“พี่สะใภ้ โปรดระวังคำพูดด้วย ข้าและท่านมิได้มีอันใดต่อกัน ที่ต้องใช้คำว่าหมางเมิน”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ บ่งบอกถึงความหนักแน่นในคำพูดยิ่งนักฉีอิงในตอนนี้ ไม่ได้แสร้งบีบน้ำตา หรือทำท่าทางหวาดกลัว ทว่าหญิงสาวกลับยืดตัวตรง ด้วยท่าทางของนางพญา ก็ในเมื่อนี่คือบ้านของนาง สามีก็ของนาง เหตุใดต้องเกรงกลัวคนนอกเช่นพี่สะใภ้ ที่อยากได้สามีของนางเป็นชู้รักด้วยเล่าสายตาของฉีอิง ทำให้หลิวหลิงพุ่งเข้าอีกฝ่าย ด้วยความโกรธกริ้ว นางอ่านสายตาเย้ยหยันของฉีอิงได้เป็นอย่างดี หมับ! ฟึ่บ! แม่ทัพหนุ่มคว้าจับข้อมือบางของหลิวหลิงได้ทันก่อนจะถึงตัวภรรยา และได้สะบัดหญิงสาวออกห่างตัว ประหนึ่งของร้อนที่ไม่ควรจับต้องจ้านหลี่พุ่งเข้ารับตัวหลิวหลิงเอาไว้ได้ทัน หากเขาเป็นน้องชายในตอนนี้ คงไม่ใจดีทำเพียงแค่สะบัดออกเช่นนี้เป็นแน่ หลิวหลิงขืนกายออกจากอ้อมแขนสามี หญิงสาวเหมือนกำลังสติหลุดแล้วนั่นเองฉีอิงไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ หญิงสาวทำเพียงนั่งสงบนิ่ง มองพี่สะใภ้คนงาม ที่กำลังฟูมฟายต่อหน้าทุกคน ‘ถึงเวลาที่จะจัดให้ทุกอย่าง อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น’“จำไว้ฉีอิง เจ้าได้เพียงร่างกายของเขาเท่านั้น แต่ใจของเขาเจ้า
“อ่ะ ๆ อย่าเพิ่งร้อนตัว ฟังข้าให้จบก่อน ในอดีตนั้นเราทุกคนก็ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เรื่องของความรักใคร่ชอบพอ มันก็เหมือนการละเล่นตามช่วงวัย แต่ในวันนี้เราต่างเติบโตมีครอบครัว ท่านเองก็มีบุตรแล้ว ยังคิดไม่ได้อีกหรือ ว่าใครกันแน่ ที่ท่านควรใส่ใจและดูแล การที่ท่านมาโว้ยวาย กรีดร้องเสมือนคนวิปลาสถึงในจวนข้า ทั้งยังมารื้อฟื้นวามรักครั้งในอดีตขึ้นมา เพื่อสร้างความอัปยศให้แก่ตนเอง ไยท่านหาญกล้าจะทำมัน เพียงแค่กลัวจะเสียหมาก ที่ท่านเคยเขี่ยทิ้งไปเมื่อในอดีตเล่า”ซือถง ก้าวเข้าโอบร่างภรรยาแนบอกแกร่ง มือหนาลูบเบา ๆ ยังต้นแขนบอบบาง เพื่อเป็นการปลอบประโลม ความรู้สึกผิดที่เขาได้กระทำต่อนาง เวลานี้เขาพร้อมที่จะน้อมรับการตัดสินจากนางแล้วเช่นกัน“เจ้า...คือ...ท่านพี่”หลิวหลิง เหมือนจะเริ่มคิดได้ ว่าเวลานี้นางอยู่ในฐานะอะไร สิ่งที่นางพูดและกระทำออกไปนั้น มีผลต่อชีวิตของนางเป็นอย่างมาก ยิ่งเห็นสิ่งที่แม่ทัพหนุ่มทำอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเมื่อครั้งที่คบหากับนาง เขามิเคยแม้แต่จะจับมือของนางด้วยซ้ำไป ทุกอย่างคือการให้เกียรตินาง“กลับกันเถอะ”จ้านหลี่ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึกใด ๆ หลิวหลิง
“ข้าไปด้วยนะเจ้าคะ ข้ารู้ว่าท่านพี่คงมิชอบใจ แต่ข้าอยากที่จะไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็เท่านั้น”ฉีอิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ซึ่งเรื่องการเดินทางของสามีนั้น นางได้รู้ก่อนที่เขาจะมาถึง โดยน้องชายสามีเป็นผู้เล่าเรื่องราวให้ฟัง และอีกหลายต่อหลายเรื่อง ที่นางไม่คิดจะนำมาใส่ใจ เพราะมันไร้สาระสำหรับนาง“หึ ๆ พี่ก็ตั้งใจเอาไว้เช่นนั้น ว่าจะพาเจ้าไปด้วย”แม่ทัพหนุ่มหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเอ่ยตอบคนในอ้อมแขนเบา ๆ พร้อมใช้มือหนาเชยคางเล็กน่ารักนั้น ให้เงยหน้าสบตากับเขา“ดียิ่งนักเจ้าค่ะ”ฉีอิง หยิบขนมป้อนให้แก่สามีอย่างเอาใจ นางยังไม่เคยไปไกลจากตลาดเมืองหลวงเลยสักครั้ง นางเคยอ่านในนิยาย ว่าแม่ทัพต้องอยู่ชายแดน ทว่าสามีของนางกลับต้องประจำการที่เมืองหลวงครั้งนี้จึงเป็นโอกาส ที่จะได้ชื่นชมบ้านเมืองในยุคอดีตเสียที ใช่ว่าจะมิรู้ว่าการเดินทางนั้น มันอันตรายยิ่งนัก ด้วยมาจากต่างยุค ฉีอิงเองใช่จะไม่แปลกใจที่สามีของนาง คิดจะพานางไปด้วยตั้งแต่แรก ย่อมต้องมีเหตุผลที่อะไรสักอย่างแน่นอนทว่าหญิงสาวยังคงเงียบ ไร้ซึ่งคำถาม ในเมื่อเขามิเอ่ย สิ่งที่นางต้องทำคือระวังตัวให้มากขึ้น“เช่นนั้นข้าจะนำสาวใช้จากจวน เพื่อไปช่วย
และที่สำคัญ มีคนในที่กำลังคิดทำลายเขาอีกด้วยเช่นกัน ภรรยาจึงเป็นเป้าหมายแรกของคนเหล่านั้น เขาจึงยอมที่จะเสี่ยง พานางเดินทางมาด้วย ซึ่งนับว่านางฉลาดมากทีเดียว ที่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากบิดาและพี่ชายของนางผู้คุ้มกันทั้งสามนั้น คือยอดฝีมือ ที่ภักดีต่อสกุลหลี่ หากเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันใด ๆ ขึ้น เขาขอแค่นางปลอดภัย เท่านั้นก็มากพอแล้วสำหรับเขาในเวลานี้การเดินตลอดหลายวัน ไม่ได้สร้างความเหน็ดเหนื่อย ให้แก่ฉีอิงเลยแม้แต่น้อย ผิดกับสาวใช้ของซือเถา ดูเหมือนนางแทบจะหายใจได้ไม่เต็มปอดเอาเสียเลยฉีอิง นั่งอยู่ข้างสามี ในขณะที่คณะหยุดพักกลางวัน หญิงสาวยกยิ้มน้อย ๆ กับท่าทางของอี้หลิว ดูเหมือนสาวใช้ผู้นั้น จะทนกับความเหน็ดเหนื่อย กับงานที่ต้องรับผิดชอบได้ไม่ดีนัก 'เมื่อเจ้าตั้งใจจะใช้การเดินทางนี้กำจัดข้า ข้าก็พร้อมสนองต่อความต้องการของเจ้า'“ท่านพี่ ตรงนั้นมีดอกไม้ด้วยเจ้าค่ะ”ฉีอิงเอ่ยชี้ชวนสามี เมื่อเวลานี้นางต้องการความเป็นส่วนตัว มิใช่เรื่องอื่นใด ทว่านางได้รับสัญญาณบางอย่างจากคนข้างกาย นางจึงต้องหาหนทางพาตนเองและสามี ออกห่างจากทุกคนในคณะ“ไปสิ! พี่จะพาเจ้าไปดู” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยตอบรับอย่างเอาใจ
ค่ายทหารชายแดนตะวันออก แม่ทัพหนุ่มจ้านซือถง ได้ทำการส่งมอบเสบียงให้แก่ แม่ทัพประจำการ ก่อนจะขอตัวพาภรรยา ไปพักที่อยู่ใกล้ตัวเมือง จ้านซือถง พยายามที่จะไม่แสดงออก ถึงความกังวลทางสีหน้าให้ภรรยารับรู้ ทว่ามีหรือคนเช่นฉีอิงจะไม่รู้ หญิงสาวลูบเบา ๆ ที่ท่อนแขนของสามี เป็นการปลอบประโลม นางรู้แล้วว่าชายหนุ่มข้างกาย หาได้ต้องการทำร้ายนางไม่ ทว่านางคือภาระ อันหนักอึ้งสำหรับเขาต่างหากในตอนนี้ “อย่ากังวลใจไปท่านพี่ ข้าดูแลตัวเองได้” “เจ้าอย่าปลอบใจพี่เลย อย่างไรเสีย เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง” “คนเราเกิดมาก็แค่ตาย หากคิดมากไปในตอนนี้ จะหาความสุขในเวลาที่เหลืออยู่ ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ” “แต่...” คำพูดของชายหนุ่มจำต้องหยุดลง เมื่อนิ้วเรียวงามได้ยกขึ้นปิดปากเขาเอาไว้ ใบหน้างามส่ายไปมาเล็กน้อย ก่อนที่ฉีอิงจะชี้ชวนสามีดูสิ่งของที่วางขายมากมาย ทุกอย่างผ่านไปเร็ว จนเรียกได้ว่าพริบตาเลยทีเดียว แม่ทัพหนุ่มถูกเชื้อเชิญจากท่านเจ้าเมือง ให้ไปร่วมล่าสัตว์ ทำให้ฉีอิงต้องอยู่เ
ชายหนุ่มที่มีเส้นผมสีเงินยวง ได้ยืนมองการต่อสู้อย่างสงบ เขารู้ดีว่าผลจะออกมาเช่นไร เสี่ยวเจี้ยน เป็นหนึ่งในผู้คุ้มกันที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีตั้งแต่วัยเยาว์ แต่ด้วยความรักที่นางมีต่อคุณหนู ผู้ร่างกายอ่อนแอ นางจึงตัดสินใจติดตามผู้เป็นนาย แทนการเป็นผู้คุ้มกันในจวนสกุลหลี่ เรื่องนี้จะมีเพียงคนในสกุลหลี่เท่านั้นที่รู้ ด้วยร่างกายของคุณหนูอ่อนแอ จนไม่อาจฝึกฝนวิชาได้ การมีเสี่ยวเจี้ยนคอยดูแล ย่อมเป็นเรื่องที่ดี ในที่สุดการต่อสู้ก็จบลง พร้อมลมหายใจของสาวใช้หน้าตาอัปลักษณ์ ต่อให้พวกเขารู้ว่าแท้จริงนางคือผู้ใด แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะปิดหูปิดตาเอาไว้เช่นกัน “ฮูหยิน ปลอดภัยดีหรือไม่เจ้าคะ” “ข้าปลอดภัยดีเสี่ยวเจี้ยน ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเหลือ” “ฮูหยินอย่าเอ่ยเช่นนี้ หากในอดีต ฮูหยินไม่ชุบเลี้ยงเสี่ยวเจี้ยน ก็คงไม่มีบ่าวในวันนี้เจ้าค่ะ” “แล้วท่านพี่เล่า ข้ามั่นใจว่าเรื่องนี้ ต้องเกี่ยวพันกับซือเถาอย่างแน่นอน” “คนของเราติดตามท่านแม่ทัพไปแล้วขอรับ ฮูหยินโปรดวางใจ”
“หึ ๆ พี่สะใภ้เปลี่ยนไปมาก ข้าไม่คิดว่าจะต้องเป็นผู้ลงมือส่งท่านไปอยู่กับพี่รองด้วยตนเอง” “ทำให้ได้ก่อน ค่อยเอ่ยคำนั้น คนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่งเช่นข้า จะต้องตายอีกสักครั้ง ก็ไม่เห็นต้องหวาดกลัวมันเลยสักนิด” ฉีอิงไม่ใส่ใจแล้วว่าเวลานี้ นางจะอยู่หรือตาย แต่นางจะไม่ให้คนที่ทรยศต่อพี่น้อง มากำแหงและหยามเหยียดสามีของนางเป็นอันขาด เมื่อมีสามีประเสริฐ ไยนางจะมิคิดรักษาเล่า “เช่นนั้น อย่าหาว่าข้าแล้งน้ำใจ” กระบี่ถูกดึงออกจากฝัก ชี้ตรงมายังฉีอิง ผู้คุ้มกันก้าวเข้ามายืนบังผู้เป็นนายเอาไว้ในทันที ใบหน้าเยือกเย็นไร้ความรู้สึกของชายหนุ่ม ทำให้จ้านซือเถาหายใจติดขัดเล็กน้อย ด้วยไอสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างหนานั่น กดดันจนเขาแน่นไปทั้งอก ไม่คิดว่าครั้งนี้ สกุลหลี่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือฉีอิง ทว่าคนเราจะเยี่ยมยุทธ์ปานใด หากต้องต่อกรกับคนที่แข็งแกร่งมิแพ้กัน ทั้งมีจำนวนมากกว่า ย่อมยากที่จะคว้าชัยจากเขาไปได้ จ้านซือเถาเป่าปาก เป็นสัญญาณบางอย่าง เพียงพริบตาเดียว กลุ่มชายชุดดำได้ปรากฏกายขึ้น
“ข้ามิเคยทำร้ายเจ้าเลยสักครั้งซือเถา ไยเจ้าทำเช่นนี้ หากเจ้าจะสังหารข้า พี่ชายผู้นี้ย่อมยินยอม ทว่าเพียงแค่เจ้าคิดที่จะแตะต้องภรรยาข้า คำว่าอภัยหรือยินยอม จะไม่มีจากคนเช่นข้าอีก เราขาดกันนับแต่บัดนี้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยโทสะ ยิ่งตอนที่เห็นภรรยาถูกซัด จนกระแทกกับต้นไม้ เขาแทบคุมสติตนเองมิได้ “ฮ่า ๆ ขาดกันเช่นนั้นรึ เจ้าเป็นเพียงลูกไร้มารดา ที่สกุลจ้านรับเลี้ยง อย่าได้บังอาจมาเทียบชั้นกับคนเช่นข้า จ้านซือถง” จ้านซือเถา ตั้งใจจี้ใจดำของอีกฝ่าย โดยการพูดถึงปมด้อย ที่เขามั่นใจว่าจ้านซือถงต้องเจ็บปวดเจียนตาย “เพราะเมตตาที่ทุกคนมีต่อเจ้า ข้าจึงยินยอมให้มีข่าวเช่นนั้นออกไป เพื่อมิให้เจ้ารู้ความจริง” “เจ้าหมายความว่าอย่างไร” จ้านซือเถา ชี้กระบี่ไปยังพี่ชาย ด้วยอาการสั่นระริก “เจ้ามิเคยสังเกตเลยหรืออย่างไร ว่าไยเจ้าถึงไม่เคยได้รับความเอ็นดูจากท่านแม่ เท่าพี่ใหญ่หรือตัวข้า แม้แต่บุตรจากอนุ ยังได้รับเมตตาจากท่านแม่มากกว่าคนเช่นเจ้า ข้าคิดผิดเองที่อยากปกป้อ
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฮ่องเต้ได้สั่งห้องเครื่องทำอาหารออกมาแจกจ่ายให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งทรงอยู่ร่วมพูดคุยกับทุกคนอย่างเป็นกันเอง“ท่านแม่ทัพเยี่ย”“พระชายาทรงมีสิ่งใดกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ของสิ่งนี้ข้าขอส่งคืนสกุลเยี่ย”เยว่หมิงหลันยื่นส่งดาบไห่ซินให้แก่เยี่ยไค่หลาง มือหนาสั่นเทาเมื่อเห็นว่ามันคือดาบคู่กายของน้องสาว แม้ว่าดาบตรงหน้าอาจมิใช่อันเดิม แต่ทุกลวดลายนั้นคือตัวตนของน้องสาวเขาทั้งสิ้น“พานางกลับสู่อ้อมกอดของครอบครัวเถิด หากวันหน้าครอบครัวเราปรองดองกันในรุ่นลูกหลาน ข้าก็มิขัดข้อง”“พ่ะย่ะค่ะ...พระชายา!”เยี่ยไค่หลางกำลังจะผวาเข้ารับร่างหญิงสาว ทว่ายังช้ากว่ากั๋วหยวนเค่อ ที่จับตามองภรรยาแทบทุกฝีก้าวอยู่ก่อนแล้ว“ตามหมอหลวงเร็วเข้า”ท่านแม่ทัพเยี่ยรีบสั่งการ ก่อนที่ตัวเขาจะรีบเปิดทางให้ท่านอ๋องเก้าพาพระชายาเข้าไปยังเหลาหยวนหลัน โดยมีฮ่องเต้กับเชื้อพระวงศ์และขุนนางอีกหลายคนติดตามเข้าไปด้วยเวลานี้ฮ่องเต้กับหยวนปิงเดินสวนกันไปมา เพื่อรอฟังผลการตรวจถึงอาการป่วยกะทันหันของเยว่หมิงหลัน ทั้งคู่รู้ดีว่าเยว่หมิงหลันเคี่ยวเข็ญตนเองอย่างหนัก กว่าจะสามารถยืนทัดเทียมศัตรูได้ แ
“ชูเจี่ยนอ๋องยังเสมอต้นเสมอปลาย เลือดเย็นต่อคนข้างกายเช่นไรก็ยังคงเดิม”“อย่าสู่รู้!”“หึ ๆ ระหว่างเจ้ากับข้าแตกต่างกันตรงไหนรู้ไหมชูเจี่ยน ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้า แต่เจ้ามิรู้สิ่งใดเลยกับข้า”“แค่นี้รึ! ที่เจ้าคิดจะกำราบข้าได้”เคร้ง! ร่างงามตวัดดาบในมือต้านการจู่โจม ไม่มีคำว่าออมมือสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ ชูเจี่ยนเก็บความแตกตื่นเอาไว้ภายในใจ เมื่อหลายกระบวนท่าของเยว่หมิงหลัน เหมือนกับใครอีกคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี “ข้าไม่จำต้องเสียเวลากับคนเยี่ยงเจ้า แต่มันจะสนุกอะไรหากไม่ได้ยินคำร้องขอความตายจากเจ้า” ชูเจี่ยนผงะถอยหลังเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว กลิ่นอายบางอย่างของเยว่หมิงหลัน ทำให้ภาพต่าง ๆ ในอดีตผุดขึ้นราวดอกเห็ดต้องสายฝน แววตาที่เขาเคยได้รับก่อนที่มันจะเลือนหายไปตลอดกาล ทำให้สมาธิของเขาเลือนหายไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว ฉึก! ยังไม่ทันที่จะดึงสติออกจากภวังค์ได้ดีนัก กลางอีกของเขากลับมีปลายอาวุธแหลมคมอาบเลือดโผล่พ้นให้เห็น “คนต่ำช้าเยี่ยงเจ้าไม่สมควรอยู่ให้หนักแผ่นดิน เจ้าพรากทุกอย่างไปจากข้า แล้วยังจะพาข้าลงสู่นรกเพราะความเ
กว่าที่เขากับผู้เป็นอาจะก้าวมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ต้องแสร้งเป็นคนหูหนวกตาบอด เพื่อรอเวลาชำระความ และไม่คิดว่าวันนี้มาถึง เขาจะมีใครอีกคนมาเคียงข้างให้ปกป้องเขายอมเป็นปีศาจในสายตาของคนทั้งแผ่น ส่วนฮ่องเต้เป็นเพียงตาแก่ปวกเปียกในสายตาของคนคิดคด การนิ่งเงียบเพียงเพื่อรอให้อสรพิษร้ายตัวจริงโผล่หางเท่านั้นดวงตาของเขาที่เสียไปเพื่อปกป้องร่างไร้ลมหายใจของนาง อาจดูโง่เขลาแต่ในยามที่คนเราใกล้ตาย แล้วมีมือหนึ่งยืนเข้ามาประคอง มันย่อมมีค่ากว่าสิ่งใดมือหนาเลื่อนไปยังแผ่นอกกว้าง ก่อนจะกดลงเบา ๆ เพื่อสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ภายใน มันยังคงอยู่ดีบนกายของเขา หยกชิ้นนั้นสลักชื่อของนางเอาไว้ วันนี้เขาจะทวงทุกอย่าง เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่นางและครอบครัว ‘ไห่ซิน’ สักวันเราจะได้พบกันพี่สาวรุ่งสาง ณ จวนชูอ๋อง หมับ! ข้อมือบางถูกคว้าจับเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่ปิ่นแหลมในมือจะปักลงบนลำคอของชูอ๋อง “ท่านกล้าทำลายใจข้า!” พระชายาเอกเอ่ยด้วยน้ำเสียงรวดร้าว ข้อมือบางเจ็บร้าวยิ่งนัก เมื่อสามีมิได้ออมแรงในการตอบโต้นาง แค่เสี้ยวใจของเขาในตอนนี้ มันไม่มีนางหลงเหลืออยู่เลยเช่นนั้นรึ!
“นี่มันเรื่องอะไรกันอีก มีสิ่งใดที่ข้ายังต้องรู้อีกไหม!”ไทฮูหยินที่ก้าวเข้ามาภายในห้องของบุตรชาย เอ่ยถามเสียงดังดวงตาของหญิงชราแดงก่ำ เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดกับครอบครัว นางเพียรดูแลปกป้องสกุลเยว่มาทั้งชีวิต แต่แล้วตอนนี้ทุกอย่างมันกำลังพังลงมิเป็นท่า“ไม่มีสิ่งเลยไทฮูหยิน ข้าเพียงแค่บอกว่าใครคือสายเลือดแท้จริงและจอมปลอมของสกุลเยว่”“พวกเจ้าสองคนบอกข้าสิ! ว่าที่ท่านอ๋องพูดมันมิใช่เรื่องจริง”แค่เรื่องทีถูกบุกคุมตัวกลางดึก ก็ทำให้นางแทบสิ้นสติคาที่ แล้วยังจะมีเรื่องที่เจ็บปวดกว่านั้นอีกหรืออย่างไร“ท่านอ๋องเก้าคิดที่จะป้ายสีสิ่งใดให้สกุลเยว่อีกเล่า แค่ที่ทำอยู่มันไม่มากพอหรืออย่างไร”เยว่ฮูหยินถามชายหนุ่มด้วยความคับแค้นใจ ดวงตาที่แดงก่ำบ่งบอกว่านางไม่ยอมรับข้อกล่าวหานี้“มารดาของท่านเคยทำเยี่ยงไร ตัวท่านก็ยังดำเนินรอยตามอยู่อีกหรือ ตัวท่านหาใช่บุตรสาวของท่านเจ้ากรมจาง แต่เป็นลูกของชู้รักที่มารดาของท่านไม่อาจครองคู่หลังแต่งงานแล้วคลอดบุตรสาวคนแรกจางเยี่ยหลาน ซึ่งก็คือท่านแม่ยายของข้า มารดาของท่านกับคนรักเก่าได้ลักลอบพบและมีสัมพันธ์ จนมีท่านที่เป็นดังโซ่ทองคล้องใจของทั้งคู่ ท่านไม่แปลกใจเล
นับตั้งแต่คืนเข้าหอ ผ่านมากว่าครึ่งเดือน พระชายาเอกฉีทำได้เพียงกรีดร้องด้วยความคับแค้นอยู่เพียงลำพังในเรือน สามีอันเป็นที่รักเวลานี้คลุกอยู่เพียงกับชายารอง ไม่แม้แต่จะมาเยี่ยมเยียน หรือให้นางเข้าพบในยามไปหา “อ้าวพี่หญิง! ไยมาหาข้าที่เรือนด้วยตนเองเล่าเจ้าคะ มิให้สาวใช้มาเรียกข้าจะไปพบพี่หญิงเอง” เยว่หลิวหลีในวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนยิ่งนัก ใบหน้างามที่เคยแต่งแต้มด้วยที่อ่อนหวาน บัดนี้กลับฉูดฉาดรับกับดวงตาหยิ่งผยองของนางยิ่งนัก “ไม่จำเป็น!” ฉีหยุนเหลียนพยายามที่จะข่มกลั้นความชิงชังเอาไว้ให้ลึกที่สุด เพราะรู้ดีว่าเวลานี้ สามีอยู่ภายในเรือนของเยว่หลิวหลี หากนางบุ่มบ่ามล่วงเกินอีกฝ่ายไป สถานะของนางคงไม่มั่นคงอย่างแน่นอน “ข้ามพบท่านพี่” “ท่านอ๋องหลับอยู่เจ้าค่ะ คงไม่สะดวกนักที่จะปล่อยให้พี่หญิงเข้าไปโดยพลการ” “เจ้าควรรู้จุดยืนของตนเองบ้างนะ เยว่หลิวหลี!” “คำพูดนี้ข้าคิดว่า...พี่หญิงควรเก็บเอาไว้เตือนตนเองจะดีกว่านะเจ้าคะ หาไม่แล้วอาจล้มโดยมิทันตั้งตัวเอาได้” “เยว่หลิวหลี!”
ฉึก! ด้วยความที่จิตใจหว้าวุ่น ทำให้ชายชุดดำถูกดาบคมเสือกแทงเข้ายังสีข้าง ก่อนจะดึงออกคล้ายจงใจที่จะให้เขาเพียงบาดเจ็บเท่านั้น สายตาของชายชุดดำกวาดมองไปยังถนน ซึ่งเมื่อครู่ยังมีการต่อสู้ แต่ในตอนนี้มีเพียงร่างของกลุ่มชายชุดดำทั้งสิ้น ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินเมื่อรู้แล้วว่าทั้งหมดคือกลลวง ชายชุดดำรีบถอยรนกลับเข้าไปริมทาง ก่อนเร่งใช้วิชาตัวเบาจากไปในทันที ส่วนคนบนถนนทำเพียงยืนมองอย่างสงบ ให้คนเยี่ยงชูเจี่ยนตายในตอนนี้ มันสบายเกินไปควรเติมความกลมกล่อมลงไปอีกสักหน่อย จึงจะสาสมกับสิ่งที่บุรุษผู้นี้กระทำต่อผู้อื่นค่ำคืนในวันถัดมา ณ จวนชูอ๋อง ภายในเรือนหลิวหลี ร่างงามเดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ เมื่อคนที่นางให้ไปจัดการเรื่องสำคัญ เงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย คืนนี้นางกลัวนักที่ต้องเข้าหอกับชูอ๋อง “คุณหนู” “ว่าอย่างไรได้ความหรือไม่” เยว่หลิวหลีเอ่ยถามสาวใช้ด้วยความร้อนใจ หากคืนนี้นางต้องตกเป็นของชูอ๋อง นางต้องทำให้ตนเองอยู่เหนือทุกคน แต่สิ่งที่นางจะชโลมใจของนางได้ในตอนนี้ คือการไม่มีอยู่ของเยว่หมิงหลัน สาวใช้ทำเพียงส่ายหน้าน้อย ก่อนจะรีบขย
“ทะ...”ก่อนที่คนสนิทจะทันได้เรียกผู้เป็นนาย หัวหน้าพ่อบ้านได้ใช้มือปิดปากของชายหนุ่มเอาไว้ พร้อมดึงร่างนั้นให้พ้นจากผู้เป็นนายทั้งสอง เขารอมานานปีที่จะได้อุ้มท่านชายท่านหญิงน้อย เขาจะไม่ยอมให้องครักษ์เซ่อซ่าทำพังเป็นอันขาด“มิรู้ดูตาม้าตาเรือ ข้าควรตัดลิ้นเจ้าเสียเลยดีไหม”หัวหน้าพ่อบ้านทำสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะร่ายยาวถึงสิ่งที่เขาเฝ้ารอ และลงท้ายด้วยการตำหนิองครักษ์หนุ่ม ที่มิรู้ความวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไป ในเวลาส่วนตัวของผู้เป็นนาย“ก็ข้าไม่รู้นี่ขอรับ”“ชู่ว์!” หัวหน้าพ่อบ้านมองไปยงความมืดด้านหลัง“เจ้าไปนอนได้แล้ว ประเดี๋ยวข้าตรวจตราที่เรือนเล็กแล้วจะเขานอนเช่นกัน”หัวหน้าพ่อบ้านก้าวตรงไปยังทิศทางของสายตาเมื่อครู่ แม้จะรู้ว่าตอนนี้สิ่งผิดปกติได้หายไปแล้วเช่นกัน องครักษ์หนุ่มได้เดินไปยังที่พักของตน โดยไม่คิดที่จะกลับไปหาผู้เป็นนายทั้งสอง “มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่คิดบุกรุกจวนท่านอ๋องเก้า”ชายชุดดำรู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อ ดูเหมือนว่ามันจะช้าไปสักหน่อย“ข้าไม่คิดมาก่อนว่าแค่พ่อบ้านแก่ ๆ คนหนึ่ง จะมีฝีมือขนาดนี้”ชายชุดดำเอ่ยขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถ
ทางด้านจวนสกุลเยว่เยว่หลิวหลีถึงกับล้มป่วยกะทันหัน เมื่อได้รับข่าวร้ายจากบิดา นางต้องแต่งเป็นรองมิพอ สามียังอายุน้อยกว่าบิดาเพียงไม่กี่ปี ชีวิตที่งดงามของนางมันพังลงนับตั้งแต่เยว่หมิงหลันกลับมาเมืองหลวง นี่ขนาดไม่กี่วันเท่านั้น ชีวิตของนางยังอยู่เยี่ยงตกนรก เห็นทีนางกับเยว่หมิงหลันคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว‘มีข้าต้องไม่มีเจ้าเยว่หมิงหลัน’“คุณหนูข้าน้อยน้ำแกงโสมมาให้ขอรับ”“กำจัดนางซะ! มีข้าต้องไม่มีมัน!”“คุณหนูโปรดวางใจ สิ่งใดที่คุณหนูต้องการข้าน้อยจะจัดการให้ขอรับ ดื่มน้ำแกงแล้วพักผ่อนก่อนนะขอรับ”พ่อบ้านที่เดินคล้ายคนไร้เรี่ยวแรงในทุกวัน พอก้าวพ้นเขตเรือนร่างสูงยืนตรง ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น ก่อนที่เขาจะหายไปอย่างรวดเร็วเพื่อทำตามปะสงค์ของหญิงสาวเหลาหยวนหลัน เยว่หมิงหลันป้อนอาหารให้มารดาอย่างใจเย็น เพียงไม่กี่วันที่มารดาได้รับการบำรุงและรักษาอาการ จากท่านหมอประจำสำนักคุ้มภัย ใบหน้าที่เคยไร้สีเลือดบัดนี้ดูสดยิ่งนัก คราแรกนางตั้งใจเข้าเมืองหลวง เพื่อใช้การค้าของน้องชายเป็นสิ่งต่อรองทวงศักดิ์ศรีของผู้เป็นแม่คืน ทว่ายังไม่ทันลงมือก็มีเรื่องการแต่งงานเข
“พวกท่านมิรู้ให้เกียรติราชวงศ์เลยเช่นนั้นรึ! นี่เป็นงานแต่งของข้า กลับพากันมาทำเรื่องบัดสี มิพอยังทำให้ผู้คนวุ่นวายจนคืนเข้าหอของข้าถูกรบกวน” กั๋วหยวนเค่อเอ่ยเสียงกร้าวด้วยความไม่พอใจ โดยที่มือหนายังคงดันใบหน้าพระชายามิให้มองไปยังด้านในห้อง แม้ว่าตอนนี้ชูอ๋องจะปิดบังส่วนนั้นเอาไว้แล้วก็ตามที “เรื่องนี้ย่อมมีเบื้องหลัง ท่านอ๋องเก้าคงไม่ตัดสินสิ่งใดเพียงแค่ตาเห็นหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ” ชูเจี่ยนรีบเอ่ยขึ้น เมื่อตอนนี้อาการมึนงงของเขาได้หายไปแล้ว เหลือเพียงอารมณ์ที่พร้อมปะทุ เมื่อนึกได้แล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับบุตรสาวคนรองของท่านเสนาบดีเยว่มีความผิดปกติ “เรื่องนั้นอาจเป็นอย่างที่ท่านพูด แต่ความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นกับคุณหนูเยว่หลิวหลี ชูอ๋องมิอาจปล่อยเลยไปได้ ข้าหวังยิ่งนักว่าชูอ๋องจะแสดงความรับผิดชอบ มิให้เกิดความแตกแยกในแผ่นดิน” คำพูดของท่านอ๋องเก้าชัดเจนยิ่งนัก พระชายาฉีแทบจะครองสติเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อสิ่งที่นางกลัวมาตลอดหลายปีเกิดขึ้นจนได้ นางยินยอมให้สามีเสพสมสตรีอื่น โดยไม่ผูกมัดหรือนำเข้ามายกย่องเป็นอนุ แต่เยว่หลิวหลีห