หลายวันมานี้ท่านคอยดูแลข้า อยู่เป็นเพื่อนข้า และยังอดทนและให้อภัยต่อความเอาแต่ใจของข้าอีก”“เด็กโง่ มีแม่คนไหนที่ไม่อดทนไม่ให้อภัยลูกของตัวเองกัน ตอนนี้เจ้าเป็นเมียของจิ่นเหยียนแล้ว ก็เท่ากับเป็นลูกสะใภ้ของแม่เช่นกัน เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมา แม่รู้ว่าเจ้าเสียใจและเป็นทุกข์ อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถิด พอร้องออกมาก็ดีแล้ว”“แต่อวี่มั่ว ท่านปู่และท่านย่าของเจ้าคงเดาได้แล้วว่าหากพวกท่านจากไปเจ้าจะต้องเสียใจเป็นแน่ แม่คิดว่าพวกท่านคงไม่อยากให้เจ้าเป็นทุกข์และปราศจากความสุข หากพวกเขารู้ว่าเจ้าทรมานตนเองเช่นนี้ ก็คงไม่อาจจากไปอย่างวางใจเช่นกัน” เฝิงจิ้งย่วนก็ได้แต่ปลอบใจนางแบบนี้“อื้ม ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” มิใช่ว่านางรับรู้ไม่ได้ถึงความเป็นห่วงของเจียงฮูหยิน แต่เป็นเพราะนางอยากทำตามใจตัวเองมากเกินไปสักครั้ง เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางร้องไห้อย่างเต็มที่ในจวนสกุลจางแล้ว นางก็คิดเช่นกันว่า หากนางไม่แต่งงาน ท่านปู่กับท่านย่าก็จะไม่ตายใช่หรือไม่ ล้วนเป็นความผิดของนาง เป็นนางเอาแต่ใจตัวเองถึงได้ทำร้ายพวกท่านป้าสะใภ้รองตายไปแล้ว นางไม่มีแม้แต่คนจะให้ถามว่าเพราะเหตุใด นางแม้แต่ต้องไปหาใคร
“ประการที่สอง นางอาจถูกคนฆาตกรรมเช่นกัน แต่นางยอมรับในที่เกิดเหตุว่านางสังหารผู้อาวุโสทั้งสองแห่งสกุลจาง จึงล้มล้างความเป็นไปได้ประการที่สองไปอีก”“เดิมข้าคิดว่าครั้งนี้จีเฉินหนีไม่รอดแล้ว แต่ตอนนี้ดูท่าเขาคงไม่ตายแล้ว เมื่อไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเขาลอบสังหารข้า ก็ไม่อาจตัดสินโทษเขาได้ และไม่อาจขังเขาไว้ในคุกตลอดไป นี่เป็นสถานการณ์ย่ำแย่ที่สุดที่ข้านึกออกในยามนี้แล้ว”จางอวี่มั่วฟังความหมายของนางออกแล้ว กล่าวคือเดิมนางคิดจะเอาชีวิตจีเฉิน แต่ตอนนี้เป็นเพราะสกุลซูคอยช่วยเขาอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเขาถึงจะไม่ตาย “ที่สกุลซูอยากจัดการเจ้า เพราะพวกเขาต้องการช่วยชายารองซู”เจียงเฟิ่งหัวพยักหน้า “เพราะข้าครอบครองตำแหน่งพระชายาเหิงอ๋อง ในสายตาคนสกุลซู ข้าจึงเป็นคนที่ขัดขวางเส้นทางของซูถิงหว่าน ต้องกำจัดข้าทิ้ง ซูถิงหว่านจึงจะขึ้นครองตำแหน่งได้”“อาศัยสิ่งใดกัน พวกเขาอาศัยสิ่งใดมาทำเช่นนี้ เจ้าถึงจะเป็นภรรยาที่ท่านอ๋องแต่งด้วยอย่างถูกต้อง” จางอวี่มั่วอ่อนแอแต่มิได้โง่เขลา การแต่งเข้าราชวงศ์ ย่อมมีการแก่งแย่งชิงดีเล่นเล่ห์เพทุบายต่อกันเช่นนี้ ก็เหมือนกับในครั้งก่อน พวกเขาก็คิดจะเล่นงานเจียงเฟิ่ง
รองผู้ว่าจางที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวกับเจียงเฟิ่งหัวว่า “คำพูดพวกนี้ ทุกวันเขาต้องท่องออกมารอบหนึ่ง และเพราะไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าเขาเป็นคนสั่งการเรื่องการลอบสังหารพระชายา ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่กล้าเอาชีวิตเขาจริงๆ อีกทั้งคืนนั้นก็มืดมิดไปหมด และสายตาของทุกคนก็ยังจับจ้องไปที่ยังเพลิงที่ไหม้สกุลจาง ส่วนชาวบ้านที่รายรอบก็ถูกมือสังหารพวกนั้นทำให้ตกใจ จึงไม่มีผู้ใดสามารถเป็นพยานได้ว่าจีเฉินลอบสังหารพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”เขาก็ถามใต้เท้าหยางแล้ว ในตอนที่เขามาถึง จีเฉินก็ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่บนพื้นแล้ว ผู้ที่ลงมือคือหลินอวี่ บนพื้นมีมีดสั้นอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งเป็นของจีเฉิน อีกเล่มเป็นของหลินอวี่หลินอวี่เพราะต้องการปกป้องพระชายาจึงได้ลงมือทำร้ายจีเฉิน การที่หลินอวี่ทำให้มือของเขาพิการไปข้างหนึ่งแต่ไม่ถูกทวงถามความรับผิดชอบ พวกเขาก็ลำบากใจมากแล้วตอนนั้นหากหลินอวี่สังหารคน ผู้ที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำตอนนี้ก็คงเป็นหลินอวี่แล้วแม้จีเฉินจะมีมีดสั้นแต่ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเขานำมีดสั้นมาลอบสังหารพระชายา เพราะพระชายาทรงไม่เป็นอะไร และหลินอวี่ก็ไม่เป็นอันใดเช่นกันส่วนมือสังหารที่ยิงศรลับใส่พระชายา ส
เสียงของนางไม่ดังไม่เบา แค่เมื่อครู่ดังไปถึงหูจีเฉินพอดี อันที่จริงแล้ว จะส่งผลกระทบต่อเซี่ยซางหรือไม่ก็มิใช่เรื่องสำคัญเลย เพราะยามนี้เหิงอ๋องกำลังต่อสู้ขับไล่อริศัตรูเพื่อแว่นแคว้นอยู่ข้างนอก ฝ่ายตรวจการย่อมไม่เขลาจนกล่าวโทษเขาเพราะเรื่องเช่นนี้แน่หมากตานี้ถูกสกุลซูครองได้เปรียบไป ทำให้นางอัดอั้นใจอยู่ตลอด ต้องการชีวิตของจีเฉินชัดๆ แต่ยามนี้กลับไม่อาจไม่ปล่อยเขา คิดแล้วก็ให้รู้สึกขยะแขยงดั่งรับประทานแมลงวันยังมีชีวิตลงไปผู้ที่จะสามารถใช้สถานการณ์ของจีเฉินในเวลานี้มาก่อเรื่องได้ นอกจากอวิ๋นฟางที่เป็นภรรยาของเขาแล้ว ยังจะเป็นผู้ใดได้อีก ไม่เช่นนั้น สกุลซูยังคิดสร้างความอับอายให้ตนเองด้วยหรือไรเจียงเฟิ่งหัวตรองดีแต่แรกแล้วว่า หากคิดจะทำให้เรื่องนี้สงบลง ก็ได้แต่ให้ซูถิงหว่านออกหน้าเท่านั้นจากที่นางรู้ หลายวันมานี้ ซูถิงหว่านมีหน้ามีตาขึ้นมากยามอยู่ต่อหน้าเฉิงฮองเฮา ก็ไม่รู้ว่านางไปรู้แจ้งขึ้นมาได้อย่างไร ถึงได้ทำให้เฉิงฮองเฮาเกษมสำราญยิ่ง จนถึงกับได้รับอนุญาตจากเฉิงฮองเฮาให้เข้าออกวังหลวงได้ตามใจเจียงเฟิ่งหัวเพราะต้องยุ่งเรื่องเสบียงข้าวของที่นอกวัง และยังมีเรื่องของสกุลจางอีก
เจียงเฟิ่งหัวเดินเข้าไปประคองอวิ๋นฟางขึ้นมา และเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “อย่าคุกเข่าเลย ถึงอย่างไรตอนแรกที่เจ้าอาศัยที่จวนอ๋อง เราเจ้าต่างเคยเป็นนายบ่าวกันหนึ่งครา เจ้ากับจีเฉินเป็นสามีภรรยากันแล้ว น่าเสียดายดวงหน้าอันงดงามเพียงนี้ของกูกูเหลือเกิน เดิมทีข้าคิดว่าจีเฉินจะดูแลทะนุถนอมเจ้าอย่างดี บัดนี้แม้แต่มือยังปล่อยให้ความหนาวกัดกินจนเป็นแผล อากาศหนาวเย็นเพียงนี้กลับปล่อยให้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์บางเพียงนี้ เฮ้อ!” คำพูดของนางกระแทกเข้ากลางใจของอวิ๋นฟางอย่างจัง อวิ๋นฟางได้แต่นึกน้อยเนื้อต่ำใจ พอคิดได้ว่าตนเองแต่งแก่สวะไร้ค่าอย่างจีเฉินขึ้นมา อวิ๋นฟางก็โกรธกรุ่นแทบจะคลั่งตายให้ได้ คนที่นางอยากจะแต่งงานด้วยคือเหิงอ๋องต่างหาก แต่ในยามนี้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว นางจำใจต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อให้ทุกสิ่งผ่านพ้นไป ชีวิตของนางในเรือนสกุลซูเลวร้ายยิ่งนัก ทั้งที่ตอนแรกที่อาศัยในจวนเหิงอ๋องนางมีชีวิตที่มั่งคั่งสุขสบาย คิดถึงเมื่อตอนที่ใช้ชีวิตในจวนเหิงอ๋องแม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์นางยังไม่จำเป็นต้องซักล้างทำความสะอาดด้วยตนเองเลยด้วยซ้ำ บัดนี้ชีวิตของนางไม่ต่างจากสาวใช้ธรรมดาคนหนึ่งเลย นางนึกย้อนก
“อวิ๋นฟางเป็นนางกำนัลชั้นสูงที่คอยทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้ในวัง มีอาภรณ์แพรพรรณอาหารชั้นเลิศ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าชีวิตในแต่ละวันสุขสบายมากเพียงใด การวางมาดอวดดียังมีมากกว่าคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยเสียอีก ตอนอยู่ในจวนเหิงอ๋อง พระชายาก็ไม่เคยปฏิบัติกับนางด้วยความโหดร้ายทารุณ บัดนี้สมรสกับจีเฉินแล้ว กลับต้องกลายเป็นสภาพแบบนี้ เหอะ! จีเฉินไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ ทำลายชีวิตอวิ๋นฟางเสียหมด!” “อวิ๋นฟางช่างน่าสงสารเสียจริง!” “ยามนี้นางยังต้องมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้เขาอีกหรือ คนพรรค์นี้ควรจะส่งให้ทางการได้แล้ว ให้เขาถูกลงทัณฑ์ด้วยพันมีดหมื่นแล่ถึงจะสาสม” “ถูกต้อง ไม่ว่าอย่างไรก็จะปล่อยเขาไปไม่ได้เด็ดขาด แม่นางรูปโฉมงดงามคนหนึ่งกลับต้องถูกเขาย่ำยีหยามเกียรติ จนจำใจต้องสมรสกับเขา มิหนำซ้ำแต่งแก่เขาแล้วยังไม่รู้จักทะนุถนอม ปล่อยให้สวมเสื้อผ้ามอซอขาดกะรุ่งกะริ่งเพียงนี้ ใช้ชีวิตกับเขาคงได้รับความทุกข์ยากไม่น้อยแน่!” พอคนในฝูงชนเริ่มพูด ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มเปล่งเสียงวิจารณ์ตำหนิจีเฉิน อวิ๋นฟางพลันกลายเป็นเจ้าทุกข์ไปอย่างกะทันหัน นางถึงกับอึ้งงันไปในเสี้ยวพริบตา เจียงเฟิ่งหัวเองก็มองด้วยแววตาสงส
จางอันอวี้พาจั่วซือไปแจ้งข่าวการตัดสินใจนี้แก่จีเฉินด้วยตนเอง เจียงเฟิ่งหัวพลันเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันว่า “ใต้เท้าจาง ใต้เท้าจั่วช้าก่อน เรื่องที่จีเฉินวางยาอวิ๋นฟาง จากนั้นยังใช้กำลังทารุณนาง…เรื่องนี้ควรจัดการอย่างไรดี กฎหมายแห่งต้าโจวน่าจะมีบทบัญญัติไว้!” จางอันอวี้เหลือบสายตามองไปทางจั่วซือ “เจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดียิ่งกว่า” จั่วซือเอ่ย “จีเฉินเป็นบัณฑิตที่จะต้องเข้าสอบในปีหน้า เขาประพฤติตนผิดศีลธรรม ว่าตามกฎหมายกรมพิธีการก็สมควรเพิกถอนสิทธิ์การสอบของเขา และอาจถึงขั้นออกบทลงโทษที่สาสมด้วยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนที่ว่าเขาจะได้รับโทษสถานใดหรือจะต้องถูกตัดสินประหารชีวิต ในบทกฎหมายมีระบุไว้พ่ะย่ะค่ะ หากความผิดร้ายแรงก็จะต้องถูกตัดสินประหารชีวิตในทันที ทั้งนี้การตัดสินก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โดยรวม หากว่าเขามีส่วนร่วมในการสังหารคน และมีหลักฐานการทำความผิดชัดเจน ก็ควรให้กรมอาญาและศาลาว่าการเขตเมืองหลวงล้วนดำเนินการจัดการได้เลยทันที” ความหมายก็คือหากต้องการจะลงโทษจีเฉิน ก็ต้องเชิญให้กรมอาญามาด้วยกัน แค่ลงโทษบัณฑิตตัวเล็ก ๆ หนึ่งคนไม่มีความจำเป็นจะต้องลำบากมากเกินไป เจียง
อวิ๋นฟางมีรูปโฉมงดงามเป็นความจริง นางร่ำไห้ได้น่ามองก็เป็นความจริง พอเป็นแบบนี้ก็สามารถเรียกร้องความรักหยกถนอมบุปผาจากทุกคนได้สำเร็จ เจียงเฟิ่งหัวเชื่อมั่นในทักษะการแสดงของเจียงเฟิ่งหัว เมื่อชาติก่อนนางสามารถล่อลวงเซี่ยซางให้ขึ้นเตียงของเขาได้สำเร็จ นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่านางเป็นคนมีความสามารถ อวิ๋นฟางจิตใจหยิ่งผยอง และเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง นางหรือจะยอมทนใช้ชีวิตขมขื่นเพื่อคนอย่างจีเฉิน ในเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าอยู่กับจีเฉินไปก็ไม่มีความหวัง นางย่อมหยุดแต่เพียงเท่านี้ พอนางร่ำไห้ร้องทุกข์ ทุกคนต่างก็ออกหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมแทนนาง “ถือสิทธิ์อะไรเขาบอกว่าไม่หย่าก็หย่าไม่ได้อย่างนั้นหรือ ทางการควรจะตัดสินให้หย่าขาดได้สิ ต้องให้ความเป็นธรรมแก่แม่นางอวิ๋นฟาง” “ให้ความเป็นธรรมแก่แม่นางอวิ๋นฟาง…” ทันใดนั้น ผู้คนก็เริ่มโห่ร้องประท้วงขึ้นมาที่หน้าศาลาว่าการเขตเมืองหลวง “ให้เขาหย่าขาดจากกัน จากนั้นค่อยตัดสินโทษประหารเขา เขาทำร้ายคนแล้ว เขายังคิดจะลากคนไปตายด้วยกันอีก บ้านเมืองยังกฎหมายอยู่จริงหรือไม่” จางอวี่มั่วอาศัยจังหวะนี้แสดงตัวออกมา เปิดเผยความจริงต่อหน้าชาวบ้านทุกคน “หากมิใ
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู
ในเวลานั้นเอง ฝูลู่ก็นำโคมดอกบัวเข้ามาอีกสองดวง “ฝ่าบาท โปรดทรงทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นสิ่งที่บ่าวให้คนเก็บขึ้นมาจากทะเลสาบพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้มองโคมดอกบัว จากนั้นก็เพ่งไปที่อักษรบนนั้น ล้วนเป็นคำอวยพร แม้จะมิได้ระบุชื่อ แต่เขาจำได้ว่าเป็นลายมือของเสียนเฟย “โคมไฟสองดวงนี้เสียนเฟยเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ?”ฝูลู่กล่าวว่า “น่าจะใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงรู้สึกหรือไม่ว่าพวกมันช่างดูคุ้นเคย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้พยายามย้อนนึก “ข้าเคยเห็นจากที่ใดมาก่อนนะ ออกจะคุ้นเคยอยู่บ้างจริงๆ โคมสองดวงนี้ทำอย่างประณีตถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าเสียนเฟยจะมีฝีมือที่ดีเช่นนี้”“ยามนั้นฝ่าบาทยังทรงเป็นองค์รัชทายาท ทรงเคยเก็บโคมดอกบัวที่ข้างทะเลสาบได้ดวงหนึ่ง ตอนนั้นก็เพิ่งผ่านวันเกิดของฝ่าบาทมาเช่นกัน เป็นช่วงเวลานี้ของปีที่แล้วนั่นเอง ทรงจำได้หรือยังพ่ะย่ะค่ะ?” ฝูลู่กล่าวต่อ “เวลานั้นบ่าวเพิ่งมารับใช้ข้างกายฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมีราชกิจยุ่ง ต้องทรงลืมไปแล้วแน่”“เจ้าพูดถึงโคมที่เหมือนลูกท้อดวงนั้นหรือ” เขาเหมือนจะมีความทรงจำนี้อยู่ฝูลู่กล่าวว่า “เป็นดวงนั้นเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงลองทอดพระเนตรดู
เจียงเฟิ่งหัวราวกับมิได้ยิน นางยังคงกอดศพของเหลียนเย่ไว้ในเวลานั้นเอง พวกหวังมัวมัวก็เข้ามานำตัวนางไปที่เบื้องหน้าของฮ่องเต้ “พระสนมเสียนเฟยรีบขอบพระทัยเถิด ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงไม่เอาเรื่องที่ท่านขโมยของในวังแล้ว”แววตาของเจียงเฟิ่งหัวเย็นชาดุจน้ำแข็ง นางเงยหน้าขึ้นจ้องฮ่องเต้ ในดวงตาไม่มีร่องรอยของความรักอีกต่อไปแล้ว นางโง่เขลามานานหลายปี ทำร้ายทั้งตนเอง ทำร้ายเหลียนเย่ด้วย และยังทำร้ายสกุลเจียงอีก นางเพ้อฝันถึงความรักของฮ่องเต้ เพ้อพกว่าเขาจะเหลือบมองนางสักครั้งเพราะเห็นแก่หน้าเด็กทั้งสองลูก? ลูกของนางอยู่ที่ใด? เจียงเฟิ่งหัวคุกเข่าอยู่บนพื้น ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด ถ้าเด็กๆ เห็นจะต้องตกใจแน่ฮ่องเต้จ้องเข้าไปในดวงตาของนาง รู้สึกถึงเพียงความว่างเปล่าและหนาวสะท้าน เขาพลันนึกถึงตอนที่เขาไปเข้าหอกับนางที่ตำหนักเฉินซี ในดวงตาของนางนอกจากความรักแล้ว ยังมีการวิงวอน นางวิงวอนให้เขารักนางเมตตานาง เขารังเกียจสตรีเช่นนั้น“เสียนเฟย ยังไม่รีบของพระทัยอีก” ฮ่องเต้กล่าวอย่างเย็นชามุมปากของเจียงเฟิ่งหัวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยันที่ยากสังเกต นางทำความเคารพอย่างนอบน้อม หมอบราบอยู่บนพื้น “หม่อม
“ลากออกไปเถอะ โบยให้ตายที่นี่เลย ให้คนทั้งวังเห็นเป็นเยี่ยงอย่างว่า การแอบลักลอบขายของในวังโดยพลการมีผลลัพธ์เช่นไร”ฮองเฮาหันไปกล่าวกับฮ่องเต้ต่อว่า “ไม่รู้ว่าหม่อมฉันลงโทษเช่นนี้ถูกต้องตามกฎระเบียบหรือไม่เพคะ หม่อมฉันคิดว่าเสียนเฟยควบคุมคนใต้บังคับบัญชาไม่ดี โทษตายเว้นได้ โทษเป็นไม่อาจเว้น…”สาวใช้ของนางยังนับว่าภักดี ยอมออกมาแบกรับความผิดแทน แต่เจียงเฟิ่งหัวคิดว่านางจะรอดตัวไปได้ง่ายดายเช่นนี้หรือ? นางจะให้คนแซ่เจียงหนีไม่พ้นสักคน“ล้วนเป็นการกระทำของบ่าว บ่าวขอตายเพื่อชดใช้ความผิดเพคะ ตอนนี้ฮองเฮาทรงพอพระทัยแล้วใช่ไหมเพคะ! วินาทีถัดมา ก็เห็นเหลียนเย่หยิบปิ่นเงินด้ามหนึ่งขึ้นมาจากพื้นแล้วแทงเข้าไปในลำคอของตนอย่างไม่ลังเล เลือดไหลทะลักออกมาในเสี้ยววินาที เมื่อนางตายแล้ว ฮองเฮาก็คงไม่มีเหตุผลมาสร้างความลำบากให้คุณหนูแล้วกระมังเจียงเฟิ่งหัวไม่ทันระวังว่านางจะฆ่าตัวตาย จึงตกใจจนใบหน้าซีดขาว นางกอดเหลียนเย่ไว้ กดแผลของนาง น้ำเสียงสั่นสะท้าน “เหลียน…เหลียนเย่ ไม่เอานะ หมอหลวง รีบเรียกหมอหลวงเร็วเข้า”“คุณหนู ท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ พวกเราเคยเชิญหมอหลวงมาตรวจรักษาได้ที่ไหนกัน แทนที่จะ
“ไม่ พวกเราไม่ได้ทำเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวปฏิเสธ ซูถิงหว่านคิดจะทำอะไร นางต้องการลูกของนางอย่างนั้นหรือ? ไม่ได้“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้ทำเพคะ เหลียนเย่ก็มิได้ทำ ทรงเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าววิงวอนเมื่อฮ่องเต้เห็นเช่นนี้ก็ถามราชองครักษ์ว่า “เกิดสิ่งใดขึ้น พวกเจ้าไปเอาเอกสารลายมือของเสียนเฟยมาเท่านั้น เหตุใดจึงได้ตรวจค้นเครื่องประดับออกมามากเพียงนี้”“ทูลฝ่าบาท ของพวกนี้ค้นออกมาจากตำหนักเฉินซีจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ และยังวางอยู่กับผ้าเช็ดหน้าที่ปักเสร็จแล้วพวกนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ น่าจะคิดนำออกจากวังไปปล่อยขายพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ” ราชองครักษ์กล่าวฮ่องเต้มองดูผ้าเช็ดหน้า ด้านบนมิได้เขียนอักษร “เสียนเฟย เจ้าจะอธิบายเช่นไร”“หม่อมฉันมิได้ทำเพคะ หม่อมฉันก็ไม่ทราบว่าเหตุใดของพวกนั้นจึงมาปรากฏอยู่ในตำหนักเฉินซี ฝ่าบาท…” เจียงเฟิ่งหัวปฏิเสธสีหน้าของนางซีดเผือด รู้สึกเพียงว่ามีคนกำลังวางแหดักนางไว้แน่น นางคล้ายปลาตัวหนึ่งที่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด“เสียนเฟย เจ้ายังไม่ยอมรับว่าเจ้าก็เข้าร่วมในการขโมยสิ่งของในวังหรือ? ผ้าเช็ดหน้าพวกนี้เป็นเจ้าปักทั้งหมดหรือ? เจ้าปักผ้าเช็ดหน้ามากมายขน
ฮองเฮาโมโหจนหน้าเขียวแล้ว นางกำลังด่าว่านางไม่รู้เรื่องงานวรรณกรรมอย่างนั้นหรือ? นางกำลังพยายามศึกษาเต็มที่แล้วนะเรียนกลอนโบราณพวกนี้มีประโยชน์อะไรกัน ถึงยังไงฮ่องเต้ก็ชอบความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนางอยู่ดี นางกับฮ่องเต้เป็นความรักกันจากใจจริงนางหันไปออดอ้อนฮ่องเต้ว่า “หม่อมฉันดูแลวังหลัง เกรงว่าเหล่าสนมในวังหลังจะทำสิ่งใดที่ผิดศีลธรรมจรรยา ผิดขนบธรรมเนียมเข้า จึงได้ป้องกันไว้ก่อนเท่านั้นเพคะ สิ่งที่เสียนเฟยเขียนเจ้า ‘ถวิลหา’ ‘คะนึงหา’ พวกนี้ หม่อมฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง หม่อมฉันเพียงรู้สึกว่าตัวอักษรของเสียนเฟยเหมือนที่อยู่บนผ้าเช็ดหน้าทุกประการเลยเพคะ…”“หมัวมัวที่ไปเอาตัวอย่างกลับมาหรือยัง” ฮ่องเต้เริ่มหมดความอดทนแล้วหลังหมัวมัวกลับมาก็สบตากับฮองเฮาทีหนึ่ง จากนั้นส่งมอบเอกสารตั้งหนึ่งให้ฮ่องเต้ หลังฮ่องเต้พลิกดู ดวงตาก็เปล่งประกาย มิใช่บทกลอนรักๆ ใคร่ๆ แต่เป็นสี่ตำราห้าคัมภีร์ ลายมือเหมือนที่นางเขียนเมื่อครู่ไม่ผิดเขาถามเจียงเฟิ่งหัว “อักษรพวกนี้เจ้าเป็นคนเขียนหรือ”เจียงเฟิ่งหัวกล่าวว่า “ใช่เพคะ”ฮองเฮาก็เหลือบมองทีนี้ เขียนได้งามมากอยู่หรอก ลูกตาของฝ่าบาทแทบจะตกไปอยู่บนหน
ซูถิงหว่านคิดว่าแค่นางยอมรับผิด ฮ่องเต้ก็จะปล่อยนางไปง่ายๆ จึงกล่าวว่า “นางกำนัลผู้หนึ่งจะเขียนอักษรที่ดีขนาดนี้ออกมาได้ เสียนเฟยแม้แต่ตัวเจ้าเองก็เชื่อหรือ?”“บ่าวเป็นผู้เขียนจริงๆ เพคะ หากฮองเฮาทรงไม่เชื่อ บ่าวสามารถเขียนให้ฮองเฮาดูที่นี่ได้เพคะ” เหลียนเย่กล่าวจีเฉินก็ไม่เชื่อเช่นกันว่านางกำนัลคนหนึ่งจะเขียนอักษรได้ดีเพียงนี้ ที่ซูถิงหว่านสามารถนำผ้าเช็ดหน้าพวกนี้ออกมาใส่ร้ายเจียงเฟิ่งหัว ก็แปลว่านางหาคนมาเลียนแบบลายมือของเจียงเฟิ่งหัวอยู่นานแล้ว ไม่เช่นนั้น นางไม่มีทางกล้าใส่ความคนต่อหน้าฮ่องเต้อย่างไร้ความกริ่งเกรงเช่นนี้แน่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็เกิดสนใจขึ้นมาเช่นกัน “ฝูลู่ นำกระดาษและพู่กันมา”เหลียนเย่เขียนตามข้อความบนผ้าเช็ดหน้าทีละขีดทีละอักษร หลังทุกคนได้ดู ก็ล้วนประหลาดใจที่เหมือนกับรูปแบบอักษรบนผ้าเช็ดหน้าอย่างไม่มีผิดเพี้ยนจริงๆ เป็นเหลียนเย่เขียนจริงๆ ด้วยน้อยนักที่นางกำนัลในวังจะรู้หนังสือ และต่อให้รู้อักษรอย่างมากก็รู้จักแต่ชื่อของตนเองเท่านั้น ไม่ก็คำธรรมดาทั่วไป แต่สาวใช้ข้างกายของเจียงเฟิ่งหัวไม่เพียงเขียนเป็น แต่ยังเขียนได้ดีมากด้วยเจียงเฟิ่งหัวก็ไม่รู้ว่าเหลียนเย่
ในเวลาเดียวกัน เหลียนเย่และหงซิ่วคุกเข่าลงเบื้องหน้าฮ่องเต้พร้อมกัน และแย่งกันพูดพร้อมกันก่อนที่เจียงเฟิ่งหัวจะเปิดปากพูดว่าทุกคนต่างตกตะลึงไป บรรยากาศคล้ายเย็นเยียบลงจนต่ำกว่าจุดเยือกแข็งฮ่องเต้เหลือบมองคนทั้งสามทีหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “เป็นพวกเจ้าขายผ้าเช็ดหน้านอกวังด้วยกัน? หรือเป็นพวกเจ้าร่วมกันยั่วยวนบุรุษนอกวังล่ะ?”เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ หัวใจของเจียงเฟิ่งหัวก็รวดร้าวราวถูกมีดกรีด ในใจของเขานั้น นางไร้ความรักนวลสงวนตัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?เหลียนเย่หยิกหงซิ่วทีหนึ่งจากนั้นก็โขกศีรษะติดๆ กัน “เป็นบ่าวเองเจ้าค่ะ บ่าวสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ กลอนรักบนผ้าเช็ดหน้าบ่าวเป็นคนเขียนลงไปเองเจ้าค่ะ ปกติเสียนเฟยทรงดูแลองค์ชายน้อยและองค์หญิงน้อยอยู่ตลอด ยามว่างจะทรงปักผ้าเช็ดหน้าจำนวนหนึ่ง เป็นบ่าวถูกความโลภครอบงำ นำผ้าเช็ดหน้าออกไปขายนอกวังโดยพลการ เพื่อให้ผ้าเช็ดหน้าขายดี บ่าวจึงตัดสินใจเขียนกลอนลงไปบนนั้นด้วยตนเอง เสียนเฟยทรงไม่ทราบเรื่องนี้เพคะ และที่บ่าวทำเช่นนี้ก็มิใช่เพราะต้องการล่อลวงผู้ใดเพคะ”นางกับหงซิ่วล้วนมีความคิดเดียวกัน บทกลอนที่ลามกอนาจารพวกนี้ไม่อาจมาจากคุณหนูเด็ดขา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเรื่องของเจ้าเป็นมาอย่างไรกัน เหตุใดผ้าเช็ดหน้าจึงหลุดลอดออกไปนอกวังได้” ซูถิงหว่านกล่าว “ด้วยฐานะเสียนเฟยของเจ้า ทุกเดือนก็สามารถได้รับเงินไม่น้อย องค์ชายน้อยและองค์หญิงน้อยก็เลี้ยงอยู่ข้างกายเจ้า เงินในส่วนของพวกเขาล้วนส่งมาถึงมือเจ้าแล้ว พวกเสื้อผ้าอาภรณ์ ถุงเท้ารองเท้าที่ควรส่งมาตำหนักเฉินซีล้วนส่งมาตามเวลาโดยไม่ขาดแม้แต่อย่างเดียว วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของฝ่าบาท เจ้ายังแต่งกายเช่นนี้ นางกำนัลของเจ้ายังบอกว่าเจ้าปักผ้าเช็ดหน้าแลกเงินอะไรอีก เจ้าทำเช่นนี้เพราะคิดจะตำหนิข้าต่อหน้าฝ่าบาทว่าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโหดร้ายหรือ?”ในเวลานั้น ซูถิงหว่านยังทำตัวน้อยอกน้อยใจอีกด้วยจากนั้นก็มีสนมอีกนางกล่าวว่า “ฮองเฮาทรงยุติธรรมมาตลอด ไม่เคยขาดของกินของใช้ของพวกหม่อมฉัน ในความเห็นของหม่อมฉัน เป็นเสียนเฟยที่จงใจแสร้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าฝ่าบาท นางไม่รู้จักสำรวมจนผ้าเช็ดหน้าที่ปักมากมายเล็ดลอดออกไปนอกวังชัดๆ ยามนี้กลับมาอ้างว่าล้วนเป็นการทำแลกเงินไปเสียได้”“ฝ่าบาทของพวกเราทรงพระปรีชาห้าวหาญชาญชัย นับแต่ฝ่าบาททรงเถลิงราชย์มา ราษฎรก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ นางกลับปักผ้าเช็