“ลุกขึ้นมาเถิด ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว” เซี่ยซางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ“เพคะ” นางตอบกลับอย่างอ่อนโยนกล่าวจบเขาก็เข้าไปในห้องนอนหลักของเจียงเฟิ่งหัว เจียงเฟิ่งหัวเหลือบมองนางทีหนึ่ง บังเอิญสบเข้ากับสายตาของนางพอดี นางกำลังยั่วยุ ทำให้ซูถิงหว่านโมโหจนต้องหยิกต้นขาตนเองสุดแรงเจียงเฟิ่งหัวมิได้กล่าวสิ่งใดอีก นางตรงจากไปแล้ว กลับเข้าไปในห้องหลักเหลียนเย่และหงซิ่วที่เฝ้าอยู่หน้าประตู ใช้มือกุมท้องกลั้นหัวเราะเบิกบานไม่หยุด สีหน้าในตอนที่พระชายารองซูเห็นหนังสือกองนั้นเมื่อครู่ จนถึงบัดนี้พวกนางก็ยังรู้สึกสาแก่ใจนักยังคงเป็นพระชายาที่ร้ายกาจ หากฮูหยินผู้เฒ่าซูที่ให้นางมาตามติดข้างกายพระชายา รู้ว่าพระชายาจะสอนชายารองอ่านหนังสือ เกรงว่าคงเสียใจจนหน้าเขียวแล้วนับจากวันนี้ไป ชายารองซูต้องตั้งใจอ่านหนังสือ แล้วนางยังจะเหลือความคิดไปยั่วยวนท่านอ๋องได้อีกหรือพวกคำพูดไม่รู้เรื่อง กำกวมคลุมเครือไม่ชัดเจนพวกนั้น แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว ไม่รู้ว่าพระชายาทรงศึกษาเข้าใจได้อย่างไรเจียงเฟิ่งหัวเพิ่งกลับมาถึงห้องชั้นใน ก็เห็นเซี่ยซางกำลังผลัดชุดขุนนางออกเตรียมหาชุดอื่นมาเปลี่ยน นางจึงรีบก้าวเข้าไปช่วย “
เซี่ยซางสีหน้าฉายประกายรู้สึกผิด “หรวนหร่วน ซูกุ้ยเฟยอาจจะต้องการทำร้ายเจ้าจริง แต่ข้าเชื่อว่าหวานหว่านเพียงแค่ถูกนางยุยงมาก็เท่านั้น ความจริงหวานหว่านไม่ได้ผิด ข้ารู้จักนางมาสามปีกว่าแล้ว และค่อนข้างรู้จักนางดี นางก็แค่อารมณ์อ่อนไหวง่ายและง่ายต่อการถูกผู้อื่นชักจูง พูดจาโผงผางตรงไปตรงมา” “นับแต่ซูกุ้ยเฟยส่งนางกำนัลคนหนึ่งมาปรนนิบัตินาง หวานหว่านก็เปลี่ยนไปจนข้าแทบไม่รู้จักแล้ว เหมือนอย่างการแสดงออกในวันนี้ของนาง ข้ารู้สึกราวกับว่าไม่เคยรู้จักนางมาก่อน บางทีอาจเป็นเพราะข้าทำร้ายนางไปแล้ว นางถึงได้ระมัดระวังตัวมากขึ้นถึงเพียงนี้” “นางเหมือนกับเจ้าในตอนแรก ไม่กล้าเปิดเผยด้านที่เป็นธรรมชาติต่อหน้าข้า ข้าหวังจริง ๆ ว่าพวกเจ้าจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง” เซี่ยซางยังคิดจะให้โอกาสซูถิงหว่านอีกครั้ง เจียงเฟิ่งหัวในใจคิดอยากจะพ่นลมออกจมูก ดูเหมือนว่าการแสดงของซูถิงหว่านวันนี้จะกระตุ้นสัญชาตญาณการปกป้องเอาใจของเซี่ยซางได้สำเร็จแล้ว! เห็นใบหน้าของนางปรากฏสีหน้างุนงงไม่เข้าใจ “นางกำนัลที่ท่านพูดถึงคืออวิ๋นฟางกูกูหรือเพคะ? เป็นนางที่ยุยงพระชายารองซู” เซี่ยซางผงกศีรษะ “ใช่แล้ว” “เช่น
เจียงห้วนเด็กเฝ้าประตูมีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้ “คุณหนูสาม ท่านไม่ได้กลับมาเสียนาน ระยะนี้จวนสกุลเจียงของพวกเราเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเลยขอรับ” “เกิดอะไรขึ้นหรือ?” นางเอ่ย “จวนของพวกเรามีคุณหนูอวี๋เพิ่มมาอีกหนึ่งท่านแล้ว เหมือนว่าจะเป็นสะใภ้ใหญ่ของพวกเราขอรับ ทว่านายท่านกับฮูหยินดูจะเคารพนางมาก” แน่นอนว่า เจียงห้วนย่อมไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของซางอวี๋เพียนเพียน และคนทั้งจวนก็ไม่ทราบเหมือนกัน ยกเว้นเจียงหวยสามีภรรยาและเจียงจิ่นเหยียน “แม่นางคนนั้นอยู่ที่ใดหรือ? อยู่ที่จวนหรือไม่” เจียงห้วนก็เอ่ยอีก “ไม่ขอรับ ตามคุณชายใหญ่ออกไปแล้ว” เป็นไปตามที่เจียงเฟิ่งหัวคาดเดาไว้ทุกประการ ป่าวประกาศออกไปขนาดนี้แล้ว สกุลจางย่อมจำเป็นต้องหาคู่หมั้นใหม่ให้จางอวี่มั่ว เฝิงจิ้งย่วนเมื่อเห็นบุตรีก็ตื่นเต้นดีใจและท่าทางดูมีลับลมคมใน นางลากเจียงเฟิ่งหัวเข้าไปด้านใน จากนั้นก็ไล่บรรดาสาวใช้ออกไปด้านนอกทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา “หรวนหร่วน เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครมาพำนักที่เรือนของพวกเรา?” เจียงเฟิ่งหัวสีหน้าเรียบเฉย “ทราบเจ้าค่ะ ซางอวี๋เพียนเพียนองค์หญิงรัชทายาทแคว้นเจาซี ลูกเ
เจียงเฟิ่งหัวและมารดาของนางพูดคุยเปิดเผยความในใจกันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักเทียบเชิญจากจวนจางกั๋วกงก็ถูกส่งถึงมือเจียงเฟิ่งหัว เจียงเฟิ่งหัวรับมา “ฮูหยินผู้เฒ่าจางต้องการพบลูกหรือ? นางอยู่ที่ใด?” พ่อบ้านกล่าวตอบ “มาถึงโถงด้านหน้าแล้วขอรับ” เจียงเฟิ่งหัวและเจียงฮูหยินต่างรีบจัดแจงตนเองและเดินไปโถงหน้าทันที พวกนางพอจะไว้ว่าการมาเยือนครั้งนี้เพื่อเรื่องของจางอวี่มั่วแน่นอน ฮูหยินผู้เฒ่าจางครั้นเห็นเจียงเฟิ่งหัวแล้ว ทันใดนั้นก็คุกเข่าคารวะอย่างยิ่งใหญ่ “หม่อมฉันคารวะพระชายาเหิงอ๋องเพคะ” “ฮูหยินผู้เฒ่ามิต้องมากพิธี” เจียงเฟิ่งหัวเดินเข้าไปพยุงมือนางไว้ด้วยตนเอง ก่อนจะเชิญนางไปนั่งตรงที่นั่งหลัก “ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านย่าของข้าอายุไล่เลี่ยกัน การคารวะใหญ่เช่นนี้ลำบากใจเฟิ่งหัวแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการพบเฟิ่งหัวกะทันหันเพียงนี้คงจะมีเรื่องสำคัญกระมัง!”“กระหม่อมเองก็หมดหนทางถึงได้บากหน้ามาพบท่าน” เพื่อเรื่องของหลานสาวฮูหยินผู้เฒ่าจางวิตกกังวลและทอดถอนใจ นางเหลือบสายตามองเจียงฮูหยินปราดหนึ่ง “ทั้งหมดก็เพื่อหลานสาวที่ไม่เอาไหนของหม่อมฉัน” เจียงฮูหยินดวงหน้าแววตาเต็มไปด้วยความละอายใจ “
เจียงเฟิ่งหัวมองความคิดนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง “ท่านทำร้ายตัวเอง ทว่าคนที่เจ็บปวดกลับเป็นคนใกล้ชิดที่ดีที่สุดของท่าน หากท่านโศกเศร้าจนสิ้นลมหายใจไป คนนอกไม่มีทางเจ็บปวดเสียใจได้สักครึ่งหนึ่งหรอก รวมถึงพี่ใหญ่ของข้าด้วย เขาเองก็จะไม่เจ็บปวดทุกข์ใจ ยิ่งเป็นสกุลหลี่ยิ่งไม่มีวัน พวกเขามีแต่จะรู้สึกว่าท่านเป็นเคราะห์ร้าย ผิดกับท่านปู่ท่านย่าที่เลี้ยงดูสั่งสอนท่านจนเติบใหญ่กลับต้องกลายเป็นคนผมขาวส่งศพคนผมดำ พวกเขาจะต้องทุกข์ทรมานจนแทบขาดใจ” จางอวี่มั่วจ้องมองเจียงเฟิ่งหัวนิ่ง ๆ “ท่าน…ท่านปู่ท่านย่าของข้า…” เจียงเฟิ่งหัวแววตาเยือกเย็น “ท่านคิดว่าข้าเดาออกเองหรือว่าท่านไม่ได้กินข้าวมาแล้วสองวัน ท่านคิดว่าข้าจะเป็นห่วงท่านทุกเวลา วางความคิดและจิตใจไว้บนตัวท่านตลอดเวลา จางอวี่มั่ว หากวันนี้ข้าไม่มา ท่านอดข้าวต่อไปอีกครึ่งเดือนแบบนี้ ท่านอาจจะได้ตายไปจริง ๆ เลยก็ได้ เมื่อถึงยามนั้น ข้าก็ทำได้แค่ไปที่หลุมศพของท่านจุดธูปสามดอกส่งวิญญาณของท่าน และทอดถอนใจว่าเด็กสาวเอย ตายไปเสียแล้ว หลังจากนั้นสองวัน ข้าก็คงลืมท่านไปแล้ว และไปใช้ชีวิตของข้าอย่างสุขสบายใจ ท่านตายไปก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว ทว่าสกุลจางขอ
เซียงหย่าหยวน เซี่ยซางและเหล่าสหายร่ำสุราได้ครึ่งรอบ เจียงเฟิ่งหัวก็พาจางอวี่มั่วมาสมทบด้วย สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงคือซูถิงหว่านเองก็ร่วมโต๊ะสุราด้วย นางยังแต่งกายแบบเมื่อเช้า และนั่งอยู่ข้างกายเซี่ยซางด้วยท่าทางเรียบร้อยงดงาม เซี่ยซางเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเงาร่างของเจียงเฟิ่งหัวและจางอวี่มั่วปรากฏที่หน้าประตู นางยังพาจางอวี่มั่วเข้ามาด้วยกัน ซางอวี๋เพียนเพียนยกจอกสุราขึ้นพลางตะโกนเรียกนางอย่างมีความสุข “เฟิ่งหัว ท่านมาได้อย่างไร ข้าเพิ่งจะถามเหิงอ๋องไป เหตุใดไม่พาท่านมาด้วยกัน เขาบอกว่าท่านกลับจวนสกุลเจียงแล้ว หากรู้เร็วกว่านี้ข้ากับพี่ใหญ่เจ้าจะได้รอเจ้าก่อน” เจียงเฟิ่งหัวเยื้องกรายเข้ามาที่โต๊ะสุราอย่างงดงาม วันนี้นางเข้ามาในเวลาที่ไม่เหมาะสมเลยจริง ๆ เจียงเฟิ่งหัวพยักหน้าให้ซางอวี๋เพียนเพียน “ข้ากลับไปที่เรือนสกุลเจียงแล้ว ทว่าจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ข้าจึงไปที่จวนจางกั๋วกง และลองสอบถามดูถึงได้ทราบว่าพวกท่านมาที่เซียงหย่าหยวน” นางหันไปเอ่ยกับเซี่ยซางอีกครั้ง “หม่อมฉันคิดไม่ถึงว่าพระชายารองซูก็อยู่ที่นี่ด้วยเพคะ” เซี่ยซางชี้นิ้วไปยังบุรุษผู้หนึ่งซึ่งแต่งกายด้วย
ยามนี้ บรรยากาศพลันตึงเครียด เสี่ยวเอ้อร์ยกน้ำชาเข้ามาทันทีโดยไม่ต้องสั่ง และยังตั้งใจวางกาน้ำชาไว้ตรงหน้าเจียงเฟิ่งหัว “สิ่งนี้เถ้าแก่ของร้านเราอยากให้ลองชิมขอรับ” เขาตั้งใจไม่ระบุว่าให้ทุกคนลองดื่ม แต่กระนั้นเสี่ยวเอ้อร์ก็รู้หน้าที่ตนเองดียิ่ง จัดการรินให้เจียงเฟิ่งหัวก่อนหนึ่งถ้วย ทันใดนั้นกลิ่นชาหอมอ่อน ๆ กระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ เจียงเฟิ่งหัวย่อมรู้ดีว่าสิ่งนี้หลินอวี่ได้เตรียมไว้เพื่อนาง นางรับกาน้ำชามาจากนั้นก็รินให้จางอวี่มั่ว นางเหลือบสายตามองไปทางซางอวี๋เพียนเพียน “คุณหนูเพียนเพียนอยากลองดื่มน้ำชาด้วยหรือไม่?” นางตอบ “ช่างหอมยิ่งนัก ชาอะไรหรือ ได้กลิ่นก็อยากดื่มแล้ว” “ชาผู่เอ๋อร์” เจียงเฟิ่งหัวอธิบาย “สิ่งนี้คือเครื่องบรรณาการของราชนิกุล ทว่าคนมีเงินก็สามารถหาดื่มได้เช่นกัน ดังนั้นจึงว่ากันว่ามันเป็นล้ำค่าที่สุด” หลังจากรินน้ำชาครบสามถ้วย ในกาน้ำชาก็เหลือน้ำชาอยู่เพียงน้อยนิดแล้ว นางจึงหันไปเอ่ยกับเสี่ยวเอ้อร์ “เถ้าแก่ของพวกเจ้าช่างตระหนี่นัก กาน้ำชาอันเล็กเท่านี้ รินน้ำชาได้นิดเดียวแบบนี้จะเพียงพอให้ทุกคนดื่มได้อย่างไร” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “เถ้าแก่อย
ทันใดนั้น หลินอวี่ก็หยิกเข้าที่เอวบางไปแรง ๆ เหลียนเย่เห็นนางแต่งหน้าฉูดฉาดทาปากสีแดงสดอีกแล้ว โดยเฉพาะดวงตาที่ดูจะโดดเด่นน่าดึงดูดเป็นพิเศษ บนมวยผมเต็มไปด้วยปิ่นเงินปิ่นทอง นางเหมือนแม่เล้าที่ผ่านเรื่องความรักมาอย่างโชกโชน ทั้งที่วัยก็เพิ่งจะสิบเจ็ดเหมือนกัน “ผู้ใดยั่วโทสะเจ้า?” หลินอวี่ใช้ไหล่กระทุ้งเหลียนเย่เบา ๆ เหลียนเย่ตอบ “ไม่มีใคร” หลินอวี่มองหลินเฟิงที่หน้ามึนอยู่ไกล ๆ ก็กระตุกมุมปากสีแดงสดขึ้นพลางหัวเราะเบา ๆ “โอ๊ะ เจ้าหนุ่มคนนั้นหน้าตาหล่อเหลาทีเดียว อะไรกัน เจ้าชอบเขาหรือ” เหลียนเย่รู้สึกราวกับถูกฝูงยุงนับหมื่นตัวบินตอมอยู่รอบปาก “ถุย ๆ อย่ามาทำให้ตาของข้าแปดเปื้อนเชียว ใครจะชอบเขากัน!” หลินอวี่กระตุกมุมปากยิ้มบาง ๆ “หากเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นก็เป็นของข้าแล้วกัน!” เสี้ยวพริบตาเดียวต่อมา ก็เห็นหลินอวี่บิดเอวอ้อนแอ้นดุจต้นหลิวเดินตัวปลิวเข้าไปถึงข้างกายหลินเฟิงแล้ว นางเอื้อมมือไปคล้องคอเขาไว้พลางใช้ปลายนิ้วเรียวแตะปลายคางของหลินเฟิงเบา ๆ ก่อนจะเดาะลิ้นและกล่าวว่า “หล่อเหลาปานนี้ วันนี้มาอยู่กับข้าเถิด” หลินเฟิงขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว รีบผลักอีกฝ่ายออกทันที “แม่นางกรุณ
เพราะองค์ชายสี่ก็เป็นธุระในเรื่องนี้เช่นกัน นางจึงดึงพระชายาขององค์ชายสี่เข้าไปด้วย แต่พระชายาองค์ชายสี่เป็นคนสกุลจาง สกุลจางเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ นางจึงหาข้ออ้างมาไว้ทุกข์ที่สกุลจางได้อีกหลายวันมานี้ไม่เพียงกินน้อย ยังพูดน้อยอย่างมาก ญาติสนิททั้งสองท่านมาเสียชีวิตติดกัน นางจะเศร้าโศกเสียใจก็เป็นเรื่องธรรมดา คำพูดประเภทคนตายไม่อาจฟื้นคืนพวกนั้นนางก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร เพราะมิใช่บิดามารดาของนางและเรื่องก็มิได้เกิดขึ้นกับตัวนางจีเฉินถูกขังอยู่ในคุกอยู่ตลอด ไม่ว่าจะสอบปากคำอย่างไรเขาก็ยังคงยืนหยัด ไม่ยอมเปิดโปงสกุลซูออกมาเจียงเฟิ่งหัวหยิบเสื้อเสื้อคลุมตัวหนึ่งไปที่เบื้องหน้าจางอวี่มั่วแล้วคลุมให้นาง “พี่สะใภ้”เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วัน จางอวี่มั่วก็ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว หากมิใช่เพราะเฝิงจิ้งย่วนคอยสรรหาวิธีมาทำอาหารให้นางทาน ร่างกายของนางจนอ่อนล้าจนล้มลงนานแล้วนางมองซากปรักหักพังตรงหน้าด้วยดวงตาที่บวมแดง “เพราะข้ากำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก พวกท่านจึงมอบความรักทั้งหมดให้ข้า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าพวกท่านจะจากข้าไปเร็วขนาดนี้ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ที่แท้เป็นเพราะเหตุใดกัน เหตุใดป้าสะใ
ซูเซวี่ยนมิได้รับคำ เพียงฟังเซี่ยซางชี้ไปที่กระบะทรายแล้ววิเคราะห์อย่างมั่นใจหลายปีมานี้ เป็นเพราะฮ่องเต้มิได้มอบโอกาสให้เหิงอ๋องได้สวมชุดเกราะออกศึก มิเช่นนั้นอาณาเขตของต้าโจวก็คงมิได้มีเพียงเท่านี้สายตาของฮ่องเต้ยังคงสั้นเกินไป เหิงอ๋องมีอุดมการณ์และความทะเยอทะยาน หากซูถิงหว่านใช้การไม่ได้ สกุลซูยังมีบุตรสาวนางอื่นที่ส่งมาปรนนิบัติได้ในเวลานี้ เจียงจิ่นเหยียนก็นำข่าวของเมืองหลวงมาแล้วเช่นกัน นอกจากข่าวเสบียงและสิ่งของที่กำลังเดินทางมาแล้ว เขายังนำข่าวอีกชิ้นหนึ่งมาด้วย “พระชายาถูกลอบสังหาร จวนของจางกั๋วกงเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”หลังเซี่ยซางได้ฟัง สายตาของเขาก็ดั่งมีเปลวเพลิงอันร้อนแรงกองหนึ่งกำลังลุกโชน “เป็นผู้ใดที่ลงมือกับพระชายากัน? หรวนหร่วนกับลูกเป็นอย่างไรบ้าง”เจียงจิ่นเหยียนกล่าวต่อว่า “ยังดีที่ข้างกายพระชายามีคนอยู่ มือสังหารจึงทำไม่สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ นางกับซื่อจื่อน้อยล้วนปลอดภัยดี แต่ท่านผู้อาวุโสทั้งสองของสกุลจางมิได้โชคดีเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”“ในจดหมายบอกว่าเป็นจีเฉิน เขาหามือสังหารมา แต่หลังมือสังหารถูกจับก็กินยาพิษฆ่าตัวตายหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกมันมิใช่มือสังหารทั่ว
นางถือโอกาสกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าต้องการกลับบ้านเจ้าค่ะ ข้าจะไปดูท่านแม่ของข้า” นางแค่ต้องการหนีเท่านั้นทันใดนั้น ใบหน้าของซูเซวี่ยนก็ปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาแล้วหายไป “ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงนับพันลี้ อีกทั้งหิมะยังตกหนักจนปิดทาง ที่ชายแดนก็กำลังทำสงครามอีก สถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ เจ้าจะกลับไปได้อย่างไร”“แต่ท่านแม่ของข้า…”“ข้าจะให้คนของสกุลซูไปดูที่จวนสกุลจางเอง เจ้าจงพักอยู่ที่นี่อย่างวางใจ ไม่ได้ไปที่ใดทั้งนั้น” น้ำเสียงของเขาไม่อนุญาตให้สงสัย ยิ่งไม่อนุญาตให้ต่อต้านสวี่หมัวมัวที่รออยู่ด้านข้างรับปลอบใจนาง “ฮูหยินโปรดระงับความเสียใจ ท่านเขยจะต้องจัดการจนเรียบร้อยแน่เจ้าค่ะ”สวี่หมัวมัวเป็นหมัวมัวคนสนิทที่ฮูหยินรองสกุลจางจัดมาอยู่ข้างกายจางอวี่เยี่ยน นับตั้งแต่พวกนางมาถึงชายแดนและเข้ามาอาศัยอยู่ในจวนสกุลซู พวกนางก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวเช่นกันไม่มีการกราบไหว้ฟ้าดินก็จับคุณหนูไปขึ้นเตียงเสียแล้ว ไม่มีกฎธรรมเนียมแม้แต่น้อย ทว่าพวกนางก็ได้แต่โกรธอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป เพราะไม่ว่าอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าซูเป็นผู้ไปสู่ขอต่อสกุลจางด้วยตนเอง และคุณหนูยังเป็นภรรยาในนามของเขา พวกนาง
วันนั้นหลังจากจางอวี่เยี่ยนถูกซูเซวี่ยนตบไปฉาดหนึ่งก็โวยวายไปอีกสองรอบ แต่หลังจากที่ถูกสั่งสอนไปนางก็ว่าง่ายแล้ว ไม่กล้าขัดคำสั่งซูเซวี่ยนอีก นางต้องเรียนรู้ที่จะประจบเอาใจ ปรนนิบัติเขาอย่างไร้ศักดิ์ศรีเหมือนสาวใช้ในเรือนของเขาอย่างไรก็ตาม แม้นางจะไม่มีเกียรติ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เรียกนางว่าฮูหยิน และนางไม่ต้องไปทำงานเหมือนสาวใช้วันนี้ด้านนอกหิมะตกหนัก เกล็ดหิมะปลิวไสวราวขนห่าน ยามที่นางอยู่ในเมืองหลวงไม่เคยเห็นหิมะตกหนักเช่นนี้มาก่อน ตอนออกจากเมืองหลวง ท่านแม่บรรจุสินเดิมให้นางถึงสามคันรถเต็มๆ และได้เตรียมเสื้อผ้าที่ใส่ในฤดูหนาวไว้ให้นางอย่างพรั่งพร้อมด้วยในเวลานี้ นางทำได้เพียงดูของต่างหน้าคน คิดถึงบ้านที่เมืองหลวง คิดถึงมารดานางคิดไม่ถึงว่า ท่านแม่ทัพซูจะมีอนุภรรยามากมายเช่นนี้ กระทั่งบางคนยังมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางอีกเมื่อมองดูดวงตาที่คับแค้นและหดหู่แต่ละคู่ในจวน ความหวาดหวั่นและขลาดกลัวก็เต็มรื้นขึ้นมาในหัวใจของจางอวี่เยี่ยน นางยิ่งระมัดระวังขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องให้ซูเซวี่ยนทำพิธีแต่งงานกับนางอีก นางรู้สึกว่าแม้ปากพวกเขาจะเรียกนางว่าฮูหยิน แต่นางได
จางอวี่เยี่ยนกอดตนเองแน่นอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็หมุนตัวขึ้นเตียงไปหลบอยู่ในผ้าห่ม เพราะสถานที่แห่งนี้หนาวเกินไป หลายวันที่นางมาที่นี่ มีเพียงตอนอยู่ในผ้าห่มนางจึงจะรู้สึกอบอุ่นน้อยครั้งมากที่นางจะออกไปจากเรือนนี้เช่นกัน เพราะนางไม่คุ้นเคยกับผู้ใดเลย และยิ่งไม่รู้จักใคร นางพบว่าคนสกุลซูนั้นเยอะจริงๆ โดยเฉพาะสตรี นางแอบไปสืบข่าวมาแล้ว ยังดีที่พวกนางไม่ใช่ผู้หญิงในเรือนของซูเซวี่ยน แต่เป็นอนุของท่านแม่ทัพซูบิดาของเขาในเวลานั้นเอง ประตูก็ถูกคนผลักออกอย่างกะทันหัน เงาร่างของคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาอย่างเงียบงัน จางอวี่เยี่ยนส่งเสียงว่า “ติงเซียง?”ตะโกนเรียกอยู่สองครั้งผู้ที่มาล้วนมิได้ตอบนาง จู่ๆ ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะก็ดับลงเช่นกัน จางอวี่เยี่ยนขดตัวซ่อนอยู่ในผ้าห่ม หวาดกลัวจนตัวสั่น นางถอนปิ่นบนมวยผมมากำไว้ในมืออย่างไม่รู้ตัว “เป็นผู้ใดกัน…”วินาทีถัดมา เงาร่างนั้นก็โผเข้ามาที่เตียงในความมืด เขาดึงเท้าของจางอวี่เยี่ยนออกมาจากผ้าห่มทันที จางอวี่เยี่ยนตกใจจนกรีดร้องออกมา “กรี๊ด ช่วยด้วย”แต่ไม่ทันทีนางจะแทงปิ่นในมือเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย ปิ่นก็ถูกผู้มาทิ้งออกไปแล้วภายในห้องมืดมิดไร้แสง
เมื่อรู้ว่าสกุลจางไฟไหม้นางไม่มีทางไม่มา หลินอวี่สามารถสืบได้ในทันทีว่าฮูหยินรองสกุลจางเป็นคนวางเพลิง และไฟยังเริ่มลุกไหม้มาจากเรือนของจางกั๋วกงอีก ในสถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้ และตอนนั้นไฟก็ยังมิได้ถูกดับลงอีก พวกเขาจะจับฮูหยินรองได้ไวถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ฮูหยินรองเมื่อถูกหย่าก็ไม่ควรอยู่จวนสกุลจางแล้ว แล้วเหตุใดนางจึงวิ่งกลับมาวางเพลิงที่สกุลจางอีก? นี่มิใช่การรนหาที่ตายหรืออย่างไร?เมื่อครู่นางถามจีเฉินว่าเขาเป็นคนวางเพลิงหรือไม่ แต่ในคำพูดของเขาเห็นได้ชัดว่ากำลังกระตุ้นโทสะนาง และกระทั่งมั่นใจว่าใครเป็นผู้วางเพลิงที่แท้ซูเซวี่ยนคำนวณถึงสิ่งที่นางคิดไว้ก่อนแล้ว และรู้ด้วยว่าการลอบสังหารในครั้งนี้น่าจะไม่สำเร็จ เพราะมีคนของจวนอ๋องคุ้มครองอยู่ นางจึงไม่มีทางตายอย่างง่ายดายเช่นนั้น มีเพียงเจ้าโง่จีเฉินนั่นที่คิดว่าทุกเรื่องจะราบรื่นเพราะซูเซวี่ยนส่งมือสังหารมาให้เขาดังนั้น จีเฉินก็ตกอยู่ในแผนการของซูเซวี่ยนเช่นกันเมื่อตระหนักได้ถึงสิ่งเหล่านี้ เจียงเฟิ่งหัวก็ถอนใจอยู่ในใจว่า ‘ดีเหลือเกิน แม่ทัพซูเซวี่ยนผู้นี้ช่างความคิดลึกซึ้งเจ้าแผนการนัก เซี่ยซางอยู่ไกลออกไปถึงชายแดนเขา
นางเดินไปที่เบื้องหน้าของหัวหน้ากองหยางและรองผู้ว่าจาง แล้วกล่าวเสียงหนักว่า “ใต้เท้าหยางและใต้เท้าจาง มือสังหารที่มาลอบสังหารข้าล้วนถูกจับหมดแล้ว รบกวนพวกท่านทั้งสองตรวจสอบว่าเป็นผู้ใดบงการให้พวกเขามาลอบสังหารข้า สกุลจางเกิดเพลิงไหม้ ท่านกั๋วกงและฮูหยินล้วนถูกสังหาร ทำให้ผู้คนโศกเศร้ายิ่งนัก ขอใต้เท้าโปรดตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อมอบคำอธิบายให้ท่านกั๋วกงและฮูหยินด้วย”จางอันอวี่ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเหิงอ๋องเช่นกัน ยามนี้เหิงอ๋องนำทัพไปออกศึก พวกเขาย่อมรักษาเขตเมืองหลวงให้ท่านอ๋องเป็นอย่างดี ใต้เท้าจางกล่าวด้วยความเคารพว่า “พระชายาโปรดวางพระทัย ผู้น้อยจะจัดการอย่างเข้มงวดพ่ะย่ะค่ะ”อ้าวเสวี่ยมาที่เบื้องหน้าของเจียงเฟิ่งหัวอย่างเร่งร้อน “ทูลพระชายา มือสังหารเสียชีวิตหมดแล้วเพคะ เป็นการตายจากพิษกำเริบ หัวหน้าหน่วยเย่อิ่งตรวจสอบแล้วเพคะ พวกมันไม่ใช่มือสังหารแต่เป็นหน่วยกล้าตายเพคะ”“จะพิษกำเริบได้อย่างไร?” จางอันอวี่สงสัยหยางเจิ้งก็กล่าวเสริมอีกประโยค “ฆ่าคนปิดปากน่ะสิ”หัวคิ้วของเจียงเฟิ่งหัวขมวดแน่น นางถามว่า “หน่วยกล้าตายคือสิ่งใด?” เจียงเฟิ่งหัวยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามือสังหารกับ
สกุลจางเกิดเรื่อง จางอวี่มั่วกับราชครูเจียงและฮูหยินเจียงล้วนพากันมาแล้วในเวลานี้ สกุลจางโกลาหลไปหมด ฤๅสวรรค์คงได้ยินเสียงร้องไห้ครวญคร่ำของจางอวี่มั่วที่ดังสะเทือนเลือนลั่นไปถึงฟ้า จึงได้ส่งสายพิรุณลงมาดับอัคคีภัยครั้งใหญ่ของจวนสกุลจางสุดท้าย ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลจางก็รอเจอหน้าจางอวี่มั่วเป็นครั้งสุดท้ายไม่ไหว เจียงเฟิ่งหัวยังจำได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าฝืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายกุมมือนางไว้ “สาวน้อย บอกมั่วเอ๋อร์อย่าได้เสียใจ ปกป้องนางด้วย ขอบคุณ…”จางอวี่มั่วมองศพของสองผู้เฒ่าสกุลจาง นางร้องไห้จนสลบไปแล้ว เจียงฮูหยินรีบตระกองนางไว้ในอ้อมแขนสกุลจางเกิดคดีฆาตกรรม คนของเขตเมืองหลวงและกองกำลังรักษาความปลอดภัยนครบาลล้วนมากันหมด เมื่อจับตัวฮูหยินรองสกุลจางได้นางก็มิได้ตื่นตระหนก แต่สารภาพทันทีว่านางเป็นผู้วางเพลิง และเหตุผลก็เป็นเพราะสกุลจางหย่าขาดนางเมื่อเจียงเฟิ่งหัวเห็นสภาพที่อันน่าอนาถภายใน นางก็โมโหจนแทบเสียสติ แต่นางรู้ว่าตอนนี้ไม่ว่าใครก็สามารถไร้สติได้ มีเพียงนางที่ไม่ได้ เพราะคนร้ายตัวจริงที่ชักนำและบงการให้เกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนี้กำลังคุกเข่าอยู่ในลาน นางจะส่งมันไปลงนรกอเวจีขุมที่สิบแ
เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมิใช่เจียงเฟิ่งหัว เมื่อเข้ามาใกล้แล้วเห็นหน้านางชัดเขาถึงได้รู้ว่านางเป็นใคร ผู้ดูแลหลินของหอเซียงหย่า สตรีที่ทั้งมากรักและไม่สำรวม นางถึงกับเป็นวรยุทธ์เขาไม่คาดว่า ด้วยความสัมพันธ์ของนางกับสกุลจาง ทั้งที่สกุลจางเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้และเจียงเฟิ่งหัวก็มาถึงสกุลจางแล้ว นางยังจะหาคนมาปลอมแปลงเป็นนางได้อีกเรื่องราวถูกเปิดโปง จีเฉินอดทนต่อความเจ็บปวดที่มือคิดจะฉวยโอกาสหนีไปในความวุ่นวาย แต่หลินอวี่จะมอบโอกาสให้เขาได้อย่างไร จึงถีบหลังของเขาจนล้มหน้าคะมำจีเฉินสวมหมวกปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง ฟ้าก็มืดแล้วหลินอวี่จึงจำหน้าเขาไม่ได้ นางกล่าวว่า “ให้มารดาดูหน่อยเถอะว่าเป็นเศษสวะตัวใดที่คิดทำร้ายคนกัน”จีเฉินที่นอนหมอบอยู่บนพื้นพลิกมือคิดจะจับมือของหลินอวี่ไว้ ทว่าอ้าวเสวี่ยที่เหินกายมาอย่างกะทันหันเหยียบตัวเขาไว้ ประกายดาบในมือตวัดขึ้น ครั้งก่อนนางก็คิดจะจัดการมันแล้ว แต่ปล่อยให้มันหนีไปได้ทว่าเจียงเฟิ่งหัวเอ่ยห้าม “อ้าวเสวี่ย รอก่อน” หากเขาวางเพลิงเผาจวนสกุลจาง จนเป็นเหตุให้จางกั๋วกงและฮูหยินของจางกั๋วกงเสียชีวิตจริงๆ เขายังต้องมอบคำชี้แจงให้สกุลจาง กระทั่งยั