เสียงดนตรีแววหวานดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รอบบริเวณสนามหญ้าขนาดใหญ่ ภายในคฤหาสน์เจ้าสัวหลิว ผู้คนมากมายในชุดหรูหรา ต่างพากันมารอร่วมแสดงความยินดี กับการแต่งงานของบุตรสาวคนโตของท่านเจ้าสัว
ภายในห้องนอนหรูหราของจ้าวสาว หลิวฉีอิง ได้มีเสียงพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ของบรรดาเพื่อนเจ้าสาว ซึ่งอีกแค่ไม่กี่นาที ฉีอิง จะมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว
ฉีอิงในชุดเจ้าสาว เธอดูสวยสง่าราวนางพญา ซึ่งเป็นที่น่าอิจฉาของหญิงสาวที่มาร่วมงาน เพราะเหมือนทุกสิ่งอย่าง จะมารวมอยู่ในตัวของฉีอิงเลยก็ว่าได้ สวย รวย เก่ง เป็นคำนิยามที่ทุกคนมอบแก่เธอ ในความพร้อมที่มี กลับไม่ทำให้หลิวฉีอิง เป็นคนที่ดูถูกคนอื่น ทุกอย่างตรงกันข้าม หญิงสาวมักยื่นมือช่วยเหลือผู้ยากไร้เรื่อยมา โดยใช้เงินจากการทำงานของเธอเองทั้งสิ้น
“ฉีอิง คืนนี้เธอจะได้กินผู้ชาย สุดฮอตแห่งปีเลยนะ”
หนึ่งในเพื่อนเจ้าสาวแกล้งแซวฉีอิง ก่อนจะมีเสียหัวเราะดังขึ้น จากเพื่อนเจ้าสาว ที่กำลังช่วยกันจัดเตรียมความพร้อมให้กับเธอ
“พวกเธออยากให้ฉันกินเขาทั้งตัว หรือแค่บางส่วนล่ะ”
จ้าวสาวคนสวยเอ่ยตอบ พร้อมทำแววตากรุ่มกริ่ม พร้อมเม้มปากอวบอิ่มสีหวาน เพื่อเสริมคำพูดของตนเอง
“ตายแล้ว...ปากร้ายจังนะเรา”
ทุกคนยังคงแกล้งเจ้าสาวอย่างสนุกสนาน ก่อนจะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จึงทำให้ทุกคนรีบเตรียมตัว เมื่อเปิดออกไปก็ได้รับการยื่นยันว่า ได้เวลาที่จะต้องพาเจ้าสาวคงไปในงานแล้ว
อดัมยืนยิ้มกว้าง เมื่อเห็นเจ้าสาวคนสวยของเขา กำลังเดินลงมาจากบันได ทุกคนเงียบเสียงลงในทันที เพื่อสร้างบรรยากาศให้แก่คู่บ่าวสาว อดัมเดินเข้าไปรอรับฉีอิง ก่อนจะให้เธอคล้องแขน พากันเดินออกไปยังงานด้านนอก
คู่บ่าวสาวเดินพูดคุยกับแขกที่มาร่วมงาน ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จนเมื่อถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องขึ้นเวที เพื่อกล่าวของคุณแขกในงาน เสียงปรบมือดังขึ้นก่อนจะหยุดลง เมื่อพิธีกรได้ยื่นไมค์ให้แก่เจ้าบ่าว อดัมได้พูดถึงวันแรกที่พบรักกับฉีอิง ทว่า...
ปัง! เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ทำให้ทุกคนในงานต่างหวีดร้อง แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือร่างเจ้าสาวที่ล้มลงกับพื้นเวที รอบตัวเธอมีเลือดสีแดงไหลแผ่ออกเป็นวงกว้าง
“ฉีอิง!”
เสียงตะโกนเรียกชื่อของเธอดังห่างออกไปเรื่อย ๆ เสียงหวีดร้องของผู้เป็นพ่อแม่ ดูเหมือนจะไกลจนเธอได้ยินไม่ค่อยชัด สติสุดท้ายของฉีอิง คือภาพของอดัมที่พยายามเรียกเธอ
‘ไม่สิวันนี้ฉันจะเป็นของเราแล้ว ทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันคืออะไรกัน ทำไม...’ คำถามซ้ำ ๆ วนไปมาอยู่ในหัว ก่อนที่ทุกอย่างจะดำมืดและดับลงในที่สุด
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนฉีอิงก็ไม่อาจรู้ได้ เธอรู้แค่ว่าตอนนี้ เธอยืนมองเพื่อนสนิทนั่งร้องไห้ อยู่ในอ้อมกอดของอดัมเจ้าบ่าวของเธอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังซักถามถึงสาเหตุ ที่ยิงเจ้าสาวในงาน นั่นก็คือเธอ
“ฉันกับอดัมกำลังจะมีลูกด้วยกัน ฉีอิงไม่มีสิทธิ์แย่งเขาไปจากฉัน”
คำพูดของเพื่อนรัก ไม่ต่างจากมีดที่เสือกแทงเข้าหัวใจของฉีอิง หญิงสาวทำเพียง ถอยออกห่างจากคนที่กำลังนั่งถกเถียงกัน เธออยากร้องไห้ แต่มันกลับไม่มีน้ำตาออกมาแม้แต่หยดเดียว เธอไม่เคยรู้เรื่องความสัมพันธ์ของอดัมกับเพื่อนรักเลย
ทุกครั้งที่พวกเธอไปเที่ยวด้วยกัน ก็คิดเพียงแค่หนึ่งคือเพื่อนรักกับอีกคนคือคนรัก ฉีอิงนั่งลงข้างพุ่มดอกกุหลาบมุมโปรดของเธอ ก่อนจะเอนตัวลงนอนราบไปกับพื้นหญ้า ฉีอิงหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้าและสับสน ว่าในตอนนี้เธอยังอยู่หรือตายแล้ว ถ้าหากเธอตายแล้วจริง ๆ ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ
“ฮูหยินเจ้าคะ ตื่นเถิดเจ้าค่ะ”
เสียงที่เหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็รู้สึกแปลก ๆ กับสำเนียงและการเรียกขาน ทำให้คนที่คิดว่าฝันไปรีบลุกพรวดขึ้นในทันที
“ว้าย! ฮูหยิน ไยลุกขึ้นเร็วเช่นนั่นเล่าเจ้าคะ” เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ ทำให้ฉีอิงรีบหันไปมองในทันที
ฉีอิง มองคนที่เรียกเธอว่าฮูหยิน ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้องนอน รวมทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ ‘เคยอ่านแต่ในนิยาย อย่าบอกนะว่าฉันกำลังอ่านนิยายอยู่ แล้วถูกดูดเข้ามาในหนังสือ’ ฉีอิงแอบหยิกแขนตัวเองอย่างแรง ‘อ๊ายย! เจ็บ’
เมื่อยังประติดประต่อเรื่องไม่ได้ หญิงสาวทำแค่ยิ้มให้กับคนที่นั่งหน้าตื่นอยู่ข้างเตียง ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ เอนตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ฉีอิงหลับตาลงก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้ง แต่ทุกอย่างยังคงอยู่ไม่หายไป
‘แย่แล้ว โอ๊ะ!’ ในตอนที่เธอกำลังสับสน ภาพเหตุการณ์บางอย่าง ก็ฉายวนอยู่ในหัว เสมือนเครื่องฉายหนัง
คุณหนูใหญ่หลี่ฉีอิง บุตรสาวของเสนาบดีหลี่หยาง นางแต่งเข้าจวนแม่ทัพจ้านซือถง การแต่งงานที่เกิดขึ้น โดยความไม่เต็มใจของฝ่ายชาย ทำให้ชีวิตในจวนของนางนั้นช่างน่าเศร้ายิ่งนัก
เพียงเพื่อความรับผิดชอบ และรักษาเกียรติของสองตระกูล แม่ทัพหนุ่มจึงสู่ขอนางเป็นภรรยา บุรุษไร้หัวใจคือคำที่หญิงสาวพร่ำเรียกขานสามี
สิ่งนำพาความตายมาสู่หลี่ฉีอิง คือวันคืนที่นางคิดจะยั่วยวนสามี เพื่อให้การแต่งงานสมบรูณ์แบบ ทว่าคำพูดของสามีนั้น ไม่ต่างจากคมมีดที่เสือกแทงเข้าสู่หัวใจของนาง
‘น่าเห็นใจเจ้าอยู่ไม่น้อยนะ ที่รักคนแบบนั้น วิธีการแบบผู้หญิงสมัยก่อนมันเฉย ต้องแบบที่ฉันจะทำนี่ต่างหาก มันดีกว่าเยอะ’ ฉีอิงลอบยิ้มอยู่ภายในใจ หากจะใช้ชีวิตต่อไป เธอก็ต้องยอมรับและปรับเปลี่ยนตัวเอง ถึงจะอยู่รอด สามีไม่รัก ไม่ใส่ใจใครจะสน ขอแค่มีให้บ้านอยู่ มีให้เงินใช้ไม่อดอยาก เรื่องอย่างว่ามันจะสำคัญอะไร
“ท่านแม่ทัพ”ฉีอิงแสร้งหลับตานิ่ง เมื่อได้ยินเสียงจากด้านหน้าประตู เธอเคยอ่านนิยายแนวโบราณ รู้ดีว่าฐานะตัวเองในตอนนี้ คือนายย่อมต้องมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ และมันเป็นเรื่องดี ที่ไม่ว่าใครจะไปหรือมา ต้องมีการเรียกขานชื่อให้รับรู้กันก่อน“ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง นางฟื้นรึยัง”เสียงทุ่มลึกของคนพูด ทำให้ฉีอิงอยากจะลืมตามองนัก ว่าหน้าตาของเขาจะเหมือนกับเสียงนั่นหรือไม่ ทว่าจากน้ำเสียงของแม่ทัพคนนี้ ดูมิได้ไร้เยื่อใยต่อเจ้าของร่างเท่าใดนัก ‘เห็นทีต้องทดสอบกันหน่อย’“เอ่อ...ฮูหยินตื่นขึ้นมาเพียงครู่เดียว ก่อนจะหมดสติไปอีกเจ้าค่ะ” สาวใช้ของคนบนเตียง เอ่ยด้วยน้ำเสียงวิตกกังวลอยู่ไม่น้อย“ตามท่านหมอมาดูอาการของนางอีกครั้ง หากมีสิ่งใดให้รีบแจ้งแก่ข้า”ชายหนุ่มมองไปยังร่าง ที่ยังคงไร้สติอยู่บนเตียง พร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหมุนกายจากไป โดยไม่คิดที่จะเข้าไปดูภรรยาใกล้ ๆ หรือจับมือให้กำลังใจนางสักนิดก็ไม่มี ทุกอย่างถูกวางเอาไว้ตามที่แม่ทัพหนุ่มกำหนดเท่านั้น แม้แต่ระยะห่างระหว่างสามีภรรยา“เจ้าค่ะ”เมื่อมั่นใจว่าสามีเจ้าของร่างจากไปแล้ว ฉีอิงที่เริ่มหิว ได้ค่อย ๆ ลืมตา ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง มองไปยังสาวใช้
ฉีอิงถือโอกาสสำรวจบ้านหลังใหม่ของเธอ สองนายบ่าวเดินเล่นไปทั่วสวนอันกว้างใหญ่ จนไปหยุดอยู่ประตูทางเข้าลานฝึก ฉีอิงจำได้ว่าเมื่อชีวิตเก่า เธอเคยถูกรับเชิญไปร่วมแสดง ในหนังแนวย้อนยุค เธออยากจะรู้ว่าของจริง กับฉากในหนังนั้น มันจะเหมือนกันรึเปล่าเท้าบางกำลังจะก้าวตรงไปยังประตู เพื่อที่จะเข้าไปด้านใน ทว่าแขนกลมกลึงกลับถูกรั้งเอาไว้ ฉีอิงมองตามมือไป จนสบเข้ากับตาเสี่ยวเจี้ยน ก่อนจะเห็นใบหน้าซีดเซียวของสาวใช้ พร้อมกับอาการส่ายหน้าน้อย ๆ ของเสี่ยวเจี้ยน“ทำไม ข้าจำได้ว่าไม่มีกฎห้ามเข้า หรือช่วงที่ข้าเจ็บป่วยมีการตั้งมันขึ้นมาใหม่” ฉีอิงถามด้วยความสงสัย ทว่าน้ำเสียงนั้นเหมือนกำลังพยายามกดดัน ให้เสี่ยวเจี้ยนยอมจำนน“มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่ฮูหยินเคยบอกว่า...ไม่ชอบลานฝึกนี่เจ้าค่ะ” เสี่ยวเจี้ยนตอบด้วยน้ำเสียงติดขัด ยิ่งเป็นการเพิ่มความอยากรู้ให้แก่ฉีอิง“ใช่! ข้ามิชอบ แต่วันนี้ ข้าแค่อยากออกกำลังสักหน่อย ไปกันเถอะ”แม้ว่าฉีอิงจะเห็นภาพเกี่ยวกับเจ้าของร่าง แต่ก็ใช่ว่าจะทั้งหมดเสียเมื่อไหร่กัน เธอไม่รู้ว่าทำไมเสี่ยวเจี้ยน จึงดูหวาดกลัวลานฝึกขนาดนั้น แต่ก็นะสามีของเธอในตอนนี้คือแม่ทัพ เขามักจะทำให้
สองเดือนถัดมา ฉีอิงก็ได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตานอกจวนแม่ทัพเสียที ในยามบ่ายคล้อย ฉีอิงที่อยู่ในรถม้ากับสามี กำลังตื่นเต้นกับภาพบ้านเมือง ที่ดูแปลกตาสำหรับนางคืนนี้สามีของนางได้รับเทียบเชิญ ให้ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด ในจวนอ๋องเก้า แน่นอนว่านางศึกษาทุกอย่างมาจากเสี่ยวเจี้ยนแล้ว และนับว่าโชคดี ที่นางสามารถพาสาวใช้คนสนิทมาร่วมงานได้จ้านซือถงแสร้งอ่านตำรา ทว่าแท้จริงแล้ว ชายหนุ่มกำลังลอบมองภรรยาอยู่เป็นระยะ แม้ว่าจะเกิดความสงสัยมากเพียงใด แต่เพราะไร้ซึ่งหลักฐานเขาก็จำต้องนิ่งเอาไว้ หลายอย่างเปลี่ยนไปนับตั้งแต่นางหายป่วยเมื่อสองเดือนก่อนฉีอิงไม่ได้สนใจ ว่าสามีจะคิดเช่นไร สำหรับนางแล้วเวลานี้ คือการเรียนรู้และหาข้อมูล พร้อมช่องทางที่จะทำให้ตนเองปลอดภัย และอยู่รอดได้ในอนาคตนับว่ายังโชคดี ที่หลังจากตื่นขึ้นมาได้ราวหนึ่งสัปดาห์ บิดามารดาร่วมถึงพี่น้องชายหญิง ได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนนาง ทำให้ฉีอิงรู้ว่า เจ้าของร่างนั้น มีความสมบรูณ์ในเรื่องครอบครัวมากทีเดียวบิดารักลูกเท่าเทียมกัน พี่น้องปรองดอง ทว่าโชคร้ายของฉีอิง ที่ได้สามีเช่นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ นางจึงตรอมใจตายไปอย่างโดดเดี่ยว“เจ้าทำเหมือนมิเคยเ
ปกติแล้วฉีอิงไม่เคยทำเช่นนี้ ทว่าค่ำคืนนี้ภรรยากลับหาได้ใส่ใจเขาไม่ และมิใช่แค่เพียงค่ำคืนนี้ ทว่านับตั้งแต่นางหายจากอาการป่วยเลยทีเดียวค่ำคืนของงานเลี้ยงได้จบลง เมื่อรถม้าจอดยังหน้าจวน ชายหนุ่มยังคงดุแลภรรยาอย่างดีเช่นเดิม ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปส่งนางยังเรือน“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่ ที่อุตส่าห์เดินมาส่งข้าถึงเรือน”“อืม!”แม่ทัพหนุ่มทำเพียงเสียงในลำคอ ก่อนจะเผลอถลึงตาตามหลังร่างงามไป เมื่อเขาคิดว่านางจะกล่าวสิ่งใดเพิ่ม ทว่าร่างบางของภรรยา กลับหมุนกายเข้าเรือนไป โดยไม่แม้แต่จะมองเขาเลยด้วยซ้ำไปสิ่งที่ฉีอิงแสดงออกต่อสามี โดยการเมินเฉยนั้น มิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว มิว่าจะงานเลี้ยงใด ที่ต้องไปร่วมกัน ฉีอิงหาได้ใส่ใจสามี นางสนุกสนานกับงาน ทั้งยังเว้นระยะห่างกับสามีอย่างเห็นได้ชัดหากเป็นแต่ก่อน ในทุกงานเลี้ยง ภรรยาของเขาจะเป็นผู้ที่คอยใส่ใจ ดูแลถามไถ่จนเขารู้สึกรำคาญ แต่ทว่าในปัจจุบัน กลับเป็นเขาที่พยายามเข้าหานาง แต่ไร้ซึ่งการตอบรับจากหลี่ฉีอิงเวลาผ่านไปเร็วประหนึ่งสายลมพัดผ่าน ในวันที่นางตื่นคือหน้าร้อนอันอบอ้าว ทว่าตอนนี้กลับเป็นหน้าหนาว ที่หิมะเริ่มโปรยปราย จะขวบปีแล้วหรือนี่กับ
“ท่านแม่ทัพ”เสี่ยวเตี๋ยดีใจจนออกนอกหน้า หลายเดือนมานี่ ท่านแม่ทัพมาเยือนเรือนฉีอิงบ่อยมาก ทั้งที่วันนี้คุณชายสามมา ท่านแม่ทัพก็ยังแวะเวียนมาที่เรือน โดยที่เจ้านายของนางไม่อยู่แท้ ๆ นอกเสียจากเขาจะมาเพื่อพบหน้าผู้อื่น สาวใช้แอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ภายในใจ“ฮูหยินเล่า นางยังมิเสร็จอีกหรือ” แม่ทัพหนุ่มถามหาภรรยา“เอ่อ...คือฮูหยิน ออกไปยังเรือนรับรองแล้วเจ้าค่ะ เพื่อ...”ชายหนุ่มหมุนกายจากไปทันที โดยไม่รอฟังให้จบก่อน ทำให้เสี่ยวเตี๋ยถึงกับหน้าม่านไปเลยทีเดียว นางคิดว่าที่ผ่านมาชายหนุ่ม มายังเรือนนี่บ่อยครั้ง เพื่อมาพบหน้านางแม่ทัพหนุ่มถึงกับชะงักเท้าในทันที เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากห้องรับแขก ใบหน้าที่เคยนิ่งสนิทอยู่เป็นนิจ บัดนี้กลับมืดครึ้มลงหลายส่วน ‘ไยกับข้า เจ้ามิเคยหัวเราะด้วยเช่นนี้’ ชายหนุ่มคิดขบเขี้ยวอยู่ในใจก่อนจะสูดหายใจลึก ๆ เพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แม่ทัพหนุ่มก้าวเท้าหนัก ๆ ตรงเข้าไปภายในห้องรับแขก ภาพที่เขาเห็นคือภรรยาในชุดสีขาวลายดอกมู่ตานสีชมพู ซึ่งขับเน้นให้นางดูงดงามยิ่งนักแต่สิ่งที่ทำให้เขา แถบจะถลาเข้าคว้าตัวนาง แล้วพากลับไปขังไว้ในเรือน นั่นคือเนินอกอวบอิ่ม ที่
“เอาล่ะ เราไปกินข้าวกันได้แล้ว เสี่ยวเจี้ยน เอาเสื้อคลุมของฮูหยินมาให้ข้า”เสี่ยวเจี้ยนรีบนำผ้าคลุมของผู้เป็นนาย ส่งให้แก่แม่ทัพหนุ่ม ก่อนจะถอยกลับไปยืนเคียงข้างพ่อบ้าน จ้านซือถงจัดแจงห่มผ้าคลุมให้แก่ภรรยาอย่างเบามือ“ท่านพี่เราจะไปกินข้าวกันแค่เพียงห้องข้าง ๆ ไยต้องสวมผ้าคลุมเล่าเจ้าคะ”“นี่คือฤดูหนาว เจ้าควรดูแลตัวเองให้มากสักหน่อย หากป่วยไข้มาจะเป็นอันตรายเอาได้”ปากก็พูดกับภรรยา ทว่ามือนั้นยังพยายามที่จะดึงผ้าคลุม ให้ปกปิดเนินอกขาวเนียนนั้น ให้พ้นสายตาของผู้อื่น ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด จนทุกคนที่อยู่ภายในห้องรับแขก ต่างพากันหันมองไปทางอื่น เพราะดูเหมือนว่าฮูหยินของบ้าน จะเริ่มมีใบหน้าแดงก่ำลามไปจนถึงลำคอแล้วในตอนนี้มือบางจึงยกขึ้นช่วยสามีจัดการกับผ้าคลุม โดยการเบี่ยงไปด้านข้างเล็กน้อย ทำให้ชายผ้าปิดเนินอกอวบของนาง ฉีอิงจึงได้เห็นแววตาพึงพอใจของสามี ก่อนที่เขาจะคว้าเอวขอดของนาง พาเดินไปยังห้องอาหารที่อยู่ติดกัน“ข้าว่าอีกไม่นาน พวกเจ้าคงมีงานเพิ่ม”จ้านซือเถาหันไปเอ่ยกับพ่อบ้านของพี่ชาย และเสี่ยวเจี้ยน ที่ตอนนี้พากันยืนยิ้มจนตาปิดเลยทีเดียว“หากเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยจะย
สำหรับฉีอิงนั้น จูบถือเป็นเรื่องปกติของคู่รักที่จะกระทำมันอยู่แล้ว นางมาจากโลกเสรีในอนาคต การตอบสนองของภรรยา ทำให้ซือถงคำรามอยู่ในลำคอ ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะก้มลงดูดเม้าริมฝีปากล่างอย่างหิวกระหาย มือหนาข้างหนึ่ง ยังคงนวดเฟ้นเต้างามสลับใช้นิ้วโป้ง บี้ยังเม็ดบัวสีหวานนั่นอย่างเมามันฉีอิงสะท้านไปทั้งกายด้วยความรัญจวน จากการปลุกเร้าอารมณ์ของสามี เรียวขางามกวัดรัดขาแกร่งของชายหนุ่มเอาไว้แน่น ทั้งยังแอ่นกายส่วนล่าง ขึ้นบดเบียดกับแท่งหยกที่กำลังขึงขัน แนบชิดตัวนางอยู่ในตอนนี้ชายหนุ่มยังลงอ้อยอิ่งอยู่ที่ลำคอขาวเนียน ก่อนจะเลื่อนลงสู่อกอวบอิ่มอีกครั้ง ทว่าครานี้ ชายหนุ่มหาได้หยุดอยู่ยังสองเต้าเต่งตึงไม่ จมูกคมเลื่อนเลยผ่านลงจนถึงสะดือเล็กน่ารักของนาง ก่อนจะตวัดลิ้นสาก หยอกเย้ามันอยู่นาน ทำให้ร่างบางบิดเร้าด้วยความเสียวซ่าน มือบางทั้งสองข้างกำผ้าปูที่นอนแน่นเสียงครวญครางปานจะขาดใจ เมื่อถูกเล้าโลมจากปลายลิ้นร้ายกาจของชายหนุ่ม มือหน้าจับต้นขางามของภรรยา แยกออกเพื่อให้เขาได้มองเห็นดอกไม้งามที่อวบอูมด้านล่าง ก่อนที่ปลายลิ้นของเขาจะตวัด ยังกลีบอ่อนด้านนอกจนเปียกชื้น นิ้วเรียวก
“ท่านแม่ทัพ สายแล้วนะเจ้าคะ”ในที่สุดเสี่ยวเตี๋ยก็นำตัวเองขึ้นบนแท่นประหาร ฉีอิงลอบยิ้มอยู่กับอกของสามี เสียงงัวเงียเหมือนลูกแมวของนาง เป็นการบอกแก่สามีว่าต้องลงดาบเสียที“บังอาจ! เจ้ากล้าดีเยี่ยงไร จึงเข้ามาในห้องนี้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใดกันเสี่ยวเตี๋ย เพียงบ่าวไยหาญกล้าทำเช่นนี้กัน”ตึก! เสี่ยวเตี๋ยรีบคุกเข่าลงในทันที พร้อมเสียงสะอื้นไห้ปานใจจะขาด ทว่าฉีอิงยังคงนอนหลับตานิ่ง ขยับตัวเพียงเล็กน้อย ยิ่งเป็นการเพิ่มโทสะให้แก่ชายหนุ่ม“ท่านแม่ทัพ เสี่ยวเตี๋ยเพียงเป็นห่วงท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” เสี่ยวเตี๋ยละล้ำละลักพูดด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น“ไม่ผิดที่บ่าวจะห่วงใยในตัวนาย แต่เจ้ากลับมิเป็นเช่นนั้น ฮูหยินของข้าคือนายของเจ้า แต่เจ้ากลับบังอาจรบกวนยามหลับของนาง ทั้งยังรุกล้ำเข้ามาในเวลาส่วนของนายเช่นนี้ เจ้าลองบอกข้ามาสิ ว่ามันเหมาะสมหรือไม่”เสี่ยวเตี๋ยถึงกับหนาวสะท้านไปทั้งกาย นางรู้ชะตาตนเองแล้วในตอนนี้ ว่าอย่างไรเสียก็คงถูกลงทัณฑ์จากแม่ทัพหนุ่มอย่างแน่นอน นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้ นางมิเคยเห็นท่านแม่ทัพ เอ่ยวาจามีโทสะถึงเพียงนี้สักครั้ง“ฮูหยิน ชะ...”“ออกไป!”สาวใช
เวลาผ่านพ้นไปกว่าสิบปี ร่างสูงของท่านอ๋องน้อยเสวี่ยอี้ ได้ก้าวตาเสียงร้องที่ดังอยู่อีกด้านของจวน ด้วยวันนี้เขาได้จัดงานวันเกิดเล็ก ๆ ที่มีผู้ร่วมงานเพียงเล็กน้อย เฉพาะคนที่สนิทเท่านั้นร่างกลมป้อมในชุดสีม่วงเข้ม กำลังห้อยตัวอยู่เหนือพื้นดิน เด็กหนุ่มตกใจรีบพุ่งเขาคว้าตัวร่างกลมเอาไว้ในอ้อมแขน“ไยจึงซุกซนได้ถึงเพียงนี้ หลานอิง”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม ทว่าท่อนแขนแกร่งกลับกระชับร่างป้อมเอาไว้แน่น ท่านอ๋องน้อยรับรู้ได้ถึงแรงสะอื้นอยู่แนบอก“ฮึก ๆ”“หยุดร้องได้แล้ว พี่อี้อยู่นี่แล้ว หลานอิงคนดีไม่เป็นไรแล้วเด็กดีของพี่”เสวี่ยอี้ เอ่ยปลอบโยนเด็กน้อยในอ้อมแขน ด้วยถ้อยคำหวานหู ซึ่งทั่วทั้งเมืองหลวง นอกจากจ้าวหลานอิงแล้ว ไม่มีหญิงสาวหรือเด็กหญิงคนใด ได้ใกล้ชิดท่านอ๋องน้อยเลยแม้แต่คนเดียว เสมือนกับว่าอ้อมกอดของเขา มีไว้ให้เพียงร่างกลมป้อมนี้เท่านั้น“หลานอิง เพียงอยากเก็บดอกท้อให้แก่พี่อี้”“โธ่! เด็กดี เจ้ามิต้องมอบสิ่งใดให้แก่พี่เลย เพียงแค่เจ้ายิ้มพี่อี้ก็พึงพอใจมากแล้ว”ลู่เหลียนฮวา ยืนซับน้ำใส ๆ ที่เอ่อล้นขอบตา นางไม่คิดเลยว่าลูกในอีกร่าง จะเกิดความรักในตัวของบุตรสาวนาง ที่เกิดในร่างของลู
“เช่นนั้น รบกวนท่านแม่ทัพโม่รอข้าสักครู่ ข้าจะเข้าครัวปรุงอาหารให้ท่านเสนาบดี”“ขอบคุณพี่สะใภ้”บุรุษทั้งสองมองตามร่างอวบอิ่มของลู่เหลียนฮวา ด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั้นคือความนับถือในน้ำใจของนางที่มีต่อโม่ลี่อิงเมื่อก้าวพ้นชายหนุ่มทั้งสองมา หญิงสาวได้ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แผนการทั้งหมดของนางราบรื่น เพราะสามีและโม่หยางเป็นผู้ช่วยเหลือ แม้ว่าวันนี้นางจะบอกความจริงทั้งหมดไม่ได้แต่อย่างน้อยบุตรชายอันเป็นที่รัก ได้กลับสู่ชาติกำเนิดอันแท้จริง พร้อมคืนความเป็นธรรมให้แก่ร่างเก่าของนาง ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับจวนอ๋องเจ็ดมีฟงเป็นคนคอยจัดฉากต่าง ๆ มากมาย สตรีก็คือสตรี ความริษยามักนำพาให้ถึงจุดจบของชีวิต เมื่อพระชายาทั้งสอง ตกอยู่ในวังวนเหล่านั้น โดยมีคนของนางเป็นผู้ชักใยอยู่ลับ ๆ ความผิดพลาดก็พลันบังเกิดกับพระชายาทั้งสองการที่จวนอ๋องพุ่งเป้าหมายมาที่แม่ทัพจ้าวหลาง ก็เพราะคนบงการอยู่เบื้องหลังคือนางเอง คิดจะทำให้คนโลภหลงเข้าสู่กลลวง ก็ต้องรู้จักที่จะทะลวงหัวใจของคนเหล่านั้นนับตั้งแต่ให้คนของนาง เข้าไปอยู่ข้างตัวของโม่หลันและมารดา จากนั้นก็ทำการช่วยเหลือคนทั้งคู
จวนอ๋องเจ็ด ภายในห้องนอน ร่างสูงได้แต่นอนมองภรรยา ที่กำลังร่ำไห้โดยในมือถือมีดสั้นอยู่ ใจของเขาตอนนี้แทบจะหยุดเต้นเสียให้ได้ เมื่อสบเข้ากับสายตาของนาง“เพราะอะไรกัน ทำไมกันเจ้าคะ ท่านพี่ถึงทำเช่นนี้ รู้ไหมหากตอนนั้น ท่านพี่ทำทุกอย่างให้ถูกต้องเสียแต่แรก ลูกเราก็คงไม่ตาย”“ฮ่า ๆ เสวี่ยอี้ของท่านพี่ยังอยู่ แล้วหลงเอ๋อร์ของข้าเล่า”ทุกคำพูดของโม่หลันนั้น เริ่มที่จะเลื่อนลอยเข้าทุกขณะ ดวงตาที่เคยสดใส เวลานี้หาได้เป็นเช่นเดิมไม่ สิ่งที่ทำให้ใจของเขาเจ็บปวดที่สุด คือข่าวที่ได้รับการยืนยัน ว่าบุตรชายคนโตยังมีชีวิตอยู่จริงแล้วที่เขาลงมือสังหารไปนั้นคือผู้ใดกัน เมื่อทบทวนทุกสิ่งอย่าง ชายหนุ่มถึงกับดวงตาเบิกโพลง สายตาและรอยยิ้มของอดีตภรรยาฉายเข้ามาให้หัวภาษาปากที่โม่ลี่อิงพูดไว้วันนั้น เป็นเรื่องเขาไม่คาดคิดเลยว่าสตรีบอบบางเช่นนาง จะมีความคิดซับซ้อนได้ถึงเพียงนั้น เป็นเขาเองสินะที่มองข้ามภรรยาผู้อ่อนโยนไปเขารักภรรยามิเท่าเทียม ไม่เว้นแม้แต่ลูก เขาก็หาได้รักในตัวเสวี่ยอี้แม้แต่น้อย ในวันที่ลงมือสังหารบุตรชายแรกเกิดนั้น เขาจึงไร้ซึ่งรู้สึกเสียใจใด ๆ ทว่าในวันนี้กลับเป็นเขาที่ถูกลืมเลือนและบุ
โม่หลันจ้องไปยังคนที่ขวางทางนางอยู่ในตอนนี้ รอยยิ้มเสแสร้งของพระชายาสาม ทำให้โม่หลันกัดริมฝีปากแน่น เพื่อระงับโทสะที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเมื่อมองตามมือบางของอีกฝ่าย ที่เลื่อนไปวางยังหน้าท้องแบนราบ ซึ่งในมิช้ามันจะขยายใหญ่ขึ้น “เยี่ยหลิงคารวะพี่หญิงเพคะ” “หลีกไป! เจ้าน่าจะรู้ฐานะของตนเองเสียบ้างก็ดีนะ” “หม่อมฉันย่อมรู้ดีสิเพคะ ว่าอนาคตหม่อมฉันจะอยู่ในสถานะใด” “เจ้าทำเป็นพูดดีไปเถอะ มินานเจ้าจะได้รู้ว่าความผยองของเจ้ามิได้ช่วยอันใดเจ้าได้เลย” ปึก! ไหล่บางของพระชายาสาม ชนร่างบางของโม่หลันอย่างจงใจ ทำให้หญิงสาวเซจนเกือบจะล้มลง หากมิได้สาวใช้รับเอาไว้ได้ทัน นางคงบอบช้ำไปมากกว่านี้ นับตั้งแต่พระชายาสามตั้งครรภ์ ท่านอ๋องเจ็ดได้ส่งกำลังคุ้มกัน พระชายาเยี่ยหลิง จนเรียกได้ว่าแม้แต่แมลงสักตัวก็หาได้ต้องกาย ‘ท่านอ๋องเจ็ด ท่านมันอสรพิษอย่างแท้จริง เมื่อข้าและลูกไร้ซึ่งประโยชน์ ท่านก็คิดจะอาศัยอำนาจขององค์หญิงต่างแคว้นทำลายข้า’ เมื่อรู้ถึงจุดประสงค์ของสามี โม่หลันรู้สึกแค้นเคืองจนแทบกระอักเลือด ข
“ฮูหยินของเจ้าก็มีกลิ่นนี้” “ข้ารู้...หากข้าจะบอกเจ้าว่าที่ข้าแต่งงานกับฮวาเอ๋อร์นั้น ในคราแรกที่พบเจอนาง ข้ารู้สึกเหมือนคนผู้นั้นกลับมาแล้ว ข้ามิเคยปิดบังฮวาเอ๋อร์ แม้แต่เรื่องในอดีตว่าข้ารักผู้ใดมาก่อน” “แล้วนาง รับมันได้หรืออย่างไรกัน” “หากมิได้...มีหรือ ข้าจะยังได้โอบกอดนางในทุกค่ำคืนเช่นนี้เล่า” “พี่สะใภ้ของข้า มิได้โง่เขลา เช่นที่ชาวเมืองลำลือใช่หรือไม่” โม่หยางเอ่ยถามถึงความข้องใจของตนเอง “หึ ๆ ในสายตาเจ้า คิดเห็นเป็นเช่นไรเล่า” จ้าวหลางหัวเราะในลำคอ “แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้อื่นเห็น ย่อมต่างจากสายตาเราทั้งคู่ และต่อให้มีผู้อื่นที่มองเห็นอยู่บ้าง ก็คงคิดว่านางเพียงเสแสร้งหาได้เชื่อว่านางฉลาดล้ำอันใด” หลังจากวันนั้นเพียงสองวัน เรื่องสะเทือนใจก็ได้เกิดขึ้นยังจวนอ๋อง เมื่อท่านชายที่ถือกำเนิดจากอดีตพระชายาเอกโม่ลี่อิง ได้สิ้นใจลงด้วยยาพิษ โดยยังมิอาจจับตัวคนร้ายเอาไว้ได้ สิ่งที่ทำให้ทุกคนแปลกใจ นั่นคือเหตุใดพระชายารอง จึงดูเศร้าโศกเสียใจจนคลุ้มคลั่งเจียนตาย จริงอยู่ว่าท่านชายน้อยคือหลานแท้ ๆ
“นายหญิงของข้าฝากแจ้งแก่ท่าน แม้ร่างดับสูญแต่จิตวิญญาณหาสิ้นไม่ ทุกสิ่งนางทำเพื่อทวงความเป็นธรรม ให้แก่ตัวนางและบุตรชาย ทั้งยังปกป้องคนที่นางรักอีก จงระวังตัวให้มากท่านแม่ทัพโม่” ร่างในชุดดำก้าวชิดภูเขาจำลอง ก่อนจะพูดในสิ่งที่ผู้เป็นนายแท้จริงได้ฝากให้แจ้งแก่ชายหนุ่ม “เจ้ามีนายหลายคนเหลือเกินนะ” “นายข้ามีเพียงหนึ่ง หาได้คิดทรยศต่อผู้ใดไม่ คนฉลาดเช่นท่านย่อมรู้ว่าข้ากำลังทำสิ่งใดอยู่” ตุ๊บ! มีบางอย่างตกลงตรงหน้าของโม่หยาง ก่อนที่ชายชุดดำจะหายไปในความมืด โม่หยางก้มลงเก็บของสิ่งนั้น เข้าไว้ภายใต้แขนเสื้อ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทาง ก้าวไปยังเรือนของตนด้วยหัวใจเต้นรัว ด้วยคำพูดของชายชุดดำนั้น ไม่ต้องบอกจนหมดเขาก็รู้ว่าหมายถึงผู้ใดโม่หยางคลี่ผ้าผืนงามออก สายตาไล่ไปตามตัวอักษร ทุกถ้อยคำนั้นกระชับได้ใจความ มือหนาสั่นสะท้าน‘มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ท่านชายน้อยเสวี่ยอี้มิใช่หลานชายของข้าเช่นนั้นรึ’ เพียงครู่เดียว ร่างในชุดดำได้คุกเข่าลงตรงหน้าของโม่หยาง เพื่อรอรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย “สืบเรื่องนี้มาให้กระจ่าง อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา สองสามีภรรยาหาได้สนใจเรื่องของผู้อื่นไม่ แม่ทัพหนุ่มสรรหาแต่ของบำรุง เรียกได้ว่าทุกสิ่งอย่างที่ว่าดีต่อลูกเมีย แม่ทัพหนุ่มจัดหามาจนแทบจะทั้งสิ้นลู่เหลียนฮวา กำลังนั่งอ่านจดหมายลับ ที่คนของนางได้นำมามอบให้ นับตั้งแต่ตื่นมาในร่างของลู่เหลียนฮวา นางก็ได้หาคนที่ซื่อสัตย์เอาไว้ใช้ทำงานลับนี้อยู่หลายคนเพื่อประสานงานกับคนของนางเมื่อครั้งชีวิตเก่า ทุกอย่างถูกกระทำขึ้นในนามของสหายลับในอดีตพระชายา เรื่องการกลับมาของนาง มิอาจแพร่งพรายออกไปได้ ด้วยหลากหลายเหตุผลทุกตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษ ทำให้ใบหน้างามดูเรียบตึงกว่าที่เคย ความเจ็บแค้นปะทุขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามมิอยู่ “พี่ใหญ่ ลี่อิงไร้สามารถที่จะปกป้องท่านพ่อ ทุกสิ่งอย่างอยู่ในมือของท่านแล้ว” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหย่อนกระดาษในมือลงสู่กระถางที่มีถ่านแดงร้อนอยู่ภายใน “ฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพให้มาแจ้งว่า มื้อค่ำท่านแม่ทัพโม่หยางจะมาร่วมด้วยเจ้าค่ะ” เป็นแม่นมจู ที่ก้าวเข้ามารายงานผู้เป็นนาย “เช่นนั้น ข้าจะเข้าครัวด้วยตนเอง” ลู่เหลียนฮวา ดีใจจนแทบจะเก็บอาก
“หากฮวาเอ๋อร์ ถามท่านพี่สักเรื่อง ท่านพี่จะขุ่นเคืองหรือไม่เจ้าคะ” “สามีภรรยาคือคน คนเดียวกัน เหตุใดพี่ต้องขุ่นเคืองด้วยเล่า” “ท่านพี่ คิดเช่นไรกับพระชายารอง” “หึ ๆ เรื่องนี้เองรึ ที่วันนี้เจ้ามิค่อยเต็มใจในเรื่องระหว่างเรา” “จะมิให้ฮวาเอ๋อร์คิดได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ก็เมื่อหัวค่ำท่านพี่มองนางเสียขนาดนั้น” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ใช่นางไม่เห็นสายตาที่สามีมองยังอดีตคู่หมั้น ที่รั้งตำแหน่งพระชายารองในท่านอ๋องเจ็ด “ฮ่า ๆ เจ้าหึงพี่ เช่นนั้นแสดงว่าเจ้ารักพี่ใช่หรือไม่” “ท่านพี่รู้ดีกว่าผู้ใดนี่เจ้าค่ะ” “ฟังพี่นะเด็กโง่ พี่ไม่เคยคิดอันใดกับนางเลย และนางมิเคยอยู่สายตาของพี่เลยสักครั้ง” “แล้วเหตุใดท่านพี่ จึงยอมหมั้นหมายกับนางมาก่อนเล่าเจ้าคะ” “นั่นเพราะพี่เพียงต้องการ จะปกป้องใครอีกคนก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนจะไร้ความหมาย ในเมื่อสิ่งที่พี่ทำไปมิอาจรั้งชีวิตนางเอาไว้ได้” “ผู้ใดกันเจ้าคะ” ลู่เหลียนฮวาจ้องตาสามีเพื่อรอคำตอบ จ้าวหลางไม่คิดที่จะปิดบังภร
ร่างบางถูกวางไว้บนเตียง หญิงสาวถึงกับใบหน้าแดงก่ำ เมื่อเสียงประตูปิดลง ซึ่งเป็นผู้ใดไปไม่ได้ นอกเสียจากสาวใช้ของนางเอง สิ้นเสียงประตู ชายหนุ่มได้ก้มลงซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่นของภรรยา ก่อนจะเลื่อนมือไปกระตุกสายคาดเอวของคนใต้ร่าง เพียงครู่เดียวร่างบางในตอนนี้ไร้ซึ่งอาภรณ์ ใบหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวด้วยความรัญจวน เมื่อถูกสามีปลุกเร้าด้วยลิ้นอุ่นร้อน ทั้งยังมือหยาบกร้านของสามี ที่ลูบไล้สลับบีบเคล้นไปทั่วร่าง ลู่เหลียนฮวาพยายามข่มกลั้นเสียงครางเอาไว้ ด้วยเกรงสาวใช้หรือทหารด้านนอกจะได้ยิน “พวกเขาไม่มีใคร หาญกล้าอยู่ใกล้เรือนอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มกระซิบเสียงเบาหวิว ข้างใบหูของภรรยา ก่อนจะขบเม้มเบา ๆ ยังติ่งหู สิ้นคำพูดของสามี ลู่เหลียนฮวาจึงได้ปลดปล่อยเสียงครางออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้ เมื่อถูกล่วงล้ำจากสามี จ้าวหลางขยับกายอย่างเชื่อช้า ก่อนจะเพิ่มความเร้าร้อนขึ้นตามแรงกระตุ้นจากภรรยา เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน สองร่างกระตุกเกร็งพร้อมส่งเสียงครางอย่างสุขสม จ้าวหลางยังคงกอดภรรยาไว้แนบกาย ก่อนจะค่อย ๆ ถอดถอนแท่งหยกออกจากช่องทางเล็กแคบข