หลังงานเลี้ยงจบลง เมริสาเดินเล่นอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ของผู้เป็นบิดา เธอเริ่มจะคุ้นชินกับความใหญ่โตของที่แห่งนี้และความเงียบที่เข้ามาปกคลุมในยามค่ำคืน การได้อยู่คนเดียวเพียงลำพังเป็นสิ่งที่เธอโหยหา เพราะรอบตัวเธอไม่ว่าจะทำอะไรที่ไหนจะต้องมีผู้ติดตามและคอยคุ้มกันเสมอ เวลาเดียวที่เธอได้รับอนุญาตให้อยู่เพียงลำพังได้คือตอนเข้าห้องน้ำและตอนนอนเท่านั้น แม้กระนั้นเธอกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างที่จะต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ กล้าคุยด้วย ช่างเป็นชีวิตที่น่าเย้ยหยันนัก
งานเลี้ยงคืนนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเธอ มันเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของพ่อ เธอผู้เป็นลูกสาวมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือแต่งตัวสวย ๆ ฉีกยิ้มหวาน ๆ วางตัวให้สมฐานะลูกสาวคนเดียวของหลิวเจี้ยน ผู้นำสูงสุดของหลงเว่ยกรุ๊ป ชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในเซี่ยงไฮ้
หากเอ่ยถึงหลงเว่ยกรุ๊ป ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะกิจการครอบคลุมตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การขนส่ง ธุรกิจบันเทิง และอื่น ๆ อีกเกินกว่าจะนับไหว การมาอยู่จุดนี้ได้ แน่นอนว่าเหรียญมักมีสองด้าน ธุรกิจบนดินแม้จะทำกำไรมหาศาลแต่ก็ยังไม่สู้ธุรกิจดำมืดที่อยู่ใต้ดิน เพียงแต่เรื่องนี้ เมริสายังไม่รู้เท่านั้นเอง
คืนนี้เมริสาแอบดื่มในงานเลี้ยงไปสองสามแก้ว การแอบกระทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ขัดคำสั่งผู้เป็นพ่อเป็นความบันเทิงเล็ก ๆ ที่ช่วยผ่อนคลายความกดดันและความตึงเครียดลงได้บ้าง เพราะก่อนหน้านี้พ่อของเธอไม่อนุญาตให้เธอดื่มเด็ดขาด เขาเข้มงวดและบังคับให้เธอเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมในทุกด้าน เวลานี้เธอเรียนจบมัธยมฯ แล้ว ถึงเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตเป็นของตัวเองสักที เธอหวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นนะ
ใคร ๆ ต่างคิดว่าเธอโชคดี จากเด็กผู้หญิงธรรมดาที่ถูกเลี้ยงดูมาเพียงแม่เพียงคนเดียว ฐานะทางการเงินก็ไม่ค่อยจะดี เพราะเธอกับแม่อาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ห้องเล็ก ๆ ที่เพียงพออยู่สำหรับสองคนแม่ลูก แต่แม่ของเธอก็มาด่วนจากไปเสียก่อนด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทว่าเธอกลับได้สิ่งใหม่มาทดแทน นั่นก็คือพ่อ ผู้ซึ่งเป็นมหาเศรษฐี
เมริสาจำได้ดีถึงครั้งแรกที่ได้พบหน้าผู้เป็นพ่อ จู่ ๆ ชายคนหนึ่งก็มาปรากฏกายและแนะนำตัวว่าเป็นพ่อของเธอ เขาเป็นคนจีนแท้ อายุประมาณห้าสิบกว่า แต่ดูอ่อนกว่าวัยและกระฉับกระเฉง แต่งตัวด้วยชุดจีนประยุกต์สั่งตัดด้วยผ้าไหมราคาแพง ข้างกายมีผู้ติดตามใส่สูทสีดำเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าสองคน ทำให้ดูเหมือนผู้มีอำนาจและทรงอิทธิพล ซึ่งเมริสามารู้ภายหลังว่าเขาเป็นเช่นนั้นจริง และดูเหมือนจะเกินกว่าที่เธอจินตนาการไปมาก
ณ ช่วงเวลาที่เธอกำลังลำบากที่สุด พ่อได้เป็นคนมารับเธอไปเลี้ยงดู เพราะไม่อย่างนั้นเธอจะมีชีวิตรอดมาได้อย่างไร
เด็กที่ไม่เคยเจอพ่อของตัวเองมักจะสงสัยเสมอว่าเขาอยู่ที่ไหน เป็นใคร และทำอาชีพอะไร และแน่นอนว่า ตอนที่เมริสายังเด็ก ก็เคยฝันว่าพ่อเป็นคนสำคัญมาก เป็นคนที่ไม่สามารถอยู่กับพวกเธอแม่ลูกได้เพราะงานที่พาเขาไปทั่วโลก และวันหนึ่งเขาจะกลับมา
ใช่เลย! มันเกิดขึ้นจริง ๆ และตั้งแต่นั้นมา ชีวิตของเมริสาก็เป็นอย่างที่เคยวาดฝันไว้ เธอได้ใช้ชีวิตราวกับเป็นเจ้าหญิง
แต่การได้ใช้ชีวิตแบบเจ้าหญิงกลับกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญเกินกว่าจะคาดคิด เจ้าหญิงต้องถูกจับตามอง ต้องมีคนคอยคุ้มกัน เจ้าหญิงไม่สามารถไปไหนมาไหนคนเดียวได้เพราะทุกคนกลัวว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เจ้าหญิงไม่สามารถกระทำตามใจตัวเองได้ และจะต้องวางตัวดีมิให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอยู่ตลอดเวลา คฤหาสน์ใหญ่โตอันแสนสะดวกสบายนี้จึงเปรียบเสมือนกรงขังดี ๆ นี่เอง
ความเหงากำลังกัดกินใจของเธอ...
นั่นคือเหตุผลที่เธอมานั่งเล่นอยู่ริมสระน้ำที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า แม้ว่างานเลี้ยงจบลงและแขกทุกคนกลับบ้านไปหมดแล้ว แต่เมริสายังคงอยู่ที่นี่ ปล่อยใจให้ล่องลอย รับอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืน จ้องมองน้ำในสระที่กระเพื่อมไหวตามสายลมที่พัดผ่าน แม้กระนั้นเธอก็ยังไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริงเพราะรับรู้ถึงสายตาหนึ่งที่กำลังจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
เซียวเฟิง...บอดี้การ์ดส่วนตัวของเธอเอง
ไม่เข้าใจว่าเขามีปัญหาอะไรกับเธอนักหนา มันน่ารำคาญที่ต้องมีคนคอยตามติดเป็นเงาตามตัว แต่คิดไปคิดมามันเป็นงานของเขา และเขาคงจะไม่ค่อยชอบงานนี้สักเท่าไหร่นักหรอก
ที่ริมสระตอนนี้มีเพียงคุณหนูของบ้านกับบอดี้การ์ดหนุ่มอยู่กันแค่สองคน เซียวเฟิงอยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนสีเข้ม เสื้อยืดนั้นรัดแน่นพอที่จะเห็นกล้ามเนื้อทุกมัดของเขาได้ชัดเจน แค่เห็นก็ทำให้เมริสาน้ำลายไหลแล้ว สงสัยว่าเขาจะคิดอย่างไรถ้ารู้ว่าเธอเก็บเอาเขาไปฝันทุกค่ำคืนว่าอยากกระชากเสื้อตัวนั้นออกมา ใช้มือลูบไล้บนมัดกล้ามอันทรงพลังบนตัวเขา
“วันนี้นายไม่ว่ายน้ำเหรอ” เมริสาเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่มักจะใช้เวลายามค่ำคืนฝึกฝนร่างกายเป็นประจำ ซึ่งเธอมักจะแอบมองเป็นประจำเช่นกัน
“วันนี้ผมไม่มีอารมณ์” เซียวเฟิงตอบเสียงเรียบ
เมริสามองไปรอบ “งานเลี้ยงเลิกแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคนคอยคุ้มกันฉันแล้ว นายไปเถอะ ฉันไม่บอกใครหรอก”
“คุณหนูจะมาสนใจเรื่องนี้ทำไม”
ดวงตาสีดำสนิทสบตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้ม การถูกเขาจ้องแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบและเสียวซ่านไปทั้งตัว จนนึกตำหนิตัวเองที่อ่อนไหวไปกับพลังแห่งบุรุษเพศของชายหนุ่ม ปล่อยให้เขามีอิทธิพลต่อเธอขนาดนี้ เธอเปลี่ยนจากความรู้สึกเกลียดชังเขามาเป็นโหยหา อยากอยู่ใกล้ อยากรู้ว่าหากได้เปลือยกายอยู่ภายใต้ร่างแข็งแกร่งนี้จะรู้สึกเป็นอย่างไร
“ฉันก็แค่คิดว่านายควรจะผ่อนคลายบ้าง นายคงไม่สนุกนักหรอกที่ต้องตามฉันไปทุกที่...ใช่ไหม”
เมริสาก้มลงถอดรองเท้าส้นสูงที่สวมอยู่ออก แล้วเดินเท้าเปล่าอ้อมสระว่ายน้ำเข้าหาบอดี้การ์ดหนุ่ม
“นี่เป็นงานของผมครับ” เซียวเฟิงตอบ สายตาเบี่ยงไปทางเสียงกรอบแกรบจากต้นไม้รอบ ๆ บริเวณซึ่งถูกลมพัด แต่เขายังคงระแวดระวังตลอดเวลา
“นายไม่มีเวลาพักบ้างเลยหรือ”
“คุณหนูน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว” น้ำเสียงทุ้มลึกของชายหนุ่มเจือแววขบขันอยู่เล็กน้อย
“เอาน่า วันนี้ฉันอยากว่ายน้ำ นายว่ายน้ำเป็นเพื่อนฉันหน่อยละกัน รับรองว่าฉันไม่บอกใครหรอก”
เมริสากัดริมฝีปากเบา ๆ จ้องตาชายหนุ่มด้วยสายตาท้าทายยั่วเย้า
เธอไม่ได้ตาบอด เธอเห็น สายตาที่เขาใช้มองเธอตอนที่คิดว่าเธอไม่ทันสังเกต เธอไม่ใช่เด็กแล้ว รู้ว่าสายตาแบบนั้นหมายถึงอะไร คนตรงหน้าแม้จะแสดงท่าทีเย็นชาต่อเธอแค่ไหน แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชาย
“...”
บอดี้การ์ดหนุ่มเพียงมองอย่างเย็นชา เมริสายิ้ม จ้องชายหนุ่มด้วยนัยน์ตาพราวระยับ จนเซียวเฟิงสังหรณ์ใจบางอย่าง
“ถ้านายกลัวนัก ฉันจะลงไปก่อนเอง” ว่าจบก็เอื้อมมือไปรูดซิปชุดกระโปรงจากด้านหลัง สะกิดเบา ๆ เนื้อผ้าไหมลื่นก็ร่วงลงสู่เท้า เผยให้เห็นเครื่องปกปิดตัวจิ๋วที่ปกปิดเพียงจุดสำคัญบนเรือนร่างอรชรอันงดงาม
“คุณหนูเสียสติไปแล้วหรือไง!” ดวงตาชายหนุ่มลุกวาว ดูเหมือนว่าเธอได้ก่อกวนความสุขุมเยือกเย็นของเขาเข้าให้แล้ว เขาหันหน้าหนีก่อนที่จะปรับสีหน้าให้เรียบเฉยแต่มิวายปิดบังความกรุ่นโกรธในดวงตา “นายท่านเอาคุณตายแน่ถ้าเห็นแบบนี้!”
แต่เซียวเฟิงคิดว่าคนที่จะตายคามือของประมุขสูงสุดก่อนไม่พ้นจะเป็นเขา
“งั้นเหรอ?” เมริสาสบตาชายหนุ่มอย่างยั่วเย้า เดินเข้าใกล้เขาทีละก้าว คิดว่าคงได้ความกล้ามาจากแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป “อืม...ถ้างั้น...ฉันควรทำยังไงดี?”
“คุณหนู...” เสียงทุ้มคราง
“ถ้าฉันถอดชุดนี้ออก...แบบนั้นน่าจะดีขึ้นไหม?”
เซียวเฟิงเลียริมฝีปากเพราะรู้สึกปากคอแห้งขึ้นมา เห็นดังนั้นทำให้เมริสารู้สึกกล้าขึ้นกว่าเดิม เธออ้อมมือไปข้างหลังอีกครั้ง คราวนี้ดึงสายชุดท่อนบนออก
“อย่าทำแบบนี้ครับคุณหนู”
“ทำไม นายกลัวอะไร”
เมริสาจงใจปล่อยให้ท่อนบนหลุดลง เมื่ออากาศยามค่ำปะทะผิวกาย ก็ทำจุกปลายยอดอันอ่อนไหวหดเกร็งเป็นตุ่มไต เธอรีบปลดผ้าชิ้นล่างออกก่อนที่จะสูญเสียความกล้าไป
เมริสายิ้มกริ่ม เมื่อเห็นสายตาเข้มจับจ้องอยู่ที่หน้าอกเปลือยเปล่า เขาไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจได้หรอก เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นผู้ชาย แม้ว่าเธอจะไม่เคยมีประสบการณ์ แต่รู้ดีว่าตัวเองก็มีของดีอยู่ไม่น้อย
“ว่าไง นายพร้อมจะลงน้ำหรือยัง” เธอท้า
เซียวเฟิงตาลุกวาว เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ ระหว่างนั้นเมริสาอดตื่นเต้นไม่ได้ เธอเฝ้ารอสัมผัสจากเขามานานแล้ว
“ใส่เสื้อผ้าซะ!” เซียวเฟิงหันหน้าหนี มือกำแน่นอย่างอดกลั้น “คุณหนูเคารพตัวเองด้วย”
คำพูดนั้นตีแสกหน้าเมริสาเข้าอย่างจัง เพิ่งรู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป ร่างกายเย็นเฉียบไปหมด และรู้สึกขยะแขยงตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังมิยอมเสียหน้า
“นายพูดเรื่องอะไร” น้ำเสียงตอนนี้กลับแผ่วเบาขาดความมั่นใจผิดกับก่อนหน้าลิบลับ
“คุณหนูรู้ดีว่าผมพูดเรื่องอะไร คุณหนูอาจจะทำแบบนี้กับคนอื่นได้ แต่อย่ามาทำกับผม” เซียวเฟิงชี้มือไปที่เสื้อผ้าที่ตกอยู่บนพื้น “รีบใส่เสื้อผ้าซะก่อนที่ผมจะรายงานนายท่าน”
ความรังเกียจที่ฉายชัดในดวงตา ทำให้เมริสาหน้าชา รู้สึกขยะแขยงตัวเองเป็นอย่างมาก อยากจะกระโดดน้ำแล้วไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย เธอคิดอะไรอยู่ คิดว่าเขาต้องการเธองั้นหรือ เธอรีบหยิบเสื้อผ้ามาสวมก่อนที่น้ำตาจะรินไหลออกมา ก้อนสะอื้นจุกในลำคอ แล้วรีบวิ่งเข้าบ้าน
เธอเป็นบ้าอะไรขึ้นมา...
แล้วเธอจะเผชิญหน้ากับเขาอีกได้อย่างไร...
เสียงรองเท้าหนัก ๆ กระทบกับทางเดินหินอ่อนจากเรือนพักข้ารับใช้ไปยังตัวคฤหาสน์ เซียวเฟิงเพิ่งกลับเข้าห้องพักตัวเองไม่ถึงสองนาทีก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นนายสั่งให้เขาไปพบที่ห้องทำงานห้องทำงานของหลิวเจี้ยนอยู่ทางปีกตะวันออกของคฤหาสน์อันใหญ่โตหลังนี้ ตอนมาเหยียบที่นี่ครั้งแรกเซียวเฟิงถึงกับตื่นตะลึงไม่คิดว่าตนจะได้อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ เขาได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย แต่ถึงอย่างนั้น สถานะของเขาก็เป็นเพียงการ์ดต่ำต้อย แม้ว่าตำแหน่งของเขาจะค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น แต่ก็เป็นตำแหน่งที่เปราะบางที่สุดเช่นกัน แค่ก้าวพลาดครั้งเดียว ก็อาจถูกโยนออกจากที่นี่นั่นยังนับว่าเป็นกรณีที่ดีที่สุดด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นกรณีแย่ที่สุด และคงจะใกล้ความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งก็คือเขาอาจถูกพบเป็นศพในที่ใดที่หนึ่งในสภาพศีรษะกระจุย ถูกเลาะฟัน ตัดแขน ตัดขา เพื่อให้ยากต่อการระบุตัวตน คิดดังนั้นก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ไม่อยากจะจินตนาการลูกน้องคนอื่น ๆ หากทำงานพลาดอาจเพียงแค่ถูกไล่ออก แต่ว่า...หากเขาก้าวผิดเพียงก้าวเดียว นั่นเท่ากับความตายหลิวเจี้ยนขึ้นชื่อว่าให้ความสำคัญกับลูกสาวเป็นอย่างมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เค
“คุณหนูทราบเรื่องนี้หรือยังครับ”หลิวเจี้ยนส่ายหัว “พรุ่งนี้ฉันจะคุยกับเหมย แต่ฉันบอกเรื่องนี้ให้นายรู้ก่อน ฉันรู้ว่าฉันเชื่อใจนายได้”เซียวเฟิงทำได้เพียงพยักหน้า คำพูดนั้นชัดเจน หากทำเสียเรื่อง ชีวิตแกจบสิ้นแน่“ผมจะดูแลคุณหนูเอง นายท่านไม่ต้องเป็นห่วงครับ” แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่มือที่กุมกันอยู่กำลังกำแน่น โชคดีที่เขาเป็นคนเก็บอารมณ์และสีหน้าเก่ง“ฉันต้องการให้นายดูแลเธอเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องความบริสุทธิ์...”“ครับ” เซียวเฟิงคุ้นเคยกับคำสั่งไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ยังอดแปลกใจกับเรื่องนี้ไม่ได้“ความบริสุทธิ์” หลิวเจี้ยนย้ำอีกครั้ง “นายก็โต ๆ กันแล้ว คงรู้ว่าฉันพูดเรื่องอะไร” เขาแสยะยิ้มแล้วพูดต่อ “ฉันรู้ว่ายัยเหมยยังบริสุทธิ์อยู่ ฉันเคยให้หมอตรวจตั้งแต่ตอนที่ฉันพาเหมยกลับมา หลังจากนั้นก็อยู่ในสายตานายตลอด”“ครับ”“ไม่มีผู้ชายที่ไหนใช่มั้ย”“ไม่มีครับ”“นั่นไง” หลิวเจี้ยนไหวไหล่ “แสดงว่าเหมยยังบริสุทธิ์ และนั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการให้มันคงอยู่แบบนั้น ถ้าแปดเปื้อนไปแล้วก็คงไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะให้เธอแต่งงานเพื่อเกี่ยวดองทางธุรกิจ”นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวเฟิงได้ยินเรื่องนี้ แน่นอนว่าการกันเม
“พ่อรู้ว่าลูกจะต้องดีใจกับเรื่องนี้”ดีใจงั้นหรือ ตอนนี้ในหัวเมริสากำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่หลิวเจี้ยนบอก เขาจะส่งเธอไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหยวนจิง“แต่หนูไม่ได้ยื่นใบสมัครที่นั่นไปนี่คะ”“พ่อจัดการทุกอย่างให้หนูแล้ว หนูไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ดีหรือไง”เหมือนกับทุกครั้ง เมริสาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด เธอไม่มีสิทธิ์เลือกหรือตัดสินใจอะไรในชีวิตของตัวเอง ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ เธอมีเงิน มีทุกอย่างที่ต้องการ เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอะไรเลย แต่นั่นเท่ากับว่าเธอไม่สามารถเลือกได้แม้แต่มหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเรียนเมริสามองหน้าคนเป็นพ่อที่มองเธออย่างคาดหวัง ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้ม“ขอบคุณค่ะ”มือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำลังกำแน่นเล็บจิกบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บเธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้คุณคน เธอรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน เธออาจไม่ได้มีชีวิตสุขสบายแบบนี้ถ้าพ่อไม่ไปรับเธอมาดูแล เธออาจจะต้องนอนอยู่ริมถนนหรือแทบจะต้องใช้ชีวิตไปวัน ๆ อาจจะต้องทำงานสองงานสามงาน แต่ตอนนี้ เธอมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายแทบไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงแม้แต่เจ้าหญิงที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดยังอยากมีอิสรภาพบ้าง แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตใ
หลิวเจี้ยนหรี่ตามองทำเอาเมริสารู้ว่าความอดทนของคนเป็นพ่อใกล้จะสิ้นสุดลงทุกที เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนหัวร้อน ไม่ใช่ว่าเขาเคยระเบิดใส่เธอ แต่เธอเคยเห็นตอนที่เขาระเบิดใส่คนอื่น และทุกครั้งเธอรู้สึกดีใจที่เธอไม่ใช่คนพวกนั้น“แล้วทางมหาลัยจะไม่ว่าอะไรเหรอคะ”“จะว่าอะไรได้ ไม่ใช่มีแค่ลูกสาวพ่อคนเดียวที่ไหนที่ต้องมีบอดี้การ์ด มหาลัยนี้มีแต่ลูกคนรวยและมีอิทธิพลเข้าเรียน ถ้าไม่มีบอดีการ์ดสิแปลก”ถูกต้อง แต่เมริสาคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนเดียวที่กระโจนใส่บอดี้การ์ดแล้วก็ร้องไห้ที่โดนปฏิเสธราวกับเป็นตัวน่าขยะแขยง ทำให้เธอมองหน้าเขาไม่ติด และตอนนี้เธอยังต้องปล่อยให้เขาติดตามเธอไปทุกที่แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัย“เขาจะอยู่กับหนูที่คอนโดด้วยรึเปล่าคะ”“เหมยหนูเป็นเด็กฉลาดที่คิดเรื่องนี้ได้”เมริสามองหน้าพ่อรอคำตอบทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว“พ่อคงไม่ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวหรอกใช่ไหม” หลิวเจี้ยนหัวเราะราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องขำขัน “พ่อจะปล่อยให้เหมยอยู่คนเดียวหรือจะไปอยู่หอพักร่วมกับคนอื่นทำไม ไม่สู้ให้อยู่กับคนที่รู้จักและไว้ใจได้ไม่ดีกว่าหรือ”เมริสารู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะขัดคำสั่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ก่อนหน้า
แม้กระทั่งตอนนี้ ผ่านไปหลายเดือน ความเจ็บปวดก็ยังสดใหม่อยู่ ร่างกายของเธอเกร็งขึ้นเมื่อนึกถึงสายตาเย็นชาคู่นั้น เขามองเหมือนกับว่าเธอเป็นเพียงแค่ขยะ เหมือนเขาเกลียดเธอมาก หรือแย่กว่านั้น รู้สึกสมเพชเธอ เธอยังไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนจะน่าอับอายมากกว่ากัน หากย้อนเวลากลับไปได้เธอคงไม่ยั่วยวนเขาแบบวันนั้นเมริสารีบเดินกลับห้อง ผ่านห้องหับต่าง ๆ ในคฤหาสน์หลังโต จนกระทั่งเสียงหนึ่งหยุดเธอไว้“สวัสดีครับเจ้าหญิง”เลือดในกายเมริสาเย็นเฉียบเมื่อได้ยินเสียงนี้ เธอหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม เตือนตัวเองเป็นร้อยครั้งว่าห้ามมองเขาแบบที่ชอบทำ แต่สายตาเธอดันติดนิสัยที่ชอบแอบชื่นชมร่างกายที่สมบูรณ์แบบของชายหนุ่ม สันกรามที่โดดเด่นและดวงตาสีดำสนิทดูเหมือนจะมีพายุขดวนเต็มไปด้วยความอันตรายที่แฝงเร้น บ่ากว้างและอกแกร่ง วิธียิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก ริมฝีปากหยักลึกที่ดูเหมือนเชื้อเชิญให้อยากสัมผัสว่ามันจะนุ่มแค่ไหนเมื่อได้สติเมริสารีบสลัดความคิดไร้สาระของตนออก เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เธอเฝ้าฝันและจินตนาการอีกต่อไปเขาจะเป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดที่เปรียบเสมือนผู้คุมของเธอเท่านั้น และที่สำคัญเขาเกลียดเธอ นั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่
“เปิดเพลงให้หน่อยสิ”เซียวเฟิงทำเพียงมองตรงไปข้างหน้า เหมือนที่ทำมาตลอดชั่วโมงที่ผ่านมา เขาไม่แม้แต่จะชำเลืองมองไปที่กระจกมองหลัง เพราะรู้ดีว่าเมริสาจะต้องกำลังจ้องเขาด้วยสายตาเกลียดชัง“นี่! นายหูหนวกรึเปล่า ฉันบอกว่าให้เปิดเพลง ไม่ได้ยินรึไง”เซียวเฟิงยังคงนิ่งเฉย มือกำแน่นรอบพวงมาลัย แต่หัวสมองกลับจินตนาการว่ากำลังบีบที่คอสวย ๆ ของหญิงสาวอยู่ การที่เขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำกับเธอมันแย่พอแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับความปรารถนาของตัวเองเมื่อไหร่ ทำไมเธอต้องทำอะไรให้มันยากมากขึ้นด้วยการยั่วโทสะเขาอยู่ตลอดเวลาดังนั้นการทำเป็นเกลียดเธอนั้นงายกว่า เพื่อปกปิดความต้องการจากส่วนลึก“เซียวเฟิง ฉันรู้ว่านายได้ยิน ช่วยเปิดเพลงให้ฉันหน่อยได้ไหม” สุดท้ายเมริสาเอ่ยขอร้องเสียงนุ่มนวลขึ้น“หืม ขอโทษครับที่ผมไม่ได้ยิน หูของผมมีปัญหานิดหน่อยเวลาคนอื
“ทำไมผมจะต้องอาย” เขาตอบออกไป หวังว่าการจราจรจะเคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ขับรถให้เร็วขึ้นอีกหน่อย อย่างน้อยก็จะมีเหตุผลให้เขาไม่ต้องใส่ใจตอบคำถามเธอ ใครว่าเขาไม่อาย!“พ่อสั่งให้นายไปนั่งเรียนกับฉันเหรอ”“มันคืองานของผมครับ คุณหนูจะไปถามอาจารย์ไหมว่าพวกเขาอายไหมที่ต้องยืนสอนอยู่หน้าชั้นเรียน นั่นคืองานของพวกเขาที่ทำแลกกับค่าจ้าง ผมก็เหมือนกัน” เซียวเฟิงแอบมองหญิงสาวผ่านกระจก “นอกจากนี้ที่นั่นมีแต่พวกลูกคนรวยหรือผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ ผมว่าไม่ได้มีแค่คุณหนูคนเดียวหรอกที่มีบอดี้การ์ดไปนั่งเรียนด้วย แต่ถ้ามีแค่คุณหนูคนเดียวจริงก็ไม่ได้แปลกอะไร คนพวกนั้นชินกับการเห็นบอดี้การ์ดอยู่รอบ ๆ อยู่แล้ว เพียงแต่คุณหนูยังไม่ชินแค่นั้นเอง”“นายกำลังดูถูกฉันเหรอ”“ทำไมคุณหนูถึงคิดว่าทุกอย่างที่ผมพูดคือการดูถูกล่ะครับ ผมไม่คิดดูถูกคุณหนูเลย ที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง คุณหนูไม่ได้เติบโตมาแบบเด็กพวกนั้น สำหรับคุณหนูมันเลยเป็นเรื่องแปลก ถูกไหมครับ”
“บ้าเอ๊ย!”เมริสาได้แต่สบถในใจ คิดว่าเมื่ออยู่ไกลพ่ออะไร ๆ ก็จะดีขึ้น อาจจะมีอิสระมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่นี่ไม่เลย เธอจ้องไปยังชายหนุ่มที่กำลังขับรถอยู่ นี่ก็ทำตัวเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ซะเหลือเกิน อยู่ไกลเจ้านายขนาดนี้จะหย่อนยานสักนิดไม่ได้เลยหรือแขนของเธอยังคงเจ็บจากการที่ถูกเขาจับอยู่เลย เธอเบ้ปากใส่ชายหนุ่ม ขณะเดียวกับที่รถเลี้ยวเข้าไปยังตึกที่ดูเหมือนโรงแรมห้าดาวมากกว่าคอนโด“ที่นี่เหรอ”เมริสามองเมื่อรถขับผ่านสวนสวยที่ได้รับการดูแลอย่างดี ตกแต่งด้วยน้ำพุหินอ่อนที่พุ่งน้ำสูงขึ้นไปในอากาศ มันเปล่งประกายเหมือนเพชรก่อนที่จะตกลงไปในสระน้ำรอบ ๆ“คุณหนูไม่ชอบหรือครับ”“ฉันพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” เมริสาค้อนขวับ เซียวเฟิงได้แต่หัวเราะเบา ๆ “ก็แค่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ ฉันว่ามันหรูเกินไปสำหรับนักศึกษาคนหนึ่งก็แค่นั้น”“ไม่มีอ
เซียวเฟิงต้องเตือนสติตัวเองว่าห้ามเผลอไผลไปในสถานการณ์ตอนนี้ เพราะการใกล้ชิดกันแบบนี้ การที่เธอดิ้นรนขัดขืนทำให้ร่างกายนุ่มนิ่มเสียดสีไปกับกายแกร่งของเขา เขาบังคับเธอเดินข้ามไปยังโซฟาในห้องนั่งเล่น ตอนนี้กลางลำตัวเขากำลังตื่นตัวเต็มที่ขณะที่ฉุดเธอให้นั่งลงบนตักแกร่ง“นายจะทำอะไร! ปล่อยนะ!“ผมจะทำให้คุณหนูจำให้ขึ้นใจว่าครั้งหน้าถ้ามีไอ้หน้าไหนชวนไปบ้านอีก แล้วจะมีผลลัพธ์ยังไง”ไม่ว่าเมริสาจะพยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่มีทางสู้แรงบอดี้การ์ดร่างยักษ์ได้ เขาแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลยตอนจับเธอคว่ำหน้าพาดตักให้ก้นลอยขึ้น“ปล่อยฉันนะ! นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!” เมริสาถีบขาไปมา สองมือฟาดบนขาชายหนุ่มแต่ก็ไม่เป็นผล“นี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คุณหนูหลาบจำ”เพียะ!ฝ่ามือแรงที่กระทบบั้นทายงอนเหมือเป็นการปลดปล่อยความเครียดที่เขาสะสมมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
ถึงตอนนี้เซียวเฟิงยิ่งมั่นใจว่าเมริสาต้องกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง เธอทำอาหารอร่อยมาก พอกินเสร็จก็ไปเก็บล้างโดยไม่ปริปากบ่นอะไรเลยสักนิด มันจะไม่น่าสงใสขนาดนั้นถ้าเธอจะไม่เปลี่ยนชุดนอนออกมานั่งในห้องนั่งเล่น ทำเป็นทาเล็บเท้าและมาส์กหน้าในขณะที่เปิดรายการไร้สาระสักอย่างในเน็ตฟลิกซ์ เซียวเฟิงไม่สนใจนักเพราะเขามัวแต่สงสัยว่าเธอจะทำอะไรต่อไปมากกว่าขณะนี้นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มสี่สิบห้า เซียวเฟิงยังไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย แต่เขาทำทีว่ากำลังจะเข้านอน“อย่าลืมนะครับว่ามีสัญญาณเตือนภัยอยู่” เขาเตือนเมริสาขณะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง เมริสาเพียงแค่กลอกตาแต่ไม่ได้พูดอะไรเซียวเฟิงคอยอยู่ว่าเมริสาจะใช้เวลานานแค่ไหนที่พยายามหนีออกไป แม้ว่าประตูห้องนอนจะปิดอยู่ แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงเธอเดินไปมาอยู่ข้างนอกทำไมคุณหนูต้องทำให้มันเป็นเรื่องยากสำหรับตัวเองขนาดนี้ด้วยนะทำไมคุณหนูต้องทำให้ผมทำในสิ่งที
เซียวเฟิงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง...เมริสาเป็นคนฉลาด เธอสอบได้คะแนนสูงมากตอนเรียนมัธยมฯ เธอตั้งใจทำการบ้านและรายงานทุกชิ้น ถ้าไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือในห้อง บางครั้งก็หอบงานออกมาทำที่ห้องนั่งเล่น เธอไม่เคยเข้าแอปหาคู่ ข้อนี้เขาเคยลองแอบเช็กดูเป็นครั้งคราว ดังนั้นเวลาว่างของเธอถ้าไม่ทำการบ้านก็ทบทวนบทเรียน อาจจะเข้าเข้าแอปฯ ซื้อของออนไลน์บ้างเป็นบางครั้งปัญหาของคนฉลาดคือ บางครั้งการที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ทำให้คิดว่าจะสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ถูกจับได้ หากเป็นเช่นนั้น มันก็ทำให้การทำงานของเขาง่ายขึ้น เพราะเธอแทบจะแสดงทุกสิ่งที่ธอคิดออกมาอย่างเปิดเผยและนั่นหมายความว่าเขาต้องฉลาดเช่นกัน เซียวเฟิงไม่เคยเล่นหมากรุกมาก่อน เขาสงสัยว่านี่เป็นความรู้สึกเดียวกันหรือเปล่า การพยายามคิดหาวิธีที่จะคาดเดาการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของศัตรูและหาวิธีตอบโต้อย่างเหมาะสมเมื่อกลับจากออกกำลังกายที่ยิมข้างล่าง เซียวเฟิงได้ยินเสียงดังจา
“นักศึกษาทุกคนจับกลุ่มกลุ่มละสี่คนนะคะ” อาจารย์ยืนสั่งอยู่หน้าชั้นเรียนและให้เวลานักศึกษาตกลงเรื่องจับกลุ่มกันเมริสาดีใจมากเมื่อผิงซินหันหน้ามาทางเธอ ชี้นิ้วและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เธอพยักหน้าตกลงทันที และพยายามซ่อนรอยยิ้มยินดีเอาไว้ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน เธออยากมีเพื่อนมากขนาดนี้เลยหรือเนี่ย โต๊ะข้าง ๆ ว่างอยู่ ผิงซินจึงย้ายมานั่ง“ดีนะ ฉันกลัวว่าอาจารย์จะเลือกให้อยู่กับคนที่ไม่รู้จัก”“ฉันก็คิดเหมือนกัน”เมริสาทำเป็นมองผ่าน ๆ ไปรอบห้อง แล้วหยุดสายตาที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงประตูแบบไม่ได้ใส่ใจ บอดี้การ์ดของเธอกำลังนั่งในท่าไขว่ห้าง ห่อไหล่เล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเขาหลับหรือเปล่าแต่เขาไม่ขยับตัวเลยเธอนึกอยากจะถามผิงซินว่ามันแปลกไหมที่เธอมีบอดี้การ์ดติดตามานั่งเรียนด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ความสนใจชายหนุ่มมากเกินไปเพื่อนผู้หญิงในชั้นคนหนึ่งเดินเข้ามาชี้
“ครับ สักวันคุณน่าจะมีโอกาส” เขาพูดส่ง ๆ แล้วหันมองไปทางเมริสาที่กำลังคุยกับกลุ่มเพื่อน เธอหันมามองเขาเช่นกัน ทั้งคู่สบตากัน มีอะไรบางอย่างที่เขาอ่านไม่ออกในสายตาเธอ โดยเฉพาะเมื่อเธอหันไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่กับเขา“ที่ฉันอยากจะบอกก็คืออยากนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คุณต่างหากล่ะ” ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รับรู้สัญญาณที่เขาสื่อเป็นนัยจนน่ารำคาญ “คุณจะเป็นผู้ชายคนแรกของฉัน” เธอขบริมฝีปากที่เคลือบไปด้วยลิปกลอสเซียวเฟิงไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไร เพียงแค่เธอไม่ใช่เมริสา แม้กระนั้นเขาก็ยังยิ้มให้เพื่อรักษาน้ำใจ “ปกติผมยุ่งตลอด คุณเป็นเฟรชชี่เหรอ”หญิงสาวพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นคุณมาทำอะไรที่นี่ ถ้าไม่ใช่นักศึกษา งั้นคุณเป็นอาจารย์หรือเปล่า”“เขามากับฉัน” เสียงหวานคุ้นเคยแทรกขึ้น เซียวเฟิงหันไปมองก็พบกับใบหน้าบึ้งตึงของเมริสา “เรามีธุระต้องไปจัดการต่อ ขอตัวก่อนนะ” ว่าจบเธอก็ทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิดด้วยการคว้ามือเขาไปจับแล้วดึงเขาออกมา
นักศึกษาต่างเริ่มทยอยเก็บข้าวของก่อนที่อาจารย์จะพูดจบเสียอีก แต่เมริสาจะรอจนกระทั่งอาจารย์สอนเสร็จจึงค่อยเก็บของตัวเอง มันทำให้เห็นว่าเธอแตกต่างจากพวกเด็กสปอยล์เหล่านี้ นอกจากนี้นักศึกษาครึ่งชั้นยังหลับระหว่างเรียนด้วยซ้ำ พวกลูกคุณหนูคุณชายเหล่านี้ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอะไรเลย เซียวเฟิงเห็นแล้วอยากจะถามออกไปเสียจริงว่าคิดว่าตัวเองเป็นใคร และคิดว่าจะอยู่รอดได้สักห้านาทีในโลกของเขากับเมริสารึเปล่า คนเหล่านี้โชคดีมากแต่ยังไม่รู้จักสำนึกเมริสาปิดแล็ปท็อปแล้วเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะลุกขึ้น เซียวเฟิงสังเกตเห็นพวกผู้ชายที่อยู่ใกล้ ๆ จ้องมองบั้นท้ายของเธอตาเป็นมัน โดยเฉพาะคนหนึ่งที่ทำให้เขาแทบกัดฟันแน่น ไอ้หมอนั่นชอบใส่ชุดนอนตลอดเวลา กับหมวกใบเดิมทุกวัน ดูเหมือนคนเพิ่งกลับจากปาร์ตี้หรือเพิ่งลุกจากเตียงของผู้หญิงสักคน เซียวเฟิงพนันได้เลยว่าถ้าเข้าไปใกล้มากพอ คงจะได้กลิ่นผู้หญิงติดปากมันแน่นอน มันคิดว่ามันมีสิทธิ์อะไรมามองเมริสา ไม่มีมีสิทธิ์ที่จะเรียนอยู่ในห้องเดียวกับเธอด้วยซ้ำ“
การที่ต้องมานั่งอยู่ในชั้นเรียนทำให้เซียวเฟิงรู้สึกเบื่อหน่าย งานแสนสบายค่าตอบแทนสูงต่างกับงานก่อนหน้าของเขาโดยสิ้นเชิง ใครจะคาดคิดว่ามือสังหารอันดับหนึ่งของแก๊งอย่างเขาจะต้องมาเดินตามเด็กสาวต้อย ๆ แถมยังต้องเข้ามานั่งในชั้นเรียนราวกับว่าตัวเองเป็นนักศึกษากลาย ๆ เขาไม่ได้ชอบงานนี้เลยสักนิดโดยเฉพาะเมื่อต้องนั่งอยู่ตรงนี้ ข้างหลังเมริสาและจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเธอ เขาจำเป็นต้องจับตามองทุกการขยับนิ้วรัวแป้นพิมพ์ของเธอหรือไม่ เขาจำเป็นต้องสังเกตทุกครั้งที่เธอขยับตัว ทุกครั้งที่เธอม้วนผมรอบนิ้วขณะฟังอาจารย์บรรยายหรือเปล่าหลิวเจี้ยนสั่งห้ามไม่ให้มองเรือนร่างของเธอ แต่เช้านี้เขาก็ทำมันอยู่ดี เมริสาเป็นผู้หญิงที่ช่างยั่วยวนเหลือเกิน เธออยู่ตรงหน้าเขา แต่เหมือนเป็นผลไม้ต้องห้าม แล้วผู้ชายแบบเขาจะอดทนอดกลั้นไปได้นานสักแค่ไหนกันระยะเวลาสิบวันที่ผ่านมาเป็นสิบวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเซียวเฟิง สิ่งที่คอยฉุดรั้งความปรารถนาจากส่วนลึกภายในเพี
“ขอโทษนะคะ” เสียงของพนักงานสาวดึงความสนใจของเมริสากลับมา “บัตรนี้ใช้ไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวยิ้มแต่ดูเหมือนติดรำคาญ“เอ๊ะ! มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ”“ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองดูอีกครั้งนะคะ” พนักงานสอดบัตรเข้ากับเครื่องรูดบัตรเครดิตอีกครั้งแล้วขมวดคิ้ว “ขอโทษค่ะ บัตรนี้ใช้ไม่ได้จริง ๆ มันขึ้นว่าให้ติดต่อธนาคารค่ะ”เมริสาเกิดความสงสัย ก่อนหน้านี้เธอยังสามารถใช้บัตรใบนี้ได้ปกติ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่“ขอฉันโทรหาพ่อสักครู่ บางที่ท่านอาจจะอายัดบัตรไว้” มาริสารู้สึกอับอายมาก เธอเดินออกมาโทรศัพท์หาพ่อทันทีโดยไม่สนว่าเซียวเฟิงจะตามมาด้วยหรือไม่“มีอะไรหรือเปล่าเหมย” เสียงพ่อดังขึ้นตั้งแต่สัญญาณแรก“ค่ะ คือว่าหนูไปซื้อกาแฟแล้วจ่ายด้วยบัตรเครดิต แต่ว่ามันใช้ไม่ได้ ไม่กี่วันก่อนหนูยังใช้สั่งของออนไลน์ได้อยู่เลย วันนี้จู่ ๆ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร”“ไม่ต้องตกใจ บัตรหนูแค่ถูกยกเลิก”
คลาสแรกคือวิชาจิตวิทยาเบื้องต้น ซึ่งอยู่ในห้องเรียนรวมที่เป็นห้องประชุมใหญ่ เมริสานั่งอยู่แถวหลัง ส่วนเซียวเฟิงนั่งอยู่ที่นั่งว่างด้านหลังเธอ เขาพูดถูก วันนี้อาจารย์แค่แจกเอกสารรายวิชาและสรุปเนื้อหาเบื้องต้นคร่าว ๆ ก่อนจะปล่อยเลิกคลาส เธอหันไปมองเขาแวบเดียวพอจะเห็นรอยยิ้มเยาะน้อย ๆ บนใบหน้าของเขาระหว่างคลาสแรกและคลาสถัดไปมีระยะเวลาถึงหนึ่งชั่วโมง และยิ่งวันนี้อาจารย์ปล่อยเร็วขึ้นยิ่งเหลือเวลาเยอะ แต่จะให้กลับไปที่คอนโดแล้วค่อยกลับมาเรียนอีกทีคงไม่คุ้ม เมริสาคิดว่าถ้าเธออยู่คนเดียวคงจะไปสำรวจรอบ ๆ มหาวิทยาลัย แต่พอมีเซียวเฟิงคอยตามติดแบบนี้ เธอก็ไม่คิดว่าจะสนุกเท่าไหร่“งั้นฉันไปที่ร้านหนังสือดีกว่า” เธอเงยหน้ามองบอดี้การ์ดหนุ่มพร้อมฉีกยิ้มกว้าง “นายช่วยถือหนังสือให้ฉันหน่อยนะ”เซียวเฟิงเลิกคิ้วขึ้นก่อนที่จะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เธอจงใจให้เขาเป็นคนรับใช้ ซึ่งเมริสาตั้งใจจะแกล้งเขาแบบนั้นจริง ๆ เธอจึงไม่สนใจหยิบตะกร้าหรือรถเข็นเมื่อเข้ามาใน