ตอนที่สอง
ร้านชาเซียงซือ
จู่ๆ ไข่มุกก็รู้สึกปวดหัวแทบระเบิด ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาราวสายน้ำ
เพล้ง เพล้ง เพล้ง
เสียงกาน้ำชาและข้าวของแตกกระจายพร้อมเสียงหวีดร้องของลูกค้าซึ่งวิ่งหนีกันอลหม่านเรียกให้เซียงเจินจูซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ด้านหลังร้านต้องรีบวิ่งไปลอบมองดูเหตุการณ์
“นายท่าน อย่าได้ทำลายร้านของข้าเลย มีเรื่องใดพูดกันดีดีเถิดขอรับ” ตาเฒ่าเซียงหม่ากำลังจับมือชายคนหนึ่งไม่ให้ขว้างกาน้ำชาลงบนพื้นพลางก้มหัวขอร้องด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“ชาของเจ้าทั้งจืดชืดแล้วยังไม่ร้อน เจ้าดูถูกว่าข้าไม่มีเงินซื้อชาดีดีหรือจึงจัดชาถูกๆมาให้เช่นนี้”
เสียงโวยวายหาเรื่องดังออกมาก่อนชายคนนั้นจะส่งสัญญาณให้พรรคพวกทุบกาและถ้วยน้ำชาที่วางอยู่จนแตกละเอียด
“นายท่าน พวกเราไม่เคยคิดเช่นนั้น ลูกค้าทุกคนคือผู้มีพระคุณ อย่าได้ทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ หากท่านไม่พอใจพวกเรายินดีชดใช้เงินคืนให้นะเจ้าคะ” ยายเหลียนรีบคุกเข่าโขกหัวขออภัยจนหัวบวมปูด
“เชอะ ชดใช้หรือ พวกเจ้ามีกี่ชีวิตกันจึงจะชดใช้ให้ข้า” เสียงข่มขู่ดังออกมาอย่างวางอำนาจ
“ทางที่ดีรีบปิดร้านแล้วย้ายกลับไปอยู่บ้านนอกของเจ้าเสีย อย่าได้เสนอหน้าอยู่ที่นี่อีก เข้าใจหรือไม่” คำกรรโชกสุดท้ายบ่งบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงก่อนนักเลงเหล่านี้จะเดินกร่างออกไปราวไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย
สองตายายกอดกันนั่งร้องไห้อย่างเศร้าหมองด้วยไม่อาจสู้กับนักเลงร้ายพวกนั้นได้ อีกทั้งยังโดนทำลายของทำมาหากินจนพังพินาศ
“ของพังหมดแล้ว พวกเราคงไม่อาจเปิดร้านได้อีก ตาเฒ่าเอ๊ย พวกเรากลับไปอยู่บ้านที่นอกเมืองกันดีกว่า” ยายเหลียนยอมถอยอย่างง่ายดายด้วยไม่อยากต่อสู้ให้วุ่นวาย
“พวกเราลำบากแทบตายกว่าจะมีวันนี้ หากยอมกลับไปแล้วอาจูเล่า จะทำอย่างไร”
“อาจูเป็นสาวแล้ว หากพวกนักเลงนั้นอยากรังแกพวกเราจริงๆอาจมีภัยใหญ่หลวง พวกเราควรพานางไปอยู่ให้ห่างไกล”
“แต่ร้านของพวกเราสร้างมาถึง30กว่าปี จะทิ้งไปง่ายๆด้วยการข่มขู่เช่นนี้จริงๆหรือ”
“ตาเฒ่าหม่า พวกเราเริ่มจากไม่มีร้านจนมาถึงทุกวันนี้ก็เพียงพอแล้ว เก็บเงินทองที่เหลือเอาไว้ให้อาจูได้เป็นสินเดิมแต่งงานออกไปกับคนดีดีเถอะ” ยายเหลียนคิดอย่างง่ายๆ
“เจ้าคิดว่าพวกนั้นจะยอมรามือหรือ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น พวกเขาต้องการเพียงที่ดินผืนนี้ หากพวกเรายอมถอยออกไป พวกเขาย่อมไม่ทำอันตรายเราแน่”
“ร้านชาเซียงซือของพวกเราคงถึงจุดจบแล้วสินะ” เสียงหมองเศร้าดังออกมาจากปากของตาเฒ่าเซียงหม่า สายตาอ่อนล้ามองกวาดไปทั่วร้านซึ่งมีเศษกระเบื้องและข้าวของแตกหักกระจัดกระจาย
เขาคิดค้นสูตรชาอยู่หลายปีกว่าจะสร้างชารสเลิศจนมีลูกค้าติดใจบอกกล่าวกันปากต่อปาก
มาถึงวันนี้ ร้านชาของเขานับว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง กระทั่งขุนนางใหญ่หรือเชื้อพระวงศ์ยังต้องแอบมาลองชิมหรือให้คนมาซื้อหาไปลิ้มลองอยู่บ่อยครั้ง
เขาคาดหวังให้ร้านชาอยู่รอดไปอีกหลายปีเพื่อให้หลานสาวได้มีกิจการของตนเองไม่ต้องพึ่งพิงเพียงชายหนุ่ม ที่ผ่านมาจึงพยายามสอนการชงชาและถ่ายทอดความรู้ให้หลานสาวจนหมดไส้หมดพุง
ผู้ใดจะคาดว่าวันหนึ่งกลับไม่มีร้านชาเซียงซือให้สืบทอดแล้วด้วยจู่ๆก็มีผู้ยิ่งใหญ่อยากได้ที่ดินตรงนี้ แล้วส่งนักเลงมาคุกคามสร้างเรื่องเกือบทุกวัน จนล่าสุดที่ถึงกับทำลายข้าวของจนพังเกือบทั้งร้าน
สองตาเฒ่าและยายเฒ่ายังครุ่นคิดไม่ตกว่าจะยอมถอยแต่โดยดีหรือจะสู้กลับด้วยการไปฟ้องร้องทางการ
มิคาดว่าพวกนักเลงโตกลับไม่ยอมปล่อยวางยกพวกมาปิดกั้นทางเข้าออกไม่ให้ลูกค้าได้มาถึงร้านชาง่ายๆอีกทั้งยังเข้ามาหาเรื่องทุบตีตาเฒ่าเซียงหม่าจนบาดเจ็บ
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ตาเซียงหม่าก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหวประกอบกับความเสียใจจึงสิ้นลมไปในอ้อมกอดของเมียคู่ทุกข์คู่ยากและหลานสาว
เซียงเจินจูซึ่งเดิมเป็นเด็กสาวอ่อนแอเรียบร้อยถึงกับล้มป่วยไปอีกคนด้วยความเศร้าเสียใจ และนั่นก็เป็นวันที่ไข่มุกได้เข้ามาในร่างนี้พอดี
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ตาเซียงหม่าก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหวประกอบกับความเสียใจจึงสิ้นลมไปในอ้อมกอดของเมียคู่ทุกข์คู่ยากและหลานสาวเซียงเจินจูซึ่งเดิมเป็นเด็กสาวอ่อนแอเรียบร้อยถึงกับล้มป่วยไปอีกคนด้วยความเศร้าเสียใจ และนั่นก็เป็นวันที่ไข่มุกได้เข้ามาในร่างนี้พอดีหมายความว่านายทุนใหญ่อยากได้ที่ดินตรงนี้จึงส่งนักเลงมาคุกคามสร้างเรื่องทำให้ตาของเซียงเจินจูต้องตาย กว่าไข่มุกจะบีบอัดย่อยความทรงจำเหล่านั้นจนเข้าใจเรื่องราวได้มากขึ้น เหงื่อก็ออกจนเปียกท่วมตัวหญิงสาวนอนนิ่งคิดอย่างกังวัลใจ เธอยังต้องตื่นไปดูแลร้านชานมไข่มุกของตนเอง แม้จะมีลูกน้องอยู่หลายคน แต่ด้วยร้านของเธอขายดีมากเพราะเธอใช้ใบชาที่ผสมผสานจากการคิดค้นอยู่หลายเดือน อีกทั้งยังมีสูตรการต้มที่ไม่เหมือนใครจึงทำให้รสชาติชาหอมอร่อย เพียงแค่กำลังต้มกลิ่นก็ลอยออกไปยั่วจมูกจนลูกค้าต้องมายืนออรอที่หน้าร้านแล้วลูกน้องที่สลับสับเปลี่ยนกันมักจะชงชาให้ลูกค้าไม่ทันโดยเฉพาะช่วงพักซึ่งจะมีคนทำงานแห่มาสั่งพร้อมๆกันทีละหลายๆแก้วจนแม้แต่เธอยังหัวหมุนหญิงสาวจึงไม่ใคร่ยอมไปไหนเพราะงกเงินไม่อยากพลาดการหารายได้ที่มีเข้ามา อีกอย่างเธอไม่เคยบอกสูตรการผสม
ตอนที่สามลุกขึ้นสู้รุ่งเช้า ไข่มุกในร่างเซียงเจินจูลุกขึ้นออกมาเดินสำรวจภายในร้านชาจนทั่ว ข้าวของซึ่งโดนทุบทำลายยังกองเกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย ร้านชาเซียงซือไม่เหลือสภาพให้เปิดทำการได้ในเร็ววันนี้แน่ “อาจู ดีขึ้นแล้วหรือ เช่นนั้นวันนี้พวกเราไปส่งตาเฒ่าด้วยกันเถอะ” เสียงเศร้าพร้อมน้ำตารินหลั่งเป็นภาพที่สะเทือนใจหญิงสาว สองตายายใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาหลายสิบปี คงไม่คิดว่าจะมีวันที่ต้องพรากจากกันอย่างไม่ทันได้เตรียมใจ แม้ยายเหลียนจะไม่อยากให้หลานสาวออกไปข้างนอกแต่ด้วยเห็นว่าเป็นการส่งตาเฒ่าครั้งสุดท้าย จึงพานางไปด้วย นั่นจึงเป็นครั้งแรกของเซียงเจินจูและไข่มุกซึ่งได้ออกมาเห็นโลกภายนอก พิธีส่งศพของตาเซียงหม่ามีคนมาร่วมงานมากมาย ด้วยตาเฒ่ามีอัธยาศัยดีและมีน้ำใจจึงเป็นที่รักของลูกค้าและผู้คนรอบข้าง หญิงสาวเดินประคองร่างอ่อนแรงของยายเหลียนไปมองผู้คนที่มาร่วมงานไปอย่างประเมินสถานการณ์ เสียงพูดคุยของคนรอบข้างดังเข้ามาเป็นระยะ “น่าเสียดายจริงๆ ตาหม่าตายไปแบบนี้ ต่อไปพวกเราจะหาชาที่ทั้งอร่อยทั้งหอมหวานเช่นนี้ได้จากที่ใดอีก”
ตอนที่สาม ลุกขึ้นสู้“คนของทางการเองใช่ว่าจะทำอันใดได้ อย่างมากก็จับพวกนักเลงไปขังไว้สักคนสองคน แต่พวกเราคงต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน ตราบใดที่พวกเขายังอยากได้ที่ดินตรงนี้เฮ้อ...เดิมทีพวกเขาส่งคนมาขอซื้อ แต่หว่านล้อมอย่างไรตาเฒ่าก็ไม่ยอมขาย สุดท้ายจึงต้องสังเวยชีวิต” ยายเหลียนก้มลงเช็ดน้ำตา “ชั่วชาติจริงๆ” ไข่มุกในร่างเซียงเจินจูเผลอด่าออกมาจนยายเหลียนซึ่งกำลังหลั่งน้ำตาอย่างทดท้อต้องมองจ้องด้วยหลานสาวผู้เคยอ่อนแอและเรียบร้อย ยามนี้แลดูแปลกออกไป “พวกเรายังมีเงินทองอีกมากหรือไม่เจ้าคะ” เซียงเจินจูถามถึงเรื่องสำคัญ การจะทำสิ่งใดย่อมต้องใช้เงินทองหว่านลงไป “มีมากทีเดียว พวกเราเก็บเอาไว้ให้เจ้านะอาจู เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะยากลำบาก” ยายเฒ่าแปลความไปอีกด้าน “เช่นนั้นขอให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ” “เจ้าจะทำสิ่งใดหรือ” “ข้าจะนำไปซื้อของตอบแทนให้ผู้ที่นำซองมาให้ในงานของท่านตาเจ้าค่ะ” สาวน้อยยกข้ออ้าง “อืม...จริงด้วย ข้ามัวแต่เศร้าหมองจนหลงลืมธรรมเนียมไป เอ้านี่เงิน...อาจู หาซื้อขนมเปี๊ยะอย่างดีล่ะ” ยายเหลีย
ตอนที่สี่ถามหาความยุติธรรมหญิงสาวไม่ต้องรอนานด้วยเย็นวันนั้น กลุ่มนักเลงก็พากันมาขับไล่สองยายหลานอย่างย่ามใจ ผู้คุ้มกันที่จ้างมาทั้งสี่หิ้วพวกเขาออกไปที่ด้านนอกร้าน แล้วเป็นฝ่ายทุบตีขับไล่พวกนักเลงแทนจนล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีหางจุกตูดไปตามๆกัน เซียงเจินจูพยักหน้ามองคนที่จ้างมาอย่างพึงพอใจ อืม...มีฝีมือ ค่อยสมค่าจ้างหน่อย วันรุ่งขึ้นหญิงสาวจึงพาผู้คุ้มกันสองคนติดตามออกไปสำรวจข้าวของเครื่องใช้ต่อ จากนั้นจึงแวะซื้อขนมไปขอบคุณเจ้าของร้านบะหมี่แล้วนั่งลงพูดคุยสอบถามเพิ่มเติม “เรื่องตั้งสำนักศึกษาตรงที่ดินแถวร้านชาของเจ้าเป็นเรื่องจริง ข้าได้ยินขุนนา
‘หวางชิวเฟิน’ เจ้ากรมศึกษาหรือที่ผู้คนเรียกกันว่า’ซือถู’เปิดผ้าม่านก้าวลงมาเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้าย “เจ้าเอ่ยว่าอันใดหรือสาวน้อย มีคนส่งนักเลงไปทำลายร้านชาแล้วทำร้ายตาของเจ้าจนเสียชีวิตอย่างนั้นหรือ” เสียงนุ่มนวลเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าร่างบางตรงหน้าเป็นเพียงสาวน้อยหน้าตาสะอาดสะอ้านเรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรคนหนึ่ง “ท่านเป็นคนผู้นั้นยังจะแกล้งทำไขสืออีกหรือ” เสียงต่อว่าดังออกมาก่อนเซียงเจินจูจะเงยหน้ามองชายหนุ่มผู้รั้งตำแหน่งเจ้ากรมศึกษาให้ชัด โอ้วววววว หล่อมาก ใบหน้าขาวเนียนเปล่งประกายความฉลาดเฉลียว คิ้วโค้งโก้งดั่งคันศร จมูกโด่ง ดวงตาเรียวเปล่งพลังความเข้มแข็งมีชีวิตชีวา เครื่องหน้าเปี่ยมราศีบ่งบอกความหลักแหลมคมคาย รูปร่างสูงสง
ตอนที่ห้า สอบสวนเรื่องราว ระหว่างรอความคืบหน้าในการหาตัวผู้บ่งการ เซียงเจินจูจึงวางแผนการเปิดร้านชาเซียงซือครั้งใหม่อย่างรอบคอบ อืม...ใบชายังมีเหลืออยู่ ส่วนใบชารอบใหม่น่าจะกำลังส่งมา กาน้ำชากับถ้วยชาน่าจะต้องซื้อใหม่ทั้งหมดเพราะแตกไปแทบไม่เหลือ ก็ดีจะได้เลือกให้สวยแปลกใหม่อย่างที่ชอบ วัตถุดิบทำขนมของท่านยายคงต้องรอให้ยายเหลียนทำใจได้อีกสักพักค่อยปลุกปลอบให้มีกำลังใจอีกครั้ง ส่วนการตกแต่งร้าน หญิงสาวเดินวนดูรอบร้านเป็นรอบที่ห้า เพื่
“พวกเราซื้อที่ดินละแวกนั้นมาเกือบทั้งหมดแล้ว ที่ดินของร้านชาเซียงซืออยู่ตรงกลาง หากนางไม่ยอมขายและยังดึงดันจะเปิดร้านชาต่อไป เช่นนั้นสถานศึกษาของเรามิใช่โอบล้อมร้านชาของนางหรือ”“เช่นนั้นคงต้องไปบอกเล่าให้นางเข้าใจและปรึกษาหารือกันอีกที” หวางชิวเฟินตัดสินใจใช้การเจรจา“เจ้าก็ไปกับข้าด้วย” ชายหนุ่มหันมาสั่งเลขาซึ่งคือเพื่อนสนิท“ได้ขอรับ ท่านซือถู” มู่หวังเยี่ยนโค้งรับอย่างเสแสร้งด้วยหากอยู่กันตามลำพังพวกเขาไม่เคยวางท่าเป็นเจ้านายลูกน้อง“เรื่องที่เด็กสาวคนนั้นตะโกนด่าเจ้ากลางตลาดถูกเล่าลือไปทั่วแล้ว ข้าอยากเห็นหน้านางเช่นกันว่าเป็นเช่นไร ซือถูของเราหล่อเหลาออกปานนี้ หญิงสาวทั่วไปเพียงเห็นหน้าก็อ่อนระทวยได้แต่บิดมือเอียงอาย แต่นางกลับกล้าด่าเจ้าเสียๆหายๆ ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าสนใจนัก” มู่หวังเยี่ยนยิ้มแย้มอยากเห็นหน้าหญิงสาวดั่งเช่นคุณชายเจ้าสำราญทั่วไป“นางงดงามหรือไม่” เลขาหนุ่มหันมาถามเพื่อนสนิท“ข้าไม่ได้จ้องมองจึงยังเห็นไม่ชัด เจ้าก็ไปดูเอาเองเถอะ” หวางชิว
ตอนที่หก เจรจาตกลงความจริงไข่มุกในร่างของเซียงเจินจูอยากจะหาคันฉ่องมาส่องดูว่าหน้าตาของนางเป็นอย่างไรบ้างแต่ยังไม่มีโอกาส นางเคยสำรวจร่างกายที่ตัวเองกำลังอาศัยอยู่ยามอาบน้ำอย่างละเอียดภายใต้เสื้อผ้าธรรมดาไม่น่าเชื่อว่า สาวน้อยนางนี้มีผิวกายเนียนละเอียดขาวผุดผ่องสะอาดตา ทรวดทรงหรือก็สมส่วน เอวคอดสะโพกผาย มีหน้าอกมีก้นครบเครื่องอืม...รูปร่างดีกว่าตัวจริงของฉันเสียอีก นี่ขนาดอายุแค่16 นะเนี่ย เซียงเจินจูเติบโตมากับตาเฒ่าเซียงหม่าและยายเฒ่าซินเหลียน ตั้งแต่จำความได้นางก็ได้รับการบอกเล่าถึงชาติกำเนิดที่ไม่มีที่มา ยายเหลียนเล่าว่าคืนหนึ่งมีเสียงเด็กร้องไห้ดังลั่น เมื่อเปิดประตูออกมาก็พบห่อผ้าซึ่งมีตัวนางนอนร้องไห้งอแงอยู่พร้อมจี้หยกอันหนึ่ง จึงไม่แปลกที่หญิงสาวจะหน้าตาไม่เหมือนทั้งตาและยายหญิงสาวเดินนำสองหนุ่มไปจนถึงโต๊ะกลางสวนแล้วหันไปบอกให้ลูกจ้างสาวเข้าไปเชิญยายเหลียนออกมานั่งลงเปิดการเจรจา“ข้าสอบความจนกระจ่างแล้ว เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่กวดขัน
ตอนที่สิบสองงดงามหรือมารร้ายหวางชิวเฟินมองแววตามุ่งมั่นของหญิงสาวอย่างสนใจ เขาคิดว่าสาวน้อยนางนี้มีความสามารถที่เก็บงำเอาไว้อีกไม่น้อย ช่างน่าสนใจนัก ภาพการพูดคุยอย่างสนิทสนมของหวางชิวเฟินและเซียงเจินจูทำให้บรรดาหญิงสาวในอีกฝั่งของร้านชาต่างส่งเสียงโวยวายไม่พอใจ พวกนางบางคนคลั่งไคล้ชื่นชอบซือถูหนุ่มมาหลายปี แม้บางคนจะตัดใจหมั้นหมายกับชายหนุ่มคนอื่นไปแล้ว แต่บางคนก็ยังคงหวังลมๆแล้งๆเลื่อนลอย “พวกเจ้าดูสิ ซือถูยิ้มให้นางด้วย” “แต่เลขามู่ยืนกันท่าอยู่ นางคงไม่มีหวังหรอก” “ข้าคงต้องมาเฝ้าที่นี่
ตอนที่สิบเอ็ดถ่ายทอดความรู้สตรีในห้องหอล้วนเป็นเช่นนี้ เพียงโดนล่วงเกินนิดหน่อยพวกนางก็โวยวายจะเป็นจะตายให้ชายหนุ่มต้องยกขันหมากไปสู่ขอรับตัวเข้าจวนแล้ว ยิ่งหวางชิวเฟินมีทั้งตำแหน่งและฐานะ ย่อมเป็นที่หมายปองต้องการที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นเพื่อนหนุ่มเผลอตัวถึงเพียงนี้ เพียงจับมือถือแขนยังแทบไม่เคย แล้วนี่ถึงกับจุมพิตแนบแน่นจึงยังคงตื่นตะลึง“เอาเป็นว่า พวกท่านจิบชากินขนมกันให้สบายใจเถอะ ข้าขอโทษที่เข้าใจผิดก็แล้วกัน” สาวน้อยเจ้าของร้านชาเซืองซือตัดบทแล้วเดินออกไปหน้าตาเฉยท่ามกลางการสับสนงุนงงของสองหนุ่ม“นางไม่ได้ชอบเจ้า ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสตรีที่ไม่หลงใหลในหน้าตาของเจ้า” มู่หวังเยี่ยนรีบพูดออกมา“คงเป็นเช่นนั้น” หวางชิวเฟินยอมรับ“เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนั้น” เลขามู่ย่อมสงสัย“ข้าไม่แน่ใจ” ถึงยามนี้หวางชิวเฟินเองยังให้คำตอบตนเองไม่ได้เช่นกัน เขาเพียงรู้สึกไม่อยากให้นางเข้าใจผิด ส่วนการจุมพิตนั่นเป็นเพราะอารมณ์พาไป“เจ้าไม่เคยเ
ตอนที่สิบเข้าใจผิดเซียงเจินจูค้อนขวับด้วยไม่อยากรับคำชมกึ่งประชดเช่นนี้ ตอนนั้นนางเพิ่งมาถึงและต้องการคนคุ้มกันจึงรับพวกเขาโดยไม่ถามไถ่มากมาย ผู้ใดจะคิดว่าอาจเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ “เอาล่ะ พวกเขาคงต้องหลบซ่อนตัวจนไม่กล้าออกมาอีก หากเจ้ายังอยากได้ผู้คุ้มกันข้าจะคัดคนส่งไปให้ เรื่องเมื่อวานนี้คงต้องจบลงอย่างเงียบๆ ด้วยตัวการทั้งสองฝ่ายต่างหลบหนีหายไปหมดแล้ว” หวางชิวเฟินบอกกล่าว เซียงเจินจูคิดตาม หากเมื่อวานชายหนุ่มผู้นี้ไม่ผ่านไป ป่านนี้นางจะโดนย่ำยีอย่างไรก็สุดรู้ด้วยพวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กัน อีกทั้งการเป็นคนต่างแคว้นย่อมติดตามหาตัวได้ยากและนางไม่ใช่คนสำคัญ ทางการคงไม่ใส่ใจมากนัก “ขอบคุณซือถู” หญิงสาวก้มลงพร้อมเอ่ยคำจากใจ คราวนี้นางเป็นหนี้บุญคุณเขาบ้างแล้ว
ตอนที่เก้า ใจเต้นแรง (น่ารัก)ระหว่างกำลังออกไปเลือกซื้อหาของมาตกแต่งร้านเพิ่มเติมนั่นเองว๊ายยยยยยเช้งงงงงงตุ๊บ ตั๊บกรี๊ดดดดดดดดเสียงคนต่อสู้พร้อมเสียงกรีดร้องของเซียงเจินจูดังจนรถม้าของหวางชิวเฟินต้องจอดลง ชายหนุ่มเปิดผ้าม่านกระโดดลงไปมองดูเหตุการณ์ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังโดนฉุดคร่าและผู้คุ้มกันทั้งสองคนของนางกำลังพลาดท่าหวางชิวเฟินบอกให้ผู้ติดตามเข้าไปช่วยเหลือโดยเร็ว ส่วนตัวเองพุ่งเข้าไปรับร่างเล็กที่วิ่งหนีออกมาแล้วพาอุ้มกระโดดขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“ไม่เป็นไร” เสียงสั่นเครือเปล่งออกมาพร้อมน้ำตาที่ปริ่มขอบตา“ออกไปจากตรงนี้ก่อนเถอะ”รถม้าขยับเคลื่อนออกไปโดยไม่ต้องบอก โดยภายในรถม้าหวางชิวเฟินยังคงโอบกอดร่างสั่นเทาของเซียงเจินจูอยู่อย่างพยายามปลอบโยนหญิงสาวถูกอุ้มลงมาและพาไปพักยังห้องหนึ่งอย่างละมุนละไม“เจ้าปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกลัว” มือหนาลูบผมสลวยเพื่อคลายความวิตกกังวล“ขอบคุณที่ช่วย&r
ตอนที่แปด เปิดอย่างยิ่งใหญ่“ชานี้รสชาติแปลกมาก ทั้งหอมทั้งขมแต่เมื่อดื่มลงไปกลับมีรสหวานติดปลายลิ้น ส่วนขนมลูกกลมๆนี่ก็หวานกำลังดี อีกทั้งสีสันยังน่ากิน เมื่อกินคู่กับชาแล้วเข้ากันได้อย่างดี”“ตั้งแต่ก้าวเข้ามาเจ้ามีแต่เอ่ยชมนาง หวางชิวเฟิน อย่าบอกนะว่าซือถูหน้าตายอย่างเจ้าชื่นชอบแม่นางน้อยคนนี้แล้ว” มู่หวังเยี่ยนมองหน้าเพื่อนหนุ่มอย่างจับผิดหวางชิวเฟินเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดีติดอันดับต้นๆแห่งเมืองหลวง หญิงสาวมากมายต่างหลงใหลคลั่งไคล้มาตั้งแต่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม แต่เขากลับทำหน้าตาเบื่อหน่ายไม่ยอมคบหาพูดจากับหญิงใด ไม่ว่าจะมีแม่สื่อส่งเทียบเชิญจนล้นจวนเขาก็ยังคงไม่เหลือบแล วันวันทำแต่งานจนก้าวหน้าเลื่อนขั้นขึ้นเป็นเจ้ากรมด้วยวัยเพียง29ขวบปีผู้คนต่างนินทาว่าพวกเขาสองคนเป็นคู่ชายตัดแขนเสื้อ ด้วยสนิทสนมกันมาตั้งแต่เยาว์วัยและอยู่คู่กันมาโดยตลอด ยิ่งมู่หวังเยี่ยนไม่ยอมตามบิดาไปชายแดนแต่ยืนกรานจะอยู่เป็นเลขาให้หวางชิวเฟิน คำนินทายิ่งดังขึ้นจนเหล่าหญิงสาวพากันถอยหนีส่งให้ทั้งสองคนครองความเป็นโสดมาจนป่านนี้“ข้
ตอนที่แปดเปิดอย่างยิ่งใหญ่สองยายหลานชิมขนมกันทุกวันจนร่างบางเริ่มอวบอิ่ม เซียงเจินจูจึงต้องแจกจ่ายให้ลูกน้องและคนงานได้ช่วยชิมกันบ้างจนต่างติดใจไปตามๆกันนางยังนำขนมห่อไปฝากเจ้าของร้านบะหมี่ที่ช่วยเหลือและให้เขาช่วยกระจายข่าวการเปิดร้านครั้งใหม่ให้อีกด้วยในเรื่องของใบชา ด้วยมีไร่ชาซึ่งตาเซียงหม่าตกลงซื้อหากันไว้อยู่ก่อนแล้ว เซียงเจินจูจึงเพียงใช้ความรู้ที่มีคัดสรรใบชาแล้วนำมาผ่านกรรมวิธีตามที่ตาเฒ่าเซียงหม่าสอนสั่งจนได้ใบชามาเตรียมไว้หลายกระบุงทีเดียวอืม...วิธีโบราณนี่ก็ไม่ง่าย กว่าจะได้ใบชารสเลิศใช้เวลาอยู่หลายวัน หากจะนำไปใช้ในร้านชาที่เปิดไว้คงต้องหาทางร่นระยะเวลา ไข่มุกในร่างของเซียงเจินจูยังไม่วายคิดถึงร้านชาของตัวเองทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับไปอีกไหมหญิงสาวยังลองผสมผสานใบชาตามที่เคยทดลองมาจากร่างของไข่มุกจนได้รสชาติแปลกใหม่หลายรูปแบบทั้งหวาน ทั้งเปรี้ยว ทั้งขมปะแล่มๆไม่รู้ว่าคนที่นี่จะชอบรสแบบนี้ไหม คงต้องลองดูแล
ตอนที่เจ็ดเตรียมตัวเปิดร้านชาเมื่อสองขุนนางหนุ่มลากลับไปแล้ว เซียงเจินจูจึงเข้าไปเล่าให้ยายเหลียนได้ฟังเพื่อปลุกปลอบจิตใจของยายเฒ่าให้ฮึกเหิมอยู่สู้ต่อไปด้วยกันยายเหลียนมองใบหน้ายิ้มแย้มกับปากซึ่งกำลังเจรจาของหลานสาวด้วยความแปลกใจสองตายายเลี้ยงดูอุ้มชูเด็กน้อยมาตั้งแต่แบเบาะดุจหลานในไส้ด้วยไม่มีบุตรหลาน เด็กสาวได้รับการดูแลอย่างดี โดยพวกเขาจ้างครูมาสอนให้นางอ่านออกเขียนได้ และให้การศึกษาในเรื่องที่หญิงสาวควรต้องเรียนทุกอย่างหวังให้นางได้มีชายหนุ่มที่ดีมาสู่ขอแต่หญิงสาวกลับขี้อายและเรียบร้อยจึงมักเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ด้านหลังร้านโดยแทบไม่เคยเผยหน้าออกมาจนอายุ16ขวบปีแล้วเซียงเจินจูมักบอกกับสองตายายว่านางไม่อยากแต่งงานและอยากสืบทอดร้านชาต่อไปจึงหมั่นศึกษาเรียนรู้จากตาเฒ่าเซียงหม่าจนสามารถปรุงชาได้ใกล้เคียงกับผู้เป็นตาแรกเริ่มเดิมที’ร้านชาเซียงซือ’เป็นเพียงร้านเล็กๆเท่านั้น แต่ไม่นานด้วยจำนวนลูกค้าที่ติดใจในรสชาติชาและขนมของยายเหลียน จึงจำต้องขยับขยายซื้อที่ทางจนใหญ่โตขึ
ใบหน้าหล่อเหลาทั้งสองมองกันไปมองกันมาอย่างลำบากใจเมื่อเห็นหญิงสาวเริ่มมีน้ำตา“เอาล่ะ วันนี้ข้ามาเพื่อต้องการชดเชยไม่ได้ต้องการบีบคั้นให้เจ้าต้องเสียใจ เลขามู่เพียงอยากบอกเอาไว้เท่านั้นว่าที่ดินตรงนี้จะอยู่ใจกลางสำนักศึกษา แต่หากเจ้ายังยืนกรานจะเปิดร้านชาต่อไป ข้าก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ” หวางชิวเฟินใช้น้ำเสียงประนีประนอม“ข้าอยากรู้ว่าสำนักศึกษาของพวกท่านจะกินพื้นที่ไปมากเพียงใด” เซียงเจินจูซึ่งเริ่มคิดตามแล้วเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงร้องถามหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตัดสินใจมู่หวังเยี่ยนหยิบกระดาษออกมาวาดภาพให้เห็น“สำนักศึกษาของเราจะตั้งอยู่ระหว่างถนนสองด้าน มีประตูเข้าซ้ายขวา ส่วนร้านชาของเจ้าจะอยู่ตรงกลางพอดี”“อืม...หมายความว่าถนนหน้าร้านในยามนี้จะโดนกลืนหายไปเป็นพื้นที่ภายในสำนักของพวกท่านหรือ”“ใช่ ถนนนี้จะกลายเป็นเส้นทางสัญจรภายในของพวกเรา”เซียงเจินจูมองแผนภาพแล้วคิดใคร่ครวญ“เช่นนั้นหากข้าจะขอแลกพื้นที่ไปตั้งร้านชาที่ริมถนนด้านหน้าฝั่งริมกำแพงของสำนักศึกษา จะได้หรื
ตอนที่หก เจรจาตกลงความจริงไข่มุกในร่างของเซียงเจินจูอยากจะหาคันฉ่องมาส่องดูว่าหน้าตาของนางเป็นอย่างไรบ้างแต่ยังไม่มีโอกาส นางเคยสำรวจร่างกายที่ตัวเองกำลังอาศัยอยู่ยามอาบน้ำอย่างละเอียดภายใต้เสื้อผ้าธรรมดาไม่น่าเชื่อว่า สาวน้อยนางนี้มีผิวกายเนียนละเอียดขาวผุดผ่องสะอาดตา ทรวดทรงหรือก็สมส่วน เอวคอดสะโพกผาย มีหน้าอกมีก้นครบเครื่องอืม...รูปร่างดีกว่าตัวจริงของฉันเสียอีก นี่ขนาดอายุแค่16 นะเนี่ย เซียงเจินจูเติบโตมากับตาเฒ่าเซียงหม่าและยายเฒ่าซินเหลียน ตั้งแต่จำความได้นางก็ได้รับการบอกเล่าถึงชาติกำเนิดที่ไม่มีที่มา ยายเหลียนเล่าว่าคืนหนึ่งมีเสียงเด็กร้องไห้ดังลั่น เมื่อเปิดประตูออกมาก็พบห่อผ้าซึ่งมีตัวนางนอนร้องไห้งอแงอยู่พร้อมจี้หยกอันหนึ่ง จึงไม่แปลกที่หญิงสาวจะหน้าตาไม่เหมือนทั้งตาและยายหญิงสาวเดินนำสองหนุ่มไปจนถึงโต๊ะกลางสวนแล้วหันไปบอกให้ลูกจ้างสาวเข้าไปเชิญยายเหลียนออกมานั่งลงเปิดการเจรจา“ข้าสอบความจนกระจ่างแล้ว เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่กวดขัน