ฉีอิงถือโอกาสสำรวจบ้านหลังใหม่ของเธอ สองนายบ่าวเดินเล่นไปทั่วสวนอันกว้างใหญ่ จนไปหยุดอยู่ประตูทางเข้าลานฝึก ฉีอิงจำได้ว่าเมื่อชีวิตเก่า เธอเคยถูกรับเชิญไปร่วมแสดง ในหนังแนวย้อนยุค เธออยากจะรู้ว่าของจริง กับฉากในหนังนั้น มันจะเหมือนกันรึเปล่า
เท้าบางกำลังจะก้าวตรงไปยังประตู เพื่อที่จะเข้าไปด้านใน ทว่าแขนกลมกลึงกลับถูกรั้งเอาไว้ ฉีอิงมองตามมือไป จนสบเข้ากับตาเสี่ยวเจี้ยน ก่อนจะเห็นใบหน้าซีดเซียวของสาวใช้ พร้อมกับอาการส่ายหน้าน้อย ๆ ของเสี่ยวเจี้ยน
“ทำไม ข้าจำได้ว่าไม่มีกฎห้ามเข้า หรือช่วงที่ข้าเจ็บป่วยมีการตั้งมันขึ้นมาใหม่” ฉีอิงถามด้วยความสงสัย ทว่าน้ำเสียงนั้นเหมือนกำลังพยายามกดดัน ให้เสี่ยวเจี้ยนยอมจำนน
“มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่ฮูหยินเคยบอกว่า...ไม่ชอบลานฝึกนี่เจ้าค่ะ” เสี่ยวเจี้ยนตอบด้วยน้ำเสียงติดขัด ยิ่งเป็นการเพิ่มความอยากรู้ให้แก่ฉีอิง
“ใช่! ข้ามิชอบ แต่วันนี้ ข้าแค่อยากออกกำลังสักหน่อย ไปกันเถอะ”
แม้ว่าฉีอิงจะเห็นภาพเกี่ยวกับเจ้าของร่าง แต่ก็ใช่ว่าจะทั้งหมดเสียเมื่อไหร่กัน เธอไม่รู้ว่าทำไมเสี่ยวเจี้ยน จึงดูหวาดกลัวลานฝึกขนาดนั้น แต่ก็นะสามีของเธอในตอนนี้คือแม่ทัพ เขามักจะทำให้ผู้คนหวาดกลัวอยู่เป็นประจำ ก็ไม่แปลกอันใด หากเสี่ยวเจี้ยนที่เป็นคนของภรรยา ซึ่งเจ้าของบ้านไม่ได้รัก จะเกรงกลัวชายผู้นั้น
ฉีอิงก้าวเข้าไปอย่างใจเย็น พร้อมคิดหาหนทาง ว่าต่อไปนี้เพื่อไม่ให้เผลอแสดงความเป็นตัวเองออกมา แม้แต่ความคิดก็ต้องเปลี่ยน ไม่เช่นนั้น สักวันอาจเผลอหลุดออกมาแน่นอน และมันย่อมจะตามมาด้วยปัญหาอีกมากมาย
หญิงสาวหยุดมองลานฝึกอันกว้างขวาง ‘อืมคนสมัยก่อนต้องรวยขนาดไหนกัน จึงสามารถมีบ้านหลังใหญ่ ที่ดินกว้างขวางได้ขนาดนี้’ เสียงพูดคุยกันเบา ๆ ดังขึ้นยังส่วนที่อยู่หลังต้นไม้ ฉีอิงจดจำเสียงนั้นได้ดี แม้ว่าจะเคยได้ยินเพียงครั้งเดียว
‘เสียงผู้หญิงอย่างนั้นรึ อ่าฉันคิดแบบเธอได้แล้วหลี่ฉีอิง ต่อไปฉันจะคิดแบบคนในโลกนี้’ ฉีอิงหันไปพยักหน้าให้แก่สาวใช้ ที่ตอนนี้ใบหน้าแทบไร้สีเลือด นางไม่เข้าใจเลยว่าเสี่ยวเจี้ยนกลัวอะไร
ตึก! ตึก! เสียงฝีเท้าของใครบางคน ทำให้จ้านซือถงชะงักค้าง ก่อนจะยืนนิ่งมองไปยังทิศทางของเสียง โดยมีหญิงสาวที่กำลังสนทนาอยู่กับชายหนุ่ม มองตามไปเช่นเดียวกัน
ฉีอิงก้าวเข้าไปหยุดยืนมองชายหญิง ที่กำลังจ้องมาที่นางด้วยแววตาอันหลากหลาย หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างอย่างเข้าใจ ในแบบของคนจากยุคที่เรียกว่าอนาคต นางไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของสามี และหญิงสาวข้างกายเขา แต่ใจที่กระตุกวูบเมื่อครู่ บอกได้เป็นอย่างดี ว่าเจ้าของร่างต้องรู้สิ่งใดมาอย่างแน่นอน
“ฉีอิง เจ้าหายดีแล้วรึ”
หญิงสาวหน้าตางดงาม เอ่ยถามภรรยาเจ้าของจวน ก่อนจะลอบสบตากับชายหนุ่ม
โอ๊ะ! ฉีอิงรู้สึกปวดหัวอย่างแรง ก่อนจะหลับตาลงครู่หนึ่ง ภาพบางอย่างก็ฉายเข้ามาในหัว ‘อ่า! พี่สะใภ้กับน้องสามีสินะ’
“เจ้าค่ะ ฉีอิงรู้สึกอุดอู้เลยออกมาเดินรับลม เพื่อให้สดชื่นขึ้นบ้างเจ้าค่ะ พี่สะใภ้”
คำเรียกขานของฉีอิง ทำให้หลิวหลิงหน้าม่านไปชั่วขณะ เป็นที่รู้กันดีว่านางคือภรรยาพี่ชายของแม่ทัพหนุ่ม ที่รั้งตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก
“หายก็ดีแล้ว ซือถงจะได้มีคนดูแล” หลิวหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หากทว่าคนฟัง มิได้คิดเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าค่ะ อันที่จริงท่านพี่ก็โตแล้ว ทั้งยังเป็นถึงแม่ทัพ ย่อมสามารถดูแลตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องมีคนคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำกระมังเจ้าคะ”
หลิวหลิง ทำได้เพียงยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อมองดูบนโต๊ะน้ำชา ซึ่งในตอนนี้ มีอาหารหลายอย่างวางอยู่ ฉีอิงเดาได้ไม่อยาก ว่าอาการเจ็บป่วยของนาง คือข้ออ้างให้พี่สะใภ้ คอยมาเยี่ยมเยียนดูแล แต่มิใช่นาง ทว่าเป็นสามีของนางต่างหากเล่า ที่พี่สะใภ้คนงามมาดูแล
“ฉีอิง ไยจึงออกมาเดินเล่นไกลถึงที่นี่ เจ้าควรพักผ่อนให้มาก หากเกิดล้มเจ็บมาอีก ผู้คนจะมองข้าเช่นไร คิดให้มากสักหน่อยก็ดี”
ในที่สุดแม่ทัพหนุ่มก็หาคำพูดของตนเองเจอ ด้วยคราแรกนั้น เขายังรู้สึกตกใจ ที่อยู่ ๆ ภรรยาก็เข้ามายังลานฝึก ซึ่งเขาจำได้ดีว่าเมื่อเช้าได้เดินไปดูนางยังเรือน ฉีอิงยังไร้ซึ่งสติอยู่เลย
‘แพศยา! แสร้งเจ็บป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจ’ หลิวหลิงได้แต่คิดอยู่ภายในใจ ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกมา นอกจากยิ้มละมุนส่งให้แก่ภรรยาของแม่ทัพหนุ่ม
“ท่านพี่โปรดวางใจ หากข้าเจ็บป่วยลงอีกครั้งนี้ รับรองจะไม่มีคนนอกรับรู้มันอีกเป็นอันขาด ท่านพี่จะได้มิต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ว่าภรรยาเช่นข้า...บกพร่องต่อหน้าที่ จนทำให้สามีลำบากไร้คนดูแล”
ฉีอิงเว้นคำเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียง เอื่อยเฉื่อยต่อท้าย พร้อมส่งสายตาอย่างมีจริตให้แก่สามี ที่เวลานี้ยืนทำหน้านิ่ง เหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาวอยู่ข้างพี่สะใภ้คนงามของเขา
“ก็ดี...ที่เจ้าคิดได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ควรกระทำ”
ชายหนุ่มเอ่ยได้ไม่เต็มคำนัก ด้วยยังตั้งรับกับการยอกย้อนของภรรยามิทัน ซึ่งปกติแล้วฉีอิงจะไม่มีทางพูดเช่นนี้กับเขาหรือผู้ใด
“เจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าสิ่งใดควรและมิควรกระทำ ข้าขอตัวนะเจ้าคะ”
ฉีอิงไม่รั้งรอคำตอบจากสามี หญิงสาวหมุนกายจากมา ด้วยท่วงท่าประหนึ่งนางพญา เห็นทีนางต้องทำให้เจ้าของร่างสมหวังเสียแล้ว
นี่คือชีวิตจริงมิใช่ในละครหรือนิยาย ที่นางเอกเก่งกาจหย่าสามีแล้วสร้างตัวจนร่ำรวย ทว่านี่คือเรื่องจริง และเป็นยุคแห่งการแย่งชิง ผู้ใดมีอำนาจย่อมกำชัยไว้ในมือ มิว่าบุรุษหรือสตรี
อำนาจในมือของสตรีคือการครองเรือน โดยไม่ทำให้มันลุกเป็นไฟ ส่วนบุรุษนั้น อำนาจคือเงินตราและชื่อเสียง
ฉีอิงเดินไปเรื่อยเปื่อย โดยสมองน้อย ๆ ของนาง กำลังคิดหาวิธีสร้างทางรอดให้แก่ตนเอง ทุกอย่างต้องมีแผนสำรองเสมอ หากวันใดสิ้นคำว่าสามีภรรยาขึ้นมา นางต้องไม่ลำบากจนเกินไป หรือถ้ายังต้องอยู่กับตำแหน่งนี้ต่อไป นางก็ต้องมั่นใจว่าจะไม่มีผู้หญิงอื่น มาสอดแทรกทำลายมันลงเช่นกัน
“ฮูหยินเจ้าคะ” เสี่ยวเจี้ยนเรียกผู้เป็นนาย เมื่อเห็นว่าเวลานี้ ใกล้จะมืดแล้ว ทว่าผู้นายไม่มีท่าทีจะกลับเรือน นางจึงได้เอ่ยท้วงขึ้น
“หือ! มีอะไรรึเสี่ยวเจี้ยน”
ฉีอิงตื่นจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงสาวใช้เรียกจากทางด้านหลัง หญิงสาวจำต้องหยุดความคิดทั้งหมดลง
“พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้วนะเจ้าคะ บ่าวคิดว่าฮูหยินอาจจะอยากกลับไปพักผ่อนเจ้าคะ” เสี่ยวเจี้ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย ทว่าก็เกรงผู้เป็นนาย จะคิดว่านางวุ่นวายจนเกินไปด้วยเช่นกัน
“อืม...ไปสิ ข้าก็รู้สึกเมื่อยขาแล้ว”
สองนายบ่าวกับสู่เรือน โดยแสร้งเป็นมองไม่เห็นแม่ทัพหนุ่ม ที่กำลังเดินไปส่งแขกของบ้าน ฉีอิงหาได้ใส่ใจสามีของนางไม่ ด้วยเวลานี้สมองของนาง มีเพียงเรื่องการเอาชีวิตรอด ในบ้านเมืองที่ร้อนประหนึ่งไฟนรก ภายนอกงดงาม แต่นี่คือยุคแห่งการฆ่าฟัน นางที่มาจากยุคที่ล้ำหน้า ย่อมต้องคิดให้มากสักหน่อย
สองเดือนถัดมา ฉีอิงก็ได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตานอกจวนแม่ทัพเสียที ในยามบ่ายคล้อย ฉีอิงที่อยู่ในรถม้ากับสามี กำลังตื่นเต้นกับภาพบ้านเมือง ที่ดูแปลกตาสำหรับนางคืนนี้สามีของนางได้รับเทียบเชิญ ให้ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด ในจวนอ๋องเก้า แน่นอนว่านางศึกษาทุกอย่างมาจากเสี่ยวเจี้ยนแล้ว และนับว่าโชคดี ที่นางสามารถพาสาวใช้คนสนิทมาร่วมงานได้จ้านซือถงแสร้งอ่านตำรา ทว่าแท้จริงแล้ว ชายหนุ่มกำลังลอบมองภรรยาอยู่เป็นระยะ แม้ว่าจะเกิดความสงสัยมากเพียงใด แต่เพราะไร้ซึ่งหลักฐานเขาก็จำต้องนิ่งเอาไว้ หลายอย่างเปลี่ยนไปนับตั้งแต่นางหายป่วยเมื่อสองเดือนก่อนฉีอิงไม่ได้สนใจ ว่าสามีจะคิดเช่นไร สำหรับนางแล้วเวลานี้ คือการเรียนรู้และหาข้อมูล พร้อมช่องทางที่จะทำให้ตนเองปลอดภัย และอยู่รอดได้ในอนาคตนับว่ายังโชคดี ที่หลังจากตื่นขึ้นมาได้ราวหนึ่งสัปดาห์ บิดามารดาร่วมถึงพี่น้องชายหญิง ได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนนาง ทำให้ฉีอิงรู้ว่า เจ้าของร่างนั้น มีความสมบรูณ์ในเรื่องครอบครัวมากทีเดียวบิดารักลูกเท่าเทียมกัน พี่น้องปรองดอง ทว่าโชคร้ายของฉีอิง ที่ได้สามีเช่นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ นางจึงตรอมใจตายไปอย่างโดดเดี่ยว“เจ้าทำเหมือนมิเคยเ
ปกติแล้วฉีอิงไม่เคยทำเช่นนี้ ทว่าค่ำคืนนี้ภรรยากลับหาได้ใส่ใจเขาไม่ และมิใช่แค่เพียงค่ำคืนนี้ ทว่านับตั้งแต่นางหายจากอาการป่วยเลยทีเดียวค่ำคืนของงานเลี้ยงได้จบลง เมื่อรถม้าจอดยังหน้าจวน ชายหนุ่มยังคงดุแลภรรยาอย่างดีเช่นเดิม ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปส่งนางยังเรือน“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่ ที่อุตส่าห์เดินมาส่งข้าถึงเรือน”“อืม!”แม่ทัพหนุ่มทำเพียงเสียงในลำคอ ก่อนจะเผลอถลึงตาตามหลังร่างงามไป เมื่อเขาคิดว่านางจะกล่าวสิ่งใดเพิ่ม ทว่าร่างบางของภรรยา กลับหมุนกายเข้าเรือนไป โดยไม่แม้แต่จะมองเขาเลยด้วยซ้ำไปสิ่งที่ฉีอิงแสดงออกต่อสามี โดยการเมินเฉยนั้น มิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว มิว่าจะงานเลี้ยงใด ที่ต้องไปร่วมกัน ฉีอิงหาได้ใส่ใจสามี นางสนุกสนานกับงาน ทั้งยังเว้นระยะห่างกับสามีอย่างเห็นได้ชัดหากเป็นแต่ก่อน ในทุกงานเลี้ยง ภรรยาของเขาจะเป็นผู้ที่คอยใส่ใจ ดูแลถามไถ่จนเขารู้สึกรำคาญ แต่ทว่าในปัจจุบัน กลับเป็นเขาที่พยายามเข้าหานาง แต่ไร้ซึ่งการตอบรับจากหลี่ฉีอิงเวลาผ่านไปเร็วประหนึ่งสายลมพัดผ่าน ในวันที่นางตื่นคือหน้าร้อนอันอบอ้าว ทว่าตอนนี้กลับเป็นหน้าหนาว ที่หิมะเริ่มโปรยปราย จะขวบปีแล้วหรือนี่กับ
“ท่านแม่ทัพ”เสี่ยวเตี๋ยดีใจจนออกนอกหน้า หลายเดือนมานี่ ท่านแม่ทัพมาเยือนเรือนฉีอิงบ่อยมาก ทั้งที่วันนี้คุณชายสามมา ท่านแม่ทัพก็ยังแวะเวียนมาที่เรือน โดยที่เจ้านายของนางไม่อยู่แท้ ๆ นอกเสียจากเขาจะมาเพื่อพบหน้าผู้อื่น สาวใช้แอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ภายในใจ“ฮูหยินเล่า นางยังมิเสร็จอีกหรือ” แม่ทัพหนุ่มถามหาภรรยา“เอ่อ...คือฮูหยิน ออกไปยังเรือนรับรองแล้วเจ้าค่ะ เพื่อ...”ชายหนุ่มหมุนกายจากไปทันที โดยไม่รอฟังให้จบก่อน ทำให้เสี่ยวเตี๋ยถึงกับหน้าม่านไปเลยทีเดียว นางคิดว่าที่ผ่านมาชายหนุ่ม มายังเรือนนี่บ่อยครั้ง เพื่อมาพบหน้านางแม่ทัพหนุ่มถึงกับชะงักเท้าในทันที เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากห้องรับแขก ใบหน้าที่เคยนิ่งสนิทอยู่เป็นนิจ บัดนี้กลับมืดครึ้มลงหลายส่วน ‘ไยกับข้า เจ้ามิเคยหัวเราะด้วยเช่นนี้’ ชายหนุ่มคิดขบเขี้ยวอยู่ในใจก่อนจะสูดหายใจลึก ๆ เพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แม่ทัพหนุ่มก้าวเท้าหนัก ๆ ตรงเข้าไปภายในห้องรับแขก ภาพที่เขาเห็นคือภรรยาในชุดสีขาวลายดอกมู่ตานสีชมพู ซึ่งขับเน้นให้นางดูงดงามยิ่งนักแต่สิ่งที่ทำให้เขา แถบจะถลาเข้าคว้าตัวนาง แล้วพากลับไปขังไว้ในเรือน นั่นคือเนินอกอวบอิ่ม ที่
“เอาล่ะ เราไปกินข้าวกันได้แล้ว เสี่ยวเจี้ยน เอาเสื้อคลุมของฮูหยินมาให้ข้า”เสี่ยวเจี้ยนรีบนำผ้าคลุมของผู้เป็นนาย ส่งให้แก่แม่ทัพหนุ่ม ก่อนจะถอยกลับไปยืนเคียงข้างพ่อบ้าน จ้านซือถงจัดแจงห่มผ้าคลุมให้แก่ภรรยาอย่างเบามือ“ท่านพี่เราจะไปกินข้าวกันแค่เพียงห้องข้าง ๆ ไยต้องสวมผ้าคลุมเล่าเจ้าคะ”“นี่คือฤดูหนาว เจ้าควรดูแลตัวเองให้มากสักหน่อย หากป่วยไข้มาจะเป็นอันตรายเอาได้”ปากก็พูดกับภรรยา ทว่ามือนั้นยังพยายามที่จะดึงผ้าคลุม ให้ปกปิดเนินอกขาวเนียนนั้น ให้พ้นสายตาของผู้อื่น ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด จนทุกคนที่อยู่ภายในห้องรับแขก ต่างพากันหันมองไปทางอื่น เพราะดูเหมือนว่าฮูหยินของบ้าน จะเริ่มมีใบหน้าแดงก่ำลามไปจนถึงลำคอแล้วในตอนนี้มือบางจึงยกขึ้นช่วยสามีจัดการกับผ้าคลุม โดยการเบี่ยงไปด้านข้างเล็กน้อย ทำให้ชายผ้าปิดเนินอกอวบของนาง ฉีอิงจึงได้เห็นแววตาพึงพอใจของสามี ก่อนที่เขาจะคว้าเอวขอดของนาง พาเดินไปยังห้องอาหารที่อยู่ติดกัน“ข้าว่าอีกไม่นาน พวกเจ้าคงมีงานเพิ่ม”จ้านซือเถาหันไปเอ่ยกับพ่อบ้านของพี่ชาย และเสี่ยวเจี้ยน ที่ตอนนี้พากันยืนยิ้มจนตาปิดเลยทีเดียว“หากเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยจะย
สำหรับฉีอิงนั้น จูบถือเป็นเรื่องปกติของคู่รักที่จะกระทำมันอยู่แล้ว นางมาจากโลกเสรีในอนาคต การตอบสนองของภรรยา ทำให้ซือถงคำรามอยู่ในลำคอ ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะก้มลงดูดเม้าริมฝีปากล่างอย่างหิวกระหาย มือหนาข้างหนึ่ง ยังคงนวดเฟ้นเต้างามสลับใช้นิ้วโป้ง บี้ยังเม็ดบัวสีหวานนั่นอย่างเมามันฉีอิงสะท้านไปทั้งกายด้วยความรัญจวน จากการปลุกเร้าอารมณ์ของสามี เรียวขางามกวัดรัดขาแกร่งของชายหนุ่มเอาไว้แน่น ทั้งยังแอ่นกายส่วนล่าง ขึ้นบดเบียดกับแท่งหยกที่กำลังขึงขัน แนบชิดตัวนางอยู่ในตอนนี้ชายหนุ่มยังลงอ้อยอิ่งอยู่ที่ลำคอขาวเนียน ก่อนจะเลื่อนลงสู่อกอวบอิ่มอีกครั้ง ทว่าครานี้ ชายหนุ่มหาได้หยุดอยู่ยังสองเต้าเต่งตึงไม่ จมูกคมเลื่อนเลยผ่านลงจนถึงสะดือเล็กน่ารักของนาง ก่อนจะตวัดลิ้นสาก หยอกเย้ามันอยู่นาน ทำให้ร่างบางบิดเร้าด้วยความเสียวซ่าน มือบางทั้งสองข้างกำผ้าปูที่นอนแน่นเสียงครวญครางปานจะขาดใจ เมื่อถูกเล้าโลมจากปลายลิ้นร้ายกาจของชายหนุ่ม มือหน้าจับต้นขางามของภรรยา แยกออกเพื่อให้เขาได้มองเห็นดอกไม้งามที่อวบอูมด้านล่าง ก่อนที่ปลายลิ้นของเขาจะตวัด ยังกลีบอ่อนด้านนอกจนเปียกชื้น นิ้วเรียวก
“ท่านแม่ทัพ สายแล้วนะเจ้าคะ”ในที่สุดเสี่ยวเตี๋ยก็นำตัวเองขึ้นบนแท่นประหาร ฉีอิงลอบยิ้มอยู่กับอกของสามี เสียงงัวเงียเหมือนลูกแมวของนาง เป็นการบอกแก่สามีว่าต้องลงดาบเสียที“บังอาจ! เจ้ากล้าดีเยี่ยงไร จึงเข้ามาในห้องนี้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใดกันเสี่ยวเตี๋ย เพียงบ่าวไยหาญกล้าทำเช่นนี้กัน”ตึก! เสี่ยวเตี๋ยรีบคุกเข่าลงในทันที พร้อมเสียงสะอื้นไห้ปานใจจะขาด ทว่าฉีอิงยังคงนอนหลับตานิ่ง ขยับตัวเพียงเล็กน้อย ยิ่งเป็นการเพิ่มโทสะให้แก่ชายหนุ่ม“ท่านแม่ทัพ เสี่ยวเตี๋ยเพียงเป็นห่วงท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” เสี่ยวเตี๋ยละล้ำละลักพูดด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น“ไม่ผิดที่บ่าวจะห่วงใยในตัวนาย แต่เจ้ากลับมิเป็นเช่นนั้น ฮูหยินของข้าคือนายของเจ้า แต่เจ้ากลับบังอาจรบกวนยามหลับของนาง ทั้งยังรุกล้ำเข้ามาในเวลาส่วนของนายเช่นนี้ เจ้าลองบอกข้ามาสิ ว่ามันเหมาะสมหรือไม่”เสี่ยวเตี๋ยถึงกับหนาวสะท้านไปทั้งกาย นางรู้ชะตาตนเองแล้วในตอนนี้ ว่าอย่างไรเสียก็คงถูกลงทัณฑ์จากแม่ทัพหนุ่มอย่างแน่นอน นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้ นางมิเคยเห็นท่านแม่ทัพ เอ่ยวาจามีโทสะถึงเพียงนี้สักครั้ง“ฮูหยิน ชะ...”“ออกไป!”สาวใช
ก็มิต่างกับว่าเขากำลังจะสูญเสีย จึงต้องรีบไขว่คว้าเอาไว้กับตัว ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานั้น นางให้ความสนใจกับทุกคน ยกเว้นเขาที่นางไม่เคยสนใจเลย ซึ่งมันมิต่างจากการเติมเชื้อไฟในใจของสามี ทว่านางไม่เคยคิดเลยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา เขาจะตัดสินใจร่วมทำเรื่องระหว่าสามีภรรยา อาจด้วยเพราะฤทธิ์สุรา ที่เขาและนางดื่มไปด้วยสำหรับนางแล้ว เรื่องเช่นสักวันมันจะต้องเกิด หากเล่นตัวมากจนเกินไป ก็จะดูไม่งามเอาได้ ยั่วยวนมากไปเหมือนเจ้าของร่าง ก็จะเป็นสิ่งที่ไม่น่าค้นหา นางแค่ใช้หลักจิตวิทยาจากชีวิตเก่า มาลองปรับใช้กับสามีหัวแข็งก็เท่านั้นเอง ‘ท่านมิได้ไร้ใจ ทว่าท่านไร้รักต่างหากสามีข้า’ นางสืบเรื่องของเขาอยู่นาน กว่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว จ้านซือถงใช่ว่าจะไม่มีหัวใจ เขามีความรักอันมั่นคงต่อสตรีนางหนึ่งทว่าฝ่ายหญิงกลับเลือกสามีที่ทำให้ตนเองสูงส่ง มากกว่าจะเลือกเพียงบุตรชายคนรอง ที่เวลานั้นเป็นเพียงทหารตำแหน่งเล็ก ๆ ในกองทัพ ความเจ็บปวดหล่อหลอมเขา ให้กลายเป็นคนที่ไม่เคยรักใครเลย ในสายตาของผู้คนหญิงสาวคนนั้น นางรู้ดีว่าเป็นผู้ใด และมันควรถึงเวลาปลดปล่อยสามีของนาง จากความเจ็บปวดเสียที ‘
กึ๊ก! ทว่าประตูห้องหาได้เปิดออกไม่ ซึ่งดูเหมือนว่าด้านในจะลงดานประตูเอาไว้ หญิงสาวสูดหายใจแรง ๆ เพื่อข่มกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ ก่อนจะใช้กำปั้นทุบลงที่ประตูห้องนอนหลายทีแม่ทัพหนุ่ม ที่กำลังนวดเฟ้นร่างกายให้แก่ภรรยา ที่นอนคว่ำหน้าหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์ ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าทะมึนตึงขึ้นในทันที เมื่อถูกรบกวนเป็นครั้งที่สองภายในวันเดียว“ใคร! มีเรื่องอันใด ไยกล้ารบกวนเวลาพักผ่อนของข้า”เสียงที่แฝงไปด้วยโทสะของชายหนุ่ม ทำให้คนด้านหน้าประตูถึงกับหนาวสะท้าน หลิวหลิงไม่เคยเห็น หรือได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ จากชายหนุ่มสักครั้งเลยในชีวิต“น้องรอง เป็นข้าเองหลิวหลิง”หลิวหลิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อยอย่างมีจริต นางรู้ใจชายหนุ่มดี ว่าหากนางทำเสียง เหมือนตกใจหรือกำลังหวาดกลัว ชายหนุ่มต้องรีบที่จะเข้ามาปลอบโยนอย่างแน่นอน‘ข้ากับเจ้ามันต่างกันฉีอิง เจ้าก็แค่มอบกายปรนเปรอเขา ส่วนข้ามิต้องทำสิ่งใด ก็อยู่ในใจของเขา’“พี่สะใภ้ ไยมิให้บ่าวไพร่มาแจ้งก่อน แล้วเหตุใดจึงมาเรือนของฮูหยินข้า โดยทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้”หลิวหลิงถึงกับใบหน้าซีดเผือก มือบางกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือด ไยชายหนุ่มจึงได้ตำหนินางรุนแ
เวลาผ่านพ้นไปกว่าสิบปี ร่างสูงของท่านอ๋องน้อยเสวี่ยอี้ ได้ก้าวตาเสียงร้องที่ดังอยู่อีกด้านของจวน ด้วยวันนี้เขาได้จัดงานวันเกิดเล็ก ๆ ที่มีผู้ร่วมงานเพียงเล็กน้อย เฉพาะคนที่สนิทเท่านั้นร่างกลมป้อมในชุดสีม่วงเข้ม กำลังห้อยตัวอยู่เหนือพื้นดิน เด็กหนุ่มตกใจรีบพุ่งเขาคว้าตัวร่างกลมเอาไว้ในอ้อมแขน“ไยจึงซุกซนได้ถึงเพียงนี้ หลานอิง”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม ทว่าท่อนแขนแกร่งกลับกระชับร่างป้อมเอาไว้แน่น ท่านอ๋องน้อยรับรู้ได้ถึงแรงสะอื้นอยู่แนบอก“ฮึก ๆ”“หยุดร้องได้แล้ว พี่อี้อยู่นี่แล้ว หลานอิงคนดีไม่เป็นไรแล้วเด็กดีของพี่”เสวี่ยอี้ เอ่ยปลอบโยนเด็กน้อยในอ้อมแขน ด้วยถ้อยคำหวานหู ซึ่งทั่วทั้งเมืองหลวง นอกจากจ้าวหลานอิงแล้ว ไม่มีหญิงสาวหรือเด็กหญิงคนใด ได้ใกล้ชิดท่านอ๋องน้อยเลยแม้แต่คนเดียว เสมือนกับว่าอ้อมกอดของเขา มีไว้ให้เพียงร่างกลมป้อมนี้เท่านั้น“หลานอิง เพียงอยากเก็บดอกท้อให้แก่พี่อี้”“โธ่! เด็กดี เจ้ามิต้องมอบสิ่งใดให้แก่พี่เลย เพียงแค่เจ้ายิ้มพี่อี้ก็พึงพอใจมากแล้ว”ลู่เหลียนฮวา ยืนซับน้ำใส ๆ ที่เอ่อล้นขอบตา นางไม่คิดเลยว่าลูกในอีกร่าง จะเกิดความรักในตัวของบุตรสาวนาง ที่เกิดในร่างของลู
“เช่นนั้น รบกวนท่านแม่ทัพโม่รอข้าสักครู่ ข้าจะเข้าครัวปรุงอาหารให้ท่านเสนาบดี”“ขอบคุณพี่สะใภ้”บุรุษทั้งสองมองตามร่างอวบอิ่มของลู่เหลียนฮวา ด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั้นคือความนับถือในน้ำใจของนางที่มีต่อโม่ลี่อิงเมื่อก้าวพ้นชายหนุ่มทั้งสองมา หญิงสาวได้ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แผนการทั้งหมดของนางราบรื่น เพราะสามีและโม่หยางเป็นผู้ช่วยเหลือ แม้ว่าวันนี้นางจะบอกความจริงทั้งหมดไม่ได้แต่อย่างน้อยบุตรชายอันเป็นที่รัก ได้กลับสู่ชาติกำเนิดอันแท้จริง พร้อมคืนความเป็นธรรมให้แก่ร่างเก่าของนาง ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับจวนอ๋องเจ็ดมีฟงเป็นคนคอยจัดฉากต่าง ๆ มากมาย สตรีก็คือสตรี ความริษยามักนำพาให้ถึงจุดจบของชีวิต เมื่อพระชายาทั้งสอง ตกอยู่ในวังวนเหล่านั้น โดยมีคนของนางเป็นผู้ชักใยอยู่ลับ ๆ ความผิดพลาดก็พลันบังเกิดกับพระชายาทั้งสองการที่จวนอ๋องพุ่งเป้าหมายมาที่แม่ทัพจ้าวหลาง ก็เพราะคนบงการอยู่เบื้องหลังคือนางเอง คิดจะทำให้คนโลภหลงเข้าสู่กลลวง ก็ต้องรู้จักที่จะทะลวงหัวใจของคนเหล่านั้นนับตั้งแต่ให้คนของนาง เข้าไปอยู่ข้างตัวของโม่หลันและมารดา จากนั้นก็ทำการช่วยเหลือคนทั้งคู
จวนอ๋องเจ็ด ภายในห้องนอน ร่างสูงได้แต่นอนมองภรรยา ที่กำลังร่ำไห้โดยในมือถือมีดสั้นอยู่ ใจของเขาตอนนี้แทบจะหยุดเต้นเสียให้ได้ เมื่อสบเข้ากับสายตาของนาง“เพราะอะไรกัน ทำไมกันเจ้าคะ ท่านพี่ถึงทำเช่นนี้ รู้ไหมหากตอนนั้น ท่านพี่ทำทุกอย่างให้ถูกต้องเสียแต่แรก ลูกเราก็คงไม่ตาย”“ฮ่า ๆ เสวี่ยอี้ของท่านพี่ยังอยู่ แล้วหลงเอ๋อร์ของข้าเล่า”ทุกคำพูดของโม่หลันนั้น เริ่มที่จะเลื่อนลอยเข้าทุกขณะ ดวงตาที่เคยสดใส เวลานี้หาได้เป็นเช่นเดิมไม่ สิ่งที่ทำให้ใจของเขาเจ็บปวดที่สุด คือข่าวที่ได้รับการยืนยัน ว่าบุตรชายคนโตยังมีชีวิตอยู่จริงแล้วที่เขาลงมือสังหารไปนั้นคือผู้ใดกัน เมื่อทบทวนทุกสิ่งอย่าง ชายหนุ่มถึงกับดวงตาเบิกโพลง สายตาและรอยยิ้มของอดีตภรรยาฉายเข้ามาให้หัวภาษาปากที่โม่ลี่อิงพูดไว้วันนั้น เป็นเรื่องเขาไม่คาดคิดเลยว่าสตรีบอบบางเช่นนาง จะมีความคิดซับซ้อนได้ถึงเพียงนั้น เป็นเขาเองสินะที่มองข้ามภรรยาผู้อ่อนโยนไปเขารักภรรยามิเท่าเทียม ไม่เว้นแม้แต่ลูก เขาก็หาได้รักในตัวเสวี่ยอี้แม้แต่น้อย ในวันที่ลงมือสังหารบุตรชายแรกเกิดนั้น เขาจึงไร้ซึ่งรู้สึกเสียใจใด ๆ ทว่าในวันนี้กลับเป็นเขาที่ถูกลืมเลือนและบุ
โม่หลันจ้องไปยังคนที่ขวางทางนางอยู่ในตอนนี้ รอยยิ้มเสแสร้งของพระชายาสาม ทำให้โม่หลันกัดริมฝีปากแน่น เพื่อระงับโทสะที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเมื่อมองตามมือบางของอีกฝ่าย ที่เลื่อนไปวางยังหน้าท้องแบนราบ ซึ่งในมิช้ามันจะขยายใหญ่ขึ้น “เยี่ยหลิงคารวะพี่หญิงเพคะ” “หลีกไป! เจ้าน่าจะรู้ฐานะของตนเองเสียบ้างก็ดีนะ” “หม่อมฉันย่อมรู้ดีสิเพคะ ว่าอนาคตหม่อมฉันจะอยู่ในสถานะใด” “เจ้าทำเป็นพูดดีไปเถอะ มินานเจ้าจะได้รู้ว่าความผยองของเจ้ามิได้ช่วยอันใดเจ้าได้เลย” ปึก! ไหล่บางของพระชายาสาม ชนร่างบางของโม่หลันอย่างจงใจ ทำให้หญิงสาวเซจนเกือบจะล้มลง หากมิได้สาวใช้รับเอาไว้ได้ทัน นางคงบอบช้ำไปมากกว่านี้ นับตั้งแต่พระชายาสามตั้งครรภ์ ท่านอ๋องเจ็ดได้ส่งกำลังคุ้มกัน พระชายาเยี่ยหลิง จนเรียกได้ว่าแม้แต่แมลงสักตัวก็หาได้ต้องกาย ‘ท่านอ๋องเจ็ด ท่านมันอสรพิษอย่างแท้จริง เมื่อข้าและลูกไร้ซึ่งประโยชน์ ท่านก็คิดจะอาศัยอำนาจขององค์หญิงต่างแคว้นทำลายข้า’ เมื่อรู้ถึงจุดประสงค์ของสามี โม่หลันรู้สึกแค้นเคืองจนแทบกระอักเลือด ข
“ฮูหยินของเจ้าก็มีกลิ่นนี้” “ข้ารู้...หากข้าจะบอกเจ้าว่าที่ข้าแต่งงานกับฮวาเอ๋อร์นั้น ในคราแรกที่พบเจอนาง ข้ารู้สึกเหมือนคนผู้นั้นกลับมาแล้ว ข้ามิเคยปิดบังฮวาเอ๋อร์ แม้แต่เรื่องในอดีตว่าข้ารักผู้ใดมาก่อน” “แล้วนาง รับมันได้หรืออย่างไรกัน” “หากมิได้...มีหรือ ข้าจะยังได้โอบกอดนางในทุกค่ำคืนเช่นนี้เล่า” “พี่สะใภ้ของข้า มิได้โง่เขลา เช่นที่ชาวเมืองลำลือใช่หรือไม่” โม่หยางเอ่ยถามถึงความข้องใจของตนเอง “หึ ๆ ในสายตาเจ้า คิดเห็นเป็นเช่นไรเล่า” จ้าวหลางหัวเราะในลำคอ “แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้อื่นเห็น ย่อมต่างจากสายตาเราทั้งคู่ และต่อให้มีผู้อื่นที่มองเห็นอยู่บ้าง ก็คงคิดว่านางเพียงเสแสร้งหาได้เชื่อว่านางฉลาดล้ำอันใด” หลังจากวันนั้นเพียงสองวัน เรื่องสะเทือนใจก็ได้เกิดขึ้นยังจวนอ๋อง เมื่อท่านชายที่ถือกำเนิดจากอดีตพระชายาเอกโม่ลี่อิง ได้สิ้นใจลงด้วยยาพิษ โดยยังมิอาจจับตัวคนร้ายเอาไว้ได้ สิ่งที่ทำให้ทุกคนแปลกใจ นั่นคือเหตุใดพระชายารอง จึงดูเศร้าโศกเสียใจจนคลุ้มคลั่งเจียนตาย จริงอยู่ว่าท่านชายน้อยคือหลานแท้ ๆ
“นายหญิงของข้าฝากแจ้งแก่ท่าน แม้ร่างดับสูญแต่จิตวิญญาณหาสิ้นไม่ ทุกสิ่งนางทำเพื่อทวงความเป็นธรรม ให้แก่ตัวนางและบุตรชาย ทั้งยังปกป้องคนที่นางรักอีก จงระวังตัวให้มากท่านแม่ทัพโม่” ร่างในชุดดำก้าวชิดภูเขาจำลอง ก่อนจะพูดในสิ่งที่ผู้เป็นนายแท้จริงได้ฝากให้แจ้งแก่ชายหนุ่ม “เจ้ามีนายหลายคนเหลือเกินนะ” “นายข้ามีเพียงหนึ่ง หาได้คิดทรยศต่อผู้ใดไม่ คนฉลาดเช่นท่านย่อมรู้ว่าข้ากำลังทำสิ่งใดอยู่” ตุ๊บ! มีบางอย่างตกลงตรงหน้าของโม่หยาง ก่อนที่ชายชุดดำจะหายไปในความมืด โม่หยางก้มลงเก็บของสิ่งนั้น เข้าไว้ภายใต้แขนเสื้อ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทาง ก้าวไปยังเรือนของตนด้วยหัวใจเต้นรัว ด้วยคำพูดของชายชุดดำนั้น ไม่ต้องบอกจนหมดเขาก็รู้ว่าหมายถึงผู้ใดโม่หยางคลี่ผ้าผืนงามออก สายตาไล่ไปตามตัวอักษร ทุกถ้อยคำนั้นกระชับได้ใจความ มือหนาสั่นสะท้าน‘มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ท่านชายน้อยเสวี่ยอี้มิใช่หลานชายของข้าเช่นนั้นรึ’ เพียงครู่เดียว ร่างในชุดดำได้คุกเข่าลงตรงหน้าของโม่หยาง เพื่อรอรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย “สืบเรื่องนี้มาให้กระจ่าง อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา สองสามีภรรยาหาได้สนใจเรื่องของผู้อื่นไม่ แม่ทัพหนุ่มสรรหาแต่ของบำรุง เรียกได้ว่าทุกสิ่งอย่างที่ว่าดีต่อลูกเมีย แม่ทัพหนุ่มจัดหามาจนแทบจะทั้งสิ้นลู่เหลียนฮวา กำลังนั่งอ่านจดหมายลับ ที่คนของนางได้นำมามอบให้ นับตั้งแต่ตื่นมาในร่างของลู่เหลียนฮวา นางก็ได้หาคนที่ซื่อสัตย์เอาไว้ใช้ทำงานลับนี้อยู่หลายคนเพื่อประสานงานกับคนของนางเมื่อครั้งชีวิตเก่า ทุกอย่างถูกกระทำขึ้นในนามของสหายลับในอดีตพระชายา เรื่องการกลับมาของนาง มิอาจแพร่งพรายออกไปได้ ด้วยหลากหลายเหตุผลทุกตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษ ทำให้ใบหน้างามดูเรียบตึงกว่าที่เคย ความเจ็บแค้นปะทุขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามมิอยู่ “พี่ใหญ่ ลี่อิงไร้สามารถที่จะปกป้องท่านพ่อ ทุกสิ่งอย่างอยู่ในมือของท่านแล้ว” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหย่อนกระดาษในมือลงสู่กระถางที่มีถ่านแดงร้อนอยู่ภายใน “ฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพให้มาแจ้งว่า มื้อค่ำท่านแม่ทัพโม่หยางจะมาร่วมด้วยเจ้าค่ะ” เป็นแม่นมจู ที่ก้าวเข้ามารายงานผู้เป็นนาย “เช่นนั้น ข้าจะเข้าครัวด้วยตนเอง” ลู่เหลียนฮวา ดีใจจนแทบจะเก็บอาก
“หากฮวาเอ๋อร์ ถามท่านพี่สักเรื่อง ท่านพี่จะขุ่นเคืองหรือไม่เจ้าคะ” “สามีภรรยาคือคน คนเดียวกัน เหตุใดพี่ต้องขุ่นเคืองด้วยเล่า” “ท่านพี่ คิดเช่นไรกับพระชายารอง” “หึ ๆ เรื่องนี้เองรึ ที่วันนี้เจ้ามิค่อยเต็มใจในเรื่องระหว่างเรา” “จะมิให้ฮวาเอ๋อร์คิดได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ก็เมื่อหัวค่ำท่านพี่มองนางเสียขนาดนั้น” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ใช่นางไม่เห็นสายตาที่สามีมองยังอดีตคู่หมั้น ที่รั้งตำแหน่งพระชายารองในท่านอ๋องเจ็ด “ฮ่า ๆ เจ้าหึงพี่ เช่นนั้นแสดงว่าเจ้ารักพี่ใช่หรือไม่” “ท่านพี่รู้ดีกว่าผู้ใดนี่เจ้าค่ะ” “ฟังพี่นะเด็กโง่ พี่ไม่เคยคิดอันใดกับนางเลย และนางมิเคยอยู่สายตาของพี่เลยสักครั้ง” “แล้วเหตุใดท่านพี่ จึงยอมหมั้นหมายกับนางมาก่อนเล่าเจ้าคะ” “นั่นเพราะพี่เพียงต้องการ จะปกป้องใครอีกคนก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนจะไร้ความหมาย ในเมื่อสิ่งที่พี่ทำไปมิอาจรั้งชีวิตนางเอาไว้ได้” “ผู้ใดกันเจ้าคะ” ลู่เหลียนฮวาจ้องตาสามีเพื่อรอคำตอบ จ้าวหลางไม่คิดที่จะปิดบังภร
ร่างบางถูกวางไว้บนเตียง หญิงสาวถึงกับใบหน้าแดงก่ำ เมื่อเสียงประตูปิดลง ซึ่งเป็นผู้ใดไปไม่ได้ นอกเสียจากสาวใช้ของนางเอง สิ้นเสียงประตู ชายหนุ่มได้ก้มลงซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่นของภรรยา ก่อนจะเลื่อนมือไปกระตุกสายคาดเอวของคนใต้ร่าง เพียงครู่เดียวร่างบางในตอนนี้ไร้ซึ่งอาภรณ์ ใบหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวด้วยความรัญจวน เมื่อถูกสามีปลุกเร้าด้วยลิ้นอุ่นร้อน ทั้งยังมือหยาบกร้านของสามี ที่ลูบไล้สลับบีบเคล้นไปทั่วร่าง ลู่เหลียนฮวาพยายามข่มกลั้นเสียงครางเอาไว้ ด้วยเกรงสาวใช้หรือทหารด้านนอกจะได้ยิน “พวกเขาไม่มีใคร หาญกล้าอยู่ใกล้เรือนอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มกระซิบเสียงเบาหวิว ข้างใบหูของภรรยา ก่อนจะขบเม้มเบา ๆ ยังติ่งหู สิ้นคำพูดของสามี ลู่เหลียนฮวาจึงได้ปลดปล่อยเสียงครางออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้ เมื่อถูกล่วงล้ำจากสามี จ้าวหลางขยับกายอย่างเชื่อช้า ก่อนจะเพิ่มความเร้าร้อนขึ้นตามแรงกระตุ้นจากภรรยา เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน สองร่างกระตุกเกร็งพร้อมส่งเสียงครางอย่างสุขสม จ้าวหลางยังคงกอดภรรยาไว้แนบกาย ก่อนจะค่อย ๆ ถอดถอนแท่งหยกออกจากช่องทางเล็กแคบข