สองเดือนถัดมา ฉีอิงก็ได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตานอกจวนแม่ทัพเสียที ในยามบ่ายคล้อย ฉีอิงที่อยู่ในรถม้ากับสามี กำลังตื่นเต้นกับภาพบ้านเมือง ที่ดูแปลกตาสำหรับนาง
คืนนี้สามีของนางได้รับเทียบเชิญ ให้ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด ในจวนอ๋องเก้า แน่นอนว่านางศึกษาทุกอย่างมาจากเสี่ยวเจี้ยนแล้ว และนับว่าโชคดี ที่นางสามารถพาสาวใช้คนสนิทมาร่วมงานได้
จ้านซือถงแสร้งอ่านตำรา ทว่าแท้จริงแล้ว ชายหนุ่มกำลังลอบมองภรรยาอยู่เป็นระยะ แม้ว่าจะเกิดความสงสัยมากเพียงใด แต่เพราะไร้ซึ่งหลักฐานเขาก็จำต้องนิ่งเอาไว้ หลายอย่างเปลี่ยนไปนับตั้งแต่นางหายป่วยเมื่อสองเดือนก่อน
ฉีอิงไม่ได้สนใจ ว่าสามีจะคิดเช่นไร สำหรับนางแล้วเวลานี้ คือการเรียนรู้และหาข้อมูล พร้อมช่องทางที่จะทำให้ตนเองปลอดภัย และอยู่รอดได้ในอนาคต
นับว่ายังโชคดี ที่หลังจากตื่นขึ้นมาได้ราวหนึ่งสัปดาห์ บิดามารดาร่วมถึงพี่น้องชายหญิง ได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนนาง ทำให้ฉีอิงรู้ว่า เจ้าของร่างนั้น มีความสมบรูณ์ในเรื่องครอบครัวมากทีเดียว
บิดารักลูกเท่าเทียมกัน พี่น้องปรองดอง ทว่าโชคร้ายของฉีอิง ที่ได้สามีเช่นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ นางจึงตรอมใจตายไปอย่างโดดเดี่ยว
“เจ้าทำเหมือนมิเคยเห็น”
“ถึงเคย ก็มิได้บ่อยนักนี่เจ้าคะ ทำเหมือนท่านพี่ พาข้าออกมาชมเมือง เช่นสามีบ้านอื่นเขา”
จ้านซือถงถึงกับหน้าเสียไปเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากนาง ปกติแล้วเวลาจะออกมานอกจวน ฉีอิงจะมีพี่น้องของนางมาด้วยเสมอ
“ไยต้องทำเหมือนบ้านอื่น”
“จะทำเหมือนหรือไม่ หาใช่เรื่องสำคัญอันใดเลยเจ้าค่ะ เพราะตัวข้าชาชินเสียแล้ว”
ฉีอิงเอ่ยประชดสามี ทั้งยังไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา หญิงสาวยังคงตื่นตาตื่นใจกับภาพด้านนอกรถม้าอยู่
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม รถม้าจวนแม่ทัพจ้านซือถงได้หยุดลง ชายหนุ่มก้าวลงจากรถม้า ก่อนจะยื่นมือให้ภรรยาได้จับ ฉีอิงปรับสีหน้าและท่าทางให้เป็นสตรีอ่อนโยน ก่อนจะวางมือลงบนฝ่ามือของสามี
เมื่อฉีอิงยืนได้มั่นคงแล้ว ชายหนุ่มได้แตะที่ข้อศอกภรรยาเบา ๆ เพื่อให้นางเดินเข้าไปภายในงานพร้อมกัน ใบหน้าของแม่ทัพหนุ่มนั้น ยังคงเยือกเย็นเช่นทุกวัน ส่วนฉีอิงนั้นกลับมีรอยยิ้มกว้าง ต่างจากคำว่าละมุนไปมากทีเดียว
ด้วยภาพตรงหน้านั้น สร้างความตื่นเต้นให้แก่หญิงสาวยิ่งนัก แม่ทัพจำต้องคอยแตะแขนภรรยา เพื่อปรามให้นางเก็บอาการเอาไว้บ้าง งานเลี้ยงเช่นนี้ ใช่ว่าเขามิเคยพานางมาเสียเมื่อไหร่กัน จะมีเพียงช่วงหลังมานี้ที่นางป่วยบ่อย เขาจึงไม่ได้พานางออกมาร่วมงานเลี้ยงเลย
ฉีอิง แสร้งไม่เข้าใจการกระทำของสามี นางยังคงมองดูทุกสิ่งด้วยความตื่นเต้น
“ท่านอ๋องเก้ากับพระชายากำลังเดินมาทางนี้ เจ้าหยุดมองทุกอย่างก่อนจะได้หรือไม่”
แม่ทัพหนุ่มก้มลงกระซิบยังข้าหูภรรยา เมื่อมองเห็นเจ้าภาพ กำลังเดินตรงมาทางเขาและภรรยา ฉีอิงมองไปยังชายหญิงสูงศักดิ์ ที่ก้าวเดินอย่างช้า ๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม
“ซือถง ถวายพระพรท่านอ๋อง พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
“ฉีอิง ถวายพระพรท่านอ๋อง พระชายาเพคะ”
ฉีอิง ย่อกายอย่างงดงาม ตามแบบฉบับของคุณหนูสูงศักดิ์ ก่อนจะยืดตัวตรง พร้อมรอยยิ้มแต่พองาม
“ตามสบายเถอะท่านแม่ทัพ จ้านฮูหยิน ข้าได้เห็นเจ้าสองคนเดินเคียงกันในวันนี้ รู้สึกดีใจยิ่งนัก นับตั้งแต่ฉีอิงป่วย ซือถงของเราก็ต้องออกงานเพียงลำพังมานาน”
ฉีอิง ยิ้มน้อย ๆ ทว่าในใจนั้น กลับค้านในสิ่งที่ท่านอ๋องเก้ากล่าวยิ่งนัก เพราะในความคิดของนางนั้น สามีคงดีใจที่จะไร้นางมาขัดขวาง ยามต้องพบหน้ากับหลิวหลิง พี่สะใภ้คนงามของแม่ทัพหนุ่มนั่นเอง
“ฉีอิงในยามนี้ หายดีแล้วเพคะ ขอบพระทัยในเมตตาของท่านอ๋องและพระชายา ที่ทรงให้หม่อมฉันมาร่วมอวยพรเพคะ”
“เจ้าหายดีทุกคนก็ดีใจแล้วฉีอิง เอาล่ะเราเข้าไปด้านในกันดีกว่า”
ฉีอิง มองหาว่าสตรีของงานต้องแยกอยู่ฝั่งไหน ก็ได้ยินฮูหยินของขุนนาง ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นว่า งานเลี้ยงนี้ ท่านอ๋องเก้าและพระชายา ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันมิแยกชายหญิง ด้วยเจ้าของงานมิต้องการแยกห่าง
ฉีอิงจึงเดินเคียงข้างสามี คารวะขุนนางหลายคน จนไปถึงบิดาของนางที่มาร่วมงานนี้ด้วย ฉีอิงยิ้มกว้าง ก่อนจะก้าวเข้าไปกระซิบกับผู้เป็นมารดา ว่าของร่วมโต๊ะกับทั้งคู่ได้หรือไม่
นางมิต้องการที่จะไปร่วมโต๊ะกับพี่น้องสกุลจ้าน ด้วยเกรงจะอดพูดกระทบสามีกับพี่สะใภ้ของเขาไม่ได้นั่นเอง เสนาบดีหลี่จำต้องเอ่ยชวนบุตรเขย ให้นั่งร่วมโต๊ะกับตนเอง เพราะสายตาเว้าวอนของภรรยาและบุตรสาว
เมื่อได้เวลาดื่มกิน จ้านซือถงได้แต่นั่งมองภรรยา ที่กำลังยิ้มหวานให้แก่คุณชายสกุลหม่า ที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ด้วยความรู้สึกไม่พอใจ ทว่าไม่อาจแสดงออกทางสีหน้าได้
หม่าหยุน คีบไก่ตุ๋นหม้อดิน วางใส่ในถ้วยของฉีอิง หญิงสาวค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการของคุณ ก่อนจะคีบไก่ชิ้นพอดีคำขึ้นมา หมับ! มือบางถูกคว้าจับเอาไว้ ก่อนที่สามีของนางจะโน้มใบน้าลงมาเล็กน้อย พร้อมกับไก่ของนาง หายเข้าไปในปากของแม่ทัพหนุ่ม
จ้านซือถง คีบเนื้อแกะตุ๋นป้อนให้แก่ภรรยา พร้อมรอยยิ้มและสายตากดดัน ฉีอิงยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะอ้าปากรับเนื้อแกะตุ๋นเข้าปาก อาหารมื้อนั้นทำให้ท่านเสนาบดีและภรรยา ยิ้มอย่างมีความสุข ที่เห็นบุตรเขยเอาใจใส่บุตรสาวของตนเองเป็นอย่างดี
หม่าหยุน คิดกับหญิงสาวเพียงฐานะสหาย แต่จากที่เขาเห็นในตอนนี้ แม่ทัพหนุ่มคงคิดไปไกลกว่านั้นเป็นแน่ ฉีอิงยังคงไม่ได้ใส่ใจที่จะสนทนากับสามี หญิงสาวยังพูดคุยกับทุกคนเป็นปกติ ทำให้แม่ทัพหนุ่ม ใบหน้าร้อนวูบขึ้นชั่วขณะ ด้วยความรู้สึกที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน
ปกติแล้วฉีอิงไม่เคยทำเช่นนี้ ทว่าค่ำคืนนี้ภรรยากลับหาได้ใส่ใจเขาไม่ และมิใช่แค่เพียงค่ำคืนนี้ ทว่านับตั้งแต่นางหายจากอาการป่วยเลยทีเดียวค่ำคืนของงานเลี้ยงได้จบลง เมื่อรถม้าจอดยังหน้าจวน ชายหนุ่มยังคงดุแลภรรยาอย่างดีเช่นเดิม ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปส่งนางยังเรือน“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่ ที่อุตส่าห์เดินมาส่งข้าถึงเรือน”“อืม!”แม่ทัพหนุ่มทำเพียงเสียงในลำคอ ก่อนจะเผลอถลึงตาตามหลังร่างงามไป เมื่อเขาคิดว่านางจะกล่าวสิ่งใดเพิ่ม ทว่าร่างบางของภรรยา กลับหมุนกายเข้าเรือนไป โดยไม่แม้แต่จะมองเขาเลยด้วยซ้ำไปสิ่งที่ฉีอิงแสดงออกต่อสามี โดยการเมินเฉยนั้น มิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว มิว่าจะงานเลี้ยงใด ที่ต้องไปร่วมกัน ฉีอิงหาได้ใส่ใจสามี นางสนุกสนานกับงาน ทั้งยังเว้นระยะห่างกับสามีอย่างเห็นได้ชัดหากเป็นแต่ก่อน ในทุกงานเลี้ยง ภรรยาของเขาจะเป็นผู้ที่คอยใส่ใจ ดูแลถามไถ่จนเขารู้สึกรำคาญ แต่ทว่าในปัจจุบัน กลับเป็นเขาที่พยายามเข้าหานาง แต่ไร้ซึ่งการตอบรับจากหลี่ฉีอิงเวลาผ่านไปเร็วประหนึ่งสายลมพัดผ่าน ในวันที่นางตื่นคือหน้าร้อนอันอบอ้าว ทว่าตอนนี้กลับเป็นหน้าหนาว ที่หิมะเริ่มโปรยปราย จะขวบปีแล้วหรือนี่กับ
“ท่านแม่ทัพ”เสี่ยวเตี๋ยดีใจจนออกนอกหน้า หลายเดือนมานี่ ท่านแม่ทัพมาเยือนเรือนฉีอิงบ่อยมาก ทั้งที่วันนี้คุณชายสามมา ท่านแม่ทัพก็ยังแวะเวียนมาที่เรือน โดยที่เจ้านายของนางไม่อยู่แท้ ๆ นอกเสียจากเขาจะมาเพื่อพบหน้าผู้อื่น สาวใช้แอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ภายในใจ“ฮูหยินเล่า นางยังมิเสร็จอีกหรือ” แม่ทัพหนุ่มถามหาภรรยา“เอ่อ...คือฮูหยิน ออกไปยังเรือนรับรองแล้วเจ้าค่ะ เพื่อ...”ชายหนุ่มหมุนกายจากไปทันที โดยไม่รอฟังให้จบก่อน ทำให้เสี่ยวเตี๋ยถึงกับหน้าม่านไปเลยทีเดียว นางคิดว่าที่ผ่านมาชายหนุ่ม มายังเรือนนี่บ่อยครั้ง เพื่อมาพบหน้านางแม่ทัพหนุ่มถึงกับชะงักเท้าในทันที เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากห้องรับแขก ใบหน้าที่เคยนิ่งสนิทอยู่เป็นนิจ บัดนี้กลับมืดครึ้มลงหลายส่วน ‘ไยกับข้า เจ้ามิเคยหัวเราะด้วยเช่นนี้’ ชายหนุ่มคิดขบเขี้ยวอยู่ในใจก่อนจะสูดหายใจลึก ๆ เพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แม่ทัพหนุ่มก้าวเท้าหนัก ๆ ตรงเข้าไปภายในห้องรับแขก ภาพที่เขาเห็นคือภรรยาในชุดสีขาวลายดอกมู่ตานสีชมพู ซึ่งขับเน้นให้นางดูงดงามยิ่งนักแต่สิ่งที่ทำให้เขา แถบจะถลาเข้าคว้าตัวนาง แล้วพากลับไปขังไว้ในเรือน นั่นคือเนินอกอวบอิ่ม ที่
“เอาล่ะ เราไปกินข้าวกันได้แล้ว เสี่ยวเจี้ยน เอาเสื้อคลุมของฮูหยินมาให้ข้า”เสี่ยวเจี้ยนรีบนำผ้าคลุมของผู้เป็นนาย ส่งให้แก่แม่ทัพหนุ่ม ก่อนจะถอยกลับไปยืนเคียงข้างพ่อบ้าน จ้านซือถงจัดแจงห่มผ้าคลุมให้แก่ภรรยาอย่างเบามือ“ท่านพี่เราจะไปกินข้าวกันแค่เพียงห้องข้าง ๆ ไยต้องสวมผ้าคลุมเล่าเจ้าคะ”“นี่คือฤดูหนาว เจ้าควรดูแลตัวเองให้มากสักหน่อย หากป่วยไข้มาจะเป็นอันตรายเอาได้”ปากก็พูดกับภรรยา ทว่ามือนั้นยังพยายามที่จะดึงผ้าคลุม ให้ปกปิดเนินอกขาวเนียนนั้น ให้พ้นสายตาของผู้อื่น ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด จนทุกคนที่อยู่ภายในห้องรับแขก ต่างพากันหันมองไปทางอื่น เพราะดูเหมือนว่าฮูหยินของบ้าน จะเริ่มมีใบหน้าแดงก่ำลามไปจนถึงลำคอแล้วในตอนนี้มือบางจึงยกขึ้นช่วยสามีจัดการกับผ้าคลุม โดยการเบี่ยงไปด้านข้างเล็กน้อย ทำให้ชายผ้าปิดเนินอกอวบของนาง ฉีอิงจึงได้เห็นแววตาพึงพอใจของสามี ก่อนที่เขาจะคว้าเอวขอดของนาง พาเดินไปยังห้องอาหารที่อยู่ติดกัน“ข้าว่าอีกไม่นาน พวกเจ้าคงมีงานเพิ่ม”จ้านซือเถาหันไปเอ่ยกับพ่อบ้านของพี่ชาย และเสี่ยวเจี้ยน ที่ตอนนี้พากันยืนยิ้มจนตาปิดเลยทีเดียว“หากเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยจะย
สำหรับฉีอิงนั้น จูบถือเป็นเรื่องปกติของคู่รักที่จะกระทำมันอยู่แล้ว นางมาจากโลกเสรีในอนาคต การตอบสนองของภรรยา ทำให้ซือถงคำรามอยู่ในลำคอ ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะก้มลงดูดเม้าริมฝีปากล่างอย่างหิวกระหาย มือหนาข้างหนึ่ง ยังคงนวดเฟ้นเต้างามสลับใช้นิ้วโป้ง บี้ยังเม็ดบัวสีหวานนั่นอย่างเมามันฉีอิงสะท้านไปทั้งกายด้วยความรัญจวน จากการปลุกเร้าอารมณ์ของสามี เรียวขางามกวัดรัดขาแกร่งของชายหนุ่มเอาไว้แน่น ทั้งยังแอ่นกายส่วนล่าง ขึ้นบดเบียดกับแท่งหยกที่กำลังขึงขัน แนบชิดตัวนางอยู่ในตอนนี้ชายหนุ่มยังลงอ้อยอิ่งอยู่ที่ลำคอขาวเนียน ก่อนจะเลื่อนลงสู่อกอวบอิ่มอีกครั้ง ทว่าครานี้ ชายหนุ่มหาได้หยุดอยู่ยังสองเต้าเต่งตึงไม่ จมูกคมเลื่อนเลยผ่านลงจนถึงสะดือเล็กน่ารักของนาง ก่อนจะตวัดลิ้นสาก หยอกเย้ามันอยู่นาน ทำให้ร่างบางบิดเร้าด้วยความเสียวซ่าน มือบางทั้งสองข้างกำผ้าปูที่นอนแน่นเสียงครวญครางปานจะขาดใจ เมื่อถูกเล้าโลมจากปลายลิ้นร้ายกาจของชายหนุ่ม มือหน้าจับต้นขางามของภรรยา แยกออกเพื่อให้เขาได้มองเห็นดอกไม้งามที่อวบอูมด้านล่าง ก่อนที่ปลายลิ้นของเขาจะตวัด ยังกลีบอ่อนด้านนอกจนเปียกชื้น นิ้วเรียวก
“ท่านแม่ทัพ สายแล้วนะเจ้าคะ”ในที่สุดเสี่ยวเตี๋ยก็นำตัวเองขึ้นบนแท่นประหาร ฉีอิงลอบยิ้มอยู่กับอกของสามี เสียงงัวเงียเหมือนลูกแมวของนาง เป็นการบอกแก่สามีว่าต้องลงดาบเสียที“บังอาจ! เจ้ากล้าดีเยี่ยงไร จึงเข้ามาในห้องนี้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใดกันเสี่ยวเตี๋ย เพียงบ่าวไยหาญกล้าทำเช่นนี้กัน”ตึก! เสี่ยวเตี๋ยรีบคุกเข่าลงในทันที พร้อมเสียงสะอื้นไห้ปานใจจะขาด ทว่าฉีอิงยังคงนอนหลับตานิ่ง ขยับตัวเพียงเล็กน้อย ยิ่งเป็นการเพิ่มโทสะให้แก่ชายหนุ่ม“ท่านแม่ทัพ เสี่ยวเตี๋ยเพียงเป็นห่วงท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” เสี่ยวเตี๋ยละล้ำละลักพูดด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น“ไม่ผิดที่บ่าวจะห่วงใยในตัวนาย แต่เจ้ากลับมิเป็นเช่นนั้น ฮูหยินของข้าคือนายของเจ้า แต่เจ้ากลับบังอาจรบกวนยามหลับของนาง ทั้งยังรุกล้ำเข้ามาในเวลาส่วนของนายเช่นนี้ เจ้าลองบอกข้ามาสิ ว่ามันเหมาะสมหรือไม่”เสี่ยวเตี๋ยถึงกับหนาวสะท้านไปทั้งกาย นางรู้ชะตาตนเองแล้วในตอนนี้ ว่าอย่างไรเสียก็คงถูกลงทัณฑ์จากแม่ทัพหนุ่มอย่างแน่นอน นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้ นางมิเคยเห็นท่านแม่ทัพ เอ่ยวาจามีโทสะถึงเพียงนี้สักครั้ง“ฮูหยิน ชะ...”“ออกไป!”สาวใช
ก็มิต่างกับว่าเขากำลังจะสูญเสีย จึงต้องรีบไขว่คว้าเอาไว้กับตัว ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานั้น นางให้ความสนใจกับทุกคน ยกเว้นเขาที่นางไม่เคยสนใจเลย ซึ่งมันมิต่างจากการเติมเชื้อไฟในใจของสามี ทว่านางไม่เคยคิดเลยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา เขาจะตัดสินใจร่วมทำเรื่องระหว่าสามีภรรยา อาจด้วยเพราะฤทธิ์สุรา ที่เขาและนางดื่มไปด้วยสำหรับนางแล้ว เรื่องเช่นสักวันมันจะต้องเกิด หากเล่นตัวมากจนเกินไป ก็จะดูไม่งามเอาได้ ยั่วยวนมากไปเหมือนเจ้าของร่าง ก็จะเป็นสิ่งที่ไม่น่าค้นหา นางแค่ใช้หลักจิตวิทยาจากชีวิตเก่า มาลองปรับใช้กับสามีหัวแข็งก็เท่านั้นเอง ‘ท่านมิได้ไร้ใจ ทว่าท่านไร้รักต่างหากสามีข้า’ นางสืบเรื่องของเขาอยู่นาน กว่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว จ้านซือถงใช่ว่าจะไม่มีหัวใจ เขามีความรักอันมั่นคงต่อสตรีนางหนึ่งทว่าฝ่ายหญิงกลับเลือกสามีที่ทำให้ตนเองสูงส่ง มากกว่าจะเลือกเพียงบุตรชายคนรอง ที่เวลานั้นเป็นเพียงทหารตำแหน่งเล็ก ๆ ในกองทัพ ความเจ็บปวดหล่อหลอมเขา ให้กลายเป็นคนที่ไม่เคยรักใครเลย ในสายตาของผู้คนหญิงสาวคนนั้น นางรู้ดีว่าเป็นผู้ใด และมันควรถึงเวลาปลดปล่อยสามีของนาง จากความเจ็บปวดเสียที ‘
กึ๊ก! ทว่าประตูห้องหาได้เปิดออกไม่ ซึ่งดูเหมือนว่าด้านในจะลงดานประตูเอาไว้ หญิงสาวสูดหายใจแรง ๆ เพื่อข่มกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ ก่อนจะใช้กำปั้นทุบลงที่ประตูห้องนอนหลายทีแม่ทัพหนุ่ม ที่กำลังนวดเฟ้นร่างกายให้แก่ภรรยา ที่นอนคว่ำหน้าหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์ ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าทะมึนตึงขึ้นในทันที เมื่อถูกรบกวนเป็นครั้งที่สองภายในวันเดียว“ใคร! มีเรื่องอันใด ไยกล้ารบกวนเวลาพักผ่อนของข้า”เสียงที่แฝงไปด้วยโทสะของชายหนุ่ม ทำให้คนด้านหน้าประตูถึงกับหนาวสะท้าน หลิวหลิงไม่เคยเห็น หรือได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ จากชายหนุ่มสักครั้งเลยในชีวิต“น้องรอง เป็นข้าเองหลิวหลิง”หลิวหลิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อยอย่างมีจริต นางรู้ใจชายหนุ่มดี ว่าหากนางทำเสียง เหมือนตกใจหรือกำลังหวาดกลัว ชายหนุ่มต้องรีบที่จะเข้ามาปลอบโยนอย่างแน่นอน‘ข้ากับเจ้ามันต่างกันฉีอิง เจ้าก็แค่มอบกายปรนเปรอเขา ส่วนข้ามิต้องทำสิ่งใด ก็อยู่ในใจของเขา’“พี่สะใภ้ ไยมิให้บ่าวไพร่มาแจ้งก่อน แล้วเหตุใดจึงมาเรือนของฮูหยินข้า โดยทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้”หลิวหลิงถึงกับใบหน้าซีดเผือก มือบางกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือด ไยชายหนุ่มจึงได้ตำหนินางรุนแ
“ท่านพี่อิ่มหรือยังเจ้าคะ” ฉีอิง เอ่ยถามสามีด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ“หึ ๆ เจ้าทำให้แขกของเรารอนานแล้วนะ” แม่ทัพหนุ่มหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเอ่ยถึงสิ่งรบกวนที่เวลาของทั้งคู่“ห่วงนางมาก ก็ไปสิเจ้าค่ะ”ฉีอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด เมื่อสามีเอ่ยถึงหญิงสาว ที่มาเยือน โดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า ทั้งยังพยายามที่จะบุกเข้ามาในห้องของนาง“ที่ใดกัน นางมิได้สำคัญเท่าปากท้องของภรรยาพี่เสียหน่อย นางมาเองรอได้ก็รอ รอมิได้ก็แล้วแต่นาง เจ้าเหนื่อยหรือไม่ พักเสียหน่อยดีไหม”“ข้าเหนียวตัวเจ้าค่ะ”สิ้นคำพูดของภรรยา แม่ทัพหนุ่มได้พลิกกายมาอยู่ด้านบนแทน ก่อนจะถอดถอนแท่งหยกออกจากายนาง ชายหนุ่มขยับลงจากเตียง ก่อนจะหันกลับมาช้อนอุ้มร่างอ่อนระทวยขึ้นสู่วงแขน เท้าหนาก้าวตรงไปยังส่วนที่เป็นห้องอาบน้ำจ้านซือถงวางภรรยาลงในอ่างน้ำขนาดใหญ่ ก่อนจะก้าวตามลงไป เพื่อช่วยถูกกายให้แก่นาง สองสามีภรรยาช่วยกันอาบน้ำอย่างอ้อยอิ่ง โดยไม่ได้ใส่ใจถึงคนที่มารอพวกเขาอยู่ฉีอิงยกยิ้มน้อย ๆ หลังจากทาชาดสีหวานลงบนเรียวปากงาม นางไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าใด ๆ เลย หลี่ฉีอิงมีความงดงาม โดยไม่ต้องแต่งแต้มใดเพิ่มเติมให้มากมาย เพียงชาดสีอ่อนก็ข
“องค์ชายอย่าทรงเป็นกังวลไปเลยเพคะ จ้าวหยางจะปลอดภัย”“ท่านหมอรีบมาดูหลานชายข้าเร็วเข้า เรื่องนี้ข้าต้องได้คำตอบก่อนรุ่งสาง”“เชิญองค์ชายทางด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ”เสวี่ยจ้าน ต้องการที่จะคุยกับองค์ชายต่างแคว้นเพียงลำพัง ทั้งสองหายไปยังอีกห้อง ซึ่งอยู่ถัดไปพระชายาในองค์รัชทายาท ขยับไปยืนข้างกับแม่ทัพสาว นางเองก็รักในตัวจ้าวหยางมิแพ้ผู้ใด ถึงขนาดคิดเอาไว้ ว่าจะทรงยกพระธิดาองค์โต ให้เป็นภรรยาของจ้าวหยางในอนาคตเซียวเถาบีบเบา ๆ ยังมือของหญิงสาวผู้เป็นสหายรัก ก่อนจะเอ่ยปลอบโยนพระชายาเบา ๆ ท่านหมอประจำจวนอ๋องเหลียวมองไปยังมารดาของเด็กชาย ก่อนจะหันกลับมาจัดการรักษาคุณชายน้อยต่างแคว้นต่อองครักษ์คนสนิทของท่านอ๋องเก้า ได้บอกกับเขาขณะเดินทางมายังเรือนนี้ ว่าต่อให้ยมบาล ต้องการลมหายใจของคุณชายจ้าวหยาง ก็ให้ช่วงชิงกลับมาให้จงได้ มิเช่นนั้นจะทำให้ปีศาจร้ายพิโรธ ไม่บอกเขาก็รู้ว่าหมายถึงผู้ใดเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป การรักษาได้เสร็จสิ้นลง จ้าวหยางหลับไปด้วยฤทธิ์ของยา พิษถูกขับออกจนหมด ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่องค์ชายแห่งเว่ย และท่านอ๋องเก้า กลับเข้ามาภายในห้อง“ท่านหมอ ทุกอย่างเรียบร
ฟริ้ว! ฉึก! ลูกธนูปักยังเสาศาลา แทนที่จะเป็นเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ได้หยุดสิ่งที่กำลังทำ เพื่อเตรียมการรับมือ ผู้บุกรุกยามค่ำคืน“หาญกล้าบุกรุกจวนข้า สงสัยคงอยากที่จะเร่งไปยมโลกกระมัง”อ๋องหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เรื่องมีคนลอบทำร้ายเขาหาได้ใส่ใจไม่ แต่พวกมันกลับมาในเวลา ที่เขากำลังจะช่วงชิงหัวใจของหญิงสาว นี่ต่างหากที่ทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นที่สุดคืนนี้เขาสั่งให้องครักษ์ มิให้เข้ามารบกวนเวลาส่วนตัว ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็มิต้องการให้ผู้ใดมานั่งมอง เรื่องระหว่างเขากับมารดาของบุตรชายเป็นอันขาดเซียวเถาปลดสายคาดเอวออก เพื่อใช้เป็นอาวุธ เพียงครู่เดียวห่าธนูได้พุ่งเข้าหาคนทั้งสอง ทั้งคู่ได้สลับกันปัดป้อง มิให้ลูกธนูถูกกายได้ เมื่อทุกอย่างหยุดลง บุรุษชุดดำกว่าสิบชีวิต ได้ปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบทั้งคู่เอาไว้“ท่านอ๋องเก้า ชะตามิน่าสิ้นสุดเพียงเท่านี้เลย หากท่านอ๋องไม่ทรงอยู่ร่วมกับนาง ก็คงมิต้องจบชีวิตเช่นนี้” หนึ่งในชายชุดดำเอ่ยขึ้น เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยอย่างแท้จริง ผู้ใดจะคิดว่า ท่านอ๋องเก้า จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแม่ทัพต่างแคว้นเช่นนี้“หึ ๆ เข้ามาในบ้านข้า ยังกล้าปากดีอยู่อีก
“แต่หากเรื่องเช่นนี้เกิดกับหญิงสาวคนอื่น เด็กอาจมิโชคดีเช่นนี้”“สิ่งที่อยากจะหยั่งถึง คือใจของคน ท่านอ๋องอย่าได้ยกย่องหม่อมฉันนักเลยเพคะ ท่านอ๋องจะรู้ได้อย่างไร ว่าคราแรกที่หม่อมฉันรู้ว่าตั้งครรภ์ หม่อมฉันยินดีหรือเสียใจ”“ข้ารู้ดีว่าเจ้าเสียใจ แต่เจ้าก็รักลูกในครรภ์มากกว่าคำครหา”“ดูเหมือนท่านอ๋องจะรู้เรื่องนี้ดีนะเพคะ”“ข้ามีนิท่านเรื่องหนึ่ง จะเล่าให้เจ้าฟัง”“เวลาของค่ำคืนนี้อีกยาวนาน หม่อมฉันยินดีที่จะฟังเพคะ”เรื่องราวต่าง ๆ ถูกถ่ายทอดออกมาทีละน้อย อ๋องหนุ่มหวนนึกถึง วันที่เขาเพิ่งกลับจากชายแดน เนื้อตัวนั้นมิได้ดูสง่าอันใด เพื่อสืบเรื่องราวบางอย่าง ทำให้เขาจำต้องปลอมตัวเป็นเพียงนักเดินทางทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเขาต้องการหญิงคณิกามาปลดปล่อย ความเป็นบุรุษ ร่างบอบบางที่ดูเหมือนจะหมดสติ และถูกวางยาปลุกกำหนัดถูกนำมาส่งให้ถึงห้อง เขาคิดเพียงว่าเจ้าของหอนางโลม ต้องการสร้างความตื่นเต้นให้แก่เขา จึงได้ทำเช่นนี้ ทว่าเมื่อเขารับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของนาง จึงได้คิดที่จะเลี้ยงดูนางเป็นอนุแต่เมื่อเขากลับมาจากทำธุระ หญิงสาวบนเตียงได้หายไปแล้ว มีเพียงหยกของนาง ที่ถูกลืมเอาไว้
ภายในห้องหนังสือ จวนแม่ทัพกู้หมิง สองสามีภรรยา นั่งประจันหน้ากัน ด้วยความเคร่งเครียด ทุกคำถาม เสมือนน้ำที่เทลงพื้นก็มิปาน เมื่อผู้เป็นภรรยาหาได้ตอบคำถามนั้น แม้แต่ครึ่งคำถงซือเหยา ยังคงใช้ความนิ่งเงียบ สยบทุกคำถามของสามี ด้วยหลายคำถามนั้น มันมิต่างจากคมมีดที่ปักลงสู่กลางใจนาง“สรุป...เจ้ามิคิด ตอบคำถามข้าเลยเช่นนั้นรึ”“ท่านพี่ สิ่งที่ท่านถามมา ข้าไม่ทราบเรื่องเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”“แล้วสิ่งที่เจ้าพูด ตอนอยู่ในสนามประลองมันหมายว่าอย่างไรเล่า”“ข้าแค่พูดไป ตามที่ผู้คนเล่าลือกันเท่านั้นเจ้าค่ะ”“เรื่องเล่าลือเช่นนั้นรึ แม่ทัพจ้าวเป็นคนแคว้นเว่ย จะมีข่าวเช่นนั้นมาเกิดที่ฉินได้อย่างไรกัน”“ท่านพี่พูดเหมือนข้า เป็นผู้ที่ทำเรื่องเช่นนั้น ข้าเป็นภรรยาของท่านนะเจ้าคะ จะลดตัวไปทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”“ก็ขอให้มันจริง เพราะเท่าที่ข้ารู้มา เรื่องต่ำช้ากว่านี้ คนเช่นเจ้าก็เคยทำมันมาแล้ว ข้านิ่งเฉยมาตลอด เพราะคิดว่าเจ้าจะปรับปรุงตัว”“ท่านพี่ หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”“กลับไปเถอะ แล้วทบทวนสิ่งที่เจ้าทำ และคิดให้มากว่านี้ เจ้าจะมีความสุขเช่นที่ผ่านมา หรือให้ทุกอย่างแตกแยก”“ฮึ! เพราะมั
เซียวเถาเลิกคิ้วสูง เป็นเชิงถามชายหนุ่ม ที่กำลังยืนหายใจประหนึ่งม้าศึก ที่ผ่านการวิ่งมาอย่างสุดกำลัง ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ กับท่าทางของท่านอ๋องหนุ่ม“ไม่เลยขอรับท่านแม่ หากมิได้ท่านแม่ช่วยไว้ จ้าวหยางคงลำบากกว่านี้”“หึ ๆ แม่มิได้ทำอันใดเลย แค่เบื่อท่าทางอวดดีของลูกนกในกรงทอง ก็เท่านั้นเอง”“ข้าเกือบจะลงมือจริง ๆ เสียแล้ว”“แค่เรื่องขำขัน อย่าได้ใส่ใจ”การสนทนาของสองแม่ลูก ทำให้อ๋องหนุ่มถึงกับลอบกลืนน้ำลาย จ้าวหยางเติบโตขึ้น ย่อมต้องเป็นคนที่น่ากลัว กว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดเป็นแน่ ดูแล้วเซียวเหยาผู้นี้ มิใช่เพียงสตรีที่เก่งทางด้านการต่อสู้เพียงอย่างเดียวสินะ จะมีใครบ้าดีเดือดขนาดทำเช่นนางได้ไหนจะเจ้าลูกชายตัวดี ที่ดูจะเข้าขากับผู้เป็นแม่ เสียจนเขากลายเป็นเพียงลาโง่ไปในทันที“ไปกันเถอะ ยืนตรงนี้นาน เกรงจะทำให้คุณชายน้อยผู้นั้น อกแตกตาย”เซียวเถาเอ่ยขึ้น ในขณะที่ถงซือเหยา กำลังเดินผ่าน เพื่อไปจัดเตรียมสิ่งของนำบุตรชายกลับจวน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ถงซือเหยาถามขึ้น ด้วยน้ำเสียงกรุ่นโทสะ นิ้วเรียวสั่นระริก ชี้ไปยังแม่ทัพต่างแคว้น“เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ทั้งยังเป็นถึงภรรยาแม่ทัพ แต่ไร้มารยาทที
“หึ ๆ แม่มิได้ต้องการให้เจ้าลำพองตน จงถ่อมตัวให้มาก แต่อย่ายินยอมให้ผู้ใด มาช่วงชิงลมหายใจของเราไปได้เช่นกัน”“ลูกจะจดจำไว้ขอรับ”สองแม่ลูกเปลี่ยนบทสนทนา เมื่อท่านอ๋องต่างแคว้น เดินเข้ามาหา พร้อมขนมในมือ ชายหนุ่มนั่งลงอีกด้านของจ้าวหยาง“ขนมกลีบเหมยกุ้ยป่า เป็นของที่ท่านย่าจะ...เอ่อ หมายถึงท่านแม่ของข้า ชอบทำให้กินยามเหนื่อยล้าจากการฝึก ข้าอยากให้เจ้าได้ลิ้มลองสักหน่อย”จ้าวหยางหันกลับไปหาผู้เป็นแม่ ก่อนจะได้รับคำอนุญาต เด็กชายจึงรับขนมในจาน มากินอย่างช้า ๆ ทำให้เสวี่ยจ้านยิ้มกว้าง ด้วยความยินดีชายหนุ่มอยากตบปากตนเองยิ่งนัก ที่รีบร้อนจนเกินไป เกือบจะเอ่ยว่ามารดาของเขา คือย่าของจ้าวหยางเสียแล้วเสนาบดีถง หรี่ตามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอัดแน่น เขาไม่อยากที่จะคิดเลยว่า ทั้งสามคนนั้นคือครอบครัว บุตรสาวที่หายตัวไปนับสิบปี หลานชายผู้มีใบหน้าถอดแบบบุรุษสูงศักดิ์ กับท่านอ๋องผู้เป็นดั่งปีศาจร้ายในยามสงคราม ‘เป็นไปมิได้’เขาจำได้ดี ว่าบุตรสาวคนโตนั้น พึงใจในตัวของกู้หมิงมากเพียงใด ไม่มีทางที่นางจะไปผู้สัมพันธ์กับท่านอ๋องเก้าได้ ทั้งคู่มิเคยพบเจอกันสักครั้ง แล้วไยจะเป็นท่านอ๋องเล่า ที่เป็นบิดาขอ
ทางด้านเซียวเหยา หาได้ใส่ใจกับสายตาแตกตื่นของผู้คนไม่ การที่นางให้บุตรชายใช้ม้าของตนเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าม้าของจ้าวหยาง ถูกวางยา เมื่อออกวิ่งเกินขีดจำกัดเมื่อใด ก็จะเกิดอันตรายต่อบุตรชายของนาง และนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สายลับ ของคนเหล่านั้นไม่เคยรู้มาก่อน ว่านางฝึกฝนจ้าวหยาง ด้วยม้าคู่ใจของตนเองมาโดยตลอด“ไยเจ้าดูมิห่วงใยเขาเลย”เสวี่ยจ้าน เอ่ยถามคนข้างกาย ด้วยน้ำเสียงมิใคร่พอใจเท่าใดนัก หากเกิดสิ่งมิคาดฝันขึ้น จะทำเช่นไร ‘สตรีวิปลาสผู้นี้ คิดจะอวดเบ่งไปเพื่อสิ่งใดกัน’“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคือมารดา คือผู้ที่คลอดเขาออกมาด้วยตนเอง ย่อมรู้จักเขาดีกว่าผู้ใด ในเมื่อมีคนคิดสกปรก หม่อมฉันก็แค่ทำให้คนเหล่านั้นผิดหวัง หาได้ทำอันใดผิดไม่เพคะ”เซียวเถาตอบท่านอ๋องเก้า ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จนบางครั้งชายหนุ่มเองก็รู้สึกขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อย กับท่าทีไร้อารมณ์ของหญิงสาวข้างกาย“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เสวี่ยจ้าน ขมวดคิ้วจนเป็นปม เมื่อได้ยินในสิ่งที่เขา ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดหาญกล้าทำเช่นนี้“ท่านอ๋องมิได้ขลาดเขลา ย่อมเข้าใจมันได้ไม่ยาก มิเห็นต้องให้หม่อมฉันอธิบายมากความเลยนะเพคะ”อ๋องหนุ่มมองไปยัง ม้าสอง
“ลูกจะมิทำอันใด หากว่าเขายังมิก้าวล้ำจนเกินไป”จ้าวหยาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า อีกทั้งรอยยิ้มละมุนยังมิจางหายจากใบหน้า เซียวเถาคลี่ยิ้มน้อย ๆ แค่มองตานางก็รับรู้ถึงสิ่งที่บุตรชายคิด การเลี้ยงดูของนางนั้น แตกต่างจากมารดาอื่นอยู่มาก แต่ทุกสิ่งที่นางได้กระทำก็เพื่อจ้าวหยางทั้งสิ้นเซียวเถา บีบไหล่บุตรชายหนัก ๆ เพื่อเป็นการให้กำลังใจ ก่อนจะหมุนกายเดินกลับไปยังที่นั่งของตน โดยมิได้รั้งรอเพื่อส่งจ้าวหยางขึ้นหลังม้า ซึ่งทหารของนางกำลังจูงอาชาสีดำสนิท ตรงมายังบุตรชายของนาง ทุกการกระทำนั้น ในทุกสายตาที่มองมาต่างรู้สึกสงสารจ้าวหยางยิ่งนัก ที่มารดานั้นหาได้ใส่ใจในตัวเด็กชายไม่ ซึ่งแตกต่างจากแม่ทัพกู้หมิง ที่ยังคงแนะนำการขี่ม้า เพื่อช่วงชิงธงให้แก่บุตรชายอย่างเคร่งเครียด“ไยแม่ทัพจ้าว จึงดูมิใส่ใจบุตรชายเอาเสียเลยเล่า” ฮ่องเต้ชราเอ่ยขึ้น เมื่อมองเห็นสิ่งที่เซียวเถาแสดงออกต่อจ้าวหยาง“นางรักบุตรชายมากต่างหากเล่าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”องค์รัชทายาทแห่งเว่ยเอ่ยขึ้นบ้าง พร้อมทั้งมองไปยังจ้าวหยาง ที่กำลังทำการสำรวจความพร้อมของอาชาคู่กายของผู้เป้นมารดา“อย่างไรที่ว่ารักมาก”“ทูลฝ่าบาท หากจะทรงสังเกตจ้าวหยา
สวนดอกไม้หน้าเรือนรับรอง เสวี่ยจ้านหยุดมองไปยังร่างบาง ที่ยังอยู่ในชุดงานเลี้ยง“อะ...แฮ่ม” ชายหนุ่มแสร้งกระแอมเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว ซึ่งเขามั่นใจว่านางรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา นับตั้งแต่ก้าวผ่านประตูทางเข้าเรือนมาแล้ว“ท่านอ๋องมีเรื่องใด ให้หม่อมฉันรับใช้หรือไม่เพคะ”หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น พร้อมหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน“มิได้ ข้าเอาน้ำแกงมาให้ก็เท่านั้น พอดีข้าเห็นเจ้าดื่มหนักอยู่พอสมควร เกรงจะมิสร่างเมาในยามเช้า เลยเอามาให้”ชายหนุ่มรีบยกตะกร้าใส่น้ำแกง ที่เขาได้ให้องครักษ์สั่งห้องครัว จัดเตรียมไว้รอท่า ก่อนที่ทุกคนจะกลับจากวังหลวง“ท่านอ๋อง มิเห็นต้องลำบากมาด้วยตนเองเลยนะเพคะ”“ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย มาเถอะประเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”ชายหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลาภายในสวน ก่อนจะจัดแจงนำน้ำแกงออกมาจากตะกร้า ทุกการกระทำของชายหนุ่มนั้น ดูนิ่มนวลและใส่ใจต่อสิ่งที่อยู่ในมือยิ่งนักเซียวเถาเดินตามมาเงียบ ๆ เมื่ออีกฝ่ายมีน้ำใจ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางก็มิสมควรทำลายน้ำใจนี้ลง สุราเพียงเท่านี้ไม่อาจทำให้นางเป็นอันใดได้เลย“ท่านอ๋อง ดื่มด้วยกันเถอะเพคะ น้ำแกงนี่หม่อมฉันกินคนเดียวไม่ห