เสียงรองเท้าหนัก ๆ กระทบกับทางเดินหินอ่อนจากเรือนพักข้ารับใช้ไปยังตัวคฤหาสน์ เซียวเฟิงเพิ่งกลับเข้าห้องพักตัวเองไม่ถึงสองนาทีก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นนายสั่งให้เขาไปพบที่ห้องทำงาน
ห้องทำงานของหลิวเจี้ยนอยู่ทางปีกตะวันออกของคฤหาสน์อันใหญ่โตหลังนี้ ตอนมาเหยียบที่นี่ครั้งแรกเซียวเฟิงถึงกับตื่นตะลึงไม่คิดว่าตนจะได้อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ เขาได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย แต่ถึงอย่างนั้น สถานะของเขาก็เป็นเพียงการ์ดต่ำต้อย แม้ว่าตำแหน่งของเขาจะค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น แต่ก็เป็นตำแหน่งที่เปราะบางที่สุดเช่นกัน แค่ก้าวพลาดครั้งเดียว ก็อาจถูกโยนออกจากที่นี่
นั่นยังนับว่าเป็นกรณีที่ดีที่สุดด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นกรณีแย่ที่สุด และคงจะใกล้ความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งก็คือเขาอาจถูกพบเป็นศพในที่ใดที่หนึ่งในสภาพศีรษะกระจุย ถูกเลาะฟัน ตัดแขน ตัดขา เพื่อให้ยากต่อการระบุตัวตน คิดดังนั้นก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ไม่อยากจะจินตนาการ
ลูกน้องคนอื่น ๆ หากทำงานพลาดอาจเพียงแค่ถูกไล่ออก แต่ว่า...หากเขาก้าวผิดเพียงก้าวเดียว นั่นเท่ากับความตาย
หลิวเจี้ยนขึ้นชื่อว่าให้ความสำคัญกับลูกสาวเป็นอย่างมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยใส่ใจว่าตนมีลูกสาวอยู่
ชายสูงวัยกำลังเดินไปมาอยู่ริมหน้าต่าง เหมือนที่เขามักจะทำเมื่อมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ เซียวเฟิงเคาะประตูก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เขาสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างข้าง ๆ โต๊ะทำงานไม้สักตัวใหญ่ จึงเอื้อมมือเตรียมจะชักปืน เมื่อสิ่งนั้นโผล่ขึ้นมาจึงเห็นว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงของเจ้านาย หล่อนแต่งตัวด้วยชุดนุ่งน้อยห่มน้อย หน้าอกหน้าใจล้นทะลัก นั่งคุกเข่าอยู่ แต่สายตาจ้องมาที่เขา แต่เซียวเฟิงรีบหลุบตาต่ำมองพื้นทันที
เขาก้าวเท้าเข้าไปโดยเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของสาวบริการ หลิวเจี้ยนโบกมือเป็นสัญญาณให้ปิดประตูเขาจึงรีบทำตามอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ดีว่าหลิวเจี้ยนไม่ใช่คนที่ชอบพูดให้มากความ
“มีอะไรให้ผมรับใช้ครับนายท่าน” เขายืนกุมมือ แผ่นหลังตั้งตรง สงบนิ่งรอรับคำสั่ง
“นายไปเก็บของได้แล้ว”
คำพูดนี้เสมือนคีมเหล็กที่กำลังบีบหัวใจของเซียวเฟิง แต่เขาพยายามปกปิดความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงภายใต้สีหน้าเรียบเฉยเย็นชา
“อะไรนะครับ”
ข้อแก้ตัวหลายอย่างกำลังผุดขึ้นในหัว แม้ว่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องแก้ตัวเรื่องอะไร ไม่เข้าใจว่าได้ทำอะไรผิดไป หรือพลาดตรงไหน พลันในหัวคิดไปถึงค่ำคืนนั้นที่สระว่ายน้ำ ทว่ามันผ่านมาแล้วสามเดือน หากหลิวเจี้ยนรู้ เขาคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้แน่
เมื่อเห็นว่าริมฝีปากของเจ้านายกระตุกขึ้น เขาจึงรู้ว่ากำลังถูกล้อเล่น แต่เขาไม่ขำด้วยเลย
“ฉันหมายถึง ให้นายไปเก็บของของนายซะ เพราะนายจะต้องไปหยวนจิง”
‘หยวนจิง’ นี่มันไม่ใช่ชื่อมหาวิทยาลัยหรอกหรือ?
“มหาลัยหรือครับ”
“ใช่แล้ว ฉันจะให้เหมยไปเรียนที่นั่น”
ตอนนี้เซียวเฟิงชักจะเข้าใจอะไรราง ๆ ตอนแรกคิดว่าชายผู้ซึ่งหวงลูกสาวยิ่งกว่าไข่ในหินจะให้เธอเลือกเรียนมหาวิทยาลัยใกล้ ๆ เพื่อที่จะได้อยู่ในสายตา แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว เขาทำงานกับหลิวเจี้ยนมาหลายปี การที่ส่งเมริสาไปเรียนต่อที่หยวนจิงนับว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของลูกหลานผู้มีอำนาจและมีอิทธิพลที่ร่ำรวยมหาศาล นับว่าเป็นคนในระดับเดียวกัน ดังนั้นในสายตาของหลิวเจี้ยน ที่นั่นย่อมเหมาะสมกว่า
หลิวเจี้ยนหันมาทางเซียวเฟิงอีกครั้ง ดวงตาไร้ร่องรอยอารมณ์ขัน ไม่นับว่าน่าแปลกอะไร เพราะชายคนนี้ไม่ใช่คนที่จะใช้เวลาทั้งวันเพลิดเพลินกับอาณาจักรที่เขาสร้างขึ้น เขาระแวงเกินกว่าจะทำแบบนั้น และเมื่อถึงจุดที่สถานการณ์บีบคั้น เขาก็ไม่ลังเลที่จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อความปลอดภัย
และนี่คือเหตุผลที่เขาต้องมาอยู่ที่นี่ หรืออย่างน้อยก็เคยอยู่ ก่อนที่จะถูกมอบหมายให้เป็นบอดี้การ์ดประจำตัวของเมริสาเมื่อสามปีที่แล้ว
“ฉันคงไม่ต้องบอกนะว่านายต้องทำอะไร” หลิวเจี้ยนเอ่ยเสียงเรียบเหมือนกับครั้งที่สั่งให้เขาไปจัดการสมาชิกแก๊งที่ทรยศ
“ไม่ต้องครับ”
เซียวเฟิงนึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองตาย ทำไมหลิวเจี้ยนไม่เลือกคนอื่น ทำไมถึงต้องเป็นเขา เพราะเขาเองนี่แหละที่อันตรายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด นับวันมาริสายิ่งท้าทายความอดทนเขามากขึ้นทุกวัน แต่เขาไม่สามารถทำในสิ่งที่ปรารถนาได้ เขายังไม่สามารถสลัดภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นที่สระว่ายน้ำออกไปได้เลย
“คุณหนูทราบเรื่องนี้หรือยังครับ”หลิวเจี้ยนส่ายหัว “พรุ่งนี้ฉันจะคุยกับเหมย แต่ฉันบอกเรื่องนี้ให้นายรู้ก่อน ฉันรู้ว่าฉันเชื่อใจนายได้”เซียวเฟิงทำได้เพียงพยักหน้า คำพูดนั้นชัดเจน หากทำเสียเรื่อง ชีวิตแกจบสิ้นแน่“ผมจะดูแลคุณหนูเอง นายท่านไม่ต้องเป็นห่วงครับ” แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่มือที่กุมกันอยู่กำลังกำแน่น โชคดีที่เขาเป็นคนเก็บอารมณ์และสีหน้าเก่ง“ฉันต้องการให้นายดูแลเธอเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องความบริสุทธิ์...”“ครับ” เซียวเฟิงคุ้นเคยกับคำสั่งไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ยังอดแปลกใจกับเรื่องนี้ไม่ได้“ความบริสุทธิ์” หลิวเจี้ยนย้ำอีกครั้ง “นายก็โต ๆ กันแล้ว คงรู้ว่าฉันพูดเรื่องอะไร” เขาแสยะยิ้มแล้วพูดต่อ “ฉันรู้ว่ายัยเหมยยังบริสุทธิ์อยู่ ฉันเคยให้หมอตรวจตั้งแต่ตอนที่ฉันพาเหมยกลับมา หลังจากนั้นก็อยู่ในสายตานายตลอด”“ครับ”“ไม่มีผู้ชายที่ไหนใช่มั้ย”“ไม่มีครับ”“นั่นไง” หลิวเจี้ยนไหวไหล่ “แสดงว่าเหมยยังบริสุทธิ์ และนั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการให้มันคงอยู่แบบนั้น ถ้าแปดเปื้อนไปแล้วก็คงไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะให้เธอแต่งงานเพื่อเกี่ยวดองทางธุรกิจ”นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวเฟิงได้ยินเรื่องนี้ แน่นอนว่าการกันเม
“พ่อรู้ว่าลูกจะต้องดีใจกับเรื่องนี้”ดีใจงั้นหรือ ตอนนี้ในหัวเมริสากำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่หลิวเจี้ยนบอก เขาจะส่งเธอไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหยวนจิง“แต่หนูไม่ได้ยื่นใบสมัครที่นั่นไปนี่คะ”“พ่อจัดการทุกอย่างให้หนูแล้ว หนูไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ดีหรือไง”เหมือนกับทุกครั้ง เมริสาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด เธอไม่มีสิทธิ์เลือกหรือตัดสินใจอะไรในชีวิตของตัวเอง ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ เธอมีเงิน มีทุกอย่างที่ต้องการ เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอะไรเลย แต่นั่นเท่ากับว่าเธอไม่สามารถเลือกได้แม้แต่มหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเรียนเมริสามองหน้าคนเป็นพ่อที่มองเธออย่างคาดหวัง ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้ม“ขอบคุณค่ะ”มือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำลังกำแน่นเล็บจิกบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บเธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้คุณคน เธอรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน เธออาจไม่ได้มีชีวิตสุขสบายแบบนี้ถ้าพ่อไม่ไปรับเธอมาดูแล เธออาจจะต้องนอนอยู่ริมถนนหรือแทบจะต้องใช้ชีวิตไปวัน ๆ อาจจะต้องทำงานสองงานสามงาน แต่ตอนนี้ เธอมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายแทบไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงแม้แต่เจ้าหญิงที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดยังอยากมีอิสรภาพบ้าง แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตใ
หลิวเจี้ยนหรี่ตามองทำเอาเมริสารู้ว่าความอดทนของคนเป็นพ่อใกล้จะสิ้นสุดลงทุกที เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนหัวร้อน ไม่ใช่ว่าเขาเคยระเบิดใส่เธอ แต่เธอเคยเห็นตอนที่เขาระเบิดใส่คนอื่น และทุกครั้งเธอรู้สึกดีใจที่เธอไม่ใช่คนพวกนั้น“แล้วทางมหาลัยจะไม่ว่าอะไรเหรอคะ”“จะว่าอะไรได้ ไม่ใช่มีแค่ลูกสาวพ่อคนเดียวที่ไหนที่ต้องมีบอดี้การ์ด มหาลัยนี้มีแต่ลูกคนรวยและมีอิทธิพลเข้าเรียน ถ้าไม่มีบอดีการ์ดสิแปลก”ถูกต้อง แต่เมริสาคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนเดียวที่กระโจนใส่บอดี้การ์ดแล้วก็ร้องไห้ที่โดนปฏิเสธราวกับเป็นตัวน่าขยะแขยง ทำให้เธอมองหน้าเขาไม่ติด และตอนนี้เธอยังต้องปล่อยให้เขาติดตามเธอไปทุกที่แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัย“เขาจะอยู่กับหนูที่คอนโดด้วยรึเปล่าคะ”“เหมยหนูเป็นเด็กฉลาดที่คิดเรื่องนี้ได้”เมริสามองหน้าพ่อรอคำตอบทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว“พ่อคงไม่ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวหรอกใช่ไหม” หลิวเจี้ยนหัวเราะราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องขำขัน “พ่อจะปล่อยให้เหมยอยู่คนเดียวหรือจะไปอยู่หอพักร่วมกับคนอื่นทำไม ไม่สู้ให้อยู่กับคนที่รู้จักและไว้ใจได้ไม่ดีกว่าหรือ”เมริสารู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะขัดคำสั่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ก่อนหน้า
แม้กระทั่งตอนนี้ ผ่านไปหลายเดือน ความเจ็บปวดก็ยังสดใหม่อยู่ ร่างกายของเธอเกร็งขึ้นเมื่อนึกถึงสายตาเย็นชาคู่นั้น เขามองเหมือนกับว่าเธอเป็นเพียงแค่ขยะ เหมือนเขาเกลียดเธอมาก หรือแย่กว่านั้น รู้สึกสมเพชเธอ เธอยังไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนจะน่าอับอายมากกว่ากัน หากย้อนเวลากลับไปได้เธอคงไม่ยั่วยวนเขาแบบวันนั้นเมริสารีบเดินกลับห้อง ผ่านห้องหับต่าง ๆ ในคฤหาสน์หลังโต จนกระทั่งเสียงหนึ่งหยุดเธอไว้“สวัสดีครับเจ้าหญิง”เลือดในกายเมริสาเย็นเฉียบเมื่อได้ยินเสียงนี้ เธอหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม เตือนตัวเองเป็นร้อยครั้งว่าห้ามมองเขาแบบที่ชอบทำ แต่สายตาเธอดันติดนิสัยที่ชอบแอบชื่นชมร่างกายที่สมบูรณ์แบบของชายหนุ่ม สันกรามที่โดดเด่นและดวงตาสีดำสนิทดูเหมือนจะมีพายุขดวนเต็มไปด้วยความอันตรายที่แฝงเร้น บ่ากว้างและอกแกร่ง วิธียิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก ริมฝีปากหยักลึกที่ดูเหมือนเชื้อเชิญให้อยากสัมผัสว่ามันจะนุ่มแค่ไหนเมื่อได้สติเมริสารีบสลัดความคิดไร้สาระของตนออก เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เธอเฝ้าฝันและจินตนาการอีกต่อไปเขาจะเป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดที่เปรียบเสมือนผู้คุมของเธอเท่านั้น และที่สำคัญเขาเกลียดเธอ นั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่
หลังงานเลี้ยงจบลง เมริสาเดินเล่นอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ของผู้เป็นบิดา เธอเริ่มจะคุ้นชินกับความใหญ่โตของที่แห่งนี้และความเงียบที่เข้ามาปกคลุมในยามค่ำคืน การได้อยู่คนเดียวเพียงลำพังเป็นสิ่งที่เธอโหยหา เพราะรอบตัวเธอไม่ว่าจะทำอะไรที่ไหนจะต้องมีผู้ติดตามและคอยคุ้มกันเสมอ เวลาเดียวที่เธอได้รับอนุญาตให้อยู่เพียงลำพังได้คือตอนเข้าห้องน้ำและตอนนอนเท่านั้น แม้กระนั้นเธอกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างที่จะต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ กล้าคุยด้วย ช่างเป็นชีวิตที่น่าเย้ยหยันนักงานเลี้ยงคืนนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเธอ มันเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของพ่อ เธอผู้เป็นลูกสาวมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือแต่งตัวสวย ๆ ฉีกยิ้มหวาน ๆ วางตัวให้สมฐานะลูกสาวคนเดียวของหลิวเจี้ยน ผู้นำสูงสุดของหลงเว่ยกรุ๊ป ชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในเซี่ยงไฮ้หากเอ่ยถึงหลงเว่ยกรุ๊ป ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะกิจการครอบคลุมตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การขนส่ง ธุรกิจบันเทิง และอื่น ๆ อีกเกินกว่าจะนับไหว การมาอยู่จุดนี้ได้ แน่นอนว่าเหรียญมักมีสองด้าน ธุรกิจบนดินแม้จะทำกำไรมหาศาลแต่ก็ยังไม่สู้ธุรกิจดำมืดที่อยู
แม้กระทั่งตอนนี้ ผ่านไปหลายเดือน ความเจ็บปวดก็ยังสดใหม่อยู่ ร่างกายของเธอเกร็งขึ้นเมื่อนึกถึงสายตาเย็นชาคู่นั้น เขามองเหมือนกับว่าเธอเป็นเพียงแค่ขยะ เหมือนเขาเกลียดเธอมาก หรือแย่กว่านั้น รู้สึกสมเพชเธอ เธอยังไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนจะน่าอับอายมากกว่ากัน หากย้อนเวลากลับไปได้เธอคงไม่ยั่วยวนเขาแบบวันนั้นเมริสารีบเดินกลับห้อง ผ่านห้องหับต่าง ๆ ในคฤหาสน์หลังโต จนกระทั่งเสียงหนึ่งหยุดเธอไว้“สวัสดีครับเจ้าหญิง”เลือดในกายเมริสาเย็นเฉียบเมื่อได้ยินเสียงนี้ เธอหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม เตือนตัวเองเป็นร้อยครั้งว่าห้ามมองเขาแบบที่ชอบทำ แต่สายตาเธอดันติดนิสัยที่ชอบแอบชื่นชมร่างกายที่สมบูรณ์แบบของชายหนุ่ม สันกรามที่โดดเด่นและดวงตาสีดำสนิทดูเหมือนจะมีพายุขดวนเต็มไปด้วยความอันตรายที่แฝงเร้น บ่ากว้างและอกแกร่ง วิธียิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก ริมฝีปากหยักลึกที่ดูเหมือนเชื้อเชิญให้อยากสัมผัสว่ามันจะนุ่มแค่ไหนเมื่อได้สติเมริสารีบสลัดความคิดไร้สาระของตนออก เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เธอเฝ้าฝันและจินตนาการอีกต่อไปเขาจะเป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดที่เปรียบเสมือนผู้คุมของเธอเท่านั้น และที่สำคัญเขาเกลียดเธอ นั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่
หลิวเจี้ยนหรี่ตามองทำเอาเมริสารู้ว่าความอดทนของคนเป็นพ่อใกล้จะสิ้นสุดลงทุกที เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนหัวร้อน ไม่ใช่ว่าเขาเคยระเบิดใส่เธอ แต่เธอเคยเห็นตอนที่เขาระเบิดใส่คนอื่น และทุกครั้งเธอรู้สึกดีใจที่เธอไม่ใช่คนพวกนั้น“แล้วทางมหาลัยจะไม่ว่าอะไรเหรอคะ”“จะว่าอะไรได้ ไม่ใช่มีแค่ลูกสาวพ่อคนเดียวที่ไหนที่ต้องมีบอดี้การ์ด มหาลัยนี้มีแต่ลูกคนรวยและมีอิทธิพลเข้าเรียน ถ้าไม่มีบอดีการ์ดสิแปลก”ถูกต้อง แต่เมริสาคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนเดียวที่กระโจนใส่บอดี้การ์ดแล้วก็ร้องไห้ที่โดนปฏิเสธราวกับเป็นตัวน่าขยะแขยง ทำให้เธอมองหน้าเขาไม่ติด และตอนนี้เธอยังต้องปล่อยให้เขาติดตามเธอไปทุกที่แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัย“เขาจะอยู่กับหนูที่คอนโดด้วยรึเปล่าคะ”“เหมยหนูเป็นเด็กฉลาดที่คิดเรื่องนี้ได้”เมริสามองหน้าพ่อรอคำตอบทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว“พ่อคงไม่ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวหรอกใช่ไหม” หลิวเจี้ยนหัวเราะราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องขำขัน “พ่อจะปล่อยให้เหมยอยู่คนเดียวหรือจะไปอยู่หอพักร่วมกับคนอื่นทำไม ไม่สู้ให้อยู่กับคนที่รู้จักและไว้ใจได้ไม่ดีกว่าหรือ”เมริสารู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะขัดคำสั่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ก่อนหน้า
“พ่อรู้ว่าลูกจะต้องดีใจกับเรื่องนี้”ดีใจงั้นหรือ ตอนนี้ในหัวเมริสากำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่หลิวเจี้ยนบอก เขาจะส่งเธอไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหยวนจิง“แต่หนูไม่ได้ยื่นใบสมัครที่นั่นไปนี่คะ”“พ่อจัดการทุกอย่างให้หนูแล้ว หนูไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ดีหรือไง”เหมือนกับทุกครั้ง เมริสาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด เธอไม่มีสิทธิ์เลือกหรือตัดสินใจอะไรในชีวิตของตัวเอง ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ เธอมีเงิน มีทุกอย่างที่ต้องการ เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอะไรเลย แต่นั่นเท่ากับว่าเธอไม่สามารถเลือกได้แม้แต่มหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเรียนเมริสามองหน้าคนเป็นพ่อที่มองเธออย่างคาดหวัง ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้ม“ขอบคุณค่ะ”มือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำลังกำแน่นเล็บจิกบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บเธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้คุณคน เธอรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน เธออาจไม่ได้มีชีวิตสุขสบายแบบนี้ถ้าพ่อไม่ไปรับเธอมาดูแล เธออาจจะต้องนอนอยู่ริมถนนหรือแทบจะต้องใช้ชีวิตไปวัน ๆ อาจจะต้องทำงานสองงานสามงาน แต่ตอนนี้ เธอมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายแทบไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงแม้แต่เจ้าหญิงที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดยังอยากมีอิสรภาพบ้าง แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตใ
“คุณหนูทราบเรื่องนี้หรือยังครับ”หลิวเจี้ยนส่ายหัว “พรุ่งนี้ฉันจะคุยกับเหมย แต่ฉันบอกเรื่องนี้ให้นายรู้ก่อน ฉันรู้ว่าฉันเชื่อใจนายได้”เซียวเฟิงทำได้เพียงพยักหน้า คำพูดนั้นชัดเจน หากทำเสียเรื่อง ชีวิตแกจบสิ้นแน่“ผมจะดูแลคุณหนูเอง นายท่านไม่ต้องเป็นห่วงครับ” แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่มือที่กุมกันอยู่กำลังกำแน่น โชคดีที่เขาเป็นคนเก็บอารมณ์และสีหน้าเก่ง“ฉันต้องการให้นายดูแลเธอเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องความบริสุทธิ์...”“ครับ” เซียวเฟิงคุ้นเคยกับคำสั่งไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ยังอดแปลกใจกับเรื่องนี้ไม่ได้“ความบริสุทธิ์” หลิวเจี้ยนย้ำอีกครั้ง “นายก็โต ๆ กันแล้ว คงรู้ว่าฉันพูดเรื่องอะไร” เขาแสยะยิ้มแล้วพูดต่อ “ฉันรู้ว่ายัยเหมยยังบริสุทธิ์อยู่ ฉันเคยให้หมอตรวจตั้งแต่ตอนที่ฉันพาเหมยกลับมา หลังจากนั้นก็อยู่ในสายตานายตลอด”“ครับ”“ไม่มีผู้ชายที่ไหนใช่มั้ย”“ไม่มีครับ”“นั่นไง” หลิวเจี้ยนไหวไหล่ “แสดงว่าเหมยยังบริสุทธิ์ และนั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการให้มันคงอยู่แบบนั้น ถ้าแปดเปื้อนไปแล้วก็คงไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะให้เธอแต่งงานเพื่อเกี่ยวดองทางธุรกิจ”นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวเฟิงได้ยินเรื่องนี้ แน่นอนว่าการกันเม
เสียงรองเท้าหนัก ๆ กระทบกับทางเดินหินอ่อนจากเรือนพักข้ารับใช้ไปยังตัวคฤหาสน์ เซียวเฟิงเพิ่งกลับเข้าห้องพักตัวเองไม่ถึงสองนาทีก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นนายสั่งให้เขาไปพบที่ห้องทำงานห้องทำงานของหลิวเจี้ยนอยู่ทางปีกตะวันออกของคฤหาสน์อันใหญ่โตหลังนี้ ตอนมาเหยียบที่นี่ครั้งแรกเซียวเฟิงถึงกับตื่นตะลึงไม่คิดว่าตนจะได้อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ เขาได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย แต่ถึงอย่างนั้น สถานะของเขาก็เป็นเพียงการ์ดต่ำต้อย แม้ว่าตำแหน่งของเขาจะค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น แต่ก็เป็นตำแหน่งที่เปราะบางที่สุดเช่นกัน แค่ก้าวพลาดครั้งเดียว ก็อาจถูกโยนออกจากที่นี่นั่นยังนับว่าเป็นกรณีที่ดีที่สุดด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นกรณีแย่ที่สุด และคงจะใกล้ความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งก็คือเขาอาจถูกพบเป็นศพในที่ใดที่หนึ่งในสภาพศีรษะกระจุย ถูกเลาะฟัน ตัดแขน ตัดขา เพื่อให้ยากต่อการระบุตัวตน คิดดังนั้นก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ไม่อยากจะจินตนาการลูกน้องคนอื่น ๆ หากทำงานพลาดอาจเพียงแค่ถูกไล่ออก แต่ว่า...หากเขาก้าวผิดเพียงก้าวเดียว นั่นเท่ากับความตายหลิวเจี้ยนขึ้นชื่อว่าให้ความสำคัญกับลูกสาวเป็นอย่างมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เค
หลังงานเลี้ยงจบลง เมริสาเดินเล่นอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ของผู้เป็นบิดา เธอเริ่มจะคุ้นชินกับความใหญ่โตของที่แห่งนี้และความเงียบที่เข้ามาปกคลุมในยามค่ำคืน การได้อยู่คนเดียวเพียงลำพังเป็นสิ่งที่เธอโหยหา เพราะรอบตัวเธอไม่ว่าจะทำอะไรที่ไหนจะต้องมีผู้ติดตามและคอยคุ้มกันเสมอ เวลาเดียวที่เธอได้รับอนุญาตให้อยู่เพียงลำพังได้คือตอนเข้าห้องน้ำและตอนนอนเท่านั้น แม้กระนั้นเธอกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างที่จะต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ กล้าคุยด้วย ช่างเป็นชีวิตที่น่าเย้ยหยันนักงานเลี้ยงคืนนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเธอ มันเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของพ่อ เธอผู้เป็นลูกสาวมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือแต่งตัวสวย ๆ ฉีกยิ้มหวาน ๆ วางตัวให้สมฐานะลูกสาวคนเดียวของหลิวเจี้ยน ผู้นำสูงสุดของหลงเว่ยกรุ๊ป ชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในเซี่ยงไฮ้หากเอ่ยถึงหลงเว่ยกรุ๊ป ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะกิจการครอบคลุมตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การขนส่ง ธุรกิจบันเทิง และอื่น ๆ อีกเกินกว่าจะนับไหว การมาอยู่จุดนี้ได้ แน่นอนว่าเหรียญมักมีสองด้าน ธุรกิจบนดินแม้จะทำกำไรมหาศาลแต่ก็ยังไม่สู้ธุรกิจดำมืดที่อยู