“บ้าเอ๊ย!”
เมริสาได้แต่สบถในใจ คิดว่าเมื่ออยู่ไกลพ่ออะไร ๆ ก็จะดีขึ้น อาจจะมีอิสระมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่นี่ไม่เลย เธอจ้องไปยังชายหนุ่มที่กำลังขับรถอยู่ นี่ก็ทำตัวเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ซะเหลือเกิน อยู่ไกลเจ้านายขนาดนี้จะหย่อนยานสักนิดไม่ได้เลยหรือ
แขนของเธอยังคงเจ็บจากการที่ถูกเขาจับอยู่เลย เธอเบ้ปากใส่ชายหนุ่ม ขณะเดียวกับที่รถเลี้ยวเข้าไปยังตึกที่ดูเหมือนโรงแรมห้าดาวมากกว่าคอนโด
“ที่นี่เหรอ”
เมริสามองเมื่อรถขับผ่านสวนสวยที่ได้รับการดูแลอย่างดี ตกแต่งด้วยน้ำพุหินอ่อนที่พุ่งน้ำสูงขึ้นไปในอากาศ มันเปล่งประกายเหมือนเพชรก่อนที่จะตกลงไปในสระน้ำรอบ ๆ
“คุณหนูไม่ชอบหรือครับ”
“ฉันพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” เมริสาค้อนขวับ เซียวเฟิงได้แต่หัวเราะเบา ๆ “ก็แค่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ ฉันว่ามันหรูเกินไปสำหรับนักศึกษาคนหนึ่งก็แค่นั้น”
“ไม่มีอ
“อยากได้รางวัลเหรอครับที่ว่ามาเนี่ย”“ไอ้บ้า! นี่นายไม่เข้าใจหรือไงว่า ฉันอยากได้ความเคารพ สักเล็กน้อยก็ยังดี ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตคุณหนูแบบนี้ตั้งแต่เกิด ฉันเคยใส่เสื้อผ้ามือสองต่อจากคนอื่น แม่ฉันต้องประหยัดเงินเพื่อที่จะซื้อรองเท้านักเรียนใหม่ให้ฉันใส่ เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องมากระแนะกระแหนว่าฉันเป็นคุณหนูไฮโซ”“ผมรู้แล้วครับคุณหนู”“แต่วิธีที่นายพูดกับฉันยังทำให้รู้สึกเหมือนว่าฉันเป็นตัวตลกในสายตานายอยู่ดี”“คุณหนูคิดมากไปเอง”“ฮึ่ย! ไปตายซะ! ทั้งนายและพ่อฉันนั่นแหละ!”ทันใดนั้น จู่ ๆ ชายหนุ่มก็เข้ามาประชิด โน้มหน้าลงมาใกล้จนเกือบจะสัมผัสใบหน้าหญิงสาว“เรื่องนี้ผมจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ คุณหนูจะจิกหัวเรียกหรือจะด่าผมยังไงก็ได้ แต่ห้ามก้าวร้าวพูดจาไม่เคารพนายท่านเด็ดขาด”“เป็นอะไรของนายเนี่ย! พ่อไม่ได้อยู่ด้วยซะหน่อย ไม่ต้องทำตัวเป็น
เซียวเฟิงมองหญิงสาวที่เดินออกมาจัดจานแล้วนำอาหารเข้าไปกินในห้องตามที่เธอบอกไว้ก่อนหน้า เสียงประตูปิดดังปังคล้ายท้าทายเขาอยู่ในที เขานึกจนปัญญา ยังไม่ทันข้ามวันเธอก็แสดงความเป็นอริออกมาอย่างชัดเจน จนบางครั้งเขานึกอยากสั่งสอนด้วยการจับเธอพาดตักแล้วฟาดก้นงอน ๆ นั่นจนกว่าจะเลิกนิสัยเอาแต่ใจ เธอเปรียบเขาเป็นสุนัขรับใช้...นับว่าเธอยังโชคดีที่เขาควบคุมตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงนั่งไม่ติดไปอีกหลายวันหลังจากที่ถูกเขาจัดการกับก้นสวย ๆ นั่นเธอไม่รู้หรอกว่ากำลังเผชิญหน้ากับใครอยู่ เซียวเฟิงบอกกับตัวเองตั้งแต่วันแรกที่รับงานนี้ว่าจะไม่มีวันให้เธอรู้ งานคุ้มกันคุณหนูมาเฟียอาจเป็นงานอันแสนน่าเบื่อ แต่มันทำให้เขาหลีกหนีจากอดีตที่มือเปื้อนเลือดจานชามทุกใบที่ผ่านการล้างน้ำเปล่าถูกจัดเรียงใส่เครื่องล้างจานอย่างเป็นระเบียบ เมื่อจัดแจงทุกอย่างในครัวเสร็จแล้วเซียวเฟิงก็เดินออกจากห้องครัว อารมณ์กรุ่นโกรธที่มีต่อหญิงสาวยังไม่หายไป เขาอยากให้เธอรู้ตัวว่าทำผิด อยากสั่งสอน ทำลาย และจ้องเข้าไปในดวงตาที่สะท้อนความหวาดกลัว ทำให
เมริสาไม่คิดว่าจะหนีออกมาได้ง่ายขนาดนี้ โชคดีที่สัญญาณเตือนภัยจะมาติดตั้งในวันพรุ่งนี้ เธอไม่คิดว่าเซียวเฟิงจะอาบน้ำนาน ตอนแรกคิดว่าจะรอให้เขาหลับเสียก่อน เมื่อได้ออกมาแล้ว เธอก็จะสนุกให้เต็มที่เดิมทีเธอค้นหาข้อมูลสถานที่ใกล้เคียง แล้วสะดุดตากับผับที่อยู่ใกล้ในรัศมีที่สามารถเดินไปได้ ดีละ ในเมื่อเขาคิดว่าเธอเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ เธอก็จะเป็นให้ดูนักเที่ยวในผับแห่งนี้ส่วนมากรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ คาดว่าคงเป็นพวกนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเพราะอยู่ใกล้มาก“นี่” ชายสูงใหญ่กล้ามโตที่ดูเหมือนเป็นนักกีฬา ยื่นแก้วใส่มือก่อนที่เธอจะรู้ตัว เขาต้องโน้มตัวลงมาเพื่อให้เธอได้ยินเสียงของเขาท่ามกลางเสียงอึกทึกโดยรอบ “ฉันเลี้ยง เธอชื่ออะไร”“เหมย” เมริสาต้องตะโกนตอบ“ฉัน ตงหมิง เธอเป็นนักศึกษาที่หยวนจิงเหรอ”“ใช่ ฉันเพิ่งเข้าปีหนึ่ง นายล่ะ”“เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะ เธอมาที่นี่
“ยังกล้าเดินเชิดหน้าอย่างคนไม่มีความผิดติดตัวอีกเหรอครับ” เซียวเฟิงเอ่ยเตือนเสียงเข้มที่แสดงออกถึงความไม่พอใจถึงขีดสุดเมื่อเดินตามหลังเมริสาที่เดินกระแทกเท้าก้าวฉับ ๆ อยู่ข้างหน้า“ทีนายล่ะ” เมริสาหันขวับมามองทำให้ผมยาวสลวยสะบัดมาโดนหน้าบอดี้การ์ดหนุ่ม เขาจำต้องสะกดกลั้น ปั้นสีหน้าเย็นชาเพื่อปกปิดความปั่นป่วนภายในเมื่อกลิ่นแชมพูผสมกลิ่นหอมเฉพาะตัวเธอปะทะจมูก “พ่อไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยซะหน่อย นายไม่ต้องมาทำเป็นเคร่งครัดต่อหน้าที่แบบนี้ ฉันไม่ชอบ!”“บางทีคุณหนูน่าจะชินได้แล้วนะครับ” เซียวเฟิงกดหมายเลขชั้นเมื่อเดินเข้ามาอยู่ในลิฟต์ “ผมแค่ต่อสายตรงถึงนายท่าน…”“ต่อสายตรง? นายกล้าเหรอ!”ปลายผมสะบัดโดนหน้าเซียวเฟิงอีกครั้งจนเขาอยากหากรรไกรมาตัดทิ้งเสีย“ทำไมผมจะไม่กล้า”“หึ ถ้านายกล้าก็ลองดู พ่อคงจับนายเชือดแน่”เมริสายกมือกอดอก ย่
เมริสาพ่นลมหายใจด้วยความขัดใจ “ไปตายซะ!”วันนี้เธอพูดคำนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเสมือนเป็นคำติดปากไปแล้ว“ผมว่าเคยเตือนคุณหนูเรื่องนี้ไปแล้วนะครับ”ความอัดอั้นทำให้เมริสาเงื้อมือขึ้นหมายจะฟาดหน้าหล่อ ๆ นี่ แต่ถูกสายตาดุตรึงไว้ เธอจะทำอะไรผู้ชายคนนี้ไม่ได้จริง ๆ หรือ เธอได้แต่ขัดใจ ขณะเดียวกันเซียวเฟิงไม่ละสายตาไปจากเธอเลย เขาอาจเสียใจที่ทำตัวแย่ ๆ ใส่เธอ แต่เธอต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายผิด เธอบังคับให้เขาต้องทำแบบนี้“เอาเลยครับ ตบหน้าผมแรง ๆ ถ้ามันทำให้คุณหนูรู้สึกดีขึ้น” เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้แทนที่จะตบหน้า เมริสาเปลี่ยนมาใช้กำปั้นกระทุ้งที่หน้าท้อง ทำให้ชายหนุ่มตัวงอและเสียหลัก แล้วรีบใช้โอกาสนั้นเบี่ยงตัวหลบออกมาเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ รีบวิ่งไปอีกฝั่งของห้อง เซียวเฟิงยอมรับว่าเธอไวจริง ๆ สมองของเธอก็ไวไม่แพ้กัน“นายเลิกโยนความกลัวของนายมาใส่ฉันได้แล้ว รู้ตัวมั้ย” เมริสาล้วงมือเข้าไปในกระเ
เมริสายังรู้สึกอับอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา เธอไม่รู้ว่าจะกล้าไปเจอหน้าคนอื่นในมหาวิทยาลัยได้อย่างไรเผื่อมีคนจำเธอได้ คนใจร้ายนั่นไม่คิดไว้หน้าเธอเลยสักนิด ดูภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่ได้ทำให้เธออับอาย และเขาไม่ยอมบอกด้วยว่าเขาหาเธอเจอได้อย่างไร เธอได้แต่เดาว่าเขาคงติดตามเธอผ่านทางเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์บางอย่าง เธอไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย ไม่แม้แต่ความเป็นส่วนตัวเมื่อวานตลอดทั้งวันเซียวเฟิงและเมริสาต่างหลบหน้ากัน หลังจากติดตั้งระบบเตือนภัยเสร็จเซียวเฟิงก็อยู่ในห้องแทบจะทั้งวัน และแน่นอนว่าเขาไม่คิดจะบอกรหัสให้เธอได้รับรู้ เมริสาจึงไม่รู้ว่าจะเปิดประตูหน้าโดยไม่ให้สัญญาณเตือนดังลั่นจนหูแทบแตกได้อย่างไร เรื่องนี้ทำให้เมริสาหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เธอไม่สามารถฟ้องพ่อได้ เพราะเห็นอยู่ว่านี่เป็นคำสั่งของพ่ออย่างไรก็ตาม ในเมื่อไม่สามารถหลบซ่อนอยู่ในห้องได้ตลอดไป เพราะไม่เพียงแต่เรื่องนี้จะเข้าหูพ่อเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการปล่อยให้เซียวเฟิงชนะ ซึ่งไม่มีวันเ
คลาสแรกคือวิชาจิตวิทยาเบื้องต้น ซึ่งอยู่ในห้องเรียนรวมที่เป็นห้องประชุมใหญ่ เมริสานั่งอยู่แถวหลัง ส่วนเซียวเฟิงนั่งอยู่ที่นั่งว่างด้านหลังเธอ เขาพูดถูก วันนี้อาจารย์แค่แจกเอกสารรายวิชาและสรุปเนื้อหาเบื้องต้นคร่าว ๆ ก่อนจะปล่อยเลิกคลาส เธอหันไปมองเขาแวบเดียวพอจะเห็นรอยยิ้มเยาะน้อย ๆ บนใบหน้าของเขาระหว่างคลาสแรกและคลาสถัดไปมีระยะเวลาถึงหนึ่งชั่วโมง และยิ่งวันนี้อาจารย์ปล่อยเร็วขึ้นยิ่งเหลือเวลาเยอะ แต่จะให้กลับไปที่คอนโดแล้วค่อยกลับมาเรียนอีกทีคงไม่คุ้ม เมริสาคิดว่าถ้าเธออยู่คนเดียวคงจะไปสำรวจรอบ ๆ มหาวิทยาลัย แต่พอมีเซียวเฟิงคอยตามติดแบบนี้ เธอก็ไม่คิดว่าจะสนุกเท่าไหร่“งั้นฉันไปที่ร้านหนังสือดีกว่า” เธอเงยหน้ามองบอดี้การ์ดหนุ่มพร้อมฉีกยิ้มกว้าง “นายช่วยถือหนังสือให้ฉันหน่อยนะ”เซียวเฟิงเลิกคิ้วขึ้นก่อนที่จะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เธอจงใจให้เขาเป็นคนรับใช้ ซึ่งเมริสาตั้งใจจะแกล้งเขาแบบนั้นจริง ๆ เธอจึงไม่สนใจหยิบตะกร้าหรือรถเข็นเมื่อเข้ามาใน
“ขอโทษนะคะ” เสียงของพนักงานสาวดึงความสนใจของเมริสากลับมา “บัตรนี้ใช้ไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวยิ้มแต่ดูเหมือนติดรำคาญ“เอ๊ะ! มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ”“ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองดูอีกครั้งนะคะ” พนักงานสอดบัตรเข้ากับเครื่องรูดบัตรเครดิตอีกครั้งแล้วขมวดคิ้ว “ขอโทษค่ะ บัตรนี้ใช้ไม่ได้จริง ๆ มันขึ้นว่าให้ติดต่อธนาคารค่ะ”เมริสาเกิดความสงสัย ก่อนหน้านี้เธอยังสามารถใช้บัตรใบนี้ได้ปกติ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่“ขอฉันโทรหาพ่อสักครู่ บางที่ท่านอาจจะอายัดบัตรไว้” มาริสารู้สึกอับอายมาก เธอเดินออกมาโทรศัพท์หาพ่อทันทีโดยไม่สนว่าเซียวเฟิงจะตามมาด้วยหรือไม่“มีอะไรหรือเปล่าเหมย” เสียงพ่อดังขึ้นตั้งแต่สัญญาณแรก“ค่ะ คือว่าหนูไปซื้อกาแฟแล้วจ่ายด้วยบัตรเครดิต แต่ว่ามันใช้ไม่ได้ ไม่กี่วันก่อนหนูยังใช้สั่งของออนไลน์ได้อยู่เลย วันนี้จู่ ๆ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร”“ไม่ต้องตกใจ บัตรหนูแค่ถูกยกเลิก”
เซียวเฟิงต้องเตือนสติตัวเองว่าห้ามเผลอไผลไปในสถานการณ์ตอนนี้ เพราะการใกล้ชิดกันแบบนี้ การที่เธอดิ้นรนขัดขืนทำให้ร่างกายนุ่มนิ่มเสียดสีไปกับกายแกร่งของเขา เขาบังคับเธอเดินข้ามไปยังโซฟาในห้องนั่งเล่น ตอนนี้กลางลำตัวเขากำลังตื่นตัวเต็มที่ขณะที่ฉุดเธอให้นั่งลงบนตักแกร่ง“นายจะทำอะไร! ปล่อยนะ!“ผมจะทำให้คุณหนูจำให้ขึ้นใจว่าครั้งหน้าถ้ามีไอ้หน้าไหนชวนไปบ้านอีก แล้วจะมีผลลัพธ์ยังไง”ไม่ว่าเมริสาจะพยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่มีทางสู้แรงบอดี้การ์ดร่างยักษ์ได้ เขาแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลยตอนจับเธอคว่ำหน้าพาดตักให้ก้นลอยขึ้น“ปล่อยฉันนะ! นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!” เมริสาถีบขาไปมา สองมือฟาดบนขาชายหนุ่มแต่ก็ไม่เป็นผล“นี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คุณหนูหลาบจำ”เพียะ!ฝ่ามือแรงที่กระทบบั้นทายงอนเหมือเป็นการปลดปล่อยความเครียดที่เขาสะสมมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
ถึงตอนนี้เซียวเฟิงยิ่งมั่นใจว่าเมริสาต้องกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง เธอทำอาหารอร่อยมาก พอกินเสร็จก็ไปเก็บล้างโดยไม่ปริปากบ่นอะไรเลยสักนิด มันจะไม่น่าสงใสขนาดนั้นถ้าเธอจะไม่เปลี่ยนชุดนอนออกมานั่งในห้องนั่งเล่น ทำเป็นทาเล็บเท้าและมาส์กหน้าในขณะที่เปิดรายการไร้สาระสักอย่างในเน็ตฟลิกซ์ เซียวเฟิงไม่สนใจนักเพราะเขามัวแต่สงสัยว่าเธอจะทำอะไรต่อไปมากกว่าขณะนี้นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มสี่สิบห้า เซียวเฟิงยังไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย แต่เขาทำทีว่ากำลังจะเข้านอน“อย่าลืมนะครับว่ามีสัญญาณเตือนภัยอยู่” เขาเตือนเมริสาขณะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง เมริสาเพียงแค่กลอกตาแต่ไม่ได้พูดอะไรเซียวเฟิงคอยอยู่ว่าเมริสาจะใช้เวลานานแค่ไหนที่พยายามหนีออกไป แม้ว่าประตูห้องนอนจะปิดอยู่ แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงเธอเดินไปมาอยู่ข้างนอกทำไมคุณหนูต้องทำให้มันเป็นเรื่องยากสำหรับตัวเองขนาดนี้ด้วยนะทำไมคุณหนูต้องทำให้ผมทำในสิ่งที
เซียวเฟิงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง...เมริสาเป็นคนฉลาด เธอสอบได้คะแนนสูงมากตอนเรียนมัธยมฯ เธอตั้งใจทำการบ้านและรายงานทุกชิ้น ถ้าไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือในห้อง บางครั้งก็หอบงานออกมาทำที่ห้องนั่งเล่น เธอไม่เคยเข้าแอปหาคู่ ข้อนี้เขาเคยลองแอบเช็กดูเป็นครั้งคราว ดังนั้นเวลาว่างของเธอถ้าไม่ทำการบ้านก็ทบทวนบทเรียน อาจจะเข้าเข้าแอปฯ ซื้อของออนไลน์บ้างเป็นบางครั้งปัญหาของคนฉลาดคือ บางครั้งการที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ทำให้คิดว่าจะสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ถูกจับได้ หากเป็นเช่นนั้น มันก็ทำให้การทำงานของเขาง่ายขึ้น เพราะเธอแทบจะแสดงทุกสิ่งที่ธอคิดออกมาอย่างเปิดเผยและนั่นหมายความว่าเขาต้องฉลาดเช่นกัน เซียวเฟิงไม่เคยเล่นหมากรุกมาก่อน เขาสงสัยว่านี่เป็นความรู้สึกเดียวกันหรือเปล่า การพยายามคิดหาวิธีที่จะคาดเดาการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของศัตรูและหาวิธีตอบโต้อย่างเหมาะสมเมื่อกลับจากออกกำลังกายที่ยิมข้างล่าง เซียวเฟิงได้ยินเสียงดังจา
“นักศึกษาทุกคนจับกลุ่มกลุ่มละสี่คนนะคะ” อาจารย์ยืนสั่งอยู่หน้าชั้นเรียนและให้เวลานักศึกษาตกลงเรื่องจับกลุ่มกันเมริสาดีใจมากเมื่อผิงซินหันหน้ามาทางเธอ ชี้นิ้วและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เธอพยักหน้าตกลงทันที และพยายามซ่อนรอยยิ้มยินดีเอาไว้ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน เธออยากมีเพื่อนมากขนาดนี้เลยหรือเนี่ย โต๊ะข้าง ๆ ว่างอยู่ ผิงซินจึงย้ายมานั่ง“ดีนะ ฉันกลัวว่าอาจารย์จะเลือกให้อยู่กับคนที่ไม่รู้จัก”“ฉันก็คิดเหมือนกัน”เมริสาทำเป็นมองผ่าน ๆ ไปรอบห้อง แล้วหยุดสายตาที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงประตูแบบไม่ได้ใส่ใจ บอดี้การ์ดของเธอกำลังนั่งในท่าไขว่ห้าง ห่อไหล่เล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเขาหลับหรือเปล่าแต่เขาไม่ขยับตัวเลยเธอนึกอยากจะถามผิงซินว่ามันแปลกไหมที่เธอมีบอดี้การ์ดติดตามานั่งเรียนด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ความสนใจชายหนุ่มมากเกินไปเพื่อนผู้หญิงในชั้นคนหนึ่งเดินเข้ามาชี้
“ครับ สักวันคุณน่าจะมีโอกาส” เขาพูดส่ง ๆ แล้วหันมองไปทางเมริสาที่กำลังคุยกับกลุ่มเพื่อน เธอหันมามองเขาเช่นกัน ทั้งคู่สบตากัน มีอะไรบางอย่างที่เขาอ่านไม่ออกในสายตาเธอ โดยเฉพาะเมื่อเธอหันไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่กับเขา“ที่ฉันอยากจะบอกก็คืออยากนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คุณต่างหากล่ะ” ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รับรู้สัญญาณที่เขาสื่อเป็นนัยจนน่ารำคาญ “คุณจะเป็นผู้ชายคนแรกของฉัน” เธอขบริมฝีปากที่เคลือบไปด้วยลิปกลอสเซียวเฟิงไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไร เพียงแค่เธอไม่ใช่เมริสา แม้กระนั้นเขาก็ยังยิ้มให้เพื่อรักษาน้ำใจ “ปกติผมยุ่งตลอด คุณเป็นเฟรชชี่เหรอ”หญิงสาวพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นคุณมาทำอะไรที่นี่ ถ้าไม่ใช่นักศึกษา งั้นคุณเป็นอาจารย์หรือเปล่า”“เขามากับฉัน” เสียงหวานคุ้นเคยแทรกขึ้น เซียวเฟิงหันไปมองก็พบกับใบหน้าบึ้งตึงของเมริสา “เรามีธุระต้องไปจัดการต่อ ขอตัวก่อนนะ” ว่าจบเธอก็ทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิดด้วยการคว้ามือเขาไปจับแล้วดึงเขาออกมา
นักศึกษาต่างเริ่มทยอยเก็บข้าวของก่อนที่อาจารย์จะพูดจบเสียอีก แต่เมริสาจะรอจนกระทั่งอาจารย์สอนเสร็จจึงค่อยเก็บของตัวเอง มันทำให้เห็นว่าเธอแตกต่างจากพวกเด็กสปอยล์เหล่านี้ นอกจากนี้นักศึกษาครึ่งชั้นยังหลับระหว่างเรียนด้วยซ้ำ พวกลูกคุณหนูคุณชายเหล่านี้ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอะไรเลย เซียวเฟิงเห็นแล้วอยากจะถามออกไปเสียจริงว่าคิดว่าตัวเองเป็นใคร และคิดว่าจะอยู่รอดได้สักห้านาทีในโลกของเขากับเมริสารึเปล่า คนเหล่านี้โชคดีมากแต่ยังไม่รู้จักสำนึกเมริสาปิดแล็ปท็อปแล้วเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะลุกขึ้น เซียวเฟิงสังเกตเห็นพวกผู้ชายที่อยู่ใกล้ ๆ จ้องมองบั้นท้ายของเธอตาเป็นมัน โดยเฉพาะคนหนึ่งที่ทำให้เขาแทบกัดฟันแน่น ไอ้หมอนั่นชอบใส่ชุดนอนตลอดเวลา กับหมวกใบเดิมทุกวัน ดูเหมือนคนเพิ่งกลับจากปาร์ตี้หรือเพิ่งลุกจากเตียงของผู้หญิงสักคน เซียวเฟิงพนันได้เลยว่าถ้าเข้าไปใกล้มากพอ คงจะได้กลิ่นผู้หญิงติดปากมันแน่นอน มันคิดว่ามันมีสิทธิ์อะไรมามองเมริสา ไม่มีมีสิทธิ์ที่จะเรียนอยู่ในห้องเดียวกับเธอด้วยซ้ำ“
การที่ต้องมานั่งอยู่ในชั้นเรียนทำให้เซียวเฟิงรู้สึกเบื่อหน่าย งานแสนสบายค่าตอบแทนสูงต่างกับงานก่อนหน้าของเขาโดยสิ้นเชิง ใครจะคาดคิดว่ามือสังหารอันดับหนึ่งของแก๊งอย่างเขาจะต้องมาเดินตามเด็กสาวต้อย ๆ แถมยังต้องเข้ามานั่งในชั้นเรียนราวกับว่าตัวเองเป็นนักศึกษากลาย ๆ เขาไม่ได้ชอบงานนี้เลยสักนิดโดยเฉพาะเมื่อต้องนั่งอยู่ตรงนี้ ข้างหลังเมริสาและจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเธอ เขาจำเป็นต้องจับตามองทุกการขยับนิ้วรัวแป้นพิมพ์ของเธอหรือไม่ เขาจำเป็นต้องสังเกตทุกครั้งที่เธอขยับตัว ทุกครั้งที่เธอม้วนผมรอบนิ้วขณะฟังอาจารย์บรรยายหรือเปล่าหลิวเจี้ยนสั่งห้ามไม่ให้มองเรือนร่างของเธอ แต่เช้านี้เขาก็ทำมันอยู่ดี เมริสาเป็นผู้หญิงที่ช่างยั่วยวนเหลือเกิน เธออยู่ตรงหน้าเขา แต่เหมือนเป็นผลไม้ต้องห้าม แล้วผู้ชายแบบเขาจะอดทนอดกลั้นไปได้นานสักแค่ไหนกันระยะเวลาสิบวันที่ผ่านมาเป็นสิบวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเซียวเฟิง สิ่งที่คอยฉุดรั้งความปรารถนาจากส่วนลึกภายในเพี
“ขอโทษนะคะ” เสียงของพนักงานสาวดึงความสนใจของเมริสากลับมา “บัตรนี้ใช้ไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวยิ้มแต่ดูเหมือนติดรำคาญ“เอ๊ะ! มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ”“ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองดูอีกครั้งนะคะ” พนักงานสอดบัตรเข้ากับเครื่องรูดบัตรเครดิตอีกครั้งแล้วขมวดคิ้ว “ขอโทษค่ะ บัตรนี้ใช้ไม่ได้จริง ๆ มันขึ้นว่าให้ติดต่อธนาคารค่ะ”เมริสาเกิดความสงสัย ก่อนหน้านี้เธอยังสามารถใช้บัตรใบนี้ได้ปกติ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่“ขอฉันโทรหาพ่อสักครู่ บางที่ท่านอาจจะอายัดบัตรไว้” มาริสารู้สึกอับอายมาก เธอเดินออกมาโทรศัพท์หาพ่อทันทีโดยไม่สนว่าเซียวเฟิงจะตามมาด้วยหรือไม่“มีอะไรหรือเปล่าเหมย” เสียงพ่อดังขึ้นตั้งแต่สัญญาณแรก“ค่ะ คือว่าหนูไปซื้อกาแฟแล้วจ่ายด้วยบัตรเครดิต แต่ว่ามันใช้ไม่ได้ ไม่กี่วันก่อนหนูยังใช้สั่งของออนไลน์ได้อยู่เลย วันนี้จู่ ๆ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร”“ไม่ต้องตกใจ บัตรหนูแค่ถูกยกเลิก”
คลาสแรกคือวิชาจิตวิทยาเบื้องต้น ซึ่งอยู่ในห้องเรียนรวมที่เป็นห้องประชุมใหญ่ เมริสานั่งอยู่แถวหลัง ส่วนเซียวเฟิงนั่งอยู่ที่นั่งว่างด้านหลังเธอ เขาพูดถูก วันนี้อาจารย์แค่แจกเอกสารรายวิชาและสรุปเนื้อหาเบื้องต้นคร่าว ๆ ก่อนจะปล่อยเลิกคลาส เธอหันไปมองเขาแวบเดียวพอจะเห็นรอยยิ้มเยาะน้อย ๆ บนใบหน้าของเขาระหว่างคลาสแรกและคลาสถัดไปมีระยะเวลาถึงหนึ่งชั่วโมง และยิ่งวันนี้อาจารย์ปล่อยเร็วขึ้นยิ่งเหลือเวลาเยอะ แต่จะให้กลับไปที่คอนโดแล้วค่อยกลับมาเรียนอีกทีคงไม่คุ้ม เมริสาคิดว่าถ้าเธออยู่คนเดียวคงจะไปสำรวจรอบ ๆ มหาวิทยาลัย แต่พอมีเซียวเฟิงคอยตามติดแบบนี้ เธอก็ไม่คิดว่าจะสนุกเท่าไหร่“งั้นฉันไปที่ร้านหนังสือดีกว่า” เธอเงยหน้ามองบอดี้การ์ดหนุ่มพร้อมฉีกยิ้มกว้าง “นายช่วยถือหนังสือให้ฉันหน่อยนะ”เซียวเฟิงเลิกคิ้วขึ้นก่อนที่จะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เธอจงใจให้เขาเป็นคนรับใช้ ซึ่งเมริสาตั้งใจจะแกล้งเขาแบบนั้นจริง ๆ เธอจึงไม่สนใจหยิบตะกร้าหรือรถเข็นเมื่อเข้ามาใน