แม้กระทั่งตอนนี้ ผ่านไปหลายเดือน ความเจ็บปวดก็ยังสดใหม่อยู่ ร่างกายของเธอเกร็งขึ้นเมื่อนึกถึงสายตาเย็นชาคู่นั้น เขามองเหมือนกับว่าเธอเป็นเพียงแค่ขยะ เหมือนเขาเกลียดเธอมาก หรือแย่กว่านั้น รู้สึกสมเพชเธอ เธอยังไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนจะน่าอับอายมากกว่ากัน หากย้อนเวลากลับไปได้เธอคงไม่ยั่วยวนเขาแบบวันนั้น
เมริสารีบเดินกลับห้อง ผ่านห้องหับต่าง ๆ ในคฤหาสน์หลังโต จนกระทั่งเสียงหนึ่งหยุดเธอไว้
“สวัสดีครับเจ้าหญิง”
เลือดในกายเมริสาเย็นเฉียบเมื่อได้ยินเสียงนี้ เธอหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม เตือนตัวเองเป็นร้อยครั้งว่าห้ามมองเขาแบบที่ชอบทำ แต่สายตาเธอดันติดนิสัยที่ชอบแอบชื่นชมร่างกายที่สมบูรณ์แบบของชายหนุ่ม สันกรามที่โดดเด่นและดวงตาสีดำสนิทดูเหมือนจะมีพายุขดวนเต็มไปด้วยความอันตรายที่แฝงเร้น บ่ากว้างและอกแกร่ง วิธียิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก ริมฝีปากหยักลึกที่ดูเหมือนเชื้อเชิญให้อยากสัมผัสว่ามันจะนุ่มแค่ไหน
เมื่อได้สติเมริสารีบสลัดความคิดไร้สาระของตนออก เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เธอเฝ้าฝันและจินตนาการอีกต่อไป
เขาจะเป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดที่เปรียบเสมือนผู้คุมของเธอเท่านั้น และที่สำคัญเขาเกลียดเธอ นั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่เธอจะกอดอกเชิดหน้าใส่
“ฉันไม่เห็นเจ้าหญิงที่ไหนตรงนี้เสียหน่อย เลยไม่รู้ว่านายพูดกับใคร”
เซียวเฟิงแค่กลอกตา “ครับ ทำตัวแบบนี้ต่อไปเถอะ เจ้าหญิง”
“นายมีเรื่องอะไร”
“ผมเดาว่านายท่านน่าจะบอกคุณหนูแล้วว่าเราสองคนต้องอยู่ร่วมกัน”
“ไม่ใช่ซะหน่อย” เธอแหวใส่
“แล้วยังไงครับ”
“เราแค่อยู่คอนโดเดียวกันแต่คนละห้อง!”
“แล้วมันต่างกันตรงไหนครับ ยังไงเราก็ต้องอยู่ร่วมกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ” เซียวเฟิงยิ้มมุมปากน้อย ๆ
เมริสาทำท่าฮึดฮัดขัดใจ เขาคิดว่าตัวเองฉลาดนักรึไงที่ต้อนเธอให้จนมุมได้ แต่เธอไม่มีวันยอมหรอก
“นายเป็นแค่ลูกน้องที่กินเงินเดือนพ่อฉัน เพราะฉะนั้นก็แค่คนที่พ่อฉันส่งไปรับใช้แค่นั้นแหละ”
เซียวเฟิงกระตุกยิ้มที่ดูหยามหยันอยู่ในที “คุณหนูคงไม่คิดว่าการที่คุณหนูอยู่ไกลหูไกลตานายท่านจะทำให้การดูแลรักษาความปลอดภัยหย่อนยานลงหรอกใช่ไหมครับ”
“นายจะทำอะไร นายกล้าหือกับฉันเหรอ”
“ก็ไม่แน่นะครับ ผมขอเตือนไว้ก่อน ถ้าคุณหนูคิดจะทำเรื่องบ้า ๆ เหมือนที่ทำมาตลอด หรือว่าจะคิดหนีออกไป อย่าลืมว่าผมนำหน้าคุณสองก้าวเสมอ” ตอนนี้เซียวเฟิงเลิกคิ้วขึ้นและคลี่ยิ้มที่ดูเหมือนจะจริงใจแต่ทว่าเย็นชา “และถ้าคุณหนูทำหน้าเศร้าเหมือนไม่อยากไปเรียนต่อมหาลัยแบบนี้ผมสามารถรายงานนายท่านเรื่องนี้ได้ ปัญหาเรื่องนี้ก็จะจบ เพราะนายท่านจะไม่มีวันยอมให้คุณหนูก้าวเท้าออกจากคฤหาสน์หลังนี้อีก”
เมริสารู้ว่าเขาจะทำเช่นนั้นแน่เพื่อกำจัดเธอ ถ้าเธออยู่ในบ้านตลอดเวลา เขาก็ไม่จำเป็นต้องคุ้มกันเธออีกต่อไป
“อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไร นายกลัวว่าจะทำงานพลาดเวลาต้องไปอยู่ข้างนอก นายกลัวว่าฉันจะสร้างปัญหาให้นายเลยต้องมาขู่ฉันล่วงหน้า”
“ผมรู้จักคุณหนูดีครับ” เสียงเตือนทุ้มต่ำแฝงแววคุกคามทำให้แผ่นหลังเมริสาสั่นสะท้านแต่ก็ยังดึงดัน
“นายหัดรู้จักเจียมตัวซะบ้างว่าไม่มีสิทธิ์มาพูดกับฉันแบบนี้ ฉันจะบอกให้พ่อหาคนอื่นที่ไม่เอาแต่นั่งโอดครวญมาคุ้มกันฉันแทนนายก็ได้”
“คุณหนูกำลังกล่าวหาว่าผมโอดครวญ?” ก่อนที่จะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เมริสาก็ถูกผลักให้ร่างแนบกับประตูห้องนอนที่เปิดค้างอยู่ โดยมีร่างสูงใหญ่เข้ามาประชิด ทำให้ตอนนี้ท้องสองอยู่ใกล้กันมากจนเธอได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวชายหนุ่ม ความร้อนที่แผ่ซ่านออกมา ขนแขนของเธอลุกชันเมื่อสัมผัสถึงลมหายใจร้อน ๆ ยามที่เขาโน้มหน้าลงมาหา “ผมขอเตือนไว้ก่อนนะครับคุณหนู ว่าอย่าคิดทำอะไรบ้า ๆ ผมจะต้องรายงานนายท่านแน่”
เมริสาขาสั่นจนแทบยืนไม่อยู่แต่เธอจะไม่มีวันล้มลงต่อหน้าชายหนุ่ม เธอมีไพ่ในมือที่เหนือกว่า บทเรียนที่เธอได้เรียนรู้จากเซียวเฟิงในคืนนั้นคือ เขาต้องการรักษาหน้าที่การงานของเขาไว้ ไม่ว่าจะต้องเสแสร้งแค่ไหน เขาไม่มีทางให้พ่อของเธอรู้เรื่องนั้นเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เธอจึงเชิดหน้าขึ้น
“ถ้านายกล้าก็ไปบอกพ่อฉันเลย แล้วมาดูกันว่าจะเป็นยังไง แต่เราสองคนรู้แก่ใจดีว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไงไม่ใช่เหรอ ฉันว่านายควรปิดปากให้สนิทเสียดีกว่า แล้วก็ปล่อยให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันต้องการ ยังไงฉันก็จะต้องไปเรียนต่อมหาลัย ฉันต้องการอิสระ”
“คุณหนูคิดว่าจะง่ายขนาดนั้นหรือ เราต่างรู้ว่านายท่านเป็นคนยังไง” เซียวเฟิงลดเสียงลงจนเกือบจะเป็นเสียงคำรามในลำคอ จนทำให้เมริสารู้สึกประหม่า “ผมขอเตือนไว้ก่อนให้คุณหนูประพฤติตัวให้เหมาะสม อย่าให้ผมต้องจัดการขั้นเด็ดขาด คุณหนูจะไม่ชอบมันแน่” ว่าจบเขาก็เดินจากไปเงียบ ๆ เหมือนกับตอนปรากฏตัวครั้งแรก
เมริสายกมือขึ้นกุมอก เพิ่งรู้ตัวว่ากลั้นหายใจอยู่ เขาที่สั่น ๆ ตอนนี้ต้านทานไม่อยู่ ทั้งร่างจึงร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น
เธอจะต้องอยู่ร่วมกับผู้ชายคนนี้เพียงลำพังโดยไม่มีใครคอยจับตามองจริง ๆ หรือ
แล้วเธอจะอดทนกับเขาหรือเขาจะอดทนกับเธอไปได้สักเท่าไหร่กัน
เพียงแค่นี้ก็มองเห็นปัญหาขึ้นมาราง ๆ
หลังงานเลี้ยงจบลง เมริสาเดินเล่นอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ของผู้เป็นบิดา เธอเริ่มจะคุ้นชินกับความใหญ่โตของที่แห่งนี้และความเงียบที่เข้ามาปกคลุมในยามค่ำคืน การได้อยู่คนเดียวเพียงลำพังเป็นสิ่งที่เธอโหยหา เพราะรอบตัวเธอไม่ว่าจะทำอะไรที่ไหนจะต้องมีผู้ติดตามและคอยคุ้มกันเสมอ เวลาเดียวที่เธอได้รับอนุญาตให้อยู่เพียงลำพังได้คือตอนเข้าห้องน้ำและตอนนอนเท่านั้น แม้กระนั้นเธอกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างที่จะต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ กล้าคุยด้วย ช่างเป็นชีวิตที่น่าเย้ยหยันนักงานเลี้ยงคืนนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเธอ มันเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของพ่อ เธอผู้เป็นลูกสาวมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือแต่งตัวสวย ๆ ฉีกยิ้มหวาน ๆ วางตัวให้สมฐานะลูกสาวคนเดียวของหลิวเจี้ยน ผู้นำสูงสุดของหลงเว่ยกรุ๊ป ชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในเซี่ยงไฮ้หากเอ่ยถึงหลงเว่ยกรุ๊ป ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะกิจการครอบคลุมตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การขนส่ง ธุรกิจบันเทิง และอื่น ๆ อีกเกินกว่าจะนับไหว การมาอยู่จุดนี้ได้ แน่นอนว่าเหรียญมักมีสองด้าน ธุรกิจบนดินแม้จะทำกำไรมหาศาลแต่ก็ยังไม่สู้ธุรกิจดำมืดที่อยู
เสียงรองเท้าหนัก ๆ กระทบกับทางเดินหินอ่อนจากเรือนพักข้ารับใช้ไปยังตัวคฤหาสน์ เซียวเฟิงเพิ่งกลับเข้าห้องพักตัวเองไม่ถึงสองนาทีก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นนายสั่งให้เขาไปพบที่ห้องทำงานห้องทำงานของหลิวเจี้ยนอยู่ทางปีกตะวันออกของคฤหาสน์อันใหญ่โตหลังนี้ ตอนมาเหยียบที่นี่ครั้งแรกเซียวเฟิงถึงกับตื่นตะลึงไม่คิดว่าตนจะได้อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ เขาได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย แต่ถึงอย่างนั้น สถานะของเขาก็เป็นเพียงการ์ดต่ำต้อย แม้ว่าตำแหน่งของเขาจะค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น แต่ก็เป็นตำแหน่งที่เปราะบางที่สุดเช่นกัน แค่ก้าวพลาดครั้งเดียว ก็อาจถูกโยนออกจากที่นี่นั่นยังนับว่าเป็นกรณีที่ดีที่สุดด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นกรณีแย่ที่สุด และคงจะใกล้ความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งก็คือเขาอาจถูกพบเป็นศพในที่ใดที่หนึ่งในสภาพศีรษะกระจุย ถูกเลาะฟัน ตัดแขน ตัดขา เพื่อให้ยากต่อการระบุตัวตน คิดดังนั้นก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ไม่อยากจะจินตนาการลูกน้องคนอื่น ๆ หากทำงานพลาดอาจเพียงแค่ถูกไล่ออก แต่ว่า...หากเขาก้าวผิดเพียงก้าวเดียว นั่นเท่ากับความตายหลิวเจี้ยนขึ้นชื่อว่าให้ความสำคัญกับลูกสาวเป็นอย่างมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เค
“คุณหนูทราบเรื่องนี้หรือยังครับ”หลิวเจี้ยนส่ายหัว “พรุ่งนี้ฉันจะคุยกับเหมย แต่ฉันบอกเรื่องนี้ให้นายรู้ก่อน ฉันรู้ว่าฉันเชื่อใจนายได้”เซียวเฟิงทำได้เพียงพยักหน้า คำพูดนั้นชัดเจน หากทำเสียเรื่อง ชีวิตแกจบสิ้นแน่“ผมจะดูแลคุณหนูเอง นายท่านไม่ต้องเป็นห่วงครับ” แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่มือที่กุมกันอยู่กำลังกำแน่น โชคดีที่เขาเป็นคนเก็บอารมณ์และสีหน้าเก่ง“ฉันต้องการให้นายดูแลเธอเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องความบริสุทธิ์...”“ครับ” เซียวเฟิงคุ้นเคยกับคำสั่งไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ยังอดแปลกใจกับเรื่องนี้ไม่ได้“ความบริสุทธิ์” หลิวเจี้ยนย้ำอีกครั้ง “นายก็โต ๆ กันแล้ว คงรู้ว่าฉันพูดเรื่องอะไร” เขาแสยะยิ้มแล้วพูดต่อ “ฉันรู้ว่ายัยเหมยยังบริสุทธิ์อยู่ ฉันเคยให้หมอตรวจตั้งแต่ตอนที่ฉันพาเหมยกลับมา หลังจากนั้นก็อยู่ในสายตานายตลอด”“ครับ”“ไม่มีผู้ชายที่ไหนใช่มั้ย”“ไม่มีครับ”“นั่นไง” หลิวเจี้ยนไหวไหล่ “แสดงว่าเหมยยังบริสุทธิ์ และนั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการให้มันคงอยู่แบบนั้น ถ้าแปดเปื้อนไปแล้วก็คงไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะให้เธอแต่งงานเพื่อเกี่ยวดองทางธุรกิจ”นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวเฟิงได้ยินเรื่องนี้ แน่นอนว่าการกันเม
“พ่อรู้ว่าลูกจะต้องดีใจกับเรื่องนี้”ดีใจงั้นหรือ ตอนนี้ในหัวเมริสากำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่หลิวเจี้ยนบอก เขาจะส่งเธอไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหยวนจิง“แต่หนูไม่ได้ยื่นใบสมัครที่นั่นไปนี่คะ”“พ่อจัดการทุกอย่างให้หนูแล้ว หนูไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ดีหรือไง”เหมือนกับทุกครั้ง เมริสาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด เธอไม่มีสิทธิ์เลือกหรือตัดสินใจอะไรในชีวิตของตัวเอง ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ เธอมีเงิน มีทุกอย่างที่ต้องการ เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอะไรเลย แต่นั่นเท่ากับว่าเธอไม่สามารถเลือกได้แม้แต่มหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเรียนเมริสามองหน้าคนเป็นพ่อที่มองเธออย่างคาดหวัง ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้ม“ขอบคุณค่ะ”มือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำลังกำแน่นเล็บจิกบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บเธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้คุณคน เธอรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน เธออาจไม่ได้มีชีวิตสุขสบายแบบนี้ถ้าพ่อไม่ไปรับเธอมาดูแล เธออาจจะต้องนอนอยู่ริมถนนหรือแทบจะต้องใช้ชีวิตไปวัน ๆ อาจจะต้องทำงานสองงานสามงาน แต่ตอนนี้ เธอมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายแทบไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงแม้แต่เจ้าหญิงที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดยังอยากมีอิสรภาพบ้าง แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตใ
หลิวเจี้ยนหรี่ตามองทำเอาเมริสารู้ว่าความอดทนของคนเป็นพ่อใกล้จะสิ้นสุดลงทุกที เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนหัวร้อน ไม่ใช่ว่าเขาเคยระเบิดใส่เธอ แต่เธอเคยเห็นตอนที่เขาระเบิดใส่คนอื่น และทุกครั้งเธอรู้สึกดีใจที่เธอไม่ใช่คนพวกนั้น“แล้วทางมหาลัยจะไม่ว่าอะไรเหรอคะ”“จะว่าอะไรได้ ไม่ใช่มีแค่ลูกสาวพ่อคนเดียวที่ไหนที่ต้องมีบอดี้การ์ด มหาลัยนี้มีแต่ลูกคนรวยและมีอิทธิพลเข้าเรียน ถ้าไม่มีบอดีการ์ดสิแปลก”ถูกต้อง แต่เมริสาคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนเดียวที่กระโจนใส่บอดี้การ์ดแล้วก็ร้องไห้ที่โดนปฏิเสธราวกับเป็นตัวน่าขยะแขยง ทำให้เธอมองหน้าเขาไม่ติด และตอนนี้เธอยังต้องปล่อยให้เขาติดตามเธอไปทุกที่แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัย“เขาจะอยู่กับหนูที่คอนโดด้วยรึเปล่าคะ”“เหมยหนูเป็นเด็กฉลาดที่คิดเรื่องนี้ได้”เมริสามองหน้าพ่อรอคำตอบทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว“พ่อคงไม่ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวหรอกใช่ไหม” หลิวเจี้ยนหัวเราะราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องขำขัน “พ่อจะปล่อยให้เหมยอยู่คนเดียวหรือจะไปอยู่หอพักร่วมกับคนอื่นทำไม ไม่สู้ให้อยู่กับคนที่รู้จักและไว้ใจได้ไม่ดีกว่าหรือ”เมริสารู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะขัดคำสั่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ก่อนหน้า
แม้กระทั่งตอนนี้ ผ่านไปหลายเดือน ความเจ็บปวดก็ยังสดใหม่อยู่ ร่างกายของเธอเกร็งขึ้นเมื่อนึกถึงสายตาเย็นชาคู่นั้น เขามองเหมือนกับว่าเธอเป็นเพียงแค่ขยะ เหมือนเขาเกลียดเธอมาก หรือแย่กว่านั้น รู้สึกสมเพชเธอ เธอยังไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนจะน่าอับอายมากกว่ากัน หากย้อนเวลากลับไปได้เธอคงไม่ยั่วยวนเขาแบบวันนั้นเมริสารีบเดินกลับห้อง ผ่านห้องหับต่าง ๆ ในคฤหาสน์หลังโต จนกระทั่งเสียงหนึ่งหยุดเธอไว้“สวัสดีครับเจ้าหญิง”เลือดในกายเมริสาเย็นเฉียบเมื่อได้ยินเสียงนี้ เธอหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม เตือนตัวเองเป็นร้อยครั้งว่าห้ามมองเขาแบบที่ชอบทำ แต่สายตาเธอดันติดนิสัยที่ชอบแอบชื่นชมร่างกายที่สมบูรณ์แบบของชายหนุ่ม สันกรามที่โดดเด่นและดวงตาสีดำสนิทดูเหมือนจะมีพายุขดวนเต็มไปด้วยความอันตรายที่แฝงเร้น บ่ากว้างและอกแกร่ง วิธียิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก ริมฝีปากหยักลึกที่ดูเหมือนเชื้อเชิญให้อยากสัมผัสว่ามันจะนุ่มแค่ไหนเมื่อได้สติเมริสารีบสลัดความคิดไร้สาระของตนออก เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เธอเฝ้าฝันและจินตนาการอีกต่อไปเขาจะเป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดที่เปรียบเสมือนผู้คุมของเธอเท่านั้น และที่สำคัญเขาเกลียดเธอ นั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่
หลิวเจี้ยนหรี่ตามองทำเอาเมริสารู้ว่าความอดทนของคนเป็นพ่อใกล้จะสิ้นสุดลงทุกที เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนหัวร้อน ไม่ใช่ว่าเขาเคยระเบิดใส่เธอ แต่เธอเคยเห็นตอนที่เขาระเบิดใส่คนอื่น และทุกครั้งเธอรู้สึกดีใจที่เธอไม่ใช่คนพวกนั้น“แล้วทางมหาลัยจะไม่ว่าอะไรเหรอคะ”“จะว่าอะไรได้ ไม่ใช่มีแค่ลูกสาวพ่อคนเดียวที่ไหนที่ต้องมีบอดี้การ์ด มหาลัยนี้มีแต่ลูกคนรวยและมีอิทธิพลเข้าเรียน ถ้าไม่มีบอดีการ์ดสิแปลก”ถูกต้อง แต่เมริสาคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนเดียวที่กระโจนใส่บอดี้การ์ดแล้วก็ร้องไห้ที่โดนปฏิเสธราวกับเป็นตัวน่าขยะแขยง ทำให้เธอมองหน้าเขาไม่ติด และตอนนี้เธอยังต้องปล่อยให้เขาติดตามเธอไปทุกที่แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัย“เขาจะอยู่กับหนูที่คอนโดด้วยรึเปล่าคะ”“เหมยหนูเป็นเด็กฉลาดที่คิดเรื่องนี้ได้”เมริสามองหน้าพ่อรอคำตอบทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว“พ่อคงไม่ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวหรอกใช่ไหม” หลิวเจี้ยนหัวเราะราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องขำขัน “พ่อจะปล่อยให้เหมยอยู่คนเดียวหรือจะไปอยู่หอพักร่วมกับคนอื่นทำไม ไม่สู้ให้อยู่กับคนที่รู้จักและไว้ใจได้ไม่ดีกว่าหรือ”เมริสารู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะขัดคำสั่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ก่อนหน้า
“พ่อรู้ว่าลูกจะต้องดีใจกับเรื่องนี้”ดีใจงั้นหรือ ตอนนี้ในหัวเมริสากำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่หลิวเจี้ยนบอก เขาจะส่งเธอไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหยวนจิง“แต่หนูไม่ได้ยื่นใบสมัครที่นั่นไปนี่คะ”“พ่อจัดการทุกอย่างให้หนูแล้ว หนูไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ดีหรือไง”เหมือนกับทุกครั้ง เมริสาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด เธอไม่มีสิทธิ์เลือกหรือตัดสินใจอะไรในชีวิตของตัวเอง ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ เธอมีเงิน มีทุกอย่างที่ต้องการ เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอะไรเลย แต่นั่นเท่ากับว่าเธอไม่สามารถเลือกได้แม้แต่มหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเรียนเมริสามองหน้าคนเป็นพ่อที่มองเธออย่างคาดหวัง ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้ม“ขอบคุณค่ะ”มือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำลังกำแน่นเล็บจิกบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บเธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้คุณคน เธอรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน เธออาจไม่ได้มีชีวิตสุขสบายแบบนี้ถ้าพ่อไม่ไปรับเธอมาดูแล เธออาจจะต้องนอนอยู่ริมถนนหรือแทบจะต้องใช้ชีวิตไปวัน ๆ อาจจะต้องทำงานสองงานสามงาน แต่ตอนนี้ เธอมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายแทบไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงแม้แต่เจ้าหญิงที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดยังอยากมีอิสรภาพบ้าง แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตใ
“คุณหนูทราบเรื่องนี้หรือยังครับ”หลิวเจี้ยนส่ายหัว “พรุ่งนี้ฉันจะคุยกับเหมย แต่ฉันบอกเรื่องนี้ให้นายรู้ก่อน ฉันรู้ว่าฉันเชื่อใจนายได้”เซียวเฟิงทำได้เพียงพยักหน้า คำพูดนั้นชัดเจน หากทำเสียเรื่อง ชีวิตแกจบสิ้นแน่“ผมจะดูแลคุณหนูเอง นายท่านไม่ต้องเป็นห่วงครับ” แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่มือที่กุมกันอยู่กำลังกำแน่น โชคดีที่เขาเป็นคนเก็บอารมณ์และสีหน้าเก่ง“ฉันต้องการให้นายดูแลเธอเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องความบริสุทธิ์...”“ครับ” เซียวเฟิงคุ้นเคยกับคำสั่งไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ยังอดแปลกใจกับเรื่องนี้ไม่ได้“ความบริสุทธิ์” หลิวเจี้ยนย้ำอีกครั้ง “นายก็โต ๆ กันแล้ว คงรู้ว่าฉันพูดเรื่องอะไร” เขาแสยะยิ้มแล้วพูดต่อ “ฉันรู้ว่ายัยเหมยยังบริสุทธิ์อยู่ ฉันเคยให้หมอตรวจตั้งแต่ตอนที่ฉันพาเหมยกลับมา หลังจากนั้นก็อยู่ในสายตานายตลอด”“ครับ”“ไม่มีผู้ชายที่ไหนใช่มั้ย”“ไม่มีครับ”“นั่นไง” หลิวเจี้ยนไหวไหล่ “แสดงว่าเหมยยังบริสุทธิ์ และนั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการให้มันคงอยู่แบบนั้น ถ้าแปดเปื้อนไปแล้วก็คงไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะให้เธอแต่งงานเพื่อเกี่ยวดองทางธุรกิจ”นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวเฟิงได้ยินเรื่องนี้ แน่นอนว่าการกันเม
เสียงรองเท้าหนัก ๆ กระทบกับทางเดินหินอ่อนจากเรือนพักข้ารับใช้ไปยังตัวคฤหาสน์ เซียวเฟิงเพิ่งกลับเข้าห้องพักตัวเองไม่ถึงสองนาทีก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นนายสั่งให้เขาไปพบที่ห้องทำงานห้องทำงานของหลิวเจี้ยนอยู่ทางปีกตะวันออกของคฤหาสน์อันใหญ่โตหลังนี้ ตอนมาเหยียบที่นี่ครั้งแรกเซียวเฟิงถึงกับตื่นตะลึงไม่คิดว่าตนจะได้อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ เขาได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย แต่ถึงอย่างนั้น สถานะของเขาก็เป็นเพียงการ์ดต่ำต้อย แม้ว่าตำแหน่งของเขาจะค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น แต่ก็เป็นตำแหน่งที่เปราะบางที่สุดเช่นกัน แค่ก้าวพลาดครั้งเดียว ก็อาจถูกโยนออกจากที่นี่นั่นยังนับว่าเป็นกรณีที่ดีที่สุดด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นกรณีแย่ที่สุด และคงจะใกล้ความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งก็คือเขาอาจถูกพบเป็นศพในที่ใดที่หนึ่งในสภาพศีรษะกระจุย ถูกเลาะฟัน ตัดแขน ตัดขา เพื่อให้ยากต่อการระบุตัวตน คิดดังนั้นก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ไม่อยากจะจินตนาการลูกน้องคนอื่น ๆ หากทำงานพลาดอาจเพียงแค่ถูกไล่ออก แต่ว่า...หากเขาก้าวผิดเพียงก้าวเดียว นั่นเท่ากับความตายหลิวเจี้ยนขึ้นชื่อว่าให้ความสำคัญกับลูกสาวเป็นอย่างมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เค
หลังงานเลี้ยงจบลง เมริสาเดินเล่นอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ของผู้เป็นบิดา เธอเริ่มจะคุ้นชินกับความใหญ่โตของที่แห่งนี้และความเงียบที่เข้ามาปกคลุมในยามค่ำคืน การได้อยู่คนเดียวเพียงลำพังเป็นสิ่งที่เธอโหยหา เพราะรอบตัวเธอไม่ว่าจะทำอะไรที่ไหนจะต้องมีผู้ติดตามและคอยคุ้มกันเสมอ เวลาเดียวที่เธอได้รับอนุญาตให้อยู่เพียงลำพังได้คือตอนเข้าห้องน้ำและตอนนอนเท่านั้น แม้กระนั้นเธอกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างที่จะต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ กล้าคุยด้วย ช่างเป็นชีวิตที่น่าเย้ยหยันนักงานเลี้ยงคืนนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเธอ มันเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของพ่อ เธอผู้เป็นลูกสาวมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือแต่งตัวสวย ๆ ฉีกยิ้มหวาน ๆ วางตัวให้สมฐานะลูกสาวคนเดียวของหลิวเจี้ยน ผู้นำสูงสุดของหลงเว่ยกรุ๊ป ชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในเซี่ยงไฮ้หากเอ่ยถึงหลงเว่ยกรุ๊ป ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะกิจการครอบคลุมตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การขนส่ง ธุรกิจบันเทิง และอื่น ๆ อีกเกินกว่าจะนับไหว การมาอยู่จุดนี้ได้ แน่นอนว่าเหรียญมักมีสองด้าน ธุรกิจบนดินแม้จะทำกำไรมหาศาลแต่ก็ยังไม่สู้ธุรกิจดำมืดที่อยู