นับตั้งแต่คืนเข้าหอ ผ่านมากว่าครึ่งเดือน พระชายาเอกฉีทำได้เพียงกรีดร้องด้วยความคับแค้นอยู่เพียงลำพังในเรือน สามีอันเป็นที่รักเวลานี้คลุกอยู่เพียงกับชายารอง ไม่แม้แต่จะมาเยี่ยมเยียน หรือให้นางเข้าพบในยามไปหา “อ้าวพี่หญิง! ไยมาหาข้าที่เรือนด้วยตนเองเล่าเจ้าคะ มิให้สาวใช้มาเรียกข้าจะไปพบพี่หญิงเอง” เยว่หลิวหลีในวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนยิ่งนัก ใบหน้างามที่เคยแต่งแต้มด้วยที่อ่อนหวาน บัดนี้กลับฉูดฉาดรับกับดวงตาหยิ่งผยองของนางยิ่งนัก “ไม่จำเป็น!” ฉีหยุนเหลียนพยายามที่จะข่มกลั้นความชิงชังเอาไว้ให้ลึกที่สุด เพราะรู้ดีว่าเวลานี้ สามีอยู่ภายในเรือนของเยว่หลิวหลี หากนางบุ่มบ่ามล่วงเกินอีกฝ่ายไป สถานะของนางคงไม่มั่นคงอย่างแน่นอน “ข้ามพบท่านพี่” “ท่านอ๋องหลับอยู่เจ้าค่ะ คงไม่สะดวกนักที่จะปล่อยให้พี่หญิงเข้าไปโดยพลการ” “เจ้าควรรู้จุดยืนของตนเองบ้างนะ เยว่หลิวหลี!” “คำพูดนี้ข้าคิดว่า...พี่หญิงควรเก็บเอาไว้เตือนตนเองจะดีกว่านะเจ้าคะ หาไม่แล้วอาจล้มโดยมิทันตั้งตัวเอาได้” “เยว่หลิวหลี!”
“นี่มันเรื่องอะไรกันอีก มีสิ่งใดที่ข้ายังต้องรู้อีกไหม!”ไทฮูหยินที่ก้าวเข้ามาภายในห้องของบุตรชาย เอ่ยถามเสียงดังดวงตาของหญิงชราแดงก่ำ เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดกับครอบครัว นางเพียรดูแลปกป้องสกุลเยว่มาทั้งชีวิต แต่แล้วตอนนี้ทุกอย่างมันกำลังพังลงมิเป็นท่า“ไม่มีสิ่งเลยไทฮูหยิน ข้าเพียงแค่บอกว่าใครคือสายเลือดแท้จริงและจอมปลอมของสกุลเยว่”“พวกเจ้าสองคนบอกข้าสิ! ว่าที่ท่านอ๋องพูดมันมิใช่เรื่องจริง”แค่เรื่องทีถูกบุกคุมตัวกลางดึก ก็ทำให้นางแทบสิ้นสติคาที่ แล้วยังจะมีเรื่องที่เจ็บปวดกว่านั้นอีกหรืออย่างไร“ท่านอ๋องเก้าคิดที่จะป้ายสีสิ่งใดให้สกุลเยว่อีกเล่า แค่ที่ทำอยู่มันไม่มากพอหรืออย่างไร”เยว่ฮูหยินถามชายหนุ่มด้วยความคับแค้นใจ ดวงตาที่แดงก่ำบ่งบอกว่านางไม่ยอมรับข้อกล่าวหานี้“มารดาของท่านเคยทำเยี่ยงไร ตัวท่านก็ยังดำเนินรอยตามอยู่อีกหรือ ตัวท่านหาใช่บุตรสาวของท่านเจ้ากรมจาง แต่เป็นลูกของชู้รักที่มารดาของท่านไม่อาจครองคู่หลังแต่งงานแล้วคลอดบุตรสาวคนแรกจางเยี่ยหลาน ซึ่งก็คือท่านแม่ยายของข้า มารดาของท่านกับคนรักเก่าได้ลักลอบพบและมีสัมพันธ์ จนมีท่านที่เป็นดังโซ่ทองคล้องใจของทั้งคู่ ท่านไม่แปลกใจเล
กว่าที่เขากับผู้เป็นอาจะก้าวมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ต้องแสร้งเป็นคนหูหนวกตาบอด เพื่อรอเวลาชำระความ และไม่คิดว่าวันนี้มาถึง เขาจะมีใครอีกคนมาเคียงข้างให้ปกป้องเขายอมเป็นปีศาจในสายตาของคนทั้งแผ่น ส่วนฮ่องเต้เป็นเพียงตาแก่ปวกเปียกในสายตาของคนคิดคด การนิ่งเงียบเพียงเพื่อรอให้อสรพิษร้ายตัวจริงโผล่หางเท่านั้นดวงตาของเขาที่เสียไปเพื่อปกป้องร่างไร้ลมหายใจของนาง อาจดูโง่เขลาแต่ในยามที่คนเราใกล้ตาย แล้วมีมือหนึ่งยืนเข้ามาประคอง มันย่อมมีค่ากว่าสิ่งใดมือหนาเลื่อนไปยังแผ่นอกกว้าง ก่อนจะกดลงเบา ๆ เพื่อสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ภายใน มันยังคงอยู่ดีบนกายของเขา หยกชิ้นนั้นสลักชื่อของนางเอาไว้ วันนี้เขาจะทวงทุกอย่าง เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่นางและครอบครัว ‘ไห่ซิน’ สักวันเราจะได้พบกันพี่สาวรุ่งสาง ณ จวนชูอ๋อง หมับ! ข้อมือบางถูกคว้าจับเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่ปิ่นแหลมในมือจะปักลงบนลำคอของชูอ๋อง “ท่านกล้าทำลายใจข้า!” พระชายาเอกเอ่ยด้วยน้ำเสียงรวดร้าว ข้อมือบางเจ็บร้าวยิ่งนัก เมื่อสามีมิได้ออมแรงในการตอบโต้นาง แค่เสี้ยวใจของเขาในตอนนี้ มันไม่มีนางหลงเหลืออยู่เลยเช่นนั้นรึ!
“ชูเจี่ยนอ๋องยังเสมอต้นเสมอปลาย เลือดเย็นต่อคนข้างกายเช่นไรก็ยังคงเดิม”“อย่าสู่รู้!”“หึ ๆ ระหว่างเจ้ากับข้าแตกต่างกันตรงไหนรู้ไหมชูเจี่ยน ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้า แต่เจ้ามิรู้สิ่งใดเลยกับข้า”“แค่นี้รึ! ที่เจ้าคิดจะกำราบข้าได้”เคร้ง! ร่างงามตวัดดาบในมือต้านการจู่โจม ไม่มีคำว่าออมมือสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ ชูเจี่ยนเก็บความแตกตื่นเอาไว้ภายในใจ เมื่อหลายกระบวนท่าของเยว่หมิงหลัน เหมือนกับใครอีกคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี “ข้าไม่จำต้องเสียเวลากับคนเยี่ยงเจ้า แต่มันจะสนุกอะไรหากไม่ได้ยินคำร้องขอความตายจากเจ้า” ชูเจี่ยนผงะถอยหลังเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว กลิ่นอายบางอย่างของเยว่หมิงหลัน ทำให้ภาพต่าง ๆ ในอดีตผุดขึ้นราวดอกเห็ดต้องสายฝน แววตาที่เขาเคยได้รับก่อนที่มันจะเลือนหายไปตลอดกาล ทำให้สมาธิของเขาเลือนหายไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว ฉึก! ยังไม่ทันที่จะดึงสติออกจากภวังค์ได้ดีนัก กลางอีกของเขากลับมีปลายอาวุธแหลมคมอาบเลือดโผล่พ้นให้เห็น “คนต่ำช้าเยี่ยงเจ้าไม่สมควรอยู่ให้หนักแผ่นดิน เจ้าพรากทุกอย่างไปจากข้า แล้วยังจะพาข้าลงสู่นรกเพราะความเล
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฮ่องเต้ได้สั่งห้องเครื่องทำอาหารออกมาแจกจ่ายให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งทรงอยู่ร่วมพูดคุยกับทุกคนอย่างเป็นกันเอง“ท่านแม่ทัพเยี่ย”“พระชายาทรงมีสิ่งใดกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ของสิ่งนี้ข้าขอส่งคืนสกุลเยี่ย”เยว่หมิงหลันยื่นส่งดาบไห่ซินให้แก่เยี่ยไค่หลาง มือหนาสั่นเทาเมื่อเห็นว่ามันคือดาบคู่กายของน้องสาว แม้ว่าดาบตรงหน้าอาจมิใช่อันเดิม แต่ทุกลวดลายนั้นคือตัวตนของน้องสาวเขาทั้งสิ้น“พานางกลับสู่อ้อมกอดของครอบครัวเถิด หากวันหน้าครอบครัวเราปรองดองกันในรุ่นลูกหลาน ข้าก็มิขัดข้อง”“พ่ะย่ะค่ะ...พระชายา!”เยี่ยไค่หลางกำลังจะผวาเข้ารับร่างหญิงสาว ทว่ายังช้ากว่ากั๋วหยวนเค่อ ที่จับตามองภรรยาแทบทุกฝีก้าวอยู่ก่อนแล้ว“ตามหมอหลวงเร็วเข้า”ท่านแม่ทัพเยี่ยรีบสั่งการ ก่อนที่ตัวเขาจะรีบเปิดทางให้ท่านอ๋องเก้าพาพระชายาเข้าไปยังเหลาหยวนหลัน โดยมีฮ่องเต้กับเชื้อพระวงศ์และขุนนางอีกหลายคนติดตามเข้าไปด้วยเวลานี้ฮ่องเต้กับหยวนปิงเดินสวนกันไปมา เพื่อรอฟังผลการตรวจถึงอาการป่วยกะทันหันของเยว่หมิงหลัน ทั้งคู่รู้ดีว่าเยว่หมิงหลันเคี่ยวเข็ญตนเองอย่างหนัก กว่าจะสามารถยืนทัดเทียมศัตรูได้ แ
ชายแดนเหนือของจีน เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากไล่หลังมา หญิงสาวในชุดลายพราง กำลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อรักษาสิ่งที่เธอได้มา ก่อนที่เพื่อนร่วมทีมคนอื่นจะถูกสังหาร หลักฐานทั้งหมดในไดร์ฟ แลกมาด้วยลมหายใจ ของใครอีกหลายคนร้อยเอกหญิงหยางปิง ได้ร่วมทำภารกิจสำคัญ โดยมีพันเอกจางต้าไจ๋เป็นหัวหน้าทีม แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียว ต้องวิ่งสุดชีวิตในตอนนี้ นั่นเพราะผู้พันจาง กลายเป็นคนทรยศเสียเอง หลักฐานในมือของหญิงสาว คือสิ่งเดียวที่จะทำให้ เรื่องของเขาเปิดเผย หยางปิงคือคนเดียวที่ยังรอดชีวิตในตอนนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะรอดได้นานแค่ไหน จุดนัดพบคือที่อันตราย ที่สุดในตอนนี้ หญิงสาวจึงเปลี่ยนเส้นทางหลบหนี เพื่อกลับไปยังปักกิ่งให้ได้ หยางปิงตรงไปยังหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดในตอนนี้ เพราะหากเกิดความผิดพลาดใด ๆ อย่างน้อยสิ่งสำคัญก็จะส่งถึงมือของผู้บัญชาการแน่นอน เสียงสุนัขดมกลิ่น และคนจำนวนมากวิ่งไล่หลังมา เธอไม่มีแม้แต่โอกาสจะหยุดพักหายใจ หยางปิงดึงเอาหลักฐานสำคัญที่เธอได้ แอบโหลดข้อมูลเก็บไว้ในแฟลตไดร์ฟ ก่อนที่พวกเธอจะถูกสังหารไปทีละคน ด้วยฝีมือของผู้นำทีม
“น่าสงสารพี่ใหญ่ยิ่งนัก ที่วางใจคนเช่นซือเหยา” “เจ้าคิดว่านางทำหรือ”“เจ้ารู้จักนางน้อยไปสิ ! ขนาดสาวใช้คนสนิท นางยังกำจัดอย่างเลือดเย็น นับประสาอะไรกับพี่ใหญ่ ฆ่าให้ตายจะด้วยวิธีใด ก็สามารถสาวถึงนางได้ แต่ถ้าพี่ใหญ่ตายด้วยคำสั่งของท่านพ่อ ผู้ใดจะรู้ว่าเบื้องหลังคือนางทำ”“ระวังปากของพวกเจ้าด้วย ซือเหยาคือบุตรสาวภรรยาเอก หากอยากอยู่อย่างสงบ ก็จงปิดหูปิดตาเสีย”ฮูหยินรอง เจียวหลิงเอ่ยกับบุตรสาวทั้งสอง ก่อนจะก้าวนำสองพี่น้องกลับเรือนเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากบุตรสาว ที่กำเนิดจากภรรยาอันเป็นที่รัก เสนาบดีถงจิ่ง ไม่อาจหักใจสังหารเซียวเถาได้ จึงได้ส่งนางไปอยู่ยังหมู่บ้านห่างไกล โดยไม่ให้ผู้ใดรู้ส่วนบุตรสาวคนรอง ที่กำเนิดจากฮูหยินใหญ่คนปัจจุบัน ได้ก้าวเข้าสู่จวนสกุลกู้ ในฐานะฮูหยินใหญ่ของแม่ทัพหนุ่ม เหตุผลที่ชายหนุ่มได้รับในการเปลี่ยนตัวเจ้าสาว นั่นเพราะเซียวเถาเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ไม่อาจอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้และเซียวเถาสิ้นใจ ก่อนงานแต่งเพียงแค่ขวบเดือน ที่ไม่แจ้งแก่ทางสกุลกู้ เพราะมิอยากให้เกิดความอัปมงคล ในการเริ่มชีวิตคู่ของชายหนุ่มทุกอย่างควรที่จะจบลง เพียงแค่ทุกคน ได้ในสิ่ง
“โปรด...ช่วยหยางเอ๋อร์ด้วย บุญคุณครั้งนี้ข้าจะทดแทนในชาติหน้า ขอร้องช่วยเขาที”หยางปิงที่นั่งอยู่ข้างร่างของหญิงสาว ที่อยู่ในฝันของเธอมานับครั้งไม่ถ้วน กำลังพูดกับเธอ หยางปิงรู้ดีว่าถึงยังไง หญิงสาวบอบบางคนนี้ก็ไม่มีทางรอด เธอจึงหลับตาลง เพื่อให้ตนเองตื่นจากความฝันเสียทีหยางปิงรู้สึกหายใจติดขัด เจ็บร้าวไปทั้งตัว คงเพราะการถูกทรมาน หญิงสาวค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ทว่า...“นี่มันอะไรกันอีกล่ะคราวนี้ ทำไมฉันถึงมาอยู่ในชุดนี้ได้”หยางปิง ใช้มือคลำไปยังบริเวณที่เจ็บที่สุด เสื้อผ้าที่เปียกชื้น บอกได้เป็นอย่างดีว่านี่คือเลือด หยางปิงสุดหายใจลึก ๆ คิดทบทวนทุกอย่าง เธออาจตายไปแล้ว จากการที่ถูกจางต้าไจ๋กรีดที่ลำคอและตอนนี้อาจเป็นความฝัน แต่จะอะไรก็ตาม สิ่งที่เธอต้องทำคือ ห้ามเลือด ค่อยตามหญิงสาวคนนั้นไป หยางปิงมองไปยังใบหน้างาม ที่ขาวซีด กำลังยืนร่ำไห้ปานจะขาดใจ พร้อมพร่ำขอให้เธอไปช่วยลูกน้อยหยางปิง ใช้มือขูดพื้นดิน จนได้มาหนึ่งกำมือ แล้วพยายามปิดลงไปยังบาดแผล นับว่าโชคดี ที่มันยังอยู่ในจุดที่เธอเอื้อมถึง มีดสั้นถูกคนพวกนั้นดึงออกไปด้วย หยางปิงฉีกชายกระโปรง ผูกทับอีกชั้น ก่อนจะลุกขึ้นอย่างยาก
“องค์ชายอย่าทรงเป็นกังวลไปเลยเพคะ จ้าวหยางจะปลอดภัย”“ท่านหมอรีบมาดูหลานชายข้าเร็วเข้า เรื่องนี้ข้าต้องได้คำตอบก่อนรุ่งสาง”“เชิญองค์ชายทางด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ”เสวี่ยจ้าน ต้องการที่จะคุยกับองค์ชายต่างแคว้นเพียงลำพัง ทั้งสองหายไปยังอีกห้อง ซึ่งอยู่ถัดไปพระชายาในองค์รัชทายาท ขยับไปยืนข้างกับแม่ทัพสาว นางเองก็รักในตัวจ้าวหยางมิแพ้ผู้ใด ถึงขนาดคิดเอาไว้ ว่าจะทรงยกพระธิดาองค์โต ให้เป็นภรรยาของจ้าวหยางในอนาคตเซียวเถาบีบเบา ๆ ยังมือของหญิงสาวผู้เป็นสหายรัก ก่อนจะเอ่ยปลอบโยนพระชายาเบา ๆ ท่านหมอประจำจวนอ๋องเหลียวมองไปยังมารดาของเด็กชาย ก่อนจะหันกลับมาจัดการรักษาคุณชายน้อยต่างแคว้นต่อองครักษ์คนสนิทของท่านอ๋องเก้า ได้บอกกับเขาขณะเดินทางมายังเรือนนี้ ว่าต่อให้ยมบาล ต้องการลมหายใจของคุณชายจ้าวหยาง ก็ให้ช่วงชิงกลับมาให้จงได้ มิเช่นนั้นจะทำให้ปีศาจร้ายพิโรธ ไม่บอกเขาก็รู้ว่าหมายถึงผู้ใดเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป การรักษาได้เสร็จสิ้นลง จ้าวหยางหลับไปด้วยฤทธิ์ของยา พิษถูกขับออกจนหมด ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่องค์ชายแห่งเว่ย และท่านอ๋องเก้า กลับเข้ามาภายในห้อง“ท่านหมอ ทุกอย่างเรียบร
ฟริ้ว! ฉึก! ลูกธนูปักยังเสาศาลา แทนที่จะเป็นเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ได้หยุดสิ่งที่กำลังทำ เพื่อเตรียมการรับมือ ผู้บุกรุกยามค่ำคืน“หาญกล้าบุกรุกจวนข้า สงสัยคงอยากที่จะเร่งไปยมโลกกระมัง”อ๋องหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เรื่องมีคนลอบทำร้ายเขาหาได้ใส่ใจไม่ แต่พวกมันกลับมาในเวลา ที่เขากำลังจะช่วงชิงหัวใจของหญิงสาว นี่ต่างหากที่ทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นที่สุดคืนนี้เขาสั่งให้องครักษ์ มิให้เข้ามารบกวนเวลาส่วนตัว ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็มิต้องการให้ผู้ใดมานั่งมอง เรื่องระหว่างเขากับมารดาของบุตรชายเป็นอันขาดเซียวเถาปลดสายคาดเอวออก เพื่อใช้เป็นอาวุธ เพียงครู่เดียวห่าธนูได้พุ่งเข้าหาคนทั้งสอง ทั้งคู่ได้สลับกันปัดป้อง มิให้ลูกธนูถูกกายได้ เมื่อทุกอย่างหยุดลง บุรุษชุดดำกว่าสิบชีวิต ได้ปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบทั้งคู่เอาไว้“ท่านอ๋องเก้า ชะตามิน่าสิ้นสุดเพียงเท่านี้เลย หากท่านอ๋องไม่ทรงอยู่ร่วมกับนาง ก็คงมิต้องจบชีวิตเช่นนี้” หนึ่งในชายชุดดำเอ่ยขึ้น เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยอย่างแท้จริง ผู้ใดจะคิดว่า ท่านอ๋องเก้า จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแม่ทัพต่างแคว้นเช่นนี้“หึ ๆ เข้ามาในบ้านข้า ยังกล้าปากดีอยู่อีก
“แต่หากเรื่องเช่นนี้เกิดกับหญิงสาวคนอื่น เด็กอาจมิโชคดีเช่นนี้”“สิ่งที่อยากจะหยั่งถึง คือใจของคน ท่านอ๋องอย่าได้ยกย่องหม่อมฉันนักเลยเพคะ ท่านอ๋องจะรู้ได้อย่างไร ว่าคราแรกที่หม่อมฉันรู้ว่าตั้งครรภ์ หม่อมฉันยินดีหรือเสียใจ”“ข้ารู้ดีว่าเจ้าเสียใจ แต่เจ้าก็รักลูกในครรภ์มากกว่าคำครหา”“ดูเหมือนท่านอ๋องจะรู้เรื่องนี้ดีนะเพคะ”“ข้ามีนิท่านเรื่องหนึ่ง จะเล่าให้เจ้าฟัง”“เวลาของค่ำคืนนี้อีกยาวนาน หม่อมฉันยินดีที่จะฟังเพคะ”เรื่องราวต่าง ๆ ถูกถ่ายทอดออกมาทีละน้อย อ๋องหนุ่มหวนนึกถึง วันที่เขาเพิ่งกลับจากชายแดน เนื้อตัวนั้นมิได้ดูสง่าอันใด เพื่อสืบเรื่องราวบางอย่าง ทำให้เขาจำต้องปลอมตัวเป็นเพียงนักเดินทางทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเขาต้องการหญิงคณิกามาปลดปล่อย ความเป็นบุรุษ ร่างบอบบางที่ดูเหมือนจะหมดสติ และถูกวางยาปลุกกำหนัดถูกนำมาส่งให้ถึงห้อง เขาคิดเพียงว่าเจ้าของหอนางโลม ต้องการสร้างความตื่นเต้นให้แก่เขา จึงได้ทำเช่นนี้ ทว่าเมื่อเขารับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของนาง จึงได้คิดที่จะเลี้ยงดูนางเป็นอนุแต่เมื่อเขากลับมาจากทำธุระ หญิงสาวบนเตียงได้หายไปแล้ว มีเพียงหยกของนาง ที่ถูกลืมเอาไว้
ภายในห้องหนังสือ จวนแม่ทัพกู้หมิง สองสามีภรรยา นั่งประจันหน้ากัน ด้วยความเคร่งเครียด ทุกคำถาม เสมือนน้ำที่เทลงพื้นก็มิปาน เมื่อผู้เป็นภรรยาหาได้ตอบคำถามนั้น แม้แต่ครึ่งคำถงซือเหยา ยังคงใช้ความนิ่งเงียบ สยบทุกคำถามของสามี ด้วยหลายคำถามนั้น มันมิต่างจากคมมีดที่ปักลงสู่กลางใจนาง“สรุป...เจ้ามิคิด ตอบคำถามข้าเลยเช่นนั้นรึ”“ท่านพี่ สิ่งที่ท่านถามมา ข้าไม่ทราบเรื่องเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”“แล้วสิ่งที่เจ้าพูด ตอนอยู่ในสนามประลองมันหมายว่าอย่างไรเล่า”“ข้าแค่พูดไป ตามที่ผู้คนเล่าลือกันเท่านั้นเจ้าค่ะ”“เรื่องเล่าลือเช่นนั้นรึ แม่ทัพจ้าวเป็นคนแคว้นเว่ย จะมีข่าวเช่นนั้นมาเกิดที่ฉินได้อย่างไรกัน”“ท่านพี่พูดเหมือนข้า เป็นผู้ที่ทำเรื่องเช่นนั้น ข้าเป็นภรรยาของท่านนะเจ้าคะ จะลดตัวไปทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”“ก็ขอให้มันจริง เพราะเท่าที่ข้ารู้มา เรื่องต่ำช้ากว่านี้ คนเช่นเจ้าก็เคยทำมันมาแล้ว ข้านิ่งเฉยมาตลอด เพราะคิดว่าเจ้าจะปรับปรุงตัว”“ท่านพี่ หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”“กลับไปเถอะ แล้วทบทวนสิ่งที่เจ้าทำ และคิดให้มากว่านี้ เจ้าจะมีความสุขเช่นที่ผ่านมา หรือให้ทุกอย่างแตกแยก”“ฮึ! เพราะมั
เซียวเถาเลิกคิ้วสูง เป็นเชิงถามชายหนุ่ม ที่กำลังยืนหายใจประหนึ่งม้าศึก ที่ผ่านการวิ่งมาอย่างสุดกำลัง ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ กับท่าทางของท่านอ๋องหนุ่ม“ไม่เลยขอรับท่านแม่ หากมิได้ท่านแม่ช่วยไว้ จ้าวหยางคงลำบากกว่านี้”“หึ ๆ แม่มิได้ทำอันใดเลย แค่เบื่อท่าทางอวดดีของลูกนกในกรงทอง ก็เท่านั้นเอง”“ข้าเกือบจะลงมือจริง ๆ เสียแล้ว”“แค่เรื่องขำขัน อย่าได้ใส่ใจ”การสนทนาของสองแม่ลูก ทำให้อ๋องหนุ่มถึงกับลอบกลืนน้ำลาย จ้าวหยางเติบโตขึ้น ย่อมต้องเป็นคนที่น่ากลัว กว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดเป็นแน่ ดูแล้วเซียวเหยาผู้นี้ มิใช่เพียงสตรีที่เก่งทางด้านการต่อสู้เพียงอย่างเดียวสินะ จะมีใครบ้าดีเดือดขนาดทำเช่นนางได้ไหนจะเจ้าลูกชายตัวดี ที่ดูจะเข้าขากับผู้เป็นแม่ เสียจนเขากลายเป็นเพียงลาโง่ไปในทันที“ไปกันเถอะ ยืนตรงนี้นาน เกรงจะทำให้คุณชายน้อยผู้นั้น อกแตกตาย”เซียวเถาเอ่ยขึ้น ในขณะที่ถงซือเหยา กำลังเดินผ่าน เพื่อไปจัดเตรียมสิ่งของนำบุตรชายกลับจวน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ถงซือเหยาถามขึ้น ด้วยน้ำเสียงกรุ่นโทสะ นิ้วเรียวสั่นระริก ชี้ไปยังแม่ทัพต่างแคว้น“เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ทั้งยังเป็นถึงภรรยาแม่ทัพ แต่ไร้มารยาทที
“หึ ๆ แม่มิได้ต้องการให้เจ้าลำพองตน จงถ่อมตัวให้มาก แต่อย่ายินยอมให้ผู้ใด มาช่วงชิงลมหายใจของเราไปได้เช่นกัน”“ลูกจะจดจำไว้ขอรับ”สองแม่ลูกเปลี่ยนบทสนทนา เมื่อท่านอ๋องต่างแคว้น เดินเข้ามาหา พร้อมขนมในมือ ชายหนุ่มนั่งลงอีกด้านของจ้าวหยาง“ขนมกลีบเหมยกุ้ยป่า เป็นของที่ท่านย่าจะ...เอ่อ หมายถึงท่านแม่ของข้า ชอบทำให้กินยามเหนื่อยล้าจากการฝึก ข้าอยากให้เจ้าได้ลิ้มลองสักหน่อย”จ้าวหยางหันกลับไปหาผู้เป็นแม่ ก่อนจะได้รับคำอนุญาต เด็กชายจึงรับขนมในจาน มากินอย่างช้า ๆ ทำให้เสวี่ยจ้านยิ้มกว้าง ด้วยความยินดีชายหนุ่มอยากตบปากตนเองยิ่งนัก ที่รีบร้อนจนเกินไป เกือบจะเอ่ยว่ามารดาของเขา คือย่าของจ้าวหยางเสียแล้วเสนาบดีถง หรี่ตามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอัดแน่น เขาไม่อยากที่จะคิดเลยว่า ทั้งสามคนนั้นคือครอบครัว บุตรสาวที่หายตัวไปนับสิบปี หลานชายผู้มีใบหน้าถอดแบบบุรุษสูงศักดิ์ กับท่านอ๋องผู้เป็นดั่งปีศาจร้ายในยามสงคราม ‘เป็นไปมิได้’เขาจำได้ดี ว่าบุตรสาวคนโตนั้น พึงใจในตัวของกู้หมิงมากเพียงใด ไม่มีทางที่นางจะไปผู้สัมพันธ์กับท่านอ๋องเก้าได้ ทั้งคู่มิเคยพบเจอกันสักครั้ง แล้วไยจะเป็นท่านอ๋องเล่า ที่เป็นบิดาขอ
ทางด้านเซียวเหยา หาได้ใส่ใจกับสายตาแตกตื่นของผู้คนไม่ การที่นางให้บุตรชายใช้ม้าของตนเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าม้าของจ้าวหยาง ถูกวางยา เมื่อออกวิ่งเกินขีดจำกัดเมื่อใด ก็จะเกิดอันตรายต่อบุตรชายของนาง และนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สายลับ ของคนเหล่านั้นไม่เคยรู้มาก่อน ว่านางฝึกฝนจ้าวหยาง ด้วยม้าคู่ใจของตนเองมาโดยตลอด“ไยเจ้าดูมิห่วงใยเขาเลย”เสวี่ยจ้าน เอ่ยถามคนข้างกาย ด้วยน้ำเสียงมิใคร่พอใจเท่าใดนัก หากเกิดสิ่งมิคาดฝันขึ้น จะทำเช่นไร ‘สตรีวิปลาสผู้นี้ คิดจะอวดเบ่งไปเพื่อสิ่งใดกัน’“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคือมารดา คือผู้ที่คลอดเขาออกมาด้วยตนเอง ย่อมรู้จักเขาดีกว่าผู้ใด ในเมื่อมีคนคิดสกปรก หม่อมฉันก็แค่ทำให้คนเหล่านั้นผิดหวัง หาได้ทำอันใดผิดไม่เพคะ”เซียวเถาตอบท่านอ๋องเก้า ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จนบางครั้งชายหนุ่มเองก็รู้สึกขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อย กับท่าทีไร้อารมณ์ของหญิงสาวข้างกาย“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เสวี่ยจ้าน ขมวดคิ้วจนเป็นปม เมื่อได้ยินในสิ่งที่เขา ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดหาญกล้าทำเช่นนี้“ท่านอ๋องมิได้ขลาดเขลา ย่อมเข้าใจมันได้ไม่ยาก มิเห็นต้องให้หม่อมฉันอธิบายมากความเลยนะเพคะ”อ๋องหนุ่มมองไปยัง ม้าสอง
“ลูกจะมิทำอันใด หากว่าเขายังมิก้าวล้ำจนเกินไป”จ้าวหยาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า อีกทั้งรอยยิ้มละมุนยังมิจางหายจากใบหน้า เซียวเถาคลี่ยิ้มน้อย ๆ แค่มองตานางก็รับรู้ถึงสิ่งที่บุตรชายคิด การเลี้ยงดูของนางนั้น แตกต่างจากมารดาอื่นอยู่มาก แต่ทุกสิ่งที่นางได้กระทำก็เพื่อจ้าวหยางทั้งสิ้นเซียวเถา บีบไหล่บุตรชายหนัก ๆ เพื่อเป็นการให้กำลังใจ ก่อนจะหมุนกายเดินกลับไปยังที่นั่งของตน โดยมิได้รั้งรอเพื่อส่งจ้าวหยางขึ้นหลังม้า ซึ่งทหารของนางกำลังจูงอาชาสีดำสนิท ตรงมายังบุตรชายของนาง ทุกการกระทำนั้น ในทุกสายตาที่มองมาต่างรู้สึกสงสารจ้าวหยางยิ่งนัก ที่มารดานั้นหาได้ใส่ใจในตัวเด็กชายไม่ ซึ่งแตกต่างจากแม่ทัพกู้หมิง ที่ยังคงแนะนำการขี่ม้า เพื่อช่วงชิงธงให้แก่บุตรชายอย่างเคร่งเครียด“ไยแม่ทัพจ้าว จึงดูมิใส่ใจบุตรชายเอาเสียเลยเล่า” ฮ่องเต้ชราเอ่ยขึ้น เมื่อมองเห็นสิ่งที่เซียวเถาแสดงออกต่อจ้าวหยาง“นางรักบุตรชายมากต่างหากเล่าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”องค์รัชทายาทแห่งเว่ยเอ่ยขึ้นบ้าง พร้อมทั้งมองไปยังจ้าวหยาง ที่กำลังทำการสำรวจความพร้อมของอาชาคู่กายของผู้เป้นมารดา“อย่างไรที่ว่ารักมาก”“ทูลฝ่าบาท หากจะทรงสังเกตจ้าวหยา
สวนดอกไม้หน้าเรือนรับรอง เสวี่ยจ้านหยุดมองไปยังร่างบาง ที่ยังอยู่ในชุดงานเลี้ยง“อะ...แฮ่ม” ชายหนุ่มแสร้งกระแอมเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว ซึ่งเขามั่นใจว่านางรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา นับตั้งแต่ก้าวผ่านประตูทางเข้าเรือนมาแล้ว“ท่านอ๋องมีเรื่องใด ให้หม่อมฉันรับใช้หรือไม่เพคะ”หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น พร้อมหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน“มิได้ ข้าเอาน้ำแกงมาให้ก็เท่านั้น พอดีข้าเห็นเจ้าดื่มหนักอยู่พอสมควร เกรงจะมิสร่างเมาในยามเช้า เลยเอามาให้”ชายหนุ่มรีบยกตะกร้าใส่น้ำแกง ที่เขาได้ให้องครักษ์สั่งห้องครัว จัดเตรียมไว้รอท่า ก่อนที่ทุกคนจะกลับจากวังหลวง“ท่านอ๋อง มิเห็นต้องลำบากมาด้วยตนเองเลยนะเพคะ”“ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย มาเถอะประเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”ชายหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลาภายในสวน ก่อนจะจัดแจงนำน้ำแกงออกมาจากตะกร้า ทุกการกระทำของชายหนุ่มนั้น ดูนิ่มนวลและใส่ใจต่อสิ่งที่อยู่ในมือยิ่งนักเซียวเถาเดินตามมาเงียบ ๆ เมื่ออีกฝ่ายมีน้ำใจ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางก็มิสมควรทำลายน้ำใจนี้ลง สุราเพียงเท่านี้ไม่อาจทำให้นางเป็นอันใดได้เลย“ท่านอ๋อง ดื่มด้วยกันเถอะเพคะ น้ำแกงนี่หม่อมฉันกินคนเดียวไม่ห