“พ่อรู้ว่าลูกจะต้องดีใจกับเรื่องนี้”
ดีใจงั้นหรือ ตอนนี้ในหัวเมริสากำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่หลิวเจี้ยนบอก เขาจะส่งเธอไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหยวนจิง
“แต่หนูไม่ได้ยื่นใบสมัครที่นั่นไปนี่คะ”
“พ่อจัดการทุกอย่างให้หนูแล้ว หนูไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ดีหรือไง”
เหมือนกับทุกครั้ง เมริสาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด เธอไม่มีสิทธิ์เลือกหรือตัดสินใจอะไรในชีวิตของตัวเอง ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ เธอมีเงิน มีทุกอย่างที่ต้องการ เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอะไรเลย แต่นั่นเท่ากับว่าเธอไม่สามารถเลือกได้แม้แต่มหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเรียน
เมริสามองหน้าคนเป็นพ่อที่มองเธออย่างคาดหวัง ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ”
มือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำลังกำแน่นเล็บจิกบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ
เธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้คุณคน เธอรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน เธออาจไม่ได้มีชีวิตสุขสบายแบบนี้ถ้าพ่อไม่ไปรับเธอมาดูแล เธออาจจะต้องนอนอยู่ริมถนนหรือแทบจะต้องใช้ชีวิตไปวัน ๆ อาจจะต้องทำงานสองงานสามงาน แต่ตอนนี้ เธอมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายแทบไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิง
แม้แต่เจ้าหญิงที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดยังอยากมีอิสรภาพบ้าง แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถ ไม่สามารถออกไปข้างนอกคนเดียว ฉันไม่ได้เจอเพื่อน เธอคิดถึงเพื่อนสนิทของเธอมาก ๆ บางครั้งความกดดันเหล่านี้มันมากจนเกินจะรับไวจนร้องไห้จนหลับไปก็มี คนอื่น ๆ คงรู้สึกโชคดีที่มีชีวิตที่เพียบพร้อมแบบเธอ หรือเป็นเพราะว่าเธอได้ทุกอย่างมาโดยง่ายเลยไม่เห็นคุณค่าใช่หรือเปล่า
“แน่นอนว่าลูกสาวพ่อต้องเข้าเรียนที่มหาลัยที่ดีที่สุดอยู่แล้ว พ่อจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องที่พัก พ่อซื้อคอนโดใหม่ให้หนู ตอนนี้เหลือแค่ตกแต่งอีกไม่เกินสองวันก็เสร็จ หนูไปถึงก็เริ่มเรียนได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ” เมริสาพยายามฝืนยิ้มส่งให้ แล้วก้มหน้าจ้องจานอาหารเช้าแสนน่ารับประทานตรงหน้า จู่ ๆ ความอยากอาหารก็หายไปในทันที
“พ่อยอมรับว่า คงจะเหงาถ้าเหมยไม่อยู่ที่นี่ แปลกไหม เราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่พ่อก็เริ่มชินกับการมีเหมยอยู่ใกล้ ๆ ไม่รู้ว่าว่าบ้านนี้จะเงียบและว่างเปล่าแค่ไหน” หลิวเจี้ยนสบตากับลูกสาว น้ำเสียงมีความอาวรณ์เล็ก ๆ
“หนูจะกลับมาในช่วงวันหยุด แล้วมหาลัยก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่ หนูอาจจะกลับมาทุกอาทิตย์ด้วยซ้ำ พ่อจะต้องเบื่อหน้าหนูแน่”
“ไม่หรอก แต่ลูกสาวพ่อก็อยู่ในวัยที่คนเป็นพ่อจะต้องเริ่มทำใจให้ชินกับที่จะไม่มีลูกสาวอยู่ใกล้ ๆ” หลิวเจี้ยนมองมาที่ลูกสาว เห็นว่ากำลังสับสนจึงพูดต่อ “ก็พ่อหมายถึงวัยนี้ปกติจะต้องไปเรียนมหาลัย หรือไม่ก็ถูกแต่งงานออกไปไม่ใช่เหรอ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมริสาได้ยินคนเป็นพ่อพูดแบบนี้ เธอไม่รู้ว่าควรจะถือเอาจริงเอาจังกับเขาหรือเปล่า ยังมีคนคิดแบบนี้เกี่ยวกับผู้หญิงอยู่จริง ๆ หรือ เหมือนกับว่าผู้หญิงไม่มีค่าอะไรนอกจากเป็นทรัพย์สินที่จะขายให้กับผู้เสนอราคาสูงสุด หรือสร้างพันธมิตรทางธุรกิจอะไรบางอย่าง
เมริสาปัดความคิดนั้นออกไป อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องแต่งงาน ระหว่างเรียนอยู่พ่อเธอคงไม่บอกให้เธอลาออกกลางคันเพื่อไปแต่งงานหรอก พอคิดแบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย
“หนูว่าหนูคงต้องรีบไปเตรียมตัวเก็บของแล้วค่ะ”
“ไม่จำเป็นหรอก ปล่อยให้งานพวกนี้เป็นหน้าที่ของคนรับใช้ไป” หลิวเจี้ยนยกมือห้าม “พอหนูไปถึง เซียวเฟิงจะจัดการทุกอย่างให้หนูเอง”
“เซียวเฟิง…เขามาเกี่ยวอะไรด้วยคะ”
“เขาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของเหมย ก็ต้องไปคุ้มกันหนูไง”
“ต้องถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หลิวเจี้ยนจ้องหน้าลูกสาวเพียงคนเดียวโดยตาไม่กะพริบ “หนูคิดว่าพ่อจะยอมปล่อยให้หนูไปคนเดียวเหรอ เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหนูไปอยู่ที่นั่น ถึงแม้ที่หยวนจิงจะมีแต่คนระดับเดียวกับเรา แต่พ่อก็ไม่สามารถวางใจได้ พวกผู้ชายก็ยังเป็นผู้ชายอยู่วันยังค่ำ”
เมริสาต้องกัดลิ้นตัวเองไม่ให้โพล่งอะไรออกไป ไม่เข้าใจว่าคุยกันมาถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร เธอต้องข่มกลั้นตัวเองอย่างมาก ไม่อยากยั่วโทสะคนเป็นพ่อ
“เอ่อ…พ่อคะ…แล้วเซียวเฟิง…เขาต้องไปเข้าเรียนกับหนูมั้ย ต้องตามติดหนูไปทุกที่รึเปล่า”
“ถ้าพ่อสั่งเจ้านั่นก็ต้องทำตาม และใช่ นั่นแหละหน้าที่ของเจ้านั่น”
หลิวเจี้ยนหรี่ตามองทำเอาเมริสารู้ว่าความอดทนของคนเป็นพ่อใกล้จะสิ้นสุดลงทุกที เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนหัวร้อน ไม่ใช่ว่าเขาเคยระเบิดใส่เธอ แต่เธอเคยเห็นตอนที่เขาระเบิดใส่คนอื่น และทุกครั้งเธอรู้สึกดีใจที่เธอไม่ใช่คนพวกนั้น“แล้วทางมหาลัยจะไม่ว่าอะไรเหรอคะ”“จะว่าอะไรได้ ไม่ใช่มีแค่ลูกสาวพ่อคนเดียวที่ไหนที่ต้องมีบอดี้การ์ด มหาลัยนี้มีแต่ลูกคนรวยและมีอิทธิพลเข้าเรียน ถ้าไม่มีบอดีการ์ดสิแปลก”ถูกต้อง แต่เมริสาคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนเดียวที่กระโจนใส่บอดี้การ์ดแล้วก็ร้องไห้ที่โดนปฏิเสธราวกับเป็นตัวน่าขยะแขยง ทำให้เธอมองหน้าเขาไม่ติด และตอนนี้เธอยังต้องปล่อยให้เขาติดตามเธอไปทุกที่แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัย“เขาจะอยู่กับหนูที่คอนโดด้วยรึเปล่าคะ”“เหมยหนูเป็นเด็กฉลาดที่คิดเรื่องนี้ได้”เมริสามองหน้าพ่อรอคำตอบทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว“พ่อคงไม่ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวหรอกใช่ไหม” หลิวเจี้ยนหัวเราะราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องขำขัน “พ่อจะปล่อยให้เหมยอยู่คนเดียวหรือจะไปอยู่หอพักร่วมกับคนอื่นทำไม ไม่สู้ให้อยู่กับคนที่รู้จักและไว้ใจได้ไม่ดีกว่าหรือ”เมริสารู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะขัดคำสั่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ก่อนหน้า
แม้กระทั่งตอนนี้ ผ่านไปหลายเดือน ความเจ็บปวดก็ยังสดใหม่อยู่ ร่างกายของเธอเกร็งขึ้นเมื่อนึกถึงสายตาเย็นชาคู่นั้น เขามองเหมือนกับว่าเธอเป็นเพียงแค่ขยะ เหมือนเขาเกลียดเธอมาก หรือแย่กว่านั้น รู้สึกสมเพชเธอ เธอยังไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนจะน่าอับอายมากกว่ากัน หากย้อนเวลากลับไปได้เธอคงไม่ยั่วยวนเขาแบบวันนั้นเมริสารีบเดินกลับห้อง ผ่านห้องหับต่าง ๆ ในคฤหาสน์หลังโต จนกระทั่งเสียงหนึ่งหยุดเธอไว้“สวัสดีครับเจ้าหญิง”เลือดในกายเมริสาเย็นเฉียบเมื่อได้ยินเสียงนี้ เธอหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม เตือนตัวเองเป็นร้อยครั้งว่าห้ามมองเขาแบบที่ชอบทำ แต่สายตาเธอดันติดนิสัยที่ชอบแอบชื่นชมร่างกายที่สมบูรณ์แบบของชายหนุ่ม สันกรามที่โดดเด่นและดวงตาสีดำสนิทดูเหมือนจะมีพายุขดวนเต็มไปด้วยความอันตรายที่แฝงเร้น บ่ากว้างและอกแกร่ง วิธียิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก ริมฝีปากหยักลึกที่ดูเหมือนเชื้อเชิญให้อยากสัมผัสว่ามันจะนุ่มแค่ไหนเมื่อได้สติเมริสารีบสลัดความคิดไร้สาระของตนออก เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เธอเฝ้าฝันและจินตนาการอีกต่อไปเขาจะเป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดที่เปรียบเสมือนผู้คุมของเธอเท่านั้น และที่สำคัญเขาเกลียดเธอ นั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่
“เปิดเพลงให้หน่อยสิ”เซียวเฟิงทำเพียงมองตรงไปข้างหน้า เหมือนที่ทำมาตลอดชั่วโมงที่ผ่านมา เขาไม่แม้แต่จะชำเลืองมองไปที่กระจกมองหลัง เพราะรู้ดีว่าเมริสาจะต้องกำลังจ้องเขาด้วยสายตาเกลียดชัง“นี่! นายหูหนวกรึเปล่า ฉันบอกว่าให้เปิดเพลง ไม่ได้ยินรึไง”เซียวเฟิงยังคงนิ่งเฉย มือกำแน่นรอบพวงมาลัย แต่หัวสมองกลับจินตนาการว่ากำลังบีบที่คอสวย ๆ ของหญิงสาวอยู่ การที่เขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำกับเธอมันแย่พอแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับความปรารถนาของตัวเองเมื่อไหร่ ทำไมเธอต้องทำอะไรให้มันยากมากขึ้นด้วยการยั่วโทสะเขาอยู่ตลอดเวลาดังนั้นการทำเป็นเกลียดเธอนั้นงายกว่า เพื่อปกปิดความต้องการจากส่วนลึก“เซียวเฟิง ฉันรู้ว่านายได้ยิน ช่วยเปิดเพลงให้ฉันหน่อยได้ไหม” สุดท้ายเมริสาเอ่ยขอร้องเสียงนุ่มนวลขึ้น“หืม ขอโทษครับที่ผมไม่ได้ยิน หูของผมมีปัญหานิดหน่อยเวลาคนอื
“ทำไมผมจะต้องอาย” เขาตอบออกไป หวังว่าการจราจรจะเคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ขับรถให้เร็วขึ้นอีกหน่อย อย่างน้อยก็จะมีเหตุผลให้เขาไม่ต้องใส่ใจตอบคำถามเธอ ใครว่าเขาไม่อาย!“พ่อสั่งให้นายไปนั่งเรียนกับฉันเหรอ”“มันคืองานของผมครับ คุณหนูจะไปถามอาจารย์ไหมว่าพวกเขาอายไหมที่ต้องยืนสอนอยู่หน้าชั้นเรียน นั่นคืองานของพวกเขาที่ทำแลกกับค่าจ้าง ผมก็เหมือนกัน” เซียวเฟิงแอบมองหญิงสาวผ่านกระจก “นอกจากนี้ที่นั่นมีแต่พวกลูกคนรวยหรือผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ ผมว่าไม่ได้มีแค่คุณหนูคนเดียวหรอกที่มีบอดี้การ์ดไปนั่งเรียนด้วย แต่ถ้ามีแค่คุณหนูคนเดียวจริงก็ไม่ได้แปลกอะไร คนพวกนั้นชินกับการเห็นบอดี้การ์ดอยู่รอบ ๆ อยู่แล้ว เพียงแต่คุณหนูยังไม่ชินแค่นั้นเอง”“นายกำลังดูถูกฉันเหรอ”“ทำไมคุณหนูถึงคิดว่าทุกอย่างที่ผมพูดคือการดูถูกล่ะครับ ผมไม่คิดดูถูกคุณหนูเลย ที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง คุณหนูไม่ได้เติบโตมาแบบเด็กพวกนั้น สำหรับคุณหนูมันเลยเป็นเรื่องแปลก ถูกไหมครับ”
“บ้าเอ๊ย!”เมริสาได้แต่สบถในใจ คิดว่าเมื่ออยู่ไกลพ่ออะไร ๆ ก็จะดีขึ้น อาจจะมีอิสระมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่นี่ไม่เลย เธอจ้องไปยังชายหนุ่มที่กำลังขับรถอยู่ นี่ก็ทำตัวเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ซะเหลือเกิน อยู่ไกลเจ้านายขนาดนี้จะหย่อนยานสักนิดไม่ได้เลยหรือแขนของเธอยังคงเจ็บจากการที่ถูกเขาจับอยู่เลย เธอเบ้ปากใส่ชายหนุ่ม ขณะเดียวกับที่รถเลี้ยวเข้าไปยังตึกที่ดูเหมือนโรงแรมห้าดาวมากกว่าคอนโด“ที่นี่เหรอ”เมริสามองเมื่อรถขับผ่านสวนสวยที่ได้รับการดูแลอย่างดี ตกแต่งด้วยน้ำพุหินอ่อนที่พุ่งน้ำสูงขึ้นไปในอากาศ มันเปล่งประกายเหมือนเพชรก่อนที่จะตกลงไปในสระน้ำรอบ ๆ“คุณหนูไม่ชอบหรือครับ”“ฉันพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” เมริสาค้อนขวับ เซียวเฟิงได้แต่หัวเราะเบา ๆ “ก็แค่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ ฉันว่ามันหรูเกินไปสำหรับนักศึกษาคนหนึ่งก็แค่นั้น”“ไม่มีอ
“อยากได้รางวัลเหรอครับที่ว่ามาเนี่ย”“ไอ้บ้า! นี่นายไม่เข้าใจหรือไงว่า ฉันอยากได้ความเคารพ สักเล็กน้อยก็ยังดี ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตคุณหนูแบบนี้ตั้งแต่เกิด ฉันเคยใส่เสื้อผ้ามือสองต่อจากคนอื่น แม่ฉันต้องประหยัดเงินเพื่อที่จะซื้อรองเท้านักเรียนใหม่ให้ฉันใส่ เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องมากระแนะกระแหนว่าฉันเป็นคุณหนูไฮโซ”“ผมรู้แล้วครับคุณหนู”“แต่วิธีที่นายพูดกับฉันยังทำให้รู้สึกเหมือนว่าฉันเป็นตัวตลกในสายตานายอยู่ดี”“คุณหนูคิดมากไปเอง”“ฮึ่ย! ไปตายซะ! ทั้งนายและพ่อฉันนั่นแหละ!”ทันใดนั้น จู่ ๆ ชายหนุ่มก็เข้ามาประชิด โน้มหน้าลงมาใกล้จนเกือบจะสัมผัสใบหน้าหญิงสาว“เรื่องนี้ผมจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ คุณหนูจะจิกหัวเรียกหรือจะด่าผมยังไงก็ได้ แต่ห้ามก้าวร้าวพูดจาไม่เคารพนายท่านเด็ดขาด”“เป็นอะไรของนายเนี่ย! พ่อไม่ได้อยู่ด้วยซะหน่อย ไม่ต้องทำตัวเป็น
เซียวเฟิงมองหญิงสาวที่เดินออกมาจัดจานแล้วนำอาหารเข้าไปกินในห้องตามที่เธอบอกไว้ก่อนหน้า เสียงประตูปิดดังปังคล้ายท้าทายเขาอยู่ในที เขานึกจนปัญญา ยังไม่ทันข้ามวันเธอก็แสดงความเป็นอริออกมาอย่างชัดเจน จนบางครั้งเขานึกอยากสั่งสอนด้วยการจับเธอพาดตักแล้วฟาดก้นงอน ๆ นั่นจนกว่าจะเลิกนิสัยเอาแต่ใจ เธอเปรียบเขาเป็นสุนัขรับใช้...นับว่าเธอยังโชคดีที่เขาควบคุมตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงนั่งไม่ติดไปอีกหลายวันหลังจากที่ถูกเขาจัดการกับก้นสวย ๆ นั่นเธอไม่รู้หรอกว่ากำลังเผชิญหน้ากับใครอยู่ เซียวเฟิงบอกกับตัวเองตั้งแต่วันแรกที่รับงานนี้ว่าจะไม่มีวันให้เธอรู้ งานคุ้มกันคุณหนูมาเฟียอาจเป็นงานอันแสนน่าเบื่อ แต่มันทำให้เขาหลีกหนีจากอดีตที่มือเปื้อนเลือดจานชามทุกใบที่ผ่านการล้างน้ำเปล่าถูกจัดเรียงใส่เครื่องล้างจานอย่างเป็นระเบียบ เมื่อจัดแจงทุกอย่างในครัวเสร็จแล้วเซียวเฟิงก็เดินออกจากห้องครัว อารมณ์กรุ่นโกรธที่มีต่อหญิงสาวยังไม่หายไป เขาอยากให้เธอรู้ตัวว่าทำผิด อยากสั่งสอน ทำลาย และจ้องเข้าไปในดวงตาที่สะท้อนความหวาดกลัว ทำให
เมริสาไม่คิดว่าจะหนีออกมาได้ง่ายขนาดนี้ โชคดีที่สัญญาณเตือนภัยจะมาติดตั้งในวันพรุ่งนี้ เธอไม่คิดว่าเซียวเฟิงจะอาบน้ำนาน ตอนแรกคิดว่าจะรอให้เขาหลับเสียก่อน เมื่อได้ออกมาแล้ว เธอก็จะสนุกให้เต็มที่เดิมทีเธอค้นหาข้อมูลสถานที่ใกล้เคียง แล้วสะดุดตากับผับที่อยู่ใกล้ในรัศมีที่สามารถเดินไปได้ ดีละ ในเมื่อเขาคิดว่าเธอเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ เธอก็จะเป็นให้ดูนักเที่ยวในผับแห่งนี้ส่วนมากรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ คาดว่าคงเป็นพวกนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเพราะอยู่ใกล้มาก“นี่” ชายสูงใหญ่กล้ามโตที่ดูเหมือนเป็นนักกีฬา ยื่นแก้วใส่มือก่อนที่เธอจะรู้ตัว เขาต้องโน้มตัวลงมาเพื่อให้เธอได้ยินเสียงของเขาท่ามกลางเสียงอึกทึกโดยรอบ “ฉันเลี้ยง เธอชื่ออะไร”“เหมย” เมริสาต้องตะโกนตอบ“ฉัน ตงหมิง เธอเป็นนักศึกษาที่หยวนจิงเหรอ”“ใช่ ฉันเพิ่งเข้าปีหนึ่ง นายล่ะ”“เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะ เธอมาที่นี่
อะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปมากภายในระยะเวลาอันสั้น เมริสาแทบไม่อยากเชื่อเมื่อเธอมองย้อนกลับไปยังช่วงเทอมที่ผ่านมา เธอเคยรู้สึกประหม่าเหลือเกิน เมื่อคิดว่าทุกคนกำลังจ้องมองเธออยู่ และคุยเรื่องของเธอกับเซียวเฟิงอย่างสนุกปาก เธอเคยกังวลกับเรื่องนั้นมากส่วนในตอนนี้ ไม่มีอะไรให้สงสัยอีกแล้ว ถึงอย่างไรทุกคนก็ต้องรู้เรื่องของเธอเมื่อเปิดเรียนอีกครั้ง เมริสากับบอดี้การ์ดพ่วงด้วยสถานะคนรักของเธอได้ย้ายกลับไปอยู่ที่คอนโด แน่นอนว่าประตูถูกซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว และพ่อของเธอก็ยังจัดการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เธอไม่ต้องเห็นหรือสัมผัสสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับตี้หยางและค่ำคืนอันเลวร้ายนั้นอีก และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวอร์ชั่นปรับปรุงแล้วก็แพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่งเวลาที่เมริสาเดินเคียงข้างเซียวเฟิงในมหาวิทยาลัย เธอรู้ดีว่าทุกคนต่างคิดถึงเรื่องเดียวกัน เซียวเฟิงช่วยชีวิตเธอไว้ ตี้หยางเกือบจะฆ่าเธอ หรืออาจฆ่าทั้งคู่ พวกเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าทำ
เซียวเฟิงกำลังรออยู่ในห้องพักส่วนตัวอย่างใจจดใจจ่อ แม้ว่าจะเชื่อใจในเมริสาแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่จัดกระเป๋าเตรียมไว้ เธออาจจะมองว่าเขากลายเป็นคนขี้ขลาด แต่เขาไม่ได้ปัญญาอ่อนที่จะอยู่รอความตาย ถ้าหากจะหนี เขาจะต้องเตรียมความพร้อมบางทีเขาควรจะบอกเมริสาก่อนที่พวกเขาจะนั่งลงคุยกับพ่อของเธอว่า เขาได้รับคำสัญญาว่าเขาจะขออะไรก็ได้ตามใจ และทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ความคิดของเขาก็พุ่งตรงไปที่เธอทันทีเธอคือสิ่งเดียวที่เขาต้องการ สิ่งเดียวที่ดีและจริงแท้ที่สุดในชีวิตที่เขาเคยรู้จักเขาไม่มีโอกาสได้บอกเธอเรื่องทั้งหมดนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน ทั้งตำรวจ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตึก และเพื่อนบ้านที่ตกใจสุดขีดเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขายังไม่ได้บอกเธอด้วยซ้ำว่าเขารักเธอ ก่อนที่พวกเขาจะถูกแยกตัวไปสอบปากคำ เขามีเวลาเพียงพอแค่นัดแนะเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อ
หลิวเจี้ยนหัวเราะเสียงดัง “นายล้อเล่นใช่ไหม”“ไม่ครับ ผมต้องการคุณหนู” เซียวเฟิงตอบเสียงจริงจัง หันไปมองเมริสาแล้วดึงมือเธอมากุมเพื่อยืนยัน “ผมรักเธอ คุณหนูเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม ที่ผมไปช่วยคุณหนูไม่ใช่เพราะคำสั่งนายท่าน แต่ผมไปเพราะผมอยากช่วยให้คุณหนูปลอดภัย ผมต้องการคุณหนู”เมริสาเบิกตาโตมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรอยู่ เขารู้ตัวหรือเปล่าว่าเขาบอกว่ารักเธอ ต่อหน้าพ่อเธอ ทั้งที่เขาไม่เคยบอกกับเธอมาก่อนใช่แล้ว เธอเองก็รักเขา เธออาจจะปฏิเสธว่าไม่ได้รักเขา แต่เธอรู้ตัวดี ต่อให้ปฏิเสธอย่างไรก็ตาม หัวใจเธอก็เป็นของเขาอยู่ดี แต่พ่อเธออาจเอาชีวิตเขาได้หลิวเจี้ยนขรึมลงในฉับพลัน กำลังข่มอารมณ์อยากฆ่าคนอย่างถึงขีดสุด “ฉันจะทำเป็นว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้”“นายท่านครับ...”“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น ในเมื่อนายเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ว่าอยากได้ลูกสาวของฉัน” หลิวเจี้ยนลุกข
เพราะได้ยินเสียงร้องเตือนของเมริสา เซียวเฟิงจึงหมุนตัวหลบอย่างรวดเร็ว กดหลังชิดกับผนังข้างประตูที่กำลังถูกเปิดออก เสียงกระสุนดังลั่นกระทบผนังฝั่งตรงข้ามในจุดที่เขาเคยยืนอยู่ มันคงเจาะทะลุร่างเขาไปแล้วถ้าเขาไม่หลบทันเขาหมุนตัวกลับมา ขึ้นไกปืนและเล็งเข้าไปในห้อง สายตาเฉียบคมจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวภายในทันทีแต่คราวนี้ไอ้บ้าตี้หยางไม่ได้เล็งปืนมาที่เขา มันกลับเอาปืนจ่อหัวเมริสาและยังล็อกตัวเธอไว้ด้านหน้า“ฉันน่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าแกก็ได้แต่หลบอยู่หลังผู้หญิง ฉันบอกแกแล้วว่านี่เป็นเรื่องระหว่างฉันกับนาย เหมยไม่เกี่ยว ปล่อยเธอไปซะ แล้วเราค่อยมาตกลงกันอย่างลูกผู้ชาย”“ไม่เกี่ยวยังไง” มือหยาบกร้านลูบไล้ที่อกอวบ มันน่าขยะแขยงมากจนเมริสาขนลุก ก่อนที่มันจะบีบขยำเต็มแรง “เป็นไง ความรู้สึกที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ฉันจะเอานั่งนี่ต่อหน้าแก ฮ่า ๆ ๆ”“ไม่มีวัน เพราะฉันจะฆ่าแกก่อน”“ถ้าฉันลั่นไกจะเป็นยังไงน
“เธอไม่เอะใจเลยเหรอว่าทำไมฉันถึงไปหาเธอได้เร็วขนาดนั้น ฮ่า ๆ ๆ เธอคงคิดไม่ถึงละสิ ว่าฉันน่ะรออยู่ในโรงแรมใกล ๆ บ้านเธอตั้งนานแล้ว เพราะรู้ว่ายังไงเธอจะต้องโทรมาน่ะสิ เธอน่ะเอาแต่คิดถึงแต่ตัวเอง ต้องโทษว่าที่เป็นแบบนี้เพราะเธอโง่เอง”เมริสารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาโชว์ความฉลาด สิ่งที่เธอต้องทำคือทำให้ตี้หยางสงบที่สุด ระหว่างทางเขาค่อย ๆ จมดิ่งไปกับความแค้นในอดีต คอยพร่ำพรรณนาบอกว่าเขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากอย่างไรบ้างหลังจากที่เซียวเฟิงสังหารพ่อของเขาตอนนี้เมริสานั่งอยู่ที่โซฟา วางมือไว้บนหน้าขาเพื่อให้ตี้หยางเห็นได้ถนัดว่าเธอไม่ได้ซ่อนอะไรไว้ ส่วนเขาเดินไปรอบห้อง บางครั้งก็มองที่ประตูระเบียงแต่ไม่ได้เดินไปที่นั่น เขากำลังรอว่าเมื่อไหร่เซียวเฟิงจะมาเมริสามั่นใจว่าชายหนุ่มต้องมา เขาจะต้องได้รับแจ้งเตือนตอนประตูคอนโดเปิดทางโทรศัพท์ เธอได้แต่ภาวนาในใจให้เขาระวังตัว เธอไม่สนแล้วว่าเขาจะเคยโกหกหลอกลวงเธอ ไม่ว่าเขาจะทำงานอะไรให้พ่อ เธอปรารถนาเพียงอย่างเดียวว่าจะต้องหนีไปจากที่นี่ใ
“นายแน่ใจว่าเป็นมัน?”“ครับ ผมเช็กเฟซบุ๊กคุณหนูแล้วก็เช็กอีเมล คุณหนูติดต่อกับมันไม่ผิดแน่ คุณหนูนัดกับมันให้ไปรอรับที่ประตูหลัง”“แล้วนายแน่ใจใช่ไหมว่ามันคือคนที่นายคิด”“ผมแฮ็กเข้าบัญชีมัน มีรูปมันกับเฉินเหว่ยที่ถ่ายไว้เมื่อหลายปีก่อนครับนายท่าน ผมเดาว่ามันน่าจะกลับมาใช้สกุลของแม่หรืออาจจะเป็นคนที่อุปการะเลี้ยง”“คิดจะแก้แค้นให้พ่อมัน หึ ฉันจะฆ่ามันไอ้สารเลว เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก”ในที่สุดเซียวเฟิงก็กระจ่างชัด ตลอดเวลาที่ไอ้ตี้หยางมันเข้าหา ไม่ใช่เพราะสนใจในตัวเมริสา แต่เป็นเพราะเขากับหลิวเจี้ยน ด้วยเหตุผลที่เธอไม่มีทางคาดเดาได้เพราะเธอไม่เคยรู้ว่าเขาทำอะไรไปบ้าง ว่าเขาสามารถฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น เพียงเพราะพ่อของเธอสั่งให้ทำ เพราะคนคนนั้นกำลังจะให้การเป็นพยานปากสำคัญและต้องถูกปิดปากอย่างถาวรเขาพยายามคิดว่าคืนนั้นได้พลาดอะไรไป ซึ่งอาจจะเป็นอะไรก็ได้ เพร
ตั้งแต่ขึ้นรถมาได้เมริสาก็หันกลับไปมองข้างหลังตลอด ตี้หยางขับรถเร็วมากจนภาพคฤหาสน์หลังใหญ่หายไปจากครรลองสายตาอย่างรวดเร็ว“ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครเห็นฉัน” ตี้หยางพ่นลมหายใจออก “ตอนนี้เธอบอกฉันได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงให้ฉันรีบออกมารับแบบนี้ ใครทำอะไรเธอรึเปล่า ไอ้บอดี้การ์ดนั่นทำร้ายเธอใช่ไหม ฉันจะกลับไปฆ่ามันเดี๋ยวนี้”“ไม่ต้อง! เอ่อ…มันไม่ใช่อย่างที่นายคิด คือพ่อกับเซียวเฟิงโกหกฉันมาตลอด”“โกหก? เรื่องอะไร?” ตี้หยางชำเลืองมองเมริสาก่อนจะหันกลับไปมองถนนต่อ “เธอเปิดอ่านอีเมลแล้วเหรอ”“อืม ก็นายบอกให้ฉันเช็กอีเมลไม่ใช่เหรอ”“ก็ใช่ แต่ฉันไม่ได้ให้เธอรีบเปิดอ่านเลยเสียหน่อย ฉันไม่ได้อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้”“จะให้ทำยังไงได้ล่ะ”“เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอรู้แล้วใช่มั้ยว่าพ่อเธอทำอะไร” เสียงของชายหนุ่มสะท้อนความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัดจนเมริสานึกแปลกใจ
เขาถูกเธอเกลียดเข้าแล้วจริง ๆ ก่อนหน้านี้เธอเคยพูดใส่หน้าเขาบ่อย ๆ ว่าเธอเกลียดเขา แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน เธอสามารถทำลายเขาได้เพียงแค่บอกพ่อเธอ แต่เธอไม่ทำ แบบไหนมันเจ็บกว่ากันนะ แน่นอนว่าคำว่าเกลียดมันบาดลึกในใจเขาเหลือเกินปัง!หลิวเจี้ยนตบโต๊ะเสียงดัง“บอกฉันมาซิว่านี่มันเกิดเรื่องห่าอะไรขึ้น นายปล่อยให้ยัยเหมยไปกับผู้ชายได้ยังไง นี่ฉันจะจ้างนายไปทำไม ฉันสั่งไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่ายัยเหมยต้องบริสุทธิ์!”“คุณหนูโกหกครับ”สายตาเซียวเฟิงจ้องอยู่ที่ประตู หากไม่ติดที่หลิวเจี้ยนกำลังระเบิดโทสะอยู่เขาจะต้องรีบตามเมริสาไป เธอสามารถบอกได้ว่าเสียความบริสุทธิ์ให้เขา แต่เธอไม่ การให้ความหวังเขาแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย แต่ถ้าหลิวเจี้ยนกดดันเธอหนักเข้า เธออาจจะพูดออกไป“โกหก?”“ครับ เพราะผมไม่เคยปล่อยให้คุณหนูคลาดสายตา และทุกครั้งที่ประตูคอนโดปิดหรือเปิดผมจะไ
“นี่มันเรื่องอะไรกันเหมย” หลิวเจี้ยนลุกขึ้น เดินอ้อมโต๊ะทำงานมาหาเมริสา“อย่าเข้ามาค่ะ” เมริสาก้าวถอยหลังด้วยความรู้สึกรังเกียจและรับไม่ได้กับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้ เธอสังเกตเห็นเซียวเฟิงที่ในมือถือแก้วบรรจุน้ำสีอำพันอยู่ ทำให้นึกสงสัยว่าพวกเขากำลังสังสรรค์อะไรกันอยู่ เธอหันหน้าไปทางชายหนุ่ม “นายรู้เรื่องนี้และมีส่วนร่วมด้วยใช่มั้ย”ใบหน้าหล่อของเซียวเฟิงถอดสี “เรื่องอะไรครับ ผมไม่...”“ไม่ต้องพูด ฉันไม่อยากฟังคำโกหกอีก” เธอหันกลับไปทางหลิวเจี้ยน “พ่อทำแบบนี้ได้ยังไง โกหกเหมยมาตลอดตั้งแต่ต้น”“เมื่อกี้นายบอกว่ายัยเหมยจะเสียความรู้สึกใช่ไหม” หลิวเจี้ยนเลิกคิ้วมองเซียวเฟิง“อ้อ นี่กำลังพูดถึงเหมยกันอยู่ใช่มั้ย กำลังวางแผนกันว่าจะจัดการกับเหมยอย่างไรถ้ารู้ความจริงว่าเงินของพ่อทั้งหมดนี้ได้มาจากอะไร” เมริสาทั้งผิดหวัง เสียใจและโมโหจนตัวสั่นบทความชิ้นที่สามที่ตี้หยางส่งมามีรายละเอียดทุกอย่างเ