่อยน้ำตาไหลริน จะได้พบกันอีกครั้งไหม หากไม่ได้พบกันอีกครั้งเล่า
“อย่าร้องไห้ คนดีของข้าข้าจะปลอบขวัญเจ้าเอง”
ซ้อนร่างบางพาเดินไปที่แท่นนอนวางร่างเล็กลงบนแท่นนอน สายตาคมที่ทำเอาใจสั่นทั้งๆ ที่มองเจี้ยนเหวินว่าหล่อเหลาแต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างดึงดูดเหลือเกิน อาจเป็นสายตาโลมเลียนั้นของเจี้ยนเหวินที่ส่งมา
เจี้ยนเหวินโน้มร่างบางลงบนแท่นนอนจุมพิตหวานฉ่ำ พริมมี่ที่ไม่มีท่าทีขัดขืนมือเล็กคล้องรอบลำคอ เสียงหายใจสั่นกระเส่า ร่างใหญ่บัดนี้กลับรู้สึกว่าเแข็งแรงยิ่งกว่าที่เห็น บางอย่างบอกพริมมี่ว่าคาดการณ์ผิดไป เจี้ยนเหวินที่มองเหมือนไม่สันทัดเรื่องรักใคร่แต่กลับมีพลังมหาศาลในตอนนี้ สายตาคมตรึงพริมมี่ไว้เสียแล้ว มืออุ่นลูบไล้ไปทั่วผิวเนียน แม้จะปัดป้องแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ถูกรุกล้ำทั้งล่างบน กลิ่นสุราจากริมฝีปากอุ่นนุ่มยิ่งพาให้ใจสั่นไหว พริมมี่เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองเปลือยเปล่าหนาวสะท้านอาบแสงจันทร์นวลใย ควานหาร่างใหญ่กอดรัดคลายความหนาว ร่างใหญ่เปลือยเปล่าเช่นกันอบอุ่นยิ่งนักยามที่ทาบทับลงมาแต่ละครั้งเอวแกร่งกดบดเบียดลงเบาๆ มาราวกับกลัวว่าพริมมี่จะเผลอร้องคราง ทั้งๆที่ริมฝีปากถูกปิดไว้ไม่ให้ส่งเสียง กลิ่นสุราหอมละมุน หยาดน้ำตาด้วยความเจ็บปวดและปีติไหลรินพร้อมกับหัวใจที่สุขสม จะต้องจากไป ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกครั้งไหม ขอทำตามหัวใจ สักครั้งแม้ตายก็ไม่เสียดาย เจี้ยนเหวินยกมือขึ้นประคองใบหน้างามจุมพิตเร่าร้อนก่อนจะเร่งจังหวะขยับกาย ความรู้สึกประหลาดทั้งอบอุ่นนุ่มละมุน และเจ็บปวด บางครั้งเหมือนฝนสาดซัดแต่ทว่าเป็นน้ำอุ่น เจ็บปวดแต่อยากลิ้มลอง สุขสมจนไม่อาจหนีหายหรือขัดขืน กอดรัดร่างใหญ่ไว้แน่น จุมพิตที่หน้าผากซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับความละมุนละไมที่เขามอบให้ผ่านเอวแกร่ง
“ข้ารักเจ้าพริมมี่”
“หรานหราน กองทัพปืนไฟที่เจ้าต้องการบัดนี้ ข้าจัดการให้เจ้าเรียบร้อยแล้วให้พวกเขาจะคอยอารักขาวังหลวงอย่างแข็งขันตามที่วางแผนไว้”“ท่านพ่อลูกอยากจะได้ปืนไฟมาไว้ในครอบครอง”“ปืนไฟอันตรายยิ่งหากคนที่ไม่เชี่ยวชาญ”“แต่ลูกเป็นถึงฮ่องเฮาควรมีปืนไฟไว้ป้องกันตัวเอง”ใต้เท้าถังถอนใจ“สำหรับป้องกันตัวเอง เท่านั้นหรานหรานจำไว้”หรานหรานรยิ้มเย็นตำหนักเหมยฮวา“เจ้าจะอยู่ที่นี่ อย่างปลอดภัยข้าสัญญา พริมมี่ อย่าเพิ่งไปไหนข้าขอร้อง อย่าเพิ่งไปจนกว่า จนกว่า…ข้าจะได้ทำเพื่อเจ้าบ้าง”“ฝ่าบาท ไม่จำเป็นไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อพริมมี่ ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แล้ว”เจี้ยนเหวินรวบร่างบางไว้แนบอก“ข้ารักเจ้า พริมมี่บุรุษเช่นข้าขลาดเขลาแม้แต่ตำแหน่งฮองเฮายังมอบให้เจ้าไม่ได้”“พริมมี่ไม่ได้ต้องการตำแหน่งฮองเฮาแค่เพียงได้ลืมตาตื่นในทุกเช้าพร้อมกันกับฝ่าบาทก็พอ แต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสนั้นไหม555เราจะได้นอนตื่นในตอนเช้าพร้อมกันไหม”“ข้าสัญญา จะทำทุกวิถีทางให้เราตื่นมาทุกเช้าพร้อมกัน”พริมมี่กอดตอบเจี้ยนเหวินเหมือนจะจดจำรอยกอดนั่นไว้ท้องพระโรง“ฝ่าบาทองค์ชายรองฟ่านลู่บัดนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่คุกหลวงรับสารภาพตามที่ ฝ่าบ
“ท่านพี่ท่านจะทำเรื่องใดกัน”“พระราชวังหลังคาเหลือง เจ้าว่าเราควรจะเข้าไปที่นั่นไหม”ไป๋อิงหน้าถอดสีปี1942 เอี้ยนอ๋องจูตี้ยกทัพลงใต้ ไปยังหนานจิงอ้างว่าเพื่อปราบขุนนางสอพลอข้างกายเจี้ยนเหวินหลานชายวังหลวงหนานจิงเจี้ยนเหวินลืมตาตื่นมาในเช้าวันหนึ่ง พร้อมกับร่างเกือบเปลือยของหรานหรานที่อิงแอบแนบกาย“หรานหราน”“ฝ่าบาท ฝ่าบาท เมื่อคืนฝ่าบาทเมามาย แล้วเราสองคน”เจี้ยนเหวินทบทวนความจำนานแค่ไหนแล้วที่เขากับหรานหรานแต่งงานกับนาง ในตำแหน่งฮองเฮาแต่เขาไม่เคยจะร่วมแท่นนอน เฝ้าวนเวียนเร้นกายตำหนักเหมยฮวา กับพริมมี่ที่เริ่มพูดน้อยลงใช้ความคิดมากขึ้น เมื่อคืนเขาเพิ่งนำนาฬิกาพกให้ช่างสลักอักษรตามที่พริมมี่บอกไว้แต่เช้านี้ทำไมเขากลับมานอนร่วมแท่นนอนกับหรานหราน“ฝ่าบาทอย่าทำเฉยชาเช่นนี้เราเป็นสามีภรรยากัน หรานหรานรู้ดีว่าฝ่าบาทแวะเวียนที่ตำหนักเหมยฮวา แต่ตลอดมาที่ไม่พูดเพราะ เพราะหรานหรานคิดว่าฝ่าบาทจะดีกับหรานหราน”“ข้าเข้าใจแล้วหรานหรานต่อไปข้าจะดีกับเจ้า แต่ขอเพียงเจ้าอย่าได้ระรานคนที่ข้ารักก็พอ”หรานหราน หลับตาไล่ความขมขื่นในใจคนที่รักไม่ใช่หรานหราน แต่เป็นนางกำนัลมีมี่คนนั้น หรานหราน รู้ดีว่าเจ
พริมมี่ขยับตัวด้วยความตื่นเต้น“ข้าจะได้กลับบ้านแล้วอย่างนั้นหรือ”น้ำตาปริ่มขอบตา“ข้าไม่เข้าใจว่ามันจะพาเจ้ากลับไปที่บ้านของเจ้าได้อย่างไร”“ฝ่าบาทขอมันให้ ให้กับพริมมี่เถิด”เจี้ยนเหวินดึงร่างบางมากอดไว้“เจ้า ตั้งใจจะจากข้าไปจริงๆหรือไร เหตุใดเจ้าไม่รอว่าข้าจะพบกับความสำเร็จและ ยกย่องเจ้าในฐานะภรรยาของข้าคอยเคียงข้างข้ารอข้าได้ไหม ข้าผัดผ่อนเรื่องนาฬิกาพกนี่มาตลอด เพื่อ..เพื่อว่า เจ้าจะได้อยู่กับข้า”พริมมี่รู้ดีทำไมจะไม่รู้แค่สลักอักษรลงไปเจี้ยนเหวินอ้างมาตลอดเวลาสามปีว่ายังไม่สำเร็จจนกระทั่งวันนี้“สามปีแล้วฝ่าบาท นี่สามปีแล้วถึงเวลาที่ข้าต้องไป”“แล้วเจ้าไม่กลัวว่าจะต้องพรากจากข้าไปหรือไร พริมมี่รอก่อนได้ไหมข้าขอร้อง”“ไม่มีประโยชน์ในเมื่อที่ผ่านมาฝ่าบาทก็หาได้ทำเพื่อพริมมี่ ที่ผ่านมาหากฝ่าบาทเข้มแข็งสักนิด …. (น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอ พร้อมกับหยาดน้ำตา) แต่ก็นั่นแหละพริมมี่โทษว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้วโดยสวรรค์หรือว่าจะใครก็ช่าง”เจี้ยนเหวินกอดพริมมี่ไว้แน่น“เจ้าจะไม่ยอมให้โอกาสข้าแล้วใช่ไหม เจ้าจะไม่ยอมเชื่อข้าแล้วใช่ไหม”พริมมี่ส่ายหน้าไปมา เจี้ยนเหวินจูบเว้าวอนอ่อนหวาน“ขอนาฬ
2024ซุนจูกำนาฬิกาพกสองเรือนไว้ในมือ สสารชนิดเดียวกันอยู่ในทีเดียวกันได้อย่างไร มีหลายอย่างที่ยังเป็นปริศนาเช่นดียวกับเขาที่เขาจำได้แม่นยำคืนหอมหวานก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงเขากอดประคองร่างบางของพริมมี่ข้างกายเขายังอยู่ที่นี่และเขาก็ยังอยู่ที่นี่รอคอยการกลับมาของพริมมี่พรุ่งนี้แล้วสินะพริมมี่จะกลับมาสู่อ้อมแขนเขาอีกครั้งเวลาเดียวกันนี้พริมมี่นั่งมองนาฬิกาพกไว้ในมือราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนหากลองกดมันจะพาพริมมี่ ข้ามผ่านกาลเวลากลับไปยังปี2024ไดไหมตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอจนกว่า จนกว่าจะช่วยหรานหรานสำเร็จ รอจนกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็พร้อมจะจากไปแขวนนาฬิกาหนึ่งเรือนที่ลำคอ อีกเรือนกำไว้ในมือพรุ่งนี้แล้วสินะพรุ่งนี้แล้ว ทุกอย่างกำลังจะมาถึงทุกอย่างใกล้เข้ามาแล้ว เจี้ยนเหวินไม่เคยแวะมาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น พริมมี่ได้แต่เหม่อมองออกไปที่วังหลวงกว้างใหญ่ ต่อไปวังหลวงที่ยิ่งใหญ่จะถูกสร้างขึ้นที่เป่ยจิงหรือปักกิ่งโดยเอี้ยนอ๋องคำสัญญาที่ว่าจะไม่สังหารเจี้ยนเหวิน พริมมี่หวังว่าเอี้ยนอ๋องจะไม่ลืมมัน แต่นั่นก็ต้องเป็นพริมมี่ที่อยู่ตรงนั้นคอยดูว่า เอี้ยนอ๋องจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพริมมี่แสงจันทร์อำไพลอ
“ปัง ปัง ปัง”เสียงองครักษ์ปืนไฟ ใช้ปืนไฟในมือยิงเข้าใส่ทหารของเอี้ยนอ๋องที่ยอมพลีชีพวิ่งสวนเข้าใสไม่กลัวตาย เมื่อกระสุนหมดความตายจึงมาเยือน ทัพปืนไฟที่ไร้อาวุธจะห้ำหั่นศัตรูต้องถูกคมดาบและคมกระบี่ สังหารและทำร้ายจนบาดเจ็บร้องโอดโอย“เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”ทัพของเอี้ยนอ๋องได้ใจวิ่งเข้าใส่ราวกับพายุฝนที่ซาดซัดไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ทัพของหรานหรานได้แต่ถอยร่น“อารักขาฮองเฮา อารักขาฝ่าบาท”เสียงหัวหน้าองครักษ์เกราะทองตะโกนขึ้นดังๆ เจี้ยนเหวินในอาภรณ์เร้นกายกับผ้าแพร ชักกระบี่เข้าฟาดฟันกับเหล่าองครักษ์ของวังหลวงจนบาดเจ็บไม้น้อย“บุกเข้าไปจับตัวขุนนางชั่วเสีย”เสียงสั่งการของเอี้ยนอ๋องจูตี้ที่ดังระงม“แย่แล้วเพคะ ทัพของเอี้ยนอ๋องบุกเข้ามาในวังหลวงแล้ว พระนางท่านหนีไปก่อนเถิด”หรานหรานคว้าปืนไฟมาถือไว้ในมือ“ฝ่าบาทเล่าฝ่าบาทอยู่ที่ไหนปลอดภัยหรือไม่”“ฝ่าบาท เร้นกายไปยังตำหนักเหมยฮวา เพคะ ฮองเฮาอย่าได้ห่วงฝ่าบาทรีบหนีเอาตัวรอดก่อน”นางกำนัลข้างกายรีบอุ้มเอาองค์ชายน้อยไว้ในอ้อมแขนมืออีกข้างดึงมือหรานหราน“จะหนีไปไหนทัพของเราเหนือกว่าทัพปืนไฟที่อารักขาข้า แข็งแกร่งยิ่งแล้ว”“บิดาท่านให้คนมารอรับท่านไปย
“เจ้ารักเขาใช่ไหม เจ้าไม่เคยมีข้าในหัวใจเลยใช่ไหม”“ใช่ข้ารักเขา ข้ารักฝ่าบาท ข้าไม่อยากให้เขาตาย ข้าจึงกลับมา ข้าไม่อยากให้เขาตายข้าจึง ข้าจึงไม่ยอมจากไป…รอที่จะทวงสัญญากับท่านทวงสัญญาที่ท่านเคยให้กับข้าไว้ว่าจะไม่ฆ่าเขา ในเมื่อเขาไม่อยู่แล้วข้าก็ไม่ควรจะอยู่เช่นกัน ข้าควรจะตายเสีย”เอี้ยนอ๋องกอดรวบร่างบางแนบแน่น“ให้ข้าได้กอดลาเจ้า ได้กอดลาเจ้าได้ไหม”พริมมี่นิ่งงัน ไม่เข้าใจความหมาย เมื่อร่างสูงของเจี้ยนเหวินในอาภรณ์สีทึมดึงร่างบางจากอ้อมแขนของเอี้ยนอ๋องมากอดไว้แนบกายพริมมี่ตะลึงยิ้มทั้งน้ำตา“เจ้าห่วงข้าเพียงนี้เชียวหรือ เจ้ารักข้าเพียงนี้เชียวหรือ” เจี้ยนเหวินจูบซับน้ำตาให้กับพริมมี่อย่างอ่อนโยน เอี้ยนอ๋องยิ้มเศร้าๆหันหลังจากลา“ปัง”แสงสว่างวาบจากปืนไฟในมือของหรานหรานลูกกระสุนพุ่งเป็นเส้นตรงยังแผ่นหลังของพริมมี่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา เลือดสีแดงไหลซึมอาภรณ์สีขาวพริมมี่เจ็บแปลบที่หัวใจ ร่างเล็กทรุดลงในอ้อมแขนของเจี้ยนเหวินที่ประคองกอดไว้แน่น“ม่ายยยยยย มีมี่ม่ายยยยย”เอี้ยนอ๋องตะโกนลั่น เจี้ยนเหวินตะลึงตาค้าง หรานหรานปล่อยปืนในมือล่วงลงบนพื้น ถอยหลังกรูดเมื่อจิ้งเหอถลาเข้าใส่เอี้ย
เจี้ยนเหวินยิ้มเศร้าๆ“ไม่มีนาง ไม่มีข้า ไม่พบนางไม่มีข้า เพราะหัวใจข้าแหลกสลายไปเสียแล้ว มีนางจึงมีข้า”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจ“หวังว่าฝ่าบาทจะยังไม่ทิ้งหนานจิง”“หนานจิงกับข้า บอบช้ำพอกัน เพียงแค่ข้าไม่อาจปกป้องสิ่งใดได้แม้แต่คนที่รัก ก็ไม่ควรจะลอยหน้าอยู่ได้อีก เอี้ยนอ๋องหวังว่าราชวงค์หมิงจะรุ่งเรืองดังที่เสด็จปู่ต้องการ ข้าตั้งใจเร้นกายไปกับนางตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างจึงมอบให้อาสี่จึงดี”เอี้ยนอ๋องจูตี้หลับตาลงช้าๆ สะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจเขาก็อยากจะเลือกพริมมี่เช่นเดียวกับเจี้ยนเหวินแต่นางไม่เลือกเขา“เคลื่อนเกี้ยว”สุายหลี ตวัดแส้ลงบนหลังม้าทั้งหกให้พุ่งทะยานไปยังเป่ยจิงที่อยู่ห่างออกไป1,022กิโลเมตร หรือ2,044ลี้ปี2024ซุนจูยืนยิ้มมองร่างไร้สติของพริมมี่ที่ใบหน้ากลับมีสีเลือดขึ้นมากว่าเมื่อวาน“ข้าใจแทบสลายในวันนั้นวันที่ต้องพาเจ้าเดินทางรอนแรมสองพันลี้เพื่อพาเจ้ากลับมาที่นี่ แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องมารอเจ้าถึงหกร้อยปีอยู่ที่นี่รอเจ้านานเหลือเกินพริมมี่ เรากำลังจะได้พบกันอีกครั้ง”“ฝ่าบาท ระยะทางยาวไกลเช่นไรจะพาพระสนมไปถึงที่นั่นได้”สุ่ยหลีแสดงความกังวลเจี้ยนเหวินประคองร่างเล็กที่หายใจ
แม้จะเจ็บปวดเพียงใดขอแค่ให้ได้ลอง พริมมี่ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ เลือดไหลซึมออกจากอกข้างซ้าย“ฉันกำลังจะตายใช่ไหม ฉันจะตายจริงๆ ใช่ไหม”บนเนินเขา นั่นแสงทองสุดท้ายสาดส่องไปที่ต้นไป๋กว่อ เหลืองอร่ามใบสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองงดงามราวกับภาพฝัน สุ่ยหลีหยุดเกี้ยว เจี้ยนเหวินอ้าปากค้างเมื่อเห็น สีเหลืองอร่ามตานั้น“พริมมี่ ดูนั่น”พยุงพริมมี่ให้ลงไปยังต้นไป๋กว่อพริมมี่ยิ้มเศร้าๆ เสียงหายใจรวยรินหอบเหนื่อยใกล้เข้ามาแล้วสินะใกล้ถึงเวลาแล้ว“ต้องอย่างนี้สิสำหรับพริมมี่ต้องงดงามแบบนี้ พาข้าไปที่นั่นเถิด”เจี้ยนเหวินช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน พาพริมมี่ไปยังต้นไป๋กว่อเหลืองอร่ามตา“จะต้องทำอย่างไร”เจี้ยนเหวินเอ่ยปากเสียแหบแห้ง ไม่อยากให้พริมมี่ต้องจากไปถึงตอนนี้คำพูดของพริมมี่ ที่เขาคิดว่าเป็นเพียงการคาดเดากลับเกิดขึ้นจริงทุกอย่าง เช่นไรจึงไม่เชื่อว่านางมาจากอนาคตแล้วหากนางจะกลับไปเช่นไรเขาจึงจะไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น“พริมมี่แค่หวังว่า จะได้กลับไปจริงๆ ขอแค่ได้ลองนาฬิกาสองเรือนนั้นพาพริมมี่มาที่นี่จะต้องพากลับไปได้แน่ ภายใต้อักษรง่ายๆ แค่กดมันลงไป พริมมี่ก็จะข้ามภพกลับไปยังที่เดิม”ยิ้มบางๆ ในใจหว
ปี2004“คุณ พงษ์ปรีดาค่ะภรรยาคุณคลอดแล้วค่ะคุณได้ลูกสาวหน้าตาน่าชังเชียวค่ะ”พ่อของพริมมี่ รีบสาวเท้าเข้าไปยังห้องคลอด อรอุมา อุ้มทารกเพศหญิงให้ดื่มนมจากอก“โอ้ลูกพ่อ ให้ผมดูหน้าเขาหน่อย พริมมี่ของพ่อ”“คุณพงษ์ยังไม่เห็นหน้าลูกอีกหรือ อรคิดว่าคุณเข้ามาก่อนแล้ว”สีหน้าแสดงความสงสัย พงษ์ปรีดารับเอาร่างกระจ้อย“เปล่านี่”“แล้วนี่คืออะไร”คุณอรอุมาวางนาฬิกาพกลงบนเตียงสีขาวสะอาดตา“นาฬิกา”“ค่ะ อรเห็นมันวางอยู่ข้างๆ ลูกของเรา”คุณพงษ์ปรีดาหันหน้าหันหลัง“อาจเป็นใครสักคน” คว้านาฬิกาขึ้นมาดูเสียงนาฬิกายังเดินปกติ“ผมจะลองเอาออกไปไกลๆ ไม่แน่อาจเป็นระเบิดเวลาหรือมีอะไรซุกซ่อนอยู่”"ดีเลยค่ะให้พยาบาลประกาศตามหาเจ้าของดีไหม”คุณพงษ์ปรีดาพยักหน้าก่อนจะรวบนาฬิกาออกห่างจากพริมมี่น้อย“อุ๊แว อุ๊แวๆๆๆๆๆๆๆ”อยู่ๆพริมมี่ก็ร้องไห้จ้า“คุณค่ะ”คุณอรอุมาให้พริมมี่กินนม เห่กล่อมก็ไม่ยอมหยุด คุณพงษ์ปรีดาวางนาฬิกาพกลงข้างๆร่างกระจ้อย ก่อนที่ร่างเล็กจะมีรอยยิ้มทั้งๆที่เพิ่งจะคลอดออกมา“อย่าเลยคุณ บางทีนี่อาจเป็นของยายหนูก็ได้แกจึงหวงมากขนาดนี้”คุณพงษ์ปรีดาถอนหายใจ จูซุนก้าวขายาวๆ ออกจากโรงพยาบาล“ฉันรอเธออย
คุณหมอหย่งก้าวขามายืนหน้าห้องพิเศษSuper vipที่พริมมี่ นอนไม่ได้สติอยู่ที่นั่น จูซุน เอนกายลงบนเตียงนอนคู่ด้านข้าง อีกฝั่งเป็นกระจกกว้างที่มองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าสวย และทิวทัศน์จากมุมสูง“ก็อกๆ”เคาะประตูไปสองครั้งเบาๆ“เชิญเข้ามา” จูซุน ขยับกายนั่งห้อยขาที่เตียงนอน“คุณจูซุนขอรับ กระผมมาตรวจดูอาการของ..ของคู่รักของคุณจูซุนครับ”ร่างสูงในวัยแก่กว่าจูซุนไม่กี่ปี ก้าวขามายังเตียงคนไข้ที่พริมมี่นอนอยู่แต่กลับตะลึงจังงัง กับใบหน้าคุ้นตาของพริมมี่“อืมมมยินดีที่ได้พบกัน..อีกครั้ง”หมอหย่งไม่ได้สะดุดหูกับคำพูดของจูซันทว่าสะดุดใจกับใบหน้าของพริมมี่ที่เขาเอาแต่เฝ้าฝันถึง“เอ่อ คะครับผมคุณผู้หญิงท่านนี้ นอนหลับไม่ได้สติมาสามคืน แล้วตามที่ผมวินิจฉัยอาการเบื้องต้นจากข้อมูลและประวัติของคนไข้ทำให้รู้ว่าร่างกายของเธอไม่ได้มีความผิดปกติอะไรสมองยังคงสมบูรณ์ไม่ได้เกิดการกระทบกระเทือนทางสมอง หรือบาดเจ็บที่ศีรษะหรือภาษาบ้านๆ คือล้มหัวฟาดหรืออะไร….”จูซุนมองหมอหย่งที่บรรยายเนิบๆ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของพริมมี่ มือก็สารวนกับการ ใช้เครื่องเสตทโตสโคปวางลงที่อกข้างซ้าย“แล้วทำไมเธอถึงไม่ฟื้นขึ้นมาทันที”หมอหย่งถอ
"อะอะนายท่านเกรงใจไปแล้วนายท่านสูงส่งรินสุราให้สุ่ยหลีไม่เหมาะนัก""ข้าเต็มใจเจ้าดื่มหมดจอกแทนคำขอบคุณข้า"สุ่ยหลียิ้มทั้งน้ำตายกจอกสุรารินลงคออย่างไม่ลังเลเพียงพริบตาสุ่ยหลีก็คอพับลงไปกับพื้นหลับใหลไปในทันที"นายท่านโธ่นายท่าน"ตะวันบ่ายสุ่ยหลีคร่ำครวญกับกองสัมภาระน้ำตาเต็มสองตาดึงยกเป้สัมภาระไม้ไผ่ขึ้นทาบแผ่นหลัง"ข้าจะตามนายท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้""ตุ๊บ"บางอย่างล่วงลงพื้นสุยหลีทรุดกายลงพิงต้นไม้ใหญ่คลี่ก้อนผ้าที่มีตัวอักษรอยู่บนนั้น"สุ่ยหลีฟังข้าที่เป่ยจิง มีโรงเตี๊ยมชื่อว่า…สุ่ยหลีที่นั่นข้าใช้เงินสร้างมันเพื่อเจ้ากลับไปรอข้าที่นั่น หากตามขึ้นมาวันไหนที่ข้ากลับไปจึงไม่พบเจ้า ฝากดูแลตำหนักชมดาว..แทนข้า แล้วเราจึงจะได้พบกัน..อย่าฝืนบัญชาหากยังตามข้าขึ้นไปพบข้าเราจึงตัดขาดกัน"ปาดน้ำตาที่ไหลรินสะอื้นอย่างหนัก"ข้าเช่นไรจะกล้าฝืนบัญชาฝ่าบาท กล้าให้ฝ่าบาทตัดขาดกับข้า"ปาดน้ำตาแห้งเหือดหันมองเทือกเขาเหลียงซานยิ้มเศร้าๆ ก้าวขาบ่ายหน้ากลับไปยังเป่ยจิงรอวันพบกันกับจูเหวินหน้าผาสูงสลับซับซ้อน มือเรียวราวลำเทียนยึดเกาะปีนป่าย"เหลือเพียงที่แห่งนี้ที่ขายังไม่เคยเสาะแสวงหาน้ำพุกาลเวลาหวังว่
สุ่ยหลียิ้ม“เช่นนั้นเขาเหลียงซานเบื้องหน้าเหมาะที่จะปีนป่ายต่อเติมความหวังในเมื่อเราเดินทางไปมาจนทั่วยังไม่พบน้ำพุแห่งกาลเวลา บางทีควรจะลองปีนเขาดูบ้าง”เจี้ยนเหวินยิ้มกว้างเป่ยจิง"จักรพรรดิหย่งเล่อทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี"เสียงถวายพระพรดังกึกก้องเมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อหรือเอี้ยนอ๋องจูตี้ในอดีตเสด็จขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร หย่งเล่ออมยิ้มอดคิดถึงพริมมี่กับคำว่าหย่งเล่อหรือหยกเลอค่ายกกำไลหยกสีแดงขึ้นมามองดู"ยังคงคิดถึงเจ้าเหมือนเดิมมีมี่"พึมพำเบาๆ ยิ้มเศร้าๆ"ฝ่าบาท เมืองหลวงเป่ยจิงและพระราชวังต้องห้ามบัดนี้ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว ตามพระบัญชา""ดีมาก จิ้งเหอท่านควรจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเรื่องนี้""พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป่ยจิงของเรารุ่งเรืองร่มเย็น ต่างชาติล้วนต้องการผูกมิตร""ดียิ่งแล้วข้าน้อมนำดำรัสของไท่หวงซางหมิงไท่จูสืบต่อมาหวังว่าบรรพบุรุษจะชื่นชม ครั้งนี้ตั้งใจส่งสินค้าและราชทูตยังต่างชาติต่างภาษาเพื่อเจริญสัมพันธ์ทางการทูต"จิ้งเหอประสานมือตรงหน้า"ข้าน้อยยินดีเป็นตัวแทนเดินเรือยังต่างแคว้น"จักรพรรดิหย่งเล่อยิ้มกว้าง"ดีแล้วจิ้งเหอท่านไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง"จักรพรรดิหย่งเล่อเดินเอามื
แม้จะเจ็บปวดเพียงใดขอแค่ให้ได้ลอง พริมมี่ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ เลือดไหลซึมออกจากอกข้างซ้าย“ฉันกำลังจะตายใช่ไหม ฉันจะตายจริงๆ ใช่ไหม”บนเนินเขา นั่นแสงทองสุดท้ายสาดส่องไปที่ต้นไป๋กว่อ เหลืองอร่ามใบสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองงดงามราวกับภาพฝัน สุ่ยหลีหยุดเกี้ยว เจี้ยนเหวินอ้าปากค้างเมื่อเห็น สีเหลืองอร่ามตานั้น“พริมมี่ ดูนั่น”พยุงพริมมี่ให้ลงไปยังต้นไป๋กว่อพริมมี่ยิ้มเศร้าๆ เสียงหายใจรวยรินหอบเหนื่อยใกล้เข้ามาแล้วสินะใกล้ถึงเวลาแล้ว“ต้องอย่างนี้สิสำหรับพริมมี่ต้องงดงามแบบนี้ พาข้าไปที่นั่นเถิด”เจี้ยนเหวินช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน พาพริมมี่ไปยังต้นไป๋กว่อเหลืองอร่ามตา“จะต้องทำอย่างไร”เจี้ยนเหวินเอ่ยปากเสียแหบแห้ง ไม่อยากให้พริมมี่ต้องจากไปถึงตอนนี้คำพูดของพริมมี่ ที่เขาคิดว่าเป็นเพียงการคาดเดากลับเกิดขึ้นจริงทุกอย่าง เช่นไรจึงไม่เชื่อว่านางมาจากอนาคตแล้วหากนางจะกลับไปเช่นไรเขาจึงจะไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น“พริมมี่แค่หวังว่า จะได้กลับไปจริงๆ ขอแค่ได้ลองนาฬิกาสองเรือนนั้นพาพริมมี่มาที่นี่จะต้องพากลับไปได้แน่ ภายใต้อักษรง่ายๆ แค่กดมันลงไป พริมมี่ก็จะข้ามภพกลับไปยังที่เดิม”ยิ้มบางๆ ในใจหว
เจี้ยนเหวินยิ้มเศร้าๆ“ไม่มีนาง ไม่มีข้า ไม่พบนางไม่มีข้า เพราะหัวใจข้าแหลกสลายไปเสียแล้ว มีนางจึงมีข้า”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจ“หวังว่าฝ่าบาทจะยังไม่ทิ้งหนานจิง”“หนานจิงกับข้า บอบช้ำพอกัน เพียงแค่ข้าไม่อาจปกป้องสิ่งใดได้แม้แต่คนที่รัก ก็ไม่ควรจะลอยหน้าอยู่ได้อีก เอี้ยนอ๋องหวังว่าราชวงค์หมิงจะรุ่งเรืองดังที่เสด็จปู่ต้องการ ข้าตั้งใจเร้นกายไปกับนางตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างจึงมอบให้อาสี่จึงดี”เอี้ยนอ๋องจูตี้หลับตาลงช้าๆ สะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจเขาก็อยากจะเลือกพริมมี่เช่นเดียวกับเจี้ยนเหวินแต่นางไม่เลือกเขา“เคลื่อนเกี้ยว”สุายหลี ตวัดแส้ลงบนหลังม้าทั้งหกให้พุ่งทะยานไปยังเป่ยจิงที่อยู่ห่างออกไป1,022กิโลเมตร หรือ2,044ลี้ปี2024ซุนจูยืนยิ้มมองร่างไร้สติของพริมมี่ที่ใบหน้ากลับมีสีเลือดขึ้นมากว่าเมื่อวาน“ข้าใจแทบสลายในวันนั้นวันที่ต้องพาเจ้าเดินทางรอนแรมสองพันลี้เพื่อพาเจ้ากลับมาที่นี่ แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องมารอเจ้าถึงหกร้อยปีอยู่ที่นี่รอเจ้านานเหลือเกินพริมมี่ เรากำลังจะได้พบกันอีกครั้ง”“ฝ่าบาท ระยะทางยาวไกลเช่นไรจะพาพระสนมไปถึงที่นั่นได้”สุ่ยหลีแสดงความกังวลเจี้ยนเหวินประคองร่างเล็กที่หายใจ
“เจ้ารักเขาใช่ไหม เจ้าไม่เคยมีข้าในหัวใจเลยใช่ไหม”“ใช่ข้ารักเขา ข้ารักฝ่าบาท ข้าไม่อยากให้เขาตาย ข้าจึงกลับมา ข้าไม่อยากให้เขาตายข้าจึง ข้าจึงไม่ยอมจากไป…รอที่จะทวงสัญญากับท่านทวงสัญญาที่ท่านเคยให้กับข้าไว้ว่าจะไม่ฆ่าเขา ในเมื่อเขาไม่อยู่แล้วข้าก็ไม่ควรจะอยู่เช่นกัน ข้าควรจะตายเสีย”เอี้ยนอ๋องกอดรวบร่างบางแนบแน่น“ให้ข้าได้กอดลาเจ้า ได้กอดลาเจ้าได้ไหม”พริมมี่นิ่งงัน ไม่เข้าใจความหมาย เมื่อร่างสูงของเจี้ยนเหวินในอาภรณ์สีทึมดึงร่างบางจากอ้อมแขนของเอี้ยนอ๋องมากอดไว้แนบกายพริมมี่ตะลึงยิ้มทั้งน้ำตา“เจ้าห่วงข้าเพียงนี้เชียวหรือ เจ้ารักข้าเพียงนี้เชียวหรือ” เจี้ยนเหวินจูบซับน้ำตาให้กับพริมมี่อย่างอ่อนโยน เอี้ยนอ๋องยิ้มเศร้าๆหันหลังจากลา“ปัง”แสงสว่างวาบจากปืนไฟในมือของหรานหรานลูกกระสุนพุ่งเป็นเส้นตรงยังแผ่นหลังของพริมมี่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา เลือดสีแดงไหลซึมอาภรณ์สีขาวพริมมี่เจ็บแปลบที่หัวใจ ร่างเล็กทรุดลงในอ้อมแขนของเจี้ยนเหวินที่ประคองกอดไว้แน่น“ม่ายยยยยย มีมี่ม่ายยยยย”เอี้ยนอ๋องตะโกนลั่น เจี้ยนเหวินตะลึงตาค้าง หรานหรานปล่อยปืนในมือล่วงลงบนพื้น ถอยหลังกรูดเมื่อจิ้งเหอถลาเข้าใส่เอี้ย
“ปัง ปัง ปัง”เสียงองครักษ์ปืนไฟ ใช้ปืนไฟในมือยิงเข้าใส่ทหารของเอี้ยนอ๋องที่ยอมพลีชีพวิ่งสวนเข้าใสไม่กลัวตาย เมื่อกระสุนหมดความตายจึงมาเยือน ทัพปืนไฟที่ไร้อาวุธจะห้ำหั่นศัตรูต้องถูกคมดาบและคมกระบี่ สังหารและทำร้ายจนบาดเจ็บร้องโอดโอย“เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”ทัพของเอี้ยนอ๋องได้ใจวิ่งเข้าใส่ราวกับพายุฝนที่ซาดซัดไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ทัพของหรานหรานได้แต่ถอยร่น“อารักขาฮองเฮา อารักขาฝ่าบาท”เสียงหัวหน้าองครักษ์เกราะทองตะโกนขึ้นดังๆ เจี้ยนเหวินในอาภรณ์เร้นกายกับผ้าแพร ชักกระบี่เข้าฟาดฟันกับเหล่าองครักษ์ของวังหลวงจนบาดเจ็บไม้น้อย“บุกเข้าไปจับตัวขุนนางชั่วเสีย”เสียงสั่งการของเอี้ยนอ๋องจูตี้ที่ดังระงม“แย่แล้วเพคะ ทัพของเอี้ยนอ๋องบุกเข้ามาในวังหลวงแล้ว พระนางท่านหนีไปก่อนเถิด”หรานหรานคว้าปืนไฟมาถือไว้ในมือ“ฝ่าบาทเล่าฝ่าบาทอยู่ที่ไหนปลอดภัยหรือไม่”“ฝ่าบาท เร้นกายไปยังตำหนักเหมยฮวา เพคะ ฮองเฮาอย่าได้ห่วงฝ่าบาทรีบหนีเอาตัวรอดก่อน”นางกำนัลข้างกายรีบอุ้มเอาองค์ชายน้อยไว้ในอ้อมแขนมืออีกข้างดึงมือหรานหราน“จะหนีไปไหนทัพของเราเหนือกว่าทัพปืนไฟที่อารักขาข้า แข็งแกร่งยิ่งแล้ว”“บิดาท่านให้คนมารอรับท่านไปย
2024ซุนจูกำนาฬิกาพกสองเรือนไว้ในมือ สสารชนิดเดียวกันอยู่ในทีเดียวกันได้อย่างไร มีหลายอย่างที่ยังเป็นปริศนาเช่นดียวกับเขาที่เขาจำได้แม่นยำคืนหอมหวานก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงเขากอดประคองร่างบางของพริมมี่ข้างกายเขายังอยู่ที่นี่และเขาก็ยังอยู่ที่นี่รอคอยการกลับมาของพริมมี่พรุ่งนี้แล้วสินะพริมมี่จะกลับมาสู่อ้อมแขนเขาอีกครั้งเวลาเดียวกันนี้พริมมี่นั่งมองนาฬิกาพกไว้ในมือราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนหากลองกดมันจะพาพริมมี่ ข้ามผ่านกาลเวลากลับไปยังปี2024ไดไหมตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอจนกว่า จนกว่าจะช่วยหรานหรานสำเร็จ รอจนกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็พร้อมจะจากไปแขวนนาฬิกาหนึ่งเรือนที่ลำคอ อีกเรือนกำไว้ในมือพรุ่งนี้แล้วสินะพรุ่งนี้แล้ว ทุกอย่างกำลังจะมาถึงทุกอย่างใกล้เข้ามาแล้ว เจี้ยนเหวินไม่เคยแวะมาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น พริมมี่ได้แต่เหม่อมองออกไปที่วังหลวงกว้างใหญ่ ต่อไปวังหลวงที่ยิ่งใหญ่จะถูกสร้างขึ้นที่เป่ยจิงหรือปักกิ่งโดยเอี้ยนอ๋องคำสัญญาที่ว่าจะไม่สังหารเจี้ยนเหวิน พริมมี่หวังว่าเอี้ยนอ๋องจะไม่ลืมมัน แต่นั่นก็ต้องเป็นพริมมี่ที่อยู่ตรงนั้นคอยดูว่า เอี้ยนอ๋องจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพริมมี่แสงจันทร์อำไพลอ