ตอนที่สาม ลุกขึ้นสู้
“คนของทางการเองใช่ว่าจะทำอันใดได้ อย่างมากก็จับพวกนักเลงไปขังไว้สักคนสองคน แต่พวกเราคงต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน ตราบใดที่พวกเขายังอยากได้ที่ดินตรงนี้
เฮ้อ...เดิมทีพวกเขาส่งคนมาขอซื้อ แต่หว่านล้อมอย่างไรตาเฒ่าก็ไม่ยอมขาย สุดท้ายจึงต้องสังเวยชีวิต” ยายเหลียนก้มลงเช็ดน้ำตา
“ชั่วชาติจริงๆ” ไข่มุกในร่างเซียงเจินจูเผลอด่าออกมาจนยายเหลียนซึ่งกำลังหลั่งน้ำตาอย่างทดท้อต้องมองจ้องด้วยหลานสาวผู้เคยอ่อนแอและเรียบร้อย ยามนี้แลดูแปลกออกไป
“พวกเรายังมีเงินทองอีกมากหรือไม่เจ้าคะ” เซียงเจินจูถามถึงเรื่องสำคัญ การจะทำสิ่งใดย่อมต้องใช้เงินทองหว่านลงไป
“มีมากทีเดียว พวกเราเก็บเอาไว้ให้เจ้านะอาจู เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะยากลำบาก” ยายเฒ่าแปลความไปอีกด้าน
“เช่นนั้นขอให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าจะทำสิ่งใดหรือ”
“ข้าจะนำไปซื้อของตอบแทนให้ผู้ที่นำซองมาให้ในงานของท่านตาเจ้าค่ะ” สาวน้อยยกข้ออ้าง
“อืม...จริงด้วย ข้ามัวแต่เศร้าหมองจนหลงลืมธรรมเนียมไป เอ้านี่เงิน...อาจู หาซื้อขนมเปี๊ยะอย่างดีล่ะ” ยายเหลียนกำชับ ก่อนจะรีบสั่งเด็กในร้านซึ่งเหลืออยู่เพียงคนเดียวให้เดินตามหลานสาวไปเพื่อช่วยเหลือ
เซียงเจินจูได้เงินมาแล้วจึงรีบออกจากร้านเพื่อไปตามหาชายสองคนซึ่งกล่าววาจาเข้าข้างพวกนางในงานพิธีวันนี้ นางพบพวกเขาคนหนึ่งเปิดแผงขายบะหมี่ อีกคนเปิดร้านขายรองเท้าอยู่ใกล้กันจึงรีบเข้าไปพูดคุยเพื่อปรึกษา
“ท่านอา ข้าไม่อยากปิดร้านชาเซียงซือ แต่คงไม่อาจสู้นักเลงกลุ่มนั้นได้ หากข้าจะขอร้องให้ช่วยหาคนดีมีฝีมือสักหลายคนไปช่วยคุ้มครองจะได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมได้สิหลานสาว ร้านบะหมี่ของข้าเป็นแหล่งชุมนุมของคนมีฝีมือมากมาย ข้าจะทาบทามคนนิสัยดีมีฝีมือเก่งกาจให้ เจ้าเอง ดีจริง ข้าล่ะอยากจะสั่งสอนนักเลงพวกนั้นให้หลาบจำ บังอาจทำร้ายคนจนตายแล้วยังเดินลอยหน้าไม่ถูกจับกุม หากต่อไปพวกเขาอยากได้ร้านบะหมี่ของข้ามิใช้วิธีเดียวกันบีบคั้นจนคนทั้งตลาดต้องหนีกลับบ้านนอกกันหมดหรือ” ชายขายบะหมี่ออกท่าออกทาง
“นั่นสิเจ้าคะ พวกเขาช่างชั่วช้านัก ยิ่งคนเบื้องหลังยิ่งชั่วชาติกว่า แต่ยามนี้ข้าคงต้องป้องกันตัวก่อน แล้วค่อยคิดหาทางสู้กับคนเบื้องหลังอีกทีหนึ่ง” สาวน้อยรีบผสมโรง
เมื่อเจรจาสำเร็จ เซียงเจินจูจึงเดินวนเพื่อเสาะหาข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องนำไปทดแทนของที่เสียหายไป แล้วกลับไปจดลงกระดาษจัดทำบัญชีรายการและจำนวนเงินอย่างละเอียด
วันรุ่งขึ้น เจ้าของร้านบะหมี่เดินนำชายท่าทางดุดันมาที่หน้าประตู4คน โดยแนะนำว่าพวกเขาเป็นผู้คุ้มกันซึ่งผ่านทางมาจึงอยากรับงานนี้ หญิงสาวตกลงค่าจ้างและให้คนงานสาวซึ่งเหลืออยู่เพียงคนเดียวจัดหาที่พักให้ก่อนจะเข้าไปเกลี้ยกล่อมยายเหลียนอีกครั้ง
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะสืบสานร้านชาเซียงซือต่อให้ได้ ขอท่านยายสนับสนุนข้าด้วย”
“อาจูเอ๊ย เรื่องนี้ทั้งยุ่งยากและอันตรายเกินไป เจ้าเป็นเพียงเด็กสาวจะทำอันใดได้”
“นั่นจึงต้องขอให้ท่านยายช่วยอย่างไรเจ้าคะ”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าผู้คุ้มกันไม่กี่คนนี่จะต้านทานนักเลงพวกนั้นได้”
“คงต้องรอดูก่อนเจ้าค่ะ หากไม่ได้ก็หาใหม่”
เซียงเจินจูตอบอย่างง่ายๆด้วยนางเองก็ยังไม่เห็นฝีมือของชายทั้งสี่นั่นเช่นกัน
ตอนที่สี่ถามหาความยุติธรรมหญิงสาวไม่ต้องรอนานด้วยเย็นวันนั้น กลุ่มนักเลงก็พากันมาขับไล่สองยายหลานอย่างย่ามใจ ผู้คุ้มกันที่จ้างมาทั้งสี่หิ้วพวกเขาออกไปที่ด้านนอกร้าน แล้วเป็นฝ่ายทุบตีขับไล่พวกนักเลงแทนจนล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีหางจุกตูดไปตามๆกัน เซียงเจินจูพยักหน้ามองคนที่จ้างมาอย่างพึงพอใจ อืม...มีฝีมือ ค่อยสมค่าจ้างหน่อย วันรุ่งขึ้นหญิงสาวจึงพาผู้คุ้มกันสองคนติดตามออกไปสำรวจข้าวของเครื่องใช้ต่อ จากนั้นจึงแวะซื้อขนมไปขอบคุณเจ้าของร้านบะหมี่แล้วนั่งลงพูดคุยสอบถามเพิ่มเติม “เรื่องตั้งสำนักศึกษาตรงที่ดินแถวร้านชาของเจ้าเป็นเรื่องจริง ข้าได้ยินขุนนา
‘หวางชิวเฟิน’ เจ้ากรมศึกษาหรือที่ผู้คนเรียกกันว่า’ซือถู’เปิดผ้าม่านก้าวลงมาเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้าย “เจ้าเอ่ยว่าอันใดหรือสาวน้อย มีคนส่งนักเลงไปทำลายร้านชาแล้วทำร้ายตาของเจ้าจนเสียชีวิตอย่างนั้นหรือ” เสียงนุ่มนวลเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าร่างบางตรงหน้าเป็นเพียงสาวน้อยหน้าตาสะอาดสะอ้านเรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรคนหนึ่ง “ท่านเป็นคนผู้นั้นยังจะแกล้งทำไขสืออีกหรือ” เสียงต่อว่าดังออกมาก่อนเซียงเจินจูจะเงยหน้ามองชายหนุ่มผู้รั้งตำแหน่งเจ้ากรมศึกษาให้ชัด โอ้วววววว หล่อมาก ใบหน้าขาวเนียนเปล่งประกายความฉลาดเฉลียว คิ้วโค้งโก้งดั่งคันศร จมูกโด่ง ดวงตาเรียวเปล่งพลังความเข้มแข็งมีชีวิตชีวา เครื่องหน้าเปี่ยมราศีบ่งบอกความหลักแหลมคมคาย รูปร่างสูงสง
ตอนที่ห้า สอบสวนเรื่องราว ระหว่างรอความคืบหน้าในการหาตัวผู้บ่งการ เซียงเจินจูจึงวางแผนการเปิดร้านชาเซียงซือครั้งใหม่อย่างรอบคอบ อืม...ใบชายังมีเหลืออยู่ ส่วนใบชารอบใหม่น่าจะกำลังส่งมา กาน้ำชากับถ้วยชาน่าจะต้องซื้อใหม่ทั้งหมดเพราะแตกไปแทบไม่เหลือ ก็ดีจะได้เลือกให้สวยแปลกใหม่อย่างที่ชอบ วัตถุดิบทำขนมของท่านยายคงต้องรอให้ยายเหลียนทำใจได้อีกสักพักค่อยปลุกปลอบให้มีกำลังใจอีกครั้ง ส่วนการตกแต่งร้าน หญิงสาวเดินวนดูรอบร้านเป็นรอบที่ห้า เพื่
“พวกเราซื้อที่ดินละแวกนั้นมาเกือบทั้งหมดแล้ว ที่ดินของร้านชาเซียงซืออยู่ตรงกลาง หากนางไม่ยอมขายและยังดึงดันจะเปิดร้านชาต่อไป เช่นนั้นสถานศึกษาของเรามิใช่โอบล้อมร้านชาของนางหรือ”“เช่นนั้นคงต้องไปบอกเล่าให้นางเข้าใจและปรึกษาหารือกันอีกที” หวางชิวเฟินตัดสินใจใช้การเจรจา“เจ้าก็ไปกับข้าด้วย” ชายหนุ่มหันมาสั่งเลขาซึ่งคือเพื่อนสนิท“ได้ขอรับ ท่านซือถู” มู่หวังเยี่ยนโค้งรับอย่างเสแสร้งด้วยหากอยู่กันตามลำพังพวกเขาไม่เคยวางท่าเป็นเจ้านายลูกน้อง“เรื่องที่เด็กสาวคนนั้นตะโกนด่าเจ้ากลางตลาดถูกเล่าลือไปทั่วแล้ว ข้าอยากเห็นหน้านางเช่นกันว่าเป็นเช่นไร ซือถูของเราหล่อเหลาออกปานนี้ หญิงสาวทั่วไปเพียงเห็นหน้าก็อ่อนระทวยได้แต่บิดมือเอียงอาย แต่นางกลับกล้าด่าเจ้าเสียๆหายๆ ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าสนใจนัก” มู่หวังเยี่ยนยิ้มแย้มอยากเห็นหน้าหญิงสาวดั่งเช่นคุณชายเจ้าสำราญทั่วไป“นางงดงามหรือไม่” เลขาหนุ่มหันมาถามเพื่อนสนิท“ข้าไม่ได้จ้องมองจึงยังเห็นไม่ชัด เจ้าก็ไปดูเอาเองเถอะ” หวางชิว
ตอนที่หก เจรจาตกลงความจริงไข่มุกในร่างของเซียงเจินจูอยากจะหาคันฉ่องมาส่องดูว่าหน้าตาของนางเป็นอย่างไรบ้างแต่ยังไม่มีโอกาส นางเคยสำรวจร่างกายที่ตัวเองกำลังอาศัยอยู่ยามอาบน้ำอย่างละเอียดภายใต้เสื้อผ้าธรรมดาไม่น่าเชื่อว่า สาวน้อยนางนี้มีผิวกายเนียนละเอียดขาวผุดผ่องสะอาดตา ทรวดทรงหรือก็สมส่วน เอวคอดสะโพกผาย มีหน้าอกมีก้นครบเครื่องอืม...รูปร่างดีกว่าตัวจริงของฉันเสียอีก นี่ขนาดอายุแค่16 นะเนี่ย เซียงเจินจูเติบโตมากับตาเฒ่าเซียงหม่าและยายเฒ่าซินเหลียน ตั้งแต่จำความได้นางก็ได้รับการบอกเล่าถึงชาติกำเนิดที่ไม่มีที่มา ยายเหลียนเล่าว่าคืนหนึ่งมีเสียงเด็กร้องไห้ดังลั่น เมื่อเปิดประตูออกมาก็พบห่อผ้าซึ่งมีตัวนางนอนร้องไห้งอแงอยู่พร้อมจี้หยกอันหนึ่ง จึงไม่แปลกที่หญิงสาวจะหน้าตาไม่เหมือนทั้งตาและยายหญิงสาวเดินนำสองหนุ่มไปจนถึงโต๊ะกลางสวนแล้วหันไปบอกให้ลูกจ้างสาวเข้าไปเชิญยายเหลียนออกมานั่งลงเปิดการเจรจา“ข้าสอบความจนกระจ่างแล้ว เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่กวดขัน
ใบหน้าหล่อเหลาทั้งสองมองกันไปมองกันมาอย่างลำบากใจเมื่อเห็นหญิงสาวเริ่มมีน้ำตา“เอาล่ะ วันนี้ข้ามาเพื่อต้องการชดเชยไม่ได้ต้องการบีบคั้นให้เจ้าต้องเสียใจ เลขามู่เพียงอยากบอกเอาไว้เท่านั้นว่าที่ดินตรงนี้จะอยู่ใจกลางสำนักศึกษา แต่หากเจ้ายังยืนกรานจะเปิดร้านชาต่อไป ข้าก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ” หวางชิวเฟินใช้น้ำเสียงประนีประนอม“ข้าอยากรู้ว่าสำนักศึกษาของพวกท่านจะกินพื้นที่ไปมากเพียงใด” เซียงเจินจูซึ่งเริ่มคิดตามแล้วเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงร้องถามหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตัดสินใจมู่หวังเยี่ยนหยิบกระดาษออกมาวาดภาพให้เห็น“สำนักศึกษาของเราจะตั้งอยู่ระหว่างถนนสองด้าน มีประตูเข้าซ้ายขวา ส่วนร้านชาของเจ้าจะอยู่ตรงกลางพอดี”“อืม...หมายความว่าถนนหน้าร้านในยามนี้จะโดนกลืนหายไปเป็นพื้นที่ภายในสำนักของพวกท่านหรือ”“ใช่ ถนนนี้จะกลายเป็นเส้นทางสัญจรภายในของพวกเรา”เซียงเจินจูมองแผนภาพแล้วคิดใคร่ครวญ“เช่นนั้นหากข้าจะขอแลกพื้นที่ไปตั้งร้านชาที่ริมถนนด้านหน้าฝั่งริมกำแพงของสำนักศึกษา จะได้หรื
ตอนที่เจ็ดเตรียมตัวเปิดร้านชาเมื่อสองขุนนางหนุ่มลากลับไปแล้ว เซียงเจินจูจึงเข้าไปเล่าให้ยายเหลียนได้ฟังเพื่อปลุกปลอบจิตใจของยายเฒ่าให้ฮึกเหิมอยู่สู้ต่อไปด้วยกันยายเหลียนมองใบหน้ายิ้มแย้มกับปากซึ่งกำลังเจรจาของหลานสาวด้วยความแปลกใจสองตายายเลี้ยงดูอุ้มชูเด็กน้อยมาตั้งแต่แบเบาะดุจหลานในไส้ด้วยไม่มีบุตรหลาน เด็กสาวได้รับการดูแลอย่างดี โดยพวกเขาจ้างครูมาสอนให้นางอ่านออกเขียนได้ และให้การศึกษาในเรื่องที่หญิงสาวควรต้องเรียนทุกอย่างหวังให้นางได้มีชายหนุ่มที่ดีมาสู่ขอแต่หญิงสาวกลับขี้อายและเรียบร้อยจึงมักเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ด้านหลังร้านโดยแทบไม่เคยเผยหน้าออกมาจนอายุ16ขวบปีแล้วเซียงเจินจูมักบอกกับสองตายายว่านางไม่อยากแต่งงานและอยากสืบทอดร้านชาต่อไปจึงหมั่นศึกษาเรียนรู้จากตาเฒ่าเซียงหม่าจนสามารถปรุงชาได้ใกล้เคียงกับผู้เป็นตาแรกเริ่มเดิมที’ร้านชาเซียงซือ’เป็นเพียงร้านเล็กๆเท่านั้น แต่ไม่นานด้วยจำนวนลูกค้าที่ติดใจในรสชาติชาและขนมของยายเหลียน จึงจำต้องขยับขยายซื้อที่ทางจนใหญ่โตขึ
ตอนที่แปดเปิดอย่างยิ่งใหญ่สองยายหลานชิมขนมกันทุกวันจนร่างบางเริ่มอวบอิ่ม เซียงเจินจูจึงต้องแจกจ่ายให้ลูกน้องและคนงานได้ช่วยชิมกันบ้างจนต่างติดใจไปตามๆกันนางยังนำขนมห่อไปฝากเจ้าของร้านบะหมี่ที่ช่วยเหลือและให้เขาช่วยกระจายข่าวการเปิดร้านครั้งใหม่ให้อีกด้วยในเรื่องของใบชา ด้วยมีไร่ชาซึ่งตาเซียงหม่าตกลงซื้อหากันไว้อยู่ก่อนแล้ว เซียงเจินจูจึงเพียงใช้ความรู้ที่มีคัดสรรใบชาแล้วนำมาผ่านกรรมวิธีตามที่ตาเฒ่าเซียงหม่าสอนสั่งจนได้ใบชามาเตรียมไว้หลายกระบุงทีเดียวอืม...วิธีโบราณนี่ก็ไม่ง่าย กว่าจะได้ใบชารสเลิศใช้เวลาอยู่หลายวัน หากจะนำไปใช้ในร้านชาที่เปิดไว้คงต้องหาทางร่นระยะเวลา ไข่มุกในร่างของเซียงเจินจูยังไม่วายคิดถึงร้านชาของตัวเองทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับไปอีกไหมหญิงสาวยังลองผสมผสานใบชาตามที่เคยทดลองมาจากร่างของไข่มุกจนได้รสชาติแปลกใหม่หลายรูปแบบทั้งหวาน ทั้งเปรี้ยว ทั้งขมปะแล่มๆไม่รู้ว่าคนที่นี่จะชอบรสแบบนี้ไหม คงต้องลองดูแล
ตอนที่สิบแปด คนรักหรือเมื่อได้ยินคำพูดจากหญิงแปลกหน้า เซียงเจินจูจึงเงยหน้าขึ้นมองสำรวจอย่างตั้งใจหญิงสาวผู้นี้แต่งกายคล้ายชายหนุ่ม พกกระบี่เล่มหนึ่งที่เอว เครื่องหน้าจัดว่างดงามรูปร่างสมส่วน ยามพูดจาฉะฉานชัดเจน“เจ้าเป็นอันใดกับพี่เฟินหรือ”“ข้าเป็นคนรักของเขา”“คนรัก?”อีกคนแล้วหรือ เหตุใดมีแต่หญิงสาวมาบอกว่าเป็นคู่หมายบ้าง เป็นคนรักบ้าง หวางชิวเฟินผู้นี้เนื้อหอมไม่เบาเสียงม้าควบขี่เข้ามาราวพายุ จากนั้นร่างของหวางชิวเฟินก็ปลิวลงมาโอบประคองเซียงเจินจูไว้ในอ้อมกอดก่อนจะหันไปตวาดหญิงสาวแปลกหน้า“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ เหตุใดฉุดคร่าผู้คนตามอำเภอใจเช่นนี้ ข้าจะให้ท่านแม่ทัพลงโทษเจ้า”“พี่ชิวเฟิน ท่านเห็นนางดีกว่าข้าหรือ ข้าไม่ยอม” หญิงแปลกหน้าไม่แก้ตัวแต่กลับโวยวายกระเง้ากระงอดเข้ามาคว้าแขนของหวางชิวเฟินฉุดดึงให้ออกห่างจากเจ้าของร้านชาสาว“เยว่ฉี เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใด” มู่หวังเยี่ยนซึ่งขี่ม้าตามมากระโดดลงมาทักทายหญิ
ตอนที่สิบแปด คนรักหรือหวางชิวเฟินหัวเราะขำจนหลงลืมเรื่องที่อยากจะทำไปจนได้ เขาประคองร่างบางให้ลุกยืนก่อนจะพาไปหาของกินต่อแล้วรีบพากลับไปส่งก่อนที่จะเกิดอารมณ์จับนางกินจนไม่เหลือกระทั่งกระดูกเซียงเจินจูกลับมานอนเกลือกกลิ้งคิดไปคิดมา แม้จะแน่ใจ9ใน10ส่วนว่าสองพ่อลูกสกุลหวางน่าจะไม่ผิดคำพูดและมาสู่ขอนางแน่ แต่ตราบใดที่ขบวนขันหมากยังไม่ผ่านประตูมา ทุกเรื่องย่อมเปลี่ยนแปลงได้ดังนั้นนางจะยอมให้เขาจับกินก็ต่อเมื่อได้รับของหมั้นและกำหนดวันแต่งงานแล้ว แม้จะอยากลองของเพียงใดแต่ความกริ่งเกรงยังมีมากกว่าจนต้องเลิกคิดแล้วหันมาใส่ใจเรื่องร้านชาของตนเองต่อไม่กี่วันต่อมาหวางชิวเฟินก็มานัดแนะวันเวลากับยายเหลียนให้เตรียมตัว จากนั้นจึงส่งเทียบมาอย่างเป็นทางการ จนเช้าวันที่เจ็ดขบวนขันหมากอย่างเต็มพิธีจึงถูกยกเข้ามายังห้องโถงของร้านชาเซียงซือยายเหลียนยืนรอรับขบวนอย่างตื่นเต้นสองหน่วยตาเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความปิติยินดีตาเฒ่าหม่าเอ๊ย เจ้าเห็นหรือไม่ หลานสาวของเราจะได้เป็นฝั่งเป็นฝากับชายหนุ่มที่ดีแล้ว
ตอนที่สิบเจ็ด เกือบไปแล้วเซียงเจินจูโดนดึงรั้งจนก้าวตามแทบไม่ทัน ชายหนุ่มออกอาการไม่ได้ดั่งใจจึงโอบประคองเกือบอุ้มสาวน้อยส่งขึ้นรถก่อนหญิงสาวจะเข้าไปนั่งตื่นตกใจอยู่ภายในรถม้า“เอ่อ...ข้ายังกินไม่อิ่มเลย” เสียงอ่อยๆเอ่ยออกมาเบาๆ“รอเสร็จเรื่องค่อยกินอีกที” เสียงเคร่งเครียดเอ่ยตอบราวพวกเขากำลังไปทำเรื่องคอขาดบาดตาย“พี่เฟิน ท่านยังไม่ได้จ่ายค่าอาหาร”“ลูกน้องของพี่ย่อมจ่ายแล้ว”“เอ่อ...ท่านยายกำลังรออยู่”“พี่จะให้คนไปแจ้งว่าเจ้าอยู่กับพี่จะกลับช้าหน่อย”“ข้า...ข้า...ข้า” เสียงหวานสั่นไหวตามอารมณ์หวั่นเกรง“ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าหาเรื่องเอง” เสียงดุเอ่ยออกมาพร้อมใบหน้าเคร่งขรึมจนสาวน้อยเริ่มกลัว “วันอื่นได้หรือไม่” สาวน้อยยังพยายามต่อรอง แม้ใจจริงจะอยากจับชายหนุ่มหล่อตรงหน้ากินเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่อีกใจยังคงอยากทำใจให้นาน
ตอนที่สิบหก ท้าทายเซียงเจินจูรับรู้ได้ถึงรสสุราในปากของชายหนุ่มด้วยเขาดื่มไปด้วยระหว่างกินอาหาร ส่วนหวางชิวเฟินย่อมรับรู้ได้ถึงรสเป็ดย่างเต็มปากด้วยหญิงสาวเพิ่งกลืนลงไป ปากทั้งสองต่างดูดกลืนรสชาติของกันและกันอย่างดูดดื่ม ลิ้นทั้งสองถูกส่งออกมาตวัดเลียกวัดแกว่งพัวพันกัน แม้หวางชิวเฟินจะแปลกใจที่สาวน้อยใช้ลิ้นต่อสู้ราวช่ำชอง แต่ย่อมไม่มีเวลาคิดมากด้วยต้องชิมรสความหอมหวานให้มากที่สุด ไข่มุกในร่างของเซียงเจินจูย่อมเคยจูบมาบ้างจึงส่งลิ้นออกมาโรมรันอย่างไม่ยอมแพ้ ยิ่งนัวเนียมากเท่าใดยิ่งวาบหวามซาบซ่าจนโน้มร่างเข้าไปโอบคอแกร่งให้บดคลึงกันอย่างแนบแน่น กว่าสองร่างจะห่างออกจากกันก็เมื่อหายใจแทบไม่ทันแล้วจึงจำต้องปล่อยริมฝีปากออกแต่ยังคงละเลียดกันอยู่อย่างติดใจ “เจ้าเคยจุม
ตอนที่สิบห้า หายไปไหน“เจ้าลองดูตำราสองเล่มนี้แล้วจะเข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงนั่งคุยกับนางอย่างยินดีเช่นนั้น” ตำราที่เซียงเจินจูเขียนออกมาถูกส่งให้มู่หวังเยี่ยน เพียงเขาพลิกอ่านไปไม่กี่แผ่น สีหน้าก็แตกตื่นจนระงับไม่ไหว “นาง... นางเขียนเองหรือ ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด โดยเฉพาะตำราการปกครองนี่” “เพราะไม่เชื่อ อาจารย์เหล่านี้จึงกำลังนั่งซักถามนางอยู่อย่างไรเล่า หากเจ้าอยากฟังก็นั่งลงดีดี” หวางชิวเฟินโบกมือให้เพื่อนหนุ่มแล้วตั้งอกตั้งใจฟังหญิงสาวตอบคำถามของเหล่าอาจารย์อย่างสนใจ ความจริงเขาอยากจะเชิญนางมาที่นี่หลายวันแล้วแต่ติดขัดด้วยการถกเถียงเรื่องต่างๆยังไม่แล้วเสร็จจึงคิดว่าจะหาเวลาไปเชิญนางสักวัน ไม่คิดว่าวันนี้นางจะมาเอง เซียงเจินจูตอบทุกคำถามอย่างฉะฉาน บางคำตอบยังเสริมเพิ่ม
ตอนที่สิบห้า หายไปไหนเดิมทีเซียงเจินจูคิดเพียงว่าการได้แต่งงานกับหวางชิวเฟินนับเป็นข้อดีด้วยเขาทั้งหล่อ รวย แล้วก็น่าจะเป็นคนดีคนหนึ่งอย่างที่นางร้องขอ ยิ่งได้เห็นยายเหลียนดีอกดีใจจัดเตรียมสินเดิมให้นางอย่างมีความสุขหลังจากจมอยู่ในความทุกข์จากการสูญเสียตาเฒ่าคู่ชีวิตมาหลายเดือน หญิงสาวจึงตั้งใจว่าต้องทำให้การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นให้ได้ แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากเพียงใด ตาซือถูหน้าตายนั่นก็ช่างกระไร ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องแล้วมาสารภาพต่อหน้ายายเหลียนว่าจะส่งบิดามาสู่ขอ จากนั้นก็หายหน้าหายตาไปเลย ส่วนบิดาของเขาก็ทำลับๆล่อๆ ไม่เอ่ยปากว่าจะมาสู่ขอวันไหนมีแต่มาเกลี้ยกล่อมให้นางยอมรับการมีหลายเมีย ในเมื่อนางเคยตะโกนเอาไว้ก้องร้านชานมไข่มุกว่าจะหาแฟนใหม่ที่หล่อกว่า รวยกว่า ดีกว่า แล้วยังเอามันส์ โดยจะไม่เล่นตัวและจับกินเสียตั้งแต่ทีแรกจะได้ไ
ตอนที่สิบสี่ ไม่คู่ควรหวางชิวเฟินเข้าไปขอร้องบิดาของตนเองให้มาสู่ขอเจ้าของร้านชาเซียงซือด้วยตนเอง“เจ้าคิดดีแล้วหรือ เด็กสาวนางนั้นอายุเพียง16 น้อยกว่าเจ้าถึง13ปี แล้วยังเป็นเพียงเจ้าของร้านชาเล็กๆ ไหนเลยจะคู่ควรกับเจ้า อย่าลืมว่ากาลข้างหน้าเจ้ามีโอกาสขึ้นเป็นใหญ่ถึงเสนาบดี ควรต้องหาภรรยาที่รู้ความ สามารถต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อ และยังฉลาดหลักแหลมไม่หลงกลผู้อื่น ไม่นำเรื่องเดือดร้อนมาให้ อีกทั้งยังควรมีบิดาที่หนุนหลังได้” เสนาบดีปกครองสกุลหวางรีบเอ่ยเตือนบุตรชาย“เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ไม่น่าจะเห็นแก่ความรักหนุ่มสาวจนหลงลืมเรื่องที่ถูกที่ควร” ผู้เป็นบิดาไม่วายสำทับ“ข้าเลือกอยู่นานในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกนางนั่นก็เพราะนางคือสตรีที่ครบถ้วนตามที่ท่านพ่อบอกออกมา แม้นางจะอายุน้อยแต่สามารถเปิดร้านชาใหญ่โต ดูแลกิจการได้ด้วยตัวคนเดียว หากท่านพ่อได้ไปเห็นร้านชาเซียงซือจะไม่กล่าวคำว่าร้านเล็กๆอีกนอกจากนั้นนางยังเป็นเด็กสาวที่ฉลาดเฉลียว ต้อนรับลูกค้าได้อย่างดี ไม่เคยหลงกลผู้ใด แล้วยังมีความสามารถเก่งกาจในหลายๆด
“ท่านยาย พวกเราไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย ท่านอย่าได้ฟังคำคนนินทาเลย” เซียงเจินจูรีบแก้ตัวให้ทั้งตนเองและชายหนุ่ม “อาจูเอ๊ย...เจ้าเป็นเด็กสาว หากมีเรื่องนินทาเสียๆหายๆเช่นนี้ วันหน้ายังจะหาชายหนุ่มดีดีมาสู่ขอได้อย่างไร” ยายเหลียนเอ่ยอย่างเสียใจที่ไม่อาจปกป้องหลานสาวได้ทั้งๆที่เกิดเหตุในร้านของตนเองแท้ๆ “ไม่มีคนมาสู่ขอ ข้าก็ดูแลร้านชาไปตลอดชีวิต มิได้หรือเจ้าคะ” “เกิดเป็นหญิงย่อมต้องแต่งงาน หากไม่มีผู้ปกป้องคุ้มครองเจ้าจะอยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไร แล้วยายจะตายตาหลับได้อย่างไรเล่า อาจู” ยายเหลียนหลั่งน้ำตาออกมาอย่างสุดกลั้น หวางชิวเฟินยืนมองภาพความรักความห่วงใยของสองยายหลานถึงกับต้
ตอนที่สิบสอง งดงามหรือมารร้าย“ข้าไม่เคยบอกให้รอ และไม่เคยมีทีท่าชอบพอหรือรับปากคำใดกับเจ้า เหตุใดต้องรับผิดชอบ คุณหนูเฟินท่านกลับไปแล้วรีบหาชายหนุ่มแต่งงานเถอะ อย่าได้คิดหวังในตัวข้าอีกเลย” หวางชิวเฟินตอบเสียงเข้ม “ในเมื่อท่านแล้งน้ำใจเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าข้าทำเกินไป” หญิงสาวซึ่งเดิมทีมองว่างดงามแปลงร่างเป็นนางมารทันทีเมื่อไม่ได้อย่างใจ นางพุ่งเข้าจิกผมของเซียงเจินจูจนหน้าหงายก่อนจะพยายามใช้เล็บที่ยาวเฟื้อยกรีดลงบนใบหน้าเล็ก “อยากรู้นักว่าหากใบหน้านี้มีรอยเล็บของข้าจนน่าเกลียดแล้ว ท่านยังจะชอบนางเด็กต่ำต้อยนี้อีกหรือไม่ เชอะ เป็นเพียงเจ้าของร้านชากระจอกริอาจมาแย่งสามีกับข้าหรือ” หญิงสาวพ่นคำด่าหยาบคายผิดภาพอ่อนช้อยในทีแรก เซียงเจินจูจับมือซึ่งพยายามจรดเล็บลงบนหน้าอย่างสุดกำลัง แม้ไม่ทันตั้งตัวแต่ไข่มุกในร่า