เสียงรองเท้าหนัก ๆ กระทบกับทางเดินหินอ่อนจากเรือนพักข้ารับใช้ไปยังตัวคฤหาสน์ เซียวเฟิงเพิ่งกลับเข้าห้องพักตัวเองไม่ถึงสองนาทีก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นนายสั่งให้เขาไปพบที่ห้องทำงาน
ห้องทำงานของหลิวเจี้ยนอยู่ทางปีกตะวันออกของคฤหาสน์อันใหญ่โตหลังนี้ ตอนมาเหยียบที่นี่ครั้งแรกเซียวเฟิงถึงกับตื่นตะลึงไม่คิดว่าตนจะได้อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ เขาได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย แต่ถึงอย่างนั้น สถานะของเขาก็เป็นเพียงการ์ดต่ำต้อย แม้ว่าตำแหน่งของเขาจะค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น แต่ก็เป็นตำแหน่งที่เปราะบางที่สุดเช่นกัน แค่ก้าวพลาดครั้งเดียว ก็อาจถูกโยนออกจากที่นี่
นั่นยังนับว่าเป็นกรณีที่ดีที่สุดด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นกรณีแย่ที่สุด และคงจะใกล้ความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งก็คือเขาอาจถูกพบเป็นศพในที่ใดที่หนึ่งในสภาพศีรษะกระจุย ถูกเลาะฟัน ตัดแขน ตัดขา เพื่อให้ยากต่อการระบุตัวตน คิดดังนั้นก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ไม่อยากจะจินตนาการ
ลูกน้องคนอื่น ๆ หากทำงานพลาดอาจเพียงแค่ถูกไล่ออก แต่ว่า...หากเขาก้าวผิดเพียงก้าวเดียว นั่นเท่ากับความตาย
หลิวเจี้ยนขึ้นชื่อว่าให้ความสำคัญกับลูกสาวเป็นอย่างมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยใส่ใจว่าตนมีลูกสาวอยู่
ชายสูงวัยกำลังเดินไปมาอยู่ริมหน้าต่าง เหมือนที่เขามักจะทำเมื่อมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ เซียวเฟิงเคาะประตูก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เขาสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างข้าง ๆ โต๊ะทำงานไม้สักตัวใหญ่ จึงเอื้อมมือเตรียมจะชักปืน เมื่อสิ่งนั้นโผล่ขึ้นมาจึงเห็นว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงของเจ้านาย หล่อนแต่งตัวด้วยชุดนุ่งน้อยห่มน้อย หน้าอกหน้าใจล้นทะลัก นั่งคุกเข่าอยู่ แต่สายตาจ้องมาที่เขา แต่เซียวเฟิงรีบหลุบตาต่ำมองพื้นทันที
เขาก้าวเท้าเข้าไปโดยเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของสาวบริการ หลิวเจี้ยนโบกมือเป็นสัญญาณให้ปิดประตูเขาจึงรีบทำตามอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ดีว่าหลิวเจี้ยนไม่ใช่คนที่ชอบพูดให้มากความ
“มีอะไรให้ผมรับใช้ครับนายท่าน” เขายืนกุมมือ แผ่นหลังตั้งตรง สงบนิ่งรอรับคำสั่ง
“นายไปเก็บของได้แล้ว”
คำพูดนี้เสมือนคีมเหล็กที่กำลังบีบหัวใจของเซียวเฟิง แต่เขาพยายามปกปิดความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงภายใต้สีหน้าเรียบเฉยเย็นชา
“อะไรนะครับ”
ข้อแก้ตัวหลายอย่างกำลังผุดขึ้นในหัว แม้ว่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องแก้ตัวเรื่องอะไร ไม่เข้าใจว่าได้ทำอะไรผิดไป หรือพลาดตรงไหน พลันในหัวคิดไปถึงค่ำคืนนั้นที่สระว่ายน้ำ ทว่ามันผ่านมาแล้วสามเดือน หากหลิวเจี้ยนรู้ เขาคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้แน่
เมื่อเห็นว่าริมฝีปากของเจ้านายกระตุกขึ้น เขาจึงรู้ว่ากำลังถูกล้อเล่น แต่เขาไม่ขำด้วยเลย
“ฉันหมายถึง ให้นายไปเก็บของของนายซะ เพราะนายจะต้องไปหยวนจิง”
‘หยวนจิง’ นี่มันไม่ใช่ชื่อมหาวิทยาลัยหรอกหรือ?
“มหาลัยหรือครับ”
“ใช่แล้ว ฉันจะให้เหมยไปเรียนที่นั่น”
ตอนนี้เซียวเฟิงชักจะเข้าใจอะไรราง ๆ ตอนแรกคิดว่าชายผู้ซึ่งหวงลูกสาวยิ่งกว่าไข่ในหินจะให้เธอเลือกเรียนมหาวิทยาลัยใกล้ ๆ เพื่อที่จะได้อยู่ในสายตา แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว เขาทำงานกับหลิวเจี้ยนมาหลายปี การที่ส่งเมริสาไปเรียนต่อที่หยวนจิงนับว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของลูกหลานผู้มีอำนาจและมีอิทธิพลที่ร่ำรวยมหาศาล นับว่าเป็นคนในระดับเดียวกัน ดังนั้นในสายตาของหลิวเจี้ยน ที่นั่นย่อมเหมาะสมกว่า
หลิวเจี้ยนหันมาทางเซียวเฟิงอีกครั้ง ดวงตาไร้ร่องรอยอารมณ์ขัน ไม่นับว่าน่าแปลกอะไร เพราะชายคนนี้ไม่ใช่คนที่จะใช้เวลาทั้งวันเพลิดเพลินกับอาณาจักรที่เขาสร้างขึ้น เขาระแวงเกินกว่าจะทำแบบนั้น และเมื่อถึงจุดที่สถานการณ์บีบคั้น เขาก็ไม่ลังเลที่จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อความปลอดภัย
และนี่คือเหตุผลที่เขาต้องมาอยู่ที่นี่ หรืออย่างน้อยก็เคยอยู่ ก่อนที่จะถูกมอบหมายให้เป็นบอดี้การ์ดประจำตัวของเมริสาเมื่อสามปีที่แล้ว
“ฉันคงไม่ต้องบอกนะว่านายต้องทำอะไร” หลิวเจี้ยนเอ่ยเสียงเรียบเหมือนกับครั้งที่สั่งให้เขาไปจัดการสมาชิกแก๊งที่ทรยศ
“ไม่ต้องครับ”
เซียวเฟิงนึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองตาย ทำไมหลิวเจี้ยนไม่เลือกคนอื่น ทำไมถึงต้องเป็นเขา เพราะเขาเองนี่แหละที่อันตรายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด นับวันมาริสายิ่งท้าทายความอดทนเขามากขึ้นทุกวัน แต่เขาไม่สามารถทำในสิ่งที่ปรารถนาได้ เขายังไม่สามารถสลัดภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นที่สระว่ายน้ำออกไปได้เลย
“คุณหนูทราบเรื่องนี้หรือยังครับ”หลิวเจี้ยนส่ายหัว “พรุ่งนี้ฉันจะคุยกับเหมย แต่ฉันบอกเรื่องนี้ให้นายรู้ก่อน ฉันรู้ว่าฉันเชื่อใจนายได้”เซียวเฟิงทำได้เพียงพยักหน้า คำพูดนั้นชัดเจน หากทำเสียเรื่อง ชีวิตแกจบสิ้นแน่“ผมจะดูแลคุณหนูเอง นายท่านไม่ต้องเป็นห่วงครับ” แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่มือที่กุมกันอยู่กำลังกำแน่น โชคดีที่เขาเป็นคนเก็บอารมณ์และสีหน้าเก่ง“ฉันต้องการให้นายดูแลเธอเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องความบริสุทธิ์...”“ครับ” เซียวเฟิงคุ้นเคยกับคำสั่งไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ยังอดแปลกใจกับเรื่องนี้ไม่ได้“ความบริสุทธิ์” หลิวเจี้ยนย้ำอีกครั้ง “นายก็โต ๆ กันแล้ว คงรู้ว่าฉันพูดเรื่องอะไร” เขาแสยะยิ้มแล้วพูดต่อ “ฉันรู้ว่ายัยเหมยยังบริสุทธิ์อยู่ ฉันเคยให้หมอตรวจตั้งแต่ตอนที่ฉันพาเหมยกลับมา หลังจากนั้นก็อยู่ในสายตานายตลอด”“ครับ”“ไม่มีผู้ชายที่ไหนใช่มั้ย”“ไม่มีครับ”“นั่นไง” หลิวเจี้ยนไหวไหล่ “แสดงว่าเหมยยังบริสุทธิ์ และนั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการให้มันคงอยู่แบบนั้น ถ้าแปดเปื้อนไปแล้วก็คงไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะให้เธอแต่งงานเพื่อเกี่ยวดองทางธุรกิจ”นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวเฟิงได้ยินเรื่องนี้ แน่นอนว่าการกันเม
“พ่อรู้ว่าลูกจะต้องดีใจกับเรื่องนี้”ดีใจงั้นหรือ ตอนนี้ในหัวเมริสากำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่หลิวเจี้ยนบอก เขาจะส่งเธอไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหยวนจิง“แต่หนูไม่ได้ยื่นใบสมัครที่นั่นไปนี่คะ”“พ่อจัดการทุกอย่างให้หนูแล้ว หนูไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ดีหรือไง”เหมือนกับทุกครั้ง เมริสาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด เธอไม่มีสิทธิ์เลือกหรือตัดสินใจอะไรในชีวิตของตัวเอง ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ เธอมีเงิน มีทุกอย่างที่ต้องการ เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอะไรเลย แต่นั่นเท่ากับว่าเธอไม่สามารถเลือกได้แม้แต่มหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเรียนเมริสามองหน้าคนเป็นพ่อที่มองเธออย่างคาดหวัง ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้ม“ขอบคุณค่ะ”มือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำลังกำแน่นเล็บจิกบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บเธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้คุณคน เธอรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน เธออาจไม่ได้มีชีวิตสุขสบายแบบนี้ถ้าพ่อไม่ไปรับเธอมาดูแล เธออาจจะต้องนอนอยู่ริมถนนหรือแทบจะต้องใช้ชีวิตไปวัน ๆ อาจจะต้องทำงานสองงานสามงาน แต่ตอนนี้ เธอมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายแทบไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงแม้แต่เจ้าหญิงที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดยังอยากมีอิสรภาพบ้าง แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตใ
หลิวเจี้ยนหรี่ตามองทำเอาเมริสารู้ว่าความอดทนของคนเป็นพ่อใกล้จะสิ้นสุดลงทุกที เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนหัวร้อน ไม่ใช่ว่าเขาเคยระเบิดใส่เธอ แต่เธอเคยเห็นตอนที่เขาระเบิดใส่คนอื่น และทุกครั้งเธอรู้สึกดีใจที่เธอไม่ใช่คนพวกนั้น“แล้วทางมหาลัยจะไม่ว่าอะไรเหรอคะ”“จะว่าอะไรได้ ไม่ใช่มีแค่ลูกสาวพ่อคนเดียวที่ไหนที่ต้องมีบอดี้การ์ด มหาลัยนี้มีแต่ลูกคนรวยและมีอิทธิพลเข้าเรียน ถ้าไม่มีบอดีการ์ดสิแปลก”ถูกต้อง แต่เมริสาคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนเดียวที่กระโจนใส่บอดี้การ์ดแล้วก็ร้องไห้ที่โดนปฏิเสธราวกับเป็นตัวน่าขยะแขยง ทำให้เธอมองหน้าเขาไม่ติด และตอนนี้เธอยังต้องปล่อยให้เขาติดตามเธอไปทุกที่แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัย“เขาจะอยู่กับหนูที่คอนโดด้วยรึเปล่าคะ”“เหมยหนูเป็นเด็กฉลาดที่คิดเรื่องนี้ได้”เมริสามองหน้าพ่อรอคำตอบทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว“พ่อคงไม่ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวหรอกใช่ไหม” หลิวเจี้ยนหัวเราะราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องขำขัน “พ่อจะปล่อยให้เหมยอยู่คนเดียวหรือจะไปอยู่หอพักร่วมกับคนอื่นทำไม ไม่สู้ให้อยู่กับคนที่รู้จักและไว้ใจได้ไม่ดีกว่าหรือ”เมริสารู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะขัดคำสั่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ก่อนหน้า
แม้กระทั่งตอนนี้ ผ่านไปหลายเดือน ความเจ็บปวดก็ยังสดใหม่อยู่ ร่างกายของเธอเกร็งขึ้นเมื่อนึกถึงสายตาเย็นชาคู่นั้น เขามองเหมือนกับว่าเธอเป็นเพียงแค่ขยะ เหมือนเขาเกลียดเธอมาก หรือแย่กว่านั้น รู้สึกสมเพชเธอ เธอยังไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนจะน่าอับอายมากกว่ากัน หากย้อนเวลากลับไปได้เธอคงไม่ยั่วยวนเขาแบบวันนั้นเมริสารีบเดินกลับห้อง ผ่านห้องหับต่าง ๆ ในคฤหาสน์หลังโต จนกระทั่งเสียงหนึ่งหยุดเธอไว้“สวัสดีครับเจ้าหญิง”เลือดในกายเมริสาเย็นเฉียบเมื่อได้ยินเสียงนี้ เธอหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม เตือนตัวเองเป็นร้อยครั้งว่าห้ามมองเขาแบบที่ชอบทำ แต่สายตาเธอดันติดนิสัยที่ชอบแอบชื่นชมร่างกายที่สมบูรณ์แบบของชายหนุ่ม สันกรามที่โดดเด่นและดวงตาสีดำสนิทดูเหมือนจะมีพายุขดวนเต็มไปด้วยความอันตรายที่แฝงเร้น บ่ากว้างและอกแกร่ง วิธียิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก ริมฝีปากหยักลึกที่ดูเหมือนเชื้อเชิญให้อยากสัมผัสว่ามันจะนุ่มแค่ไหนเมื่อได้สติเมริสารีบสลัดความคิดไร้สาระของตนออก เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เธอเฝ้าฝันและจินตนาการอีกต่อไปเขาจะเป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดที่เปรียบเสมือนผู้คุมของเธอเท่านั้น และที่สำคัญเขาเกลียดเธอ นั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่
“เปิดเพลงให้หน่อยสิ”เซียวเฟิงทำเพียงมองตรงไปข้างหน้า เหมือนที่ทำมาตลอดชั่วโมงที่ผ่านมา เขาไม่แม้แต่จะชำเลืองมองไปที่กระจกมองหลัง เพราะรู้ดีว่าเมริสาจะต้องกำลังจ้องเขาด้วยสายตาเกลียดชัง“นี่! นายหูหนวกรึเปล่า ฉันบอกว่าให้เปิดเพลง ไม่ได้ยินรึไง”เซียวเฟิงยังคงนิ่งเฉย มือกำแน่นรอบพวงมาลัย แต่หัวสมองกลับจินตนาการว่ากำลังบีบที่คอสวย ๆ ของหญิงสาวอยู่ การที่เขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำกับเธอมันแย่พอแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับความปรารถนาของตัวเองเมื่อไหร่ ทำไมเธอต้องทำอะไรให้มันยากมากขึ้นด้วยการยั่วโทสะเขาอยู่ตลอดเวลาดังนั้นการทำเป็นเกลียดเธอนั้นงายกว่า เพื่อปกปิดความต้องการจากส่วนลึก“เซียวเฟิง ฉันรู้ว่านายได้ยิน ช่วยเปิดเพลงให้ฉันหน่อยได้ไหม” สุดท้ายเมริสาเอ่ยขอร้องเสียงนุ่มนวลขึ้น“หืม ขอโทษครับที่ผมไม่ได้ยิน หูของผมมีปัญหานิดหน่อยเวลาคนอื
“ทำไมผมจะต้องอาย” เขาตอบออกไป หวังว่าการจราจรจะเคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ขับรถให้เร็วขึ้นอีกหน่อย อย่างน้อยก็จะมีเหตุผลให้เขาไม่ต้องใส่ใจตอบคำถามเธอ ใครว่าเขาไม่อาย!“พ่อสั่งให้นายไปนั่งเรียนกับฉันเหรอ”“มันคืองานของผมครับ คุณหนูจะไปถามอาจารย์ไหมว่าพวกเขาอายไหมที่ต้องยืนสอนอยู่หน้าชั้นเรียน นั่นคืองานของพวกเขาที่ทำแลกกับค่าจ้าง ผมก็เหมือนกัน” เซียวเฟิงแอบมองหญิงสาวผ่านกระจก “นอกจากนี้ที่นั่นมีแต่พวกลูกคนรวยหรือผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ ผมว่าไม่ได้มีแค่คุณหนูคนเดียวหรอกที่มีบอดี้การ์ดไปนั่งเรียนด้วย แต่ถ้ามีแค่คุณหนูคนเดียวจริงก็ไม่ได้แปลกอะไร คนพวกนั้นชินกับการเห็นบอดี้การ์ดอยู่รอบ ๆ อยู่แล้ว เพียงแต่คุณหนูยังไม่ชินแค่นั้นเอง”“นายกำลังดูถูกฉันเหรอ”“ทำไมคุณหนูถึงคิดว่าทุกอย่างที่ผมพูดคือการดูถูกล่ะครับ ผมไม่คิดดูถูกคุณหนูเลย ที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง คุณหนูไม่ได้เติบโตมาแบบเด็กพวกนั้น สำหรับคุณหนูมันเลยเป็นเรื่องแปลก ถูกไหมครับ”
“บ้าเอ๊ย!”เมริสาได้แต่สบถในใจ คิดว่าเมื่ออยู่ไกลพ่ออะไร ๆ ก็จะดีขึ้น อาจจะมีอิสระมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่นี่ไม่เลย เธอจ้องไปยังชายหนุ่มที่กำลังขับรถอยู่ นี่ก็ทำตัวเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ซะเหลือเกิน อยู่ไกลเจ้านายขนาดนี้จะหย่อนยานสักนิดไม่ได้เลยหรือแขนของเธอยังคงเจ็บจากการที่ถูกเขาจับอยู่เลย เธอเบ้ปากใส่ชายหนุ่ม ขณะเดียวกับที่รถเลี้ยวเข้าไปยังตึกที่ดูเหมือนโรงแรมห้าดาวมากกว่าคอนโด“ที่นี่เหรอ”เมริสามองเมื่อรถขับผ่านสวนสวยที่ได้รับการดูแลอย่างดี ตกแต่งด้วยน้ำพุหินอ่อนที่พุ่งน้ำสูงขึ้นไปในอากาศ มันเปล่งประกายเหมือนเพชรก่อนที่จะตกลงไปในสระน้ำรอบ ๆ“คุณหนูไม่ชอบหรือครับ”“ฉันพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” เมริสาค้อนขวับ เซียวเฟิงได้แต่หัวเราะเบา ๆ “ก็แค่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ ฉันว่ามันหรูเกินไปสำหรับนักศึกษาคนหนึ่งก็แค่นั้น”“ไม่มีอ
“อยากได้รางวัลเหรอครับที่ว่ามาเนี่ย”“ไอ้บ้า! นี่นายไม่เข้าใจหรือไงว่า ฉันอยากได้ความเคารพ สักเล็กน้อยก็ยังดี ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตคุณหนูแบบนี้ตั้งแต่เกิด ฉันเคยใส่เสื้อผ้ามือสองต่อจากคนอื่น แม่ฉันต้องประหยัดเงินเพื่อที่จะซื้อรองเท้านักเรียนใหม่ให้ฉันใส่ เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องมากระแนะกระแหนว่าฉันเป็นคุณหนูไฮโซ”“ผมรู้แล้วครับคุณหนู”“แต่วิธีที่นายพูดกับฉันยังทำให้รู้สึกเหมือนว่าฉันเป็นตัวตลกในสายตานายอยู่ดี”“คุณหนูคิดมากไปเอง”“ฮึ่ย! ไปตายซะ! ทั้งนายและพ่อฉันนั่นแหละ!”ทันใดนั้น จู่ ๆ ชายหนุ่มก็เข้ามาประชิด โน้มหน้าลงมาใกล้จนเกือบจะสัมผัสใบหน้าหญิงสาว“เรื่องนี้ผมจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ คุณหนูจะจิกหัวเรียกหรือจะด่าผมยังไงก็ได้ แต่ห้ามก้าวร้าวพูดจาไม่เคารพนายท่านเด็ดขาด”“เป็นอะไรของนายเนี่ย! พ่อไม่ได้อยู่ด้วยซะหน่อย ไม่ต้องทำตัวเป็น
เซียวเฟิงต้องเตือนสติตัวเองว่าห้ามเผลอไผลไปในสถานการณ์ตอนนี้ เพราะการใกล้ชิดกันแบบนี้ การที่เธอดิ้นรนขัดขืนทำให้ร่างกายนุ่มนิ่มเสียดสีไปกับกายแกร่งของเขา เขาบังคับเธอเดินข้ามไปยังโซฟาในห้องนั่งเล่น ตอนนี้กลางลำตัวเขากำลังตื่นตัวเต็มที่ขณะที่ฉุดเธอให้นั่งลงบนตักแกร่ง“นายจะทำอะไร! ปล่อยนะ!“ผมจะทำให้คุณหนูจำให้ขึ้นใจว่าครั้งหน้าถ้ามีไอ้หน้าไหนชวนไปบ้านอีก แล้วจะมีผลลัพธ์ยังไง”ไม่ว่าเมริสาจะพยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่มีทางสู้แรงบอดี้การ์ดร่างยักษ์ได้ เขาแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลยตอนจับเธอคว่ำหน้าพาดตักให้ก้นลอยขึ้น“ปล่อยฉันนะ! นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!” เมริสาถีบขาไปมา สองมือฟาดบนขาชายหนุ่มแต่ก็ไม่เป็นผล“นี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คุณหนูหลาบจำ”เพียะ!ฝ่ามือแรงที่กระทบบั้นทายงอนเหมือเป็นการปลดปล่อยความเครียดที่เขาสะสมมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
ถึงตอนนี้เซียวเฟิงยิ่งมั่นใจว่าเมริสาต้องกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง เธอทำอาหารอร่อยมาก พอกินเสร็จก็ไปเก็บล้างโดยไม่ปริปากบ่นอะไรเลยสักนิด มันจะไม่น่าสงใสขนาดนั้นถ้าเธอจะไม่เปลี่ยนชุดนอนออกมานั่งในห้องนั่งเล่น ทำเป็นทาเล็บเท้าและมาส์กหน้าในขณะที่เปิดรายการไร้สาระสักอย่างในเน็ตฟลิกซ์ เซียวเฟิงไม่สนใจนักเพราะเขามัวแต่สงสัยว่าเธอจะทำอะไรต่อไปมากกว่าขณะนี้นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มสี่สิบห้า เซียวเฟิงยังไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย แต่เขาทำทีว่ากำลังจะเข้านอน“อย่าลืมนะครับว่ามีสัญญาณเตือนภัยอยู่” เขาเตือนเมริสาขณะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง เมริสาเพียงแค่กลอกตาแต่ไม่ได้พูดอะไรเซียวเฟิงคอยอยู่ว่าเมริสาจะใช้เวลานานแค่ไหนที่พยายามหนีออกไป แม้ว่าประตูห้องนอนจะปิดอยู่ แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงเธอเดินไปมาอยู่ข้างนอกทำไมคุณหนูต้องทำให้มันเป็นเรื่องยากสำหรับตัวเองขนาดนี้ด้วยนะทำไมคุณหนูต้องทำให้ผมทำในสิ่งที
เซียวเฟิงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง...เมริสาเป็นคนฉลาด เธอสอบได้คะแนนสูงมากตอนเรียนมัธยมฯ เธอตั้งใจทำการบ้านและรายงานทุกชิ้น ถ้าไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือในห้อง บางครั้งก็หอบงานออกมาทำที่ห้องนั่งเล่น เธอไม่เคยเข้าแอปหาคู่ ข้อนี้เขาเคยลองแอบเช็กดูเป็นครั้งคราว ดังนั้นเวลาว่างของเธอถ้าไม่ทำการบ้านก็ทบทวนบทเรียน อาจจะเข้าเข้าแอปฯ ซื้อของออนไลน์บ้างเป็นบางครั้งปัญหาของคนฉลาดคือ บางครั้งการที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ทำให้คิดว่าจะสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ถูกจับได้ หากเป็นเช่นนั้น มันก็ทำให้การทำงานของเขาง่ายขึ้น เพราะเธอแทบจะแสดงทุกสิ่งที่ธอคิดออกมาอย่างเปิดเผยและนั่นหมายความว่าเขาต้องฉลาดเช่นกัน เซียวเฟิงไม่เคยเล่นหมากรุกมาก่อน เขาสงสัยว่านี่เป็นความรู้สึกเดียวกันหรือเปล่า การพยายามคิดหาวิธีที่จะคาดเดาการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของศัตรูและหาวิธีตอบโต้อย่างเหมาะสมเมื่อกลับจากออกกำลังกายที่ยิมข้างล่าง เซียวเฟิงได้ยินเสียงดังจา
“นักศึกษาทุกคนจับกลุ่มกลุ่มละสี่คนนะคะ” อาจารย์ยืนสั่งอยู่หน้าชั้นเรียนและให้เวลานักศึกษาตกลงเรื่องจับกลุ่มกันเมริสาดีใจมากเมื่อผิงซินหันหน้ามาทางเธอ ชี้นิ้วและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เธอพยักหน้าตกลงทันที และพยายามซ่อนรอยยิ้มยินดีเอาไว้ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน เธออยากมีเพื่อนมากขนาดนี้เลยหรือเนี่ย โต๊ะข้าง ๆ ว่างอยู่ ผิงซินจึงย้ายมานั่ง“ดีนะ ฉันกลัวว่าอาจารย์จะเลือกให้อยู่กับคนที่ไม่รู้จัก”“ฉันก็คิดเหมือนกัน”เมริสาทำเป็นมองผ่าน ๆ ไปรอบห้อง แล้วหยุดสายตาที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงประตูแบบไม่ได้ใส่ใจ บอดี้การ์ดของเธอกำลังนั่งในท่าไขว่ห้าง ห่อไหล่เล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเขาหลับหรือเปล่าแต่เขาไม่ขยับตัวเลยเธอนึกอยากจะถามผิงซินว่ามันแปลกไหมที่เธอมีบอดี้การ์ดติดตามานั่งเรียนด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ความสนใจชายหนุ่มมากเกินไปเพื่อนผู้หญิงในชั้นคนหนึ่งเดินเข้ามาชี้
“ครับ สักวันคุณน่าจะมีโอกาส” เขาพูดส่ง ๆ แล้วหันมองไปทางเมริสาที่กำลังคุยกับกลุ่มเพื่อน เธอหันมามองเขาเช่นกัน ทั้งคู่สบตากัน มีอะไรบางอย่างที่เขาอ่านไม่ออกในสายตาเธอ โดยเฉพาะเมื่อเธอหันไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่กับเขา“ที่ฉันอยากจะบอกก็คืออยากนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คุณต่างหากล่ะ” ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รับรู้สัญญาณที่เขาสื่อเป็นนัยจนน่ารำคาญ “คุณจะเป็นผู้ชายคนแรกของฉัน” เธอขบริมฝีปากที่เคลือบไปด้วยลิปกลอสเซียวเฟิงไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไร เพียงแค่เธอไม่ใช่เมริสา แม้กระนั้นเขาก็ยังยิ้มให้เพื่อรักษาน้ำใจ “ปกติผมยุ่งตลอด คุณเป็นเฟรชชี่เหรอ”หญิงสาวพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นคุณมาทำอะไรที่นี่ ถ้าไม่ใช่นักศึกษา งั้นคุณเป็นอาจารย์หรือเปล่า”“เขามากับฉัน” เสียงหวานคุ้นเคยแทรกขึ้น เซียวเฟิงหันไปมองก็พบกับใบหน้าบึ้งตึงของเมริสา “เรามีธุระต้องไปจัดการต่อ ขอตัวก่อนนะ” ว่าจบเธอก็ทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิดด้วยการคว้ามือเขาไปจับแล้วดึงเขาออกมา
นักศึกษาต่างเริ่มทยอยเก็บข้าวของก่อนที่อาจารย์จะพูดจบเสียอีก แต่เมริสาจะรอจนกระทั่งอาจารย์สอนเสร็จจึงค่อยเก็บของตัวเอง มันทำให้เห็นว่าเธอแตกต่างจากพวกเด็กสปอยล์เหล่านี้ นอกจากนี้นักศึกษาครึ่งชั้นยังหลับระหว่างเรียนด้วยซ้ำ พวกลูกคุณหนูคุณชายเหล่านี้ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอะไรเลย เซียวเฟิงเห็นแล้วอยากจะถามออกไปเสียจริงว่าคิดว่าตัวเองเป็นใคร และคิดว่าจะอยู่รอดได้สักห้านาทีในโลกของเขากับเมริสารึเปล่า คนเหล่านี้โชคดีมากแต่ยังไม่รู้จักสำนึกเมริสาปิดแล็ปท็อปแล้วเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะลุกขึ้น เซียวเฟิงสังเกตเห็นพวกผู้ชายที่อยู่ใกล้ ๆ จ้องมองบั้นท้ายของเธอตาเป็นมัน โดยเฉพาะคนหนึ่งที่ทำให้เขาแทบกัดฟันแน่น ไอ้หมอนั่นชอบใส่ชุดนอนตลอดเวลา กับหมวกใบเดิมทุกวัน ดูเหมือนคนเพิ่งกลับจากปาร์ตี้หรือเพิ่งลุกจากเตียงของผู้หญิงสักคน เซียวเฟิงพนันได้เลยว่าถ้าเข้าไปใกล้มากพอ คงจะได้กลิ่นผู้หญิงติดปากมันแน่นอน มันคิดว่ามันมีสิทธิ์อะไรมามองเมริสา ไม่มีมีสิทธิ์ที่จะเรียนอยู่ในห้องเดียวกับเธอด้วยซ้ำ“
การที่ต้องมานั่งอยู่ในชั้นเรียนทำให้เซียวเฟิงรู้สึกเบื่อหน่าย งานแสนสบายค่าตอบแทนสูงต่างกับงานก่อนหน้าของเขาโดยสิ้นเชิง ใครจะคาดคิดว่ามือสังหารอันดับหนึ่งของแก๊งอย่างเขาจะต้องมาเดินตามเด็กสาวต้อย ๆ แถมยังต้องเข้ามานั่งในชั้นเรียนราวกับว่าตัวเองเป็นนักศึกษากลาย ๆ เขาไม่ได้ชอบงานนี้เลยสักนิดโดยเฉพาะเมื่อต้องนั่งอยู่ตรงนี้ ข้างหลังเมริสาและจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเธอ เขาจำเป็นต้องจับตามองทุกการขยับนิ้วรัวแป้นพิมพ์ของเธอหรือไม่ เขาจำเป็นต้องสังเกตทุกครั้งที่เธอขยับตัว ทุกครั้งที่เธอม้วนผมรอบนิ้วขณะฟังอาจารย์บรรยายหรือเปล่าหลิวเจี้ยนสั่งห้ามไม่ให้มองเรือนร่างของเธอ แต่เช้านี้เขาก็ทำมันอยู่ดี เมริสาเป็นผู้หญิงที่ช่างยั่วยวนเหลือเกิน เธออยู่ตรงหน้าเขา แต่เหมือนเป็นผลไม้ต้องห้าม แล้วผู้ชายแบบเขาจะอดทนอดกลั้นไปได้นานสักแค่ไหนกันระยะเวลาสิบวันที่ผ่านมาเป็นสิบวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเซียวเฟิง สิ่งที่คอยฉุดรั้งความปรารถนาจากส่วนลึกภายในเพี
“ขอโทษนะคะ” เสียงของพนักงานสาวดึงความสนใจของเมริสากลับมา “บัตรนี้ใช้ไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวยิ้มแต่ดูเหมือนติดรำคาญ“เอ๊ะ! มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ”“ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองดูอีกครั้งนะคะ” พนักงานสอดบัตรเข้ากับเครื่องรูดบัตรเครดิตอีกครั้งแล้วขมวดคิ้ว “ขอโทษค่ะ บัตรนี้ใช้ไม่ได้จริง ๆ มันขึ้นว่าให้ติดต่อธนาคารค่ะ”เมริสาเกิดความสงสัย ก่อนหน้านี้เธอยังสามารถใช้บัตรใบนี้ได้ปกติ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่“ขอฉันโทรหาพ่อสักครู่ บางที่ท่านอาจจะอายัดบัตรไว้” มาริสารู้สึกอับอายมาก เธอเดินออกมาโทรศัพท์หาพ่อทันทีโดยไม่สนว่าเซียวเฟิงจะตามมาด้วยหรือไม่“มีอะไรหรือเปล่าเหมย” เสียงพ่อดังขึ้นตั้งแต่สัญญาณแรก“ค่ะ คือว่าหนูไปซื้อกาแฟแล้วจ่ายด้วยบัตรเครดิต แต่ว่ามันใช้ไม่ได้ ไม่กี่วันก่อนหนูยังใช้สั่งของออนไลน์ได้อยู่เลย วันนี้จู่ ๆ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร”“ไม่ต้องตกใจ บัตรหนูแค่ถูกยกเลิก”
คลาสแรกคือวิชาจิตวิทยาเบื้องต้น ซึ่งอยู่ในห้องเรียนรวมที่เป็นห้องประชุมใหญ่ เมริสานั่งอยู่แถวหลัง ส่วนเซียวเฟิงนั่งอยู่ที่นั่งว่างด้านหลังเธอ เขาพูดถูก วันนี้อาจารย์แค่แจกเอกสารรายวิชาและสรุปเนื้อหาเบื้องต้นคร่าว ๆ ก่อนจะปล่อยเลิกคลาส เธอหันไปมองเขาแวบเดียวพอจะเห็นรอยยิ้มเยาะน้อย ๆ บนใบหน้าของเขาระหว่างคลาสแรกและคลาสถัดไปมีระยะเวลาถึงหนึ่งชั่วโมง และยิ่งวันนี้อาจารย์ปล่อยเร็วขึ้นยิ่งเหลือเวลาเยอะ แต่จะให้กลับไปที่คอนโดแล้วค่อยกลับมาเรียนอีกทีคงไม่คุ้ม เมริสาคิดว่าถ้าเธออยู่คนเดียวคงจะไปสำรวจรอบ ๆ มหาวิทยาลัย แต่พอมีเซียวเฟิงคอยตามติดแบบนี้ เธอก็ไม่คิดว่าจะสนุกเท่าไหร่“งั้นฉันไปที่ร้านหนังสือดีกว่า” เธอเงยหน้ามองบอดี้การ์ดหนุ่มพร้อมฉีกยิ้มกว้าง “นายช่วยถือหนังสือให้ฉันหน่อยนะ”เซียวเฟิงเลิกคิ้วขึ้นก่อนที่จะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เธอจงใจให้เขาเป็นคนรับใช้ ซึ่งเมริสาตั้งใจจะแกล้งเขาแบบนั้นจริง ๆ เธอจึงไม่สนใจหยิบตะกร้าหรือรถเข็นเมื่อเข้ามาใน