“พ่อรู้ว่าลูกจะต้องดีใจกับเรื่องนี้”
ดีใจงั้นหรือ ตอนนี้ในหัวเมริสากำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่หลิวเจี้ยนบอก เขาจะส่งเธอไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหยวนจิง
“แต่หนูไม่ได้ยื่นใบสมัครที่นั่นไปนี่คะ”
“พ่อจัดการทุกอย่างให้หนูแล้ว หนูไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ดีหรือไง”
เหมือนกับทุกครั้ง เมริสาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด เธอไม่มีสิทธิ์เลือกหรือตัดสินใจอะไรในชีวิตของตัวเอง ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ เธอมีเงิน มีทุกอย่างที่ต้องการ เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอะไรเลย แต่นั่นเท่ากับว่าเธอไม่สามารถเลือกได้แม้แต่มหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเรียน
เมริสามองหน้าคนเป็นพ่อที่มองเธออย่างคาดหวัง ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ”
มือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำลังกำแน่นเล็บจิกบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ
เธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้คุณคน เธอรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน เธออาจไม่ได้มีชีวิตสุขสบายแบบนี้ถ้าพ่อไม่ไปรับเธอมาดูแล เธออาจจะต้องนอนอยู่ริมถนนหรือแทบจะต้องใช้ชีวิตไปวัน ๆ อาจจะต้องทำงานสองงานสามงาน แต่ตอนนี้ เธอมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายแทบไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิง
แม้แต่เจ้าหญิงที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดยังอยากมีอิสรภาพบ้าง แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถ ไม่สามารถออกไปข้างนอกคนเดียว ฉันไม่ได้เจอเพื่อน เธอคิดถึงเพื่อนสนิทของเธอมาก ๆ บางครั้งความกดดันเหล่านี้มันมากจนเกินจะรับไวจนร้องไห้จนหลับไปก็มี คนอื่น ๆ คงรู้สึกโชคดีที่มีชีวิตที่เพียบพร้อมแบบเธอ หรือเป็นเพราะว่าเธอได้ทุกอย่างมาโดยง่ายเลยไม่เห็นคุณค่าใช่หรือเปล่า
“แน่นอนว่าลูกสาวพ่อต้องเข้าเรียนที่มหาลัยที่ดีที่สุดอยู่แล้ว พ่อจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องที่พัก พ่อซื้อคอนโดใหม่ให้หนู ตอนนี้เหลือแค่ตกแต่งอีกไม่เกินสองวันก็เสร็จ หนูไปถึงก็เริ่มเรียนได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ” เมริสาพยายามฝืนยิ้มส่งให้ แล้วก้มหน้าจ้องจานอาหารเช้าแสนน่ารับประทานตรงหน้า จู่ ๆ ความอยากอาหารก็หายไปในทันที
“พ่อยอมรับว่า คงจะเหงาถ้าเหมยไม่อยู่ที่นี่ แปลกไหม เราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่พ่อก็เริ่มชินกับการมีเหมยอยู่ใกล้ ๆ ไม่รู้ว่าว่าบ้านนี้จะเงียบและว่างเปล่าแค่ไหน” หลิวเจี้ยนสบตากับลูกสาว น้ำเสียงมีความอาวรณ์เล็ก ๆ
“หนูจะกลับมาในช่วงวันหยุด แล้วมหาลัยก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่ หนูอาจจะกลับมาทุกอาทิตย์ด้วยซ้ำ พ่อจะต้องเบื่อหน้าหนูแน่”
“ไม่หรอก แต่ลูกสาวพ่อก็อยู่ในวัยที่คนเป็นพ่อจะต้องเริ่มทำใจให้ชินกับที่จะไม่มีลูกสาวอยู่ใกล้ ๆ” หลิวเจี้ยนมองมาที่ลูกสาว เห็นว่ากำลังสับสนจึงพูดต่อ “ก็พ่อหมายถึงวัยนี้ปกติจะต้องไปเรียนมหาลัย หรือไม่ก็ถูกแต่งงานออกไปไม่ใช่เหรอ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมริสาได้ยินคนเป็นพ่อพูดแบบนี้ เธอไม่รู้ว่าควรจะถือเอาจริงเอาจังกับเขาหรือเปล่า ยังมีคนคิดแบบนี้เกี่ยวกับผู้หญิงอยู่จริง ๆ หรือ เหมือนกับว่าผู้หญิงไม่มีค่าอะไรนอกจากเป็นทรัพย์สินที่จะขายให้กับผู้เสนอราคาสูงสุด หรือสร้างพันธมิตรทางธุรกิจอะไรบางอย่าง
เมริสาปัดความคิดนั้นออกไป อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องแต่งงาน ระหว่างเรียนอยู่พ่อเธอคงไม่บอกให้เธอลาออกกลางคันเพื่อไปแต่งงานหรอก พอคิดแบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย
“หนูว่าหนูคงต้องรีบไปเตรียมตัวเก็บของแล้วค่ะ”
“ไม่จำเป็นหรอก ปล่อยให้งานพวกนี้เป็นหน้าที่ของคนรับใช้ไป” หลิวเจี้ยนยกมือห้าม “พอหนูไปถึง เซียวเฟิงจะจัดการทุกอย่างให้หนูเอง”
“เซียวเฟิง…เขามาเกี่ยวอะไรด้วยคะ”
“เขาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของเหมย ก็ต้องไปคุ้มกันหนูไง”
“ต้องถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หลิวเจี้ยนจ้องหน้าลูกสาวเพียงคนเดียวโดยตาไม่กะพริบ “หนูคิดว่าพ่อจะยอมปล่อยให้หนูไปคนเดียวเหรอ เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหนูไปอยู่ที่นั่น ถึงแม้ที่หยวนจิงจะมีแต่คนระดับเดียวกับเรา แต่พ่อก็ไม่สามารถวางใจได้ พวกผู้ชายก็ยังเป็นผู้ชายอยู่วันยังค่ำ”
เมริสาต้องกัดลิ้นตัวเองไม่ให้โพล่งอะไรออกไป ไม่เข้าใจว่าคุยกันมาถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร เธอต้องข่มกลั้นตัวเองอย่างมาก ไม่อยากยั่วโทสะคนเป็นพ่อ
“เอ่อ…พ่อคะ…แล้วเซียวเฟิง…เขาต้องไปเข้าเรียนกับหนูมั้ย ต้องตามติดหนูไปทุกที่รึเปล่า”
“ถ้าพ่อสั่งเจ้านั่นก็ต้องทำตาม และใช่ นั่นแหละหน้าที่ของเจ้านั่น”
หลิวเจี้ยนหรี่ตามองทำเอาเมริสารู้ว่าความอดทนของคนเป็นพ่อใกล้จะสิ้นสุดลงทุกที เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนหัวร้อน ไม่ใช่ว่าเขาเคยระเบิดใส่เธอ แต่เธอเคยเห็นตอนที่เขาระเบิดใส่คนอื่น และทุกครั้งเธอรู้สึกดีใจที่เธอไม่ใช่คนพวกนั้น“แล้วทางมหาลัยจะไม่ว่าอะไรเหรอคะ”“จะว่าอะไรได้ ไม่ใช่มีแค่ลูกสาวพ่อคนเดียวที่ไหนที่ต้องมีบอดี้การ์ด มหาลัยนี้มีแต่ลูกคนรวยและมีอิทธิพลเข้าเรียน ถ้าไม่มีบอดีการ์ดสิแปลก”ถูกต้อง แต่เมริสาคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนเดียวที่กระโจนใส่บอดี้การ์ดแล้วก็ร้องไห้ที่โดนปฏิเสธราวกับเป็นตัวน่าขยะแขยง ทำให้เธอมองหน้าเขาไม่ติด และตอนนี้เธอยังต้องปล่อยให้เขาติดตามเธอไปทุกที่แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัย“เขาจะอยู่กับหนูที่คอนโดด้วยรึเปล่าคะ”“เหมยหนูเป็นเด็กฉลาดที่คิดเรื่องนี้ได้”เมริสามองหน้าพ่อรอคำตอบทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว“พ่อคงไม่ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวหรอกใช่ไหม” หลิวเจี้ยนหัวเราะราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องขำขัน “พ่อจะปล่อยให้เหมยอยู่คนเดียวหรือจะไปอยู่หอพักร่วมกับคนอื่นทำไม ไม่สู้ให้อยู่กับคนที่รู้จักและไว้ใจได้ไม่ดีกว่าหรือ”เมริสารู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะขัดคำสั่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ก่อนหน้า
แม้กระทั่งตอนนี้ ผ่านไปหลายเดือน ความเจ็บปวดก็ยังสดใหม่อยู่ ร่างกายของเธอเกร็งขึ้นเมื่อนึกถึงสายตาเย็นชาคู่นั้น เขามองเหมือนกับว่าเธอเป็นเพียงแค่ขยะ เหมือนเขาเกลียดเธอมาก หรือแย่กว่านั้น รู้สึกสมเพชเธอ เธอยังไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนจะน่าอับอายมากกว่ากัน หากย้อนเวลากลับไปได้เธอคงไม่ยั่วยวนเขาแบบวันนั้นเมริสารีบเดินกลับห้อง ผ่านห้องหับต่าง ๆ ในคฤหาสน์หลังโต จนกระทั่งเสียงหนึ่งหยุดเธอไว้“สวัสดีครับเจ้าหญิง”เลือดในกายเมริสาเย็นเฉียบเมื่อได้ยินเสียงนี้ เธอหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม เตือนตัวเองเป็นร้อยครั้งว่าห้ามมองเขาแบบที่ชอบทำ แต่สายตาเธอดันติดนิสัยที่ชอบแอบชื่นชมร่างกายที่สมบูรณ์แบบของชายหนุ่ม สันกรามที่โดดเด่นและดวงตาสีดำสนิทดูเหมือนจะมีพายุขดวนเต็มไปด้วยความอันตรายที่แฝงเร้น บ่ากว้างและอกแกร่ง วิธียิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก ริมฝีปากหยักลึกที่ดูเหมือนเชื้อเชิญให้อยากสัมผัสว่ามันจะนุ่มแค่ไหนเมื่อได้สติเมริสารีบสลัดความคิดไร้สาระของตนออก เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เธอเฝ้าฝันและจินตนาการอีกต่อไปเขาจะเป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดที่เปรียบเสมือนผู้คุมของเธอเท่านั้น และที่สำคัญเขาเกลียดเธอ นั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่
“เปิดเพลงให้หน่อยสิ”เซียวเฟิงทำเพียงมองตรงไปข้างหน้า เหมือนที่ทำมาตลอดชั่วโมงที่ผ่านมา เขาไม่แม้แต่จะชำเลืองมองไปที่กระจกมองหลัง เพราะรู้ดีว่าเมริสาจะต้องกำลังจ้องเขาด้วยสายตาเกลียดชัง“นี่! นายหูหนวกรึเปล่า ฉันบอกว่าให้เปิดเพลง ไม่ได้ยินรึไง”เซียวเฟิงยังคงนิ่งเฉย มือกำแน่นรอบพวงมาลัย แต่หัวสมองกลับจินตนาการว่ากำลังบีบที่คอสวย ๆ ของหญิงสาวอยู่ การที่เขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำกับเธอมันแย่พอแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับความปรารถนาของตัวเองเมื่อไหร่ ทำไมเธอต้องทำอะไรให้มันยากมากขึ้นด้วยการยั่วโทสะเขาอยู่ตลอดเวลาดังนั้นการทำเป็นเกลียดเธอนั้นงายกว่า เพื่อปกปิดความต้องการจากส่วนลึก“เซียวเฟิง ฉันรู้ว่านายได้ยิน ช่วยเปิดเพลงให้ฉันหน่อยได้ไหม” สุดท้ายเมริสาเอ่ยขอร้องเสียงนุ่มนวลขึ้น“หืม ขอโทษครับที่ผมไม่ได้ยิน หูของผมมีปัญหานิดหน่อยเวลาคนอื
“ทำไมผมจะต้องอาย” เขาตอบออกไป หวังว่าการจราจรจะเคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ขับรถให้เร็วขึ้นอีกหน่อย อย่างน้อยก็จะมีเหตุผลให้เขาไม่ต้องใส่ใจตอบคำถามเธอ ใครว่าเขาไม่อาย!“พ่อสั่งให้นายไปนั่งเรียนกับฉันเหรอ”“มันคืองานของผมครับ คุณหนูจะไปถามอาจารย์ไหมว่าพวกเขาอายไหมที่ต้องยืนสอนอยู่หน้าชั้นเรียน นั่นคืองานของพวกเขาที่ทำแลกกับค่าจ้าง ผมก็เหมือนกัน” เซียวเฟิงแอบมองหญิงสาวผ่านกระจก “นอกจากนี้ที่นั่นมีแต่พวกลูกคนรวยหรือผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ ผมว่าไม่ได้มีแค่คุณหนูคนเดียวหรอกที่มีบอดี้การ์ดไปนั่งเรียนด้วย แต่ถ้ามีแค่คุณหนูคนเดียวจริงก็ไม่ได้แปลกอะไร คนพวกนั้นชินกับการเห็นบอดี้การ์ดอยู่รอบ ๆ อยู่แล้ว เพียงแต่คุณหนูยังไม่ชินแค่นั้นเอง”“นายกำลังดูถูกฉันเหรอ”“ทำไมคุณหนูถึงคิดว่าทุกอย่างที่ผมพูดคือการดูถูกล่ะครับ ผมไม่คิดดูถูกคุณหนูเลย ที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง คุณหนูไม่ได้เติบโตมาแบบเด็กพวกนั้น สำหรับคุณหนูมันเลยเป็นเรื่องแปลก ถูกไหมครับ”
“บ้าเอ๊ย!”เมริสาได้แต่สบถในใจ คิดว่าเมื่ออยู่ไกลพ่ออะไร ๆ ก็จะดีขึ้น อาจจะมีอิสระมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่นี่ไม่เลย เธอจ้องไปยังชายหนุ่มที่กำลังขับรถอยู่ นี่ก็ทำตัวเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ซะเหลือเกิน อยู่ไกลเจ้านายขนาดนี้จะหย่อนยานสักนิดไม่ได้เลยหรือแขนของเธอยังคงเจ็บจากการที่ถูกเขาจับอยู่เลย เธอเบ้ปากใส่ชายหนุ่ม ขณะเดียวกับที่รถเลี้ยวเข้าไปยังตึกที่ดูเหมือนโรงแรมห้าดาวมากกว่าคอนโด“ที่นี่เหรอ”เมริสามองเมื่อรถขับผ่านสวนสวยที่ได้รับการดูแลอย่างดี ตกแต่งด้วยน้ำพุหินอ่อนที่พุ่งน้ำสูงขึ้นไปในอากาศ มันเปล่งประกายเหมือนเพชรก่อนที่จะตกลงไปในสระน้ำรอบ ๆ“คุณหนูไม่ชอบหรือครับ”“ฉันพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” เมริสาค้อนขวับ เซียวเฟิงได้แต่หัวเราะเบา ๆ “ก็แค่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ ฉันว่ามันหรูเกินไปสำหรับนักศึกษาคนหนึ่งก็แค่นั้น”“ไม่มีอ
“อยากได้รางวัลเหรอครับที่ว่ามาเนี่ย”“ไอ้บ้า! นี่นายไม่เข้าใจหรือไงว่า ฉันอยากได้ความเคารพ สักเล็กน้อยก็ยังดี ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตคุณหนูแบบนี้ตั้งแต่เกิด ฉันเคยใส่เสื้อผ้ามือสองต่อจากคนอื่น แม่ฉันต้องประหยัดเงินเพื่อที่จะซื้อรองเท้านักเรียนใหม่ให้ฉันใส่ เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องมากระแนะกระแหนว่าฉันเป็นคุณหนูไฮโซ”“ผมรู้แล้วครับคุณหนู”“แต่วิธีที่นายพูดกับฉันยังทำให้รู้สึกเหมือนว่าฉันเป็นตัวตลกในสายตานายอยู่ดี”“คุณหนูคิดมากไปเอง”“ฮึ่ย! ไปตายซะ! ทั้งนายและพ่อฉันนั่นแหละ!”ทันใดนั้น จู่ ๆ ชายหนุ่มก็เข้ามาประชิด โน้มหน้าลงมาใกล้จนเกือบจะสัมผัสใบหน้าหญิงสาว“เรื่องนี้ผมจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ คุณหนูจะจิกหัวเรียกหรือจะด่าผมยังไงก็ได้ แต่ห้ามก้าวร้าวพูดจาไม่เคารพนายท่านเด็ดขาด”“เป็นอะไรของนายเนี่ย! พ่อไม่ได้อยู่ด้วยซะหน่อย ไม่ต้องทำตัวเป็น
เซียวเฟิงมองหญิงสาวที่เดินออกมาจัดจานแล้วนำอาหารเข้าไปกินในห้องตามที่เธอบอกไว้ก่อนหน้า เสียงประตูปิดดังปังคล้ายท้าทายเขาอยู่ในที เขานึกจนปัญญา ยังไม่ทันข้ามวันเธอก็แสดงความเป็นอริออกมาอย่างชัดเจน จนบางครั้งเขานึกอยากสั่งสอนด้วยการจับเธอพาดตักแล้วฟาดก้นงอน ๆ นั่นจนกว่าจะเลิกนิสัยเอาแต่ใจ เธอเปรียบเขาเป็นสุนัขรับใช้...นับว่าเธอยังโชคดีที่เขาควบคุมตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงนั่งไม่ติดไปอีกหลายวันหลังจากที่ถูกเขาจัดการกับก้นสวย ๆ นั่นเธอไม่รู้หรอกว่ากำลังเผชิญหน้ากับใครอยู่ เซียวเฟิงบอกกับตัวเองตั้งแต่วันแรกที่รับงานนี้ว่าจะไม่มีวันให้เธอรู้ งานคุ้มกันคุณหนูมาเฟียอาจเป็นงานอันแสนน่าเบื่อ แต่มันทำให้เขาหลีกหนีจากอดีตที่มือเปื้อนเลือดจานชามทุกใบที่ผ่านการล้างน้ำเปล่าถูกจัดเรียงใส่เครื่องล้างจานอย่างเป็นระเบียบ เมื่อจัดแจงทุกอย่างในครัวเสร็จแล้วเซียวเฟิงก็เดินออกจากห้องครัว อารมณ์กรุ่นโกรธที่มีต่อหญิงสาวยังไม่หายไป เขาอยากให้เธอรู้ตัวว่าทำผิด อยากสั่งสอน ทำลาย และจ้องเข้าไปในดวงตาที่สะท้อนความหวาดกลัว ทำให
เมริสาไม่คิดว่าจะหนีออกมาได้ง่ายขนาดนี้ โชคดีที่สัญญาณเตือนภัยจะมาติดตั้งในวันพรุ่งนี้ เธอไม่คิดว่าเซียวเฟิงจะอาบน้ำนาน ตอนแรกคิดว่าจะรอให้เขาหลับเสียก่อน เมื่อได้ออกมาแล้ว เธอก็จะสนุกให้เต็มที่เดิมทีเธอค้นหาข้อมูลสถานที่ใกล้เคียง แล้วสะดุดตากับผับที่อยู่ใกล้ในรัศมีที่สามารถเดินไปได้ ดีละ ในเมื่อเขาคิดว่าเธอเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ เธอก็จะเป็นให้ดูนักเที่ยวในผับแห่งนี้ส่วนมากรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ คาดว่าคงเป็นพวกนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเพราะอยู่ใกล้มาก“นี่” ชายสูงใหญ่กล้ามโตที่ดูเหมือนเป็นนักกีฬา ยื่นแก้วใส่มือก่อนที่เธอจะรู้ตัว เขาต้องโน้มตัวลงมาเพื่อให้เธอได้ยินเสียงของเขาท่ามกลางเสียงอึกทึกโดยรอบ “ฉันเลี้ยง เธอชื่ออะไร”“เหมย” เมริสาต้องตะโกนตอบ“ฉัน ตงหมิง เธอเป็นนักศึกษาที่หยวนจิงเหรอ”“ใช่ ฉันเพิ่งเข้าปีหนึ่ง นายล่ะ”“เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะ เธอมาที่นี่
เซียวเฟิงต้องเตือนสติตัวเองว่าห้ามเผลอไผลไปในสถานการณ์ตอนนี้ เพราะการใกล้ชิดกันแบบนี้ การที่เธอดิ้นรนขัดขืนทำให้ร่างกายนุ่มนิ่มเสียดสีไปกับกายแกร่งของเขา เขาบังคับเธอเดินข้ามไปยังโซฟาในห้องนั่งเล่น ตอนนี้กลางลำตัวเขากำลังตื่นตัวเต็มที่ขณะที่ฉุดเธอให้นั่งลงบนตักแกร่ง“นายจะทำอะไร! ปล่อยนะ!“ผมจะทำให้คุณหนูจำให้ขึ้นใจว่าครั้งหน้าถ้ามีไอ้หน้าไหนชวนไปบ้านอีก แล้วจะมีผลลัพธ์ยังไง”ไม่ว่าเมริสาจะพยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่มีทางสู้แรงบอดี้การ์ดร่างยักษ์ได้ เขาแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลยตอนจับเธอคว่ำหน้าพาดตักให้ก้นลอยขึ้น“ปล่อยฉันนะ! นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!” เมริสาถีบขาไปมา สองมือฟาดบนขาชายหนุ่มแต่ก็ไม่เป็นผล“นี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คุณหนูหลาบจำ”เพียะ!ฝ่ามือแรงที่กระทบบั้นทายงอนเหมือเป็นการปลดปล่อยความเครียดที่เขาสะสมมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
ถึงตอนนี้เซียวเฟิงยิ่งมั่นใจว่าเมริสาต้องกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง เธอทำอาหารอร่อยมาก พอกินเสร็จก็ไปเก็บล้างโดยไม่ปริปากบ่นอะไรเลยสักนิด มันจะไม่น่าสงใสขนาดนั้นถ้าเธอจะไม่เปลี่ยนชุดนอนออกมานั่งในห้องนั่งเล่น ทำเป็นทาเล็บเท้าและมาส์กหน้าในขณะที่เปิดรายการไร้สาระสักอย่างในเน็ตฟลิกซ์ เซียวเฟิงไม่สนใจนักเพราะเขามัวแต่สงสัยว่าเธอจะทำอะไรต่อไปมากกว่าขณะนี้นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มสี่สิบห้า เซียวเฟิงยังไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย แต่เขาทำทีว่ากำลังจะเข้านอน“อย่าลืมนะครับว่ามีสัญญาณเตือนภัยอยู่” เขาเตือนเมริสาขณะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง เมริสาเพียงแค่กลอกตาแต่ไม่ได้พูดอะไรเซียวเฟิงคอยอยู่ว่าเมริสาจะใช้เวลานานแค่ไหนที่พยายามหนีออกไป แม้ว่าประตูห้องนอนจะปิดอยู่ แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงเธอเดินไปมาอยู่ข้างนอกทำไมคุณหนูต้องทำให้มันเป็นเรื่องยากสำหรับตัวเองขนาดนี้ด้วยนะทำไมคุณหนูต้องทำให้ผมทำในสิ่งที
เซียวเฟิงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง...เมริสาเป็นคนฉลาด เธอสอบได้คะแนนสูงมากตอนเรียนมัธยมฯ เธอตั้งใจทำการบ้านและรายงานทุกชิ้น ถ้าไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือในห้อง บางครั้งก็หอบงานออกมาทำที่ห้องนั่งเล่น เธอไม่เคยเข้าแอปหาคู่ ข้อนี้เขาเคยลองแอบเช็กดูเป็นครั้งคราว ดังนั้นเวลาว่างของเธอถ้าไม่ทำการบ้านก็ทบทวนบทเรียน อาจจะเข้าเข้าแอปฯ ซื้อของออนไลน์บ้างเป็นบางครั้งปัญหาของคนฉลาดคือ บางครั้งการที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ทำให้คิดว่าจะสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ถูกจับได้ หากเป็นเช่นนั้น มันก็ทำให้การทำงานของเขาง่ายขึ้น เพราะเธอแทบจะแสดงทุกสิ่งที่ธอคิดออกมาอย่างเปิดเผยและนั่นหมายความว่าเขาต้องฉลาดเช่นกัน เซียวเฟิงไม่เคยเล่นหมากรุกมาก่อน เขาสงสัยว่านี่เป็นความรู้สึกเดียวกันหรือเปล่า การพยายามคิดหาวิธีที่จะคาดเดาการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของศัตรูและหาวิธีตอบโต้อย่างเหมาะสมเมื่อกลับจากออกกำลังกายที่ยิมข้างล่าง เซียวเฟิงได้ยินเสียงดังจา
“นักศึกษาทุกคนจับกลุ่มกลุ่มละสี่คนนะคะ” อาจารย์ยืนสั่งอยู่หน้าชั้นเรียนและให้เวลานักศึกษาตกลงเรื่องจับกลุ่มกันเมริสาดีใจมากเมื่อผิงซินหันหน้ามาทางเธอ ชี้นิ้วและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เธอพยักหน้าตกลงทันที และพยายามซ่อนรอยยิ้มยินดีเอาไว้ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน เธออยากมีเพื่อนมากขนาดนี้เลยหรือเนี่ย โต๊ะข้าง ๆ ว่างอยู่ ผิงซินจึงย้ายมานั่ง“ดีนะ ฉันกลัวว่าอาจารย์จะเลือกให้อยู่กับคนที่ไม่รู้จัก”“ฉันก็คิดเหมือนกัน”เมริสาทำเป็นมองผ่าน ๆ ไปรอบห้อง แล้วหยุดสายตาที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงประตูแบบไม่ได้ใส่ใจ บอดี้การ์ดของเธอกำลังนั่งในท่าไขว่ห้าง ห่อไหล่เล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเขาหลับหรือเปล่าแต่เขาไม่ขยับตัวเลยเธอนึกอยากจะถามผิงซินว่ามันแปลกไหมที่เธอมีบอดี้การ์ดติดตามานั่งเรียนด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ความสนใจชายหนุ่มมากเกินไปเพื่อนผู้หญิงในชั้นคนหนึ่งเดินเข้ามาชี้
“ครับ สักวันคุณน่าจะมีโอกาส” เขาพูดส่ง ๆ แล้วหันมองไปทางเมริสาที่กำลังคุยกับกลุ่มเพื่อน เธอหันมามองเขาเช่นกัน ทั้งคู่สบตากัน มีอะไรบางอย่างที่เขาอ่านไม่ออกในสายตาเธอ โดยเฉพาะเมื่อเธอหันไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่กับเขา“ที่ฉันอยากจะบอกก็คืออยากนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คุณต่างหากล่ะ” ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รับรู้สัญญาณที่เขาสื่อเป็นนัยจนน่ารำคาญ “คุณจะเป็นผู้ชายคนแรกของฉัน” เธอขบริมฝีปากที่เคลือบไปด้วยลิปกลอสเซียวเฟิงไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไร เพียงแค่เธอไม่ใช่เมริสา แม้กระนั้นเขาก็ยังยิ้มให้เพื่อรักษาน้ำใจ “ปกติผมยุ่งตลอด คุณเป็นเฟรชชี่เหรอ”หญิงสาวพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นคุณมาทำอะไรที่นี่ ถ้าไม่ใช่นักศึกษา งั้นคุณเป็นอาจารย์หรือเปล่า”“เขามากับฉัน” เสียงหวานคุ้นเคยแทรกขึ้น เซียวเฟิงหันไปมองก็พบกับใบหน้าบึ้งตึงของเมริสา “เรามีธุระต้องไปจัดการต่อ ขอตัวก่อนนะ” ว่าจบเธอก็ทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิดด้วยการคว้ามือเขาไปจับแล้วดึงเขาออกมา
นักศึกษาต่างเริ่มทยอยเก็บข้าวของก่อนที่อาจารย์จะพูดจบเสียอีก แต่เมริสาจะรอจนกระทั่งอาจารย์สอนเสร็จจึงค่อยเก็บของตัวเอง มันทำให้เห็นว่าเธอแตกต่างจากพวกเด็กสปอยล์เหล่านี้ นอกจากนี้นักศึกษาครึ่งชั้นยังหลับระหว่างเรียนด้วยซ้ำ พวกลูกคุณหนูคุณชายเหล่านี้ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอะไรเลย เซียวเฟิงเห็นแล้วอยากจะถามออกไปเสียจริงว่าคิดว่าตัวเองเป็นใคร และคิดว่าจะอยู่รอดได้สักห้านาทีในโลกของเขากับเมริสารึเปล่า คนเหล่านี้โชคดีมากแต่ยังไม่รู้จักสำนึกเมริสาปิดแล็ปท็อปแล้วเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะลุกขึ้น เซียวเฟิงสังเกตเห็นพวกผู้ชายที่อยู่ใกล้ ๆ จ้องมองบั้นท้ายของเธอตาเป็นมัน โดยเฉพาะคนหนึ่งที่ทำให้เขาแทบกัดฟันแน่น ไอ้หมอนั่นชอบใส่ชุดนอนตลอดเวลา กับหมวกใบเดิมทุกวัน ดูเหมือนคนเพิ่งกลับจากปาร์ตี้หรือเพิ่งลุกจากเตียงของผู้หญิงสักคน เซียวเฟิงพนันได้เลยว่าถ้าเข้าไปใกล้มากพอ คงจะได้กลิ่นผู้หญิงติดปากมันแน่นอน มันคิดว่ามันมีสิทธิ์อะไรมามองเมริสา ไม่มีมีสิทธิ์ที่จะเรียนอยู่ในห้องเดียวกับเธอด้วยซ้ำ“
การที่ต้องมานั่งอยู่ในชั้นเรียนทำให้เซียวเฟิงรู้สึกเบื่อหน่าย งานแสนสบายค่าตอบแทนสูงต่างกับงานก่อนหน้าของเขาโดยสิ้นเชิง ใครจะคาดคิดว่ามือสังหารอันดับหนึ่งของแก๊งอย่างเขาจะต้องมาเดินตามเด็กสาวต้อย ๆ แถมยังต้องเข้ามานั่งในชั้นเรียนราวกับว่าตัวเองเป็นนักศึกษากลาย ๆ เขาไม่ได้ชอบงานนี้เลยสักนิดโดยเฉพาะเมื่อต้องนั่งอยู่ตรงนี้ ข้างหลังเมริสาและจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเธอ เขาจำเป็นต้องจับตามองทุกการขยับนิ้วรัวแป้นพิมพ์ของเธอหรือไม่ เขาจำเป็นต้องสังเกตทุกครั้งที่เธอขยับตัว ทุกครั้งที่เธอม้วนผมรอบนิ้วขณะฟังอาจารย์บรรยายหรือเปล่าหลิวเจี้ยนสั่งห้ามไม่ให้มองเรือนร่างของเธอ แต่เช้านี้เขาก็ทำมันอยู่ดี เมริสาเป็นผู้หญิงที่ช่างยั่วยวนเหลือเกิน เธออยู่ตรงหน้าเขา แต่เหมือนเป็นผลไม้ต้องห้าม แล้วผู้ชายแบบเขาจะอดทนอดกลั้นไปได้นานสักแค่ไหนกันระยะเวลาสิบวันที่ผ่านมาเป็นสิบวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเซียวเฟิง สิ่งที่คอยฉุดรั้งความปรารถนาจากส่วนลึกภายในเพี
“ขอโทษนะคะ” เสียงของพนักงานสาวดึงความสนใจของเมริสากลับมา “บัตรนี้ใช้ไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวยิ้มแต่ดูเหมือนติดรำคาญ“เอ๊ะ! มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ”“ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองดูอีกครั้งนะคะ” พนักงานสอดบัตรเข้ากับเครื่องรูดบัตรเครดิตอีกครั้งแล้วขมวดคิ้ว “ขอโทษค่ะ บัตรนี้ใช้ไม่ได้จริง ๆ มันขึ้นว่าให้ติดต่อธนาคารค่ะ”เมริสาเกิดความสงสัย ก่อนหน้านี้เธอยังสามารถใช้บัตรใบนี้ได้ปกติ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่“ขอฉันโทรหาพ่อสักครู่ บางที่ท่านอาจจะอายัดบัตรไว้” มาริสารู้สึกอับอายมาก เธอเดินออกมาโทรศัพท์หาพ่อทันทีโดยไม่สนว่าเซียวเฟิงจะตามมาด้วยหรือไม่“มีอะไรหรือเปล่าเหมย” เสียงพ่อดังขึ้นตั้งแต่สัญญาณแรก“ค่ะ คือว่าหนูไปซื้อกาแฟแล้วจ่ายด้วยบัตรเครดิต แต่ว่ามันใช้ไม่ได้ ไม่กี่วันก่อนหนูยังใช้สั่งของออนไลน์ได้อยู่เลย วันนี้จู่ ๆ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร”“ไม่ต้องตกใจ บัตรหนูแค่ถูกยกเลิก”
คลาสแรกคือวิชาจิตวิทยาเบื้องต้น ซึ่งอยู่ในห้องเรียนรวมที่เป็นห้องประชุมใหญ่ เมริสานั่งอยู่แถวหลัง ส่วนเซียวเฟิงนั่งอยู่ที่นั่งว่างด้านหลังเธอ เขาพูดถูก วันนี้อาจารย์แค่แจกเอกสารรายวิชาและสรุปเนื้อหาเบื้องต้นคร่าว ๆ ก่อนจะปล่อยเลิกคลาส เธอหันไปมองเขาแวบเดียวพอจะเห็นรอยยิ้มเยาะน้อย ๆ บนใบหน้าของเขาระหว่างคลาสแรกและคลาสถัดไปมีระยะเวลาถึงหนึ่งชั่วโมง และยิ่งวันนี้อาจารย์ปล่อยเร็วขึ้นยิ่งเหลือเวลาเยอะ แต่จะให้กลับไปที่คอนโดแล้วค่อยกลับมาเรียนอีกทีคงไม่คุ้ม เมริสาคิดว่าถ้าเธออยู่คนเดียวคงจะไปสำรวจรอบ ๆ มหาวิทยาลัย แต่พอมีเซียวเฟิงคอยตามติดแบบนี้ เธอก็ไม่คิดว่าจะสนุกเท่าไหร่“งั้นฉันไปที่ร้านหนังสือดีกว่า” เธอเงยหน้ามองบอดี้การ์ดหนุ่มพร้อมฉีกยิ้มกว้าง “นายช่วยถือหนังสือให้ฉันหน่อยนะ”เซียวเฟิงเลิกคิ้วขึ้นก่อนที่จะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เธอจงใจให้เขาเป็นคนรับใช้ ซึ่งเมริสาตั้งใจจะแกล้งเขาแบบนั้นจริง ๆ เธอจึงไม่สนใจหยิบตะกร้าหรือรถเข็นเมื่อเข้ามาใน