เช้าอันแสนสดใสที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า ฉันนั่งอยู่บริเวณริมสระว่ายน้ำของคอนโดมีเนียมที่มีภาพของริมแม่น้ำเป็นฉากอันสวย งามอยู่เบื้องหน้า พระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนตัวค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าทำให้ภาพที่กำลังมองอยู่ช่างดูมีมนต์เสน่ห์ แว่นกันแดดถูกนำมาสวมใส่ เมื่อแสงเรืองรองเริ่มส่องประกายให้เห็น ณ บริเวณนี้ สามารถมองเห็นวิวของแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งเป็นสายหลัก ยามเมื่อพระอาทิตย์ทอแสง น้ำในแม่น้ำจะส่องประกายระยิบระยับ แต่ภาพเหล่านั้นถูกเบนความในใจไปในทันที เมื่อสาวร่างระหงหรือควรจะบอกว่า รูปร่างสะโอดสะองกำลังก้าวย่างผ่านไปนั่งลงที่เก้าอี้ถัดจากของฉันไปไม่มากนัก เสื้อคลุมค่อยๆ ถูกถอดออก เผยให้เห็นเรือนร่าง ซึ่งขนาดฉันเป็นผู้หญิงยังอดที่จะลอบมองไม่ได้ บั้นท้ายกลมกลึงได้รูปทำให้หัวใจรู้สึกหวั่นไหวชอบกล จนต้องคอยเตือนตัวเองว่า ผู้หญิงนะ เราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่สายตาไม่ได้ละไปจากส่วนเว้าส่วนโค้งบนเรือนร่างของเธอคนนั้นเลย แว่นถูกขยับลงเล็กน้อย ทำทั้งๆ ที่รู้ว่าการมองคนอื่นลอดแว่นเป็นการเสียมารยาท ฉันจึงจำต้องเลื่อนแว่นกันแดดขึ้นมาเหมือนเดิม แต่อีกใจหนึ่งนึกอยากจะถอดออก เพราะแว่นได้ทำให้ความคมชัดในการมอง เห็นหายไป แต่นั่นจะทำให้เธอคนนั้นสังเกตเห็นได้ คิดอีกทีควรจะขอบคุณเจ้าแว่นกันแดดคู่ชีพเสียมากกว่า เพราะคงอำพรางสายตาเจ้าเล่ห์ของฉันได้ มากพอสมควร
ทุกการเคลื่อนไหวของเธอคนนั้น ยังคงอยู่ในสายตาของฉันตลอดตั้งแต่เดินมาถอดเสื้อคลุมให้เห็นชุดว่ายน้ำทูพีชสีขาวที่ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จนกระทั่งเยื้องย่างลงไปอยู่ในสระว่ายน้ำ เธอยังคงตรึงหัวใจของฉันเอาไว้ สายตายังคงจับจ้องอย่างไม่วางตา กับการเคลื่อนไหวด้วยการแหวกว่ายอยู่ในสระน้ำผ่านไปมา แล้วหัวใจก็แทบจะหยุดเต้น เมื่อเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ฉันต้องพยายามเตือนทั้งตัว และหัวใจให้สงบนิ่งเอาไว้ รอยยิ้มนั้นมีความน่ารักและความเป็นมิตร แต่อาจจะเพราะเป็นเพื่อนบ้าน รอยยิ้มนั้นคงเป็นเพียงการเริ่มต้นของมิตรภาพที่ดี หากว่าเหตุ ผลหลากหลายหายไปโดยพลัน เมื่อแขนของเธอได้ขึ้นมาพาดอยู่ที่ขอบสระ และดันตัวขึ้นจากน้ำเล็กน้อยทำให้ฉันได้เห็นเนินอกที่มีหยดน้ำ ซึ่งกำลังเกาะกุมอยู่รอบๆ ดูน่าสนใจจนตัวฉันเองต้องเตือนตัวเองอีกครั้งว่า ฉันเป็นผู้หญิง ผู้หญิงนะเว๊ยเฮ๊ย ทำให้นึกขำกับคำที่ใช้เตือนตัวเองจนแอบอมยิ้มกับสิ่งที่ คิดอยู่ในใจ แต่ยิ้มของฉันกลับทำให้ได้รับรอยยิ้มทะเล้นๆ จากเธอคนนั้น ซึ่งหันกลับไปว่ายน้ำอีกครั้ง หลังจากทิ้งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เอาไว้ ฉันพยายามบังคับใจตัวเองให้หันกลับมาสนใจกับหนังสือที่เปิดค้างอยู่ตั้งแต่ได้เห็นเธอ จนแผน การท่องเที่ยวที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้หมดความน่าสนใจไปแล้ว ณ เวลานี้ เพราะสาวสวยที่กำลังว่ายน้ำพร้อมรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ ซึ่งถูกส่งมาให้ในบาง ครั้ง ช่างยั่วยวนความรู้สึกในหัวใจทำให้ฉันคิดว่า ควรจะลงไปที่สระดีหรือรีบออกไปจากบริเวณนี้ดี ทำเอาถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่พร้อมกับคำถาม แต่คงจะตัดสินใจช้าไป เพราะเธอที่ฉันละสายตาไปเพียงครู่เดียว กำลังขึ้นมายังขอบสระ ทำให้ได้คำตอบสำหรับคำถามที่ค้างคาใจอยู่ หากแต่ว่า คำตอบที่ได้ทำให้หัวใจรู้สึกห่อเหี่ยวเพราะมัวแต่ชักช้ารั้งรอ ทั้งๆ ที่ใจอยากลงไปคลอเคลียอยู่ในสระน้ำกับเธอ นี่ล่ะสิที่ใครๆ เขาพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าหัวใจไปไวกว่าตัวเสมอ เธอเดินผ่านฉันไป ไอ้สายลมเจ้ากรรมเหมือนอยากจะซ้ำ เติมหัวใจของฉันที่สั่นไหวให้ถึงขั้นหัวใจวายไปเลยก็เป็นได้ เมื่อลมได้พัดพาหยดน้ำ จากเรือนร่างอันสวยงามที่กำลังเดินนวยนาดอวดทรวดทรงผ่านฉันไป เจ้าหยดน้ำกระเซ็นโดนที่แก้มและเรียวปากของฉัน ความรู้สึกอยากอยู่ชิดใกล้กับเธอมีเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ ฉันรู้ตัวดีว่า ถ้าไม่รีบดึงสายตาของตัวเองกลับมาที่หนังสือตรงหน้า มีหวังคงได้ทำอะไรที่อาจจะโดนด่าหรือโดนตบเข้าให้ จนต้องท่องเอาไว้ว่าผู้หญิงนะ ผู้หญิง
ฉันเลือกที่จะหลับตาเสีย เผื่อหัวใจที่หวั่นไหวคงจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม หากไม่มีภาพใดๆ ของเธอคนนั้นให้ได้เห็นอีก หรือควรจะท่องบทสวดมนต์อะไรสักอย่างกันนะ เพราะเริ่มรู้สึกคล้ายดั่งโดนมนต์สะกดเอาไว้ หัวใจยังคงเต้นโครมคราม แต่ฉันเตือนตัวเองด้วยการท่องพุทโธ พุทโธ แล้วก็แอบยิ้มอีกครั้งกับเรื่องตลกๆ ที่กำลังทำอยู่ ตอนนี้กำลังเฝ้าภาวนาขอให้เธอคนนั้นหายไปและทั้งหมดที่ได้เห็นเป็นเพียงมโนภาพเท่านั้น
ฉันค่อยๆ ลืมตาและชำเลืองมองไปทางด้านที่เธอนั่งอยู่ หากแต่ว่าไม่มีแม้แต่เงาของเธอคนนั้น ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่หัวใจกลับรู้สึกแปลกๆ รู้สึกเศร้าไปเล็กน้อย ภาพของแม่น้ำสายใหญ่กลับมาอยู่ในสายตาของฉันอีกครั้ง แอบถอนหายใจเบาๆ เป่าปากเล็กน้อยเหมือนเพิ่งผ่านวิกฤตบางอย่างมาได้อย่างปลอดภัย
“หัวใจจะวายเสียให้ได้เลย” ถ้อยคำสุดท้ายที่รำพึงออกมาก็เพราะเธอคนนั้น
“คุณกรวิกาคะ” เสียงเรียกนั้นทำให้เจ้าของชื่อหันมายิ้ม เสียงนั้นทำให้จิตซึ่งสร้างภาพออกมาในความรู้สึกได้กลับมาสู่ภาวะปกติ
“เรียกเสียเต็มยศเชียวนะยะ หล่อน” กรวิกาพูดแหย่เพื่อนหนุ่ม อันที่จริงน่าจะเป็นเพื่อนสาวเสียมากกว่า ถึงแม้จะแต่งตัวดูมาดแมน แต่กริยาท่าทางออกจะกระเดียดไปทางสาวๆ เสียเป็นส่วนใหญ่
“หล่อนเหริ่นอะไรกันครับ ผิดคนหรือเปล่าครับ” ภูดิทซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของกรวิกาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแสร้งทำเป็นมาดแมน ซึ่งเจ้าตัวเองอดที่จะขำตัวเองไม่ได้อยู่เหมือนกัน เมื่อได้ยินกรวิกาหัวเราะลั่นไม่เกรง ใจใครเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่อยู่ในร้านกาแฟ ซึ่งมีผู้คนนั่งอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แทบทุกคนเหลียวมามองดูที่สองหนุ่มสาว ซึ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้แสดงท่าท่างสนใจสายตาของใครสักเท่าไรนัก
“แหมอีภู ไม่ต้องมาทำมาดแมน แก้ผ้าตรงนี้ยังไม่สนเลย เพศเดียว กันแท้ๆ อย่าทำกระแดะ” กรวิกาหัวเราะ เมื่อเห็นภูดิททำท่าค้อนเสียวงใหญ่คอไม่หักก็บุญแล้ว
“อีนี่เดี๋ยวเถอะ เป็นสาวเป็นนาง พูดเรื่องแก้ผ้ากลางที่สาธารณะได้อย่างไรกัน” ภูดิทพูดต่อปากต่อคำยังไม่ยอมนั่งร่วมโต๊ะ ยังคงยืนอยู่ด้านหลังชะเง้อมองภาพวาดที่กรวิกากำลังวาดอยู่
“รูปผู้หญิงจะมายืนส่องอยู่ทำไมยะ” กรวิกาพูดคล้ายดุ
“เอ๊ะ หรือเบี่ยงเบนไปเสียแล้วคะ คุณกร จู่ๆ มานั่งวาดรูปผู้หญิงในชุดว่ายน้ำ
“เดี๋ยวจะโดนตบปาก นัดมามีอะไรเสียเวลาลั๊ลลาของเพื่อนฝูงนะ”
“นางศิลปินผู้มั่งคั่ง คนอะไรว๊ะ เขียนรูปๆ เดียวขายได้หกเจ็ดหลัก คนเข้าคิวรอให้วาดให้อีกต่างหาก แม่ให้กินอะไรมาถามจริงๆ ตอนเด็กๆ น่ะ ถึงได้วาดรูปได้ดีขนาดนี้” ภูดิทพยักพเยิดใส่กรวิกา
“กินสีล่ะมั้ง” กรวิกาอมยิ้ม มองดูรูปที่กำลังวาดลงในโทรศัพท์
“นังบ้า ใครจะให้ลูกกินสี เดี๋ยวเจอแม่แกนะ ฉันจะฟ้อง”
“เยอะไปแล้วจ้ะ นัดมามีอะไร”
“โทรศัพท์ก็รุ่นเดียวกัน ไม่เคยใช้เลยไอ้ปากกาที่มีมาด้วยน่ะ ดูสิแกขีดๆ เขี่ยๆ แป๊บเดียว สวยเลย” ภูดิทถอนใจ
“ยาวอีก ตกลงมีอะไรที่นัดมาน่ะ”
“ขอไปสั่งกาแฟกินก่อนได้มะ” ภูดิทชอบแกล้งกรวิกา ซึ่งไม่มีครั้งใดเลยที่จะโกรธ หัวเสียหรือไม่พอใจ
“ได้ แต่ฉันกลับแล้วนะ” กรวิกาหัวเราะ เมื่อเห็นภูดิททำหน้ามุ่ย
“รู้ว่ามาอ้อนวอนล่ะสิ ลูกค้าอยากได้รูปของหล่อน วาดให้หน่อยสิ” ภูดิทพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ไม่อ้อนแค่นั้น ถึงกับมานั่งลงข้างๆ และเอียงศีรษะซบลงที่ไหล่ของกรวิกา ซึ่งแกล้งทำท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ทันที
“นังนี่ เพื่อนนะยะ ไม่ใช่เชื้อโรค นะ นะ รูปหนึ่ง ง่ายๆ ก็ได้ รูปอะไรก็ได้ ถ้าแกวาดรูปให้ ลูกค้าจะซื้องานฉัน” ภูดิทพูดอ้อนต่อ
“ลูกค้าแกบ้าหรือเปล่า เกี่ยวอะไรกัน”
“ก็แกดังนี่ อีกอย่างเขารู้ว่าฉันน่ะ เป็นเพื่อนแก”
“ไปซื้อกาแฟก่อนไป ขอคิดก่อน” กรวิกาหาทางพูดบ่ายเบี่ยง
“ไม่ต้องคิดแล้ว ช่วยเพื่อนหน่อยนะ แค่รับปาก วาดเสร็จเมื่อไหร่ไม่ว่ากัน นะ นะ ไม่รักไม่มาขอให้ช่วยนะเนี่ย” ภูดิททำหน้าละห้อยแสดงท่าทางเว้าวอนเบะปากเหมือนจะร้องไห้
“อีภู พอเถอะ เห็นแล้วจะอวก” กรวิกาหัวเราะ
“ให้คิดแป๊บนึง ไปซื้อกาแฟ กลับมาโอเคเลยนะ” ภูดิทพูดรวบรัดและรีบลุกหนีไปทันที
“ไม่น่าหลวมตัวมาเล๊ย”
ภูดิทนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หลังจากกรวิกาตกลงที่จะวาดรูปให้ คนที่รับปากพอจะเข้าใจว่า ภูดิทคงอยากได้งานจากลูกค้ารายนี้ค่อนข้างมากไม่ อย่างนั้นคงไม่ออกปากขอความช่วยเหลือ จากรายละเอียดคร่าวๆ ที่เจ้าของภาพอยากได้ไม่ได้ยากอะไรมากมายนัก แต่กรวิกาถือว่าเป็นคนละเอียดอ่อนกับการทำงานค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ภูดิทจึงไม่ได้กำหนดเวลาแต่อย่างใด เพราะตัวเองเป็นคนมาขอความช่วยเหลือ และที่สำคัญคนอยากได้ภาพของกรวิกานั้น ไม่อั้นเรื่องราคาค่างวดเลยด้วย
“มองอะไรยะ หล่อน” ภูดิทเห็นกรวิกามองไปทางด้านหน้าร้าน
“เปล่า”
“สวยดีเนอะ แต่ไม่ไหว กินไม่เลือก” ภูดิทหัวเราะหึๆ กับการพูดถึงหญิงสาวสวยร่างระหง ซึ่งกำลังเดินเข้ามาในร้าน โดยไม่ได้สนใจใครเลย
“นินทา เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก”
“ไม่ได้เอ่ยชื่อ ใครแคร์” ภูดิทพูดขึ้นแล้วทำท่ายักไหล่
“สวยเลือกได้ กินใครก็ได้ไม่แปลกนะยะ หล่อน” กรวิกาพูดเถียง แทนและยังคงชำเลืองมองไปบริเวณที่สาวสวยคนนั้นยืนอยู่
“เหมือนฉันล่ะสิ สวยเลือกได้” ภูดิทหัวเราะคิกคักเสียงดังเสียจนทำให้สาวสวยที่ยืนรอกาแฟหันมามองสบตากับกรวิกา ซึ่งจ้องเขม็งอยู่ สาวเจ้าก็เช่นกัน
“เบื่อจะฟัง” กรวิกาละสายตาเพียงครู่เดียวเท่านั้น สาวเจ้าก็เดินลิ่วๆ ออกจากร้านไปทันที
“เดี๋ยว เอาโทรศัพท์มาดูซิ” ภูดิทยื่นมือไปตรงหน้ากรวิกา ซึ่งจ้องมองด้วยความไม่เข้านัก แต่คนที่ยื่นมือมาพยักหน้า เพื่อให้กรวิภายอมแต่โดยดี เจ้าของโทรศัพท์ยิ้ม และส่ายหน้ากับความวุ่นวายของเพื่อนที่มีอะไรแปลกๆ อยู่เสมอ
“ถึงว่า คุ้นๆ รู้จักหรือ แต่ไม่เห็นทักทายกัน” ภูดิทถามหลังจากดู รูปที่กรวิการ่างไว้ในโทรศัพท์ เค้าโครงหน้าคลับคล้ายคลับคลาอยู่ แต่ตอนแรกที่เห็นนึกไม่ออก จนสาวเจ้าเข้ามาในร้านจึงนึกขึ้นได้
“ไม่รู้จัก” กรวิกาบอก แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“แล้ววาดได้ไง มโนเอาก็จะเก่งเกินไปนะยะ หล่อน”
“เคยเห็น แต่ไม่รู้จัก” พูดจบกรวิกาทำท่ายักไหล่ ภูดิทจึงแกล้งทำ ท่าเดียวกันแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้
“งั้นๆ ไม่เห็นสวยสักเท่าไร” ภูดิทเบ้ปากยักไหล่ จนกรวิกาหัวเราะ
“สวยนะ”
“ยังไงกันยะ หล่อน ถ้าชมผู้ชายจะไม่ว่าเลยนะเนี่ย” ภูดิทจ้องมองและสังเกตหาสิ่งผิดปกติ ซึ่งกรวิกาอาจจะปิดปังซ่อนเร้นเอาไว้
“คนสวยก็ว่าสวย คนหล่อไม่เดินเข้ามานี่นา”
“นึกว่าเป็นลูกค้า จะได้ให้โขกราคาหนักๆ หน่อย รวยล้นฟ้า”
“ไฮโซขนาดนั้น คงไม่อยากได้รูปกระจอกๆ ของฉันหรอกมั้ง”
“ตบปากตัวเองเดียวนี้ รูปเพื่อนฉันน่ะ ไม่กระจอกนะยะ อย่ามาดูถูกกัน” ภูดิทจะต่อว่าเสมอ เมื่อกรวิกาชอบพูดว่าภาพเขียนฝีมือของตัวเอง
“ตบก็เจ็บดิ ตบแกแทนได้ปะละ”
“ไม่ได้ ปากเจ่อ เดี๋ยวไม่สวย”
“สวยตายล่ะ หล่อนะ แกน่ะ” กรวิกาบอกภูดิท
“หล่อนั่นแหละ แต่เวลาเจอพวกเดียวกัน เขาเรียกว่า สวยเว๊ย”
“หันไปสิ หล่อ หรือ สวย” กรวิกาอมยิ้ม เมื่อเห็นหนุ่มรูปหล่อเดินเข้ามาแถมยังยิ้มให้อีกต่างหาก
“สวย”
“บ้า สวยจะมายิ้มให้ฉันทำไม”
“ก็หล่อนสวย ยิ้มให้เพื่อนสาวไม่แปลกนะ” ภูดิทอมยิ้ม เมื่อเห็นว่ากรวิกาคิ้วขมวดเป็นปม
“รู้ได้ไงว๊ะ”
“พวกเดียวกันไงล่ะ” ไม่นานนัก เมื่อกลุ่มเพื่อนเดินเข้ามาสมทบอีกสองคน อาการของเพื่อนสาวที่ว่า ก็แสดงออกมาให้เห็นตามการคาดเดาของภูดิทในทันที กรวิกาส่ายหน้าและมองไปทางสามหนุ่ม ไม่ใช่สิสามสาวที่พูด คุยทักทายกันเสียงดังลั่น
“เสียของมาก หล่อๆ ทั้งนั้นเลย” กรวิการำพึงออกมาเบาๆ ยิ้มให้ชายหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง ซึ่งเขายังคงหันมายิ้มให้อีกเช่นกัน
“หนุ่มของหล่อน ก็ดีอยู่แล้วนะ อย่าได้สอดส่ายสายตาหาคนอื่น”
“ดูแต่ตา ไม่ได้ไปแตะต้องสักหน่อย” กรวิกาหัวเราะ เมื่อภูดิทค้อนวงน้อยๆ ให้เห็น
“เมื่อไรจะแต่งงานยะ”
“ชาติหน้ามั้ง” กรวิกาพูดยิ้มๆ
ปยุดาเดินลิ่วๆ เข้ามายังร้านเครื่องประดับ และรีบตรงไปยังห้องทำ งานของตัวเอง วางแก้วกาแฟและเริ่มออกแบบหัวแหวนซึ่งเป็นเครื่องประดับที่ถือได้ว่า เป็นสินค้าขายดีของร้าน ขีดๆ เขียนๆ อยู่พักใหญ่ จึงเงยหน้าขึ้นและเริ่มจิบกาแฟทำท่าคิด โดยมือขวานั้นถือแก้วกาแฟ ส่วนมือซ้ายจับดินสอสี ซึ่งปลายด้านหนึ่งกำลังถูกกัดเบาๆ ระหว่างที่กำลังคิดถึงสายตาวาววับของผู้หญิงที่ดูสง่า แต่ออกจะเท่ห์ๆ หากว่าแววนั้นสิที่น่าสนใจเสียจนได้แนวคิดที่จะออกแบบหัวแหวนให้คล้ายกันดวงตาของเธอคนนั้น
“คนอะไรจะตาสวยขนาดนั้นนะ” ปยุดารำพึงออกมาเบาๆ
“คุณยุ่งคะ มีสายจากหนุ่มที่ควงออกงานเมื่อคืน จะรับสายไหมคะ เห็นบอกว่า โทรฯ เข้ามือถือ แต่ปิดเครื่อง” เสียงของเลขาที่อยู่หน้าห้องแจ้งกับเจ้านายด้วยโทรศัพท์ภายใน
“ไม่ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ปยุดามีชื่อเล่นว่า ยุ่ง ออกจะแปลกสักหน่อยในครั้งแรกที่ใครๆ ได้ยิน มารดาเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่ตั้งครรภ์ปยุดานั้นชีวิตของท่านดูจะยุ่งวุ่นวายไปเสียทุกเรื่อง จนกระทั่งคลอดบุตรสาวออกมาทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปในทางตรงกันข้าม ดังนั้นเลยตั้งชื่อเล่นลูกสาวว่า ยุ่ง
“ไม่แบบถาวรเลย หรือเปล่าคะ” ปยุดายิ้ม เพราะคุณเลขานั้นช่างรู้ใจค่อนข้างมากกับเรื่องการคัดออก และจัดสลับรถไฟในแต่ละขบวนไม่ให้ ชนกัน
“ถาวรค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” ปยุดาส่ายหน้า แต่ก็มีรอยยิ้มเมื่อหวนกลับมานึกถึงดวงตาคู่สวยที่จ้องมองเธอ ดวงตาสวยเสียจนแทบจะไม่ได้ดูรูปร่างหน้าตาเอาเสียเลย ความคิดนั้นทำให้ปยุดามีรอยยิ้มแปลกๆ โดยที่เจ้าตัวเองไม่รู้ตัว
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ฉันเหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้องบอกเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ ใครกันนะมาดึกดื่นขนาดนี้ แต่คอนโดมีเนียมแห่งนี้คนที่จะเข้าออกได้ต้องมีบัตรผ่านประตูตั้งแต่ชั้นล่าง ก่อนที่จะเข้ามาถึงตัวลิฟต์และในลิฟต์เองยังต้องใช้บัตร เพื่อที่จะขึ้นมายังชั้นที่ต้องการหรือเป็นคนข้างห้องมาเคาะห้องผิด ฉันเดินไปที่ประตูมองผ่านช่องมองที่หน้าประตูออก ไปแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะคนที่เคาะประตูอยู่หน้าห้อง คือ เธอสาวสวยที่สระว่ายน้ำ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง ฉันเดินไปเดินมาทำอะไรไม่ถูก กำลังตื่นเต้นระคนวิตกกังวล ซึ่งไม่รู้ว่าทำไม เพราะไม่เคยเกิดอาการเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนและกำลังคิดว่า อาการของฉันคล้าย กับอาการของเพื่อนผู้ชายที่เคยเล่าให้ฟัง เวลาได้พบเจอสาวสวยที่รู้สึกดีด้วยและอยากจะได้มาเป็นแฟน แต่นี่ฉันเป็นผู้หญิงมันไม่น่าจะเกิดอาการเช่นนี้ ฉันคิด แต่เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกครั้ง ดูเป็นการเร่งเร้าว่า ถึงเวลาแล้วที่ควรเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับเธอเสียที เพราะมัวมาเดินไปเดินมาและตื่นเต้นอยู่แบบนี้ คงไม่มีอะไรดีขึ้นแน่ๆ ลูกบิดประตูเย็นเฉียบ ซึ่งฉันไม่แน่ ใจว่
ปยุดาหันไปมองทางด้านหลัง เพราะกำลังรู้สึกว่า ถูกจ้องมองหรือบางทีอาจจะได้พบเจอคนรู้จักในขณะที่เข้ามาเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางใจเมือง แต่หันไปไม่พบใครที่เป็นคนที่ตัวเองรู้จักเลย มองดูบริเวณโดย รอบแทบจะไม่เห็นใคร จะมีเพียงพนักงานที่ทำงานของตัวเองและไม่ได้สนใจอะไรในตัวเธอเลยด้วยซ้ำ เจ้าตัวถอนใจกับความวิตกกังวล หลังจากได้ออก แบบเครื่องประดับรูปดวงตาซึ่งกำลังจะออกจำหน่ายในเร็วๆ นี้ “ท่าจะเป็นบ้านะ เรา ทำไมถึงได้รู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลาเลยนะ” ปยุดาหัวเราะเล็กๆ รู้สึกร่างกายเย็นเฉียบคล้ายกับกำลังลงไปแช่อยู่ ในสระว่ายน้ำ ความเย็นนั้นทำให้หัวใจรู้สึกสดชื่นขึ้น ปยุดาสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ไม่ใช่จากเครื่องปรับอาการภายในอาคาร แต่เป็นความรู้สึกสดชื่นจากการที่มีน้ำสัมผัสอยู่บนเรือนร่างมากกว่า และที่สำคัญความรู้สึกนั้นคล้ายกับการลงไปแช่อยู่ในสระว่ายน้ำอย่างสบายอารมณ์ ปยุดายืนหยุดนิ่งหลับตาด้วยอยากสัมผัสความรู้สึกสดชื่นนั้นเอาไว้ บางทีความรู้สึกดีๆ สามารถก่อตัวขึ้นมาในหัวใจได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไร แค่เพียงกำหนดจิตให้สงบนิ่งและยอมรับในสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ซึ่งอาจจะดู
ปยุดาหันไปมองทางด้านหลัง เพราะกำลังรู้สึกว่า ถูกจ้องมองหรือบางทีอาจจะได้พบเจอคนรู้จักในขณะที่เข้ามาเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางใจเมือง แต่หันไปไม่พบใครที่เป็นคนที่ตัวเองรู้จักเลย มองดูบริเวณโดย รอบแทบจะไม่เห็นใคร จะมีเพียงพนักงานที่ทำงานของตัวเองและไม่ได้สนใจอะไรในตัวเธอเลยด้วยซ้ำ เจ้าตัวถอนใจกับความวิตกกังวล หลังจากได้ออก แบบเครื่องประดับรูปดวงตาซึ่งกำลังจะออกจำหน่ายในเร็วๆ นี้ “ท่าจะเป็นบ้านะ เรา ทำไมถึงได้รู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลาเลยนะ” ปยุดาหัวเราะเล็กๆ รู้สึกร่างกายเย็นเฉียบคล้ายกับกำลังลงไปแช่อยู่ ในสระว่ายน้ำ ความเย็นนั้นทำให้หัวใจรู้สึกสดชื่นขึ้น ปยุดาสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ไม่ใช่จากเครื่องปรับอาการภายในอาคาร แต่เป็นความรู้สึกสดชื่นจากการที่มีน้ำสัมผัสอยู่บนเรือนร่างมากกว่า และที่สำคัญความรู้สึกนั้นคล้ายกับการลงไปแช่อยู่ในสระว่ายน้ำอย่างสบายอารมณ์ ปยุดายืนหยุดนิ่งหลับตาด้วยอยากสัมผัสความรู้สึกสดชื่นนั้นเอาไว้ บางทีความรู้สึกดีๆ สามารถก่อตัวขึ้นมาในหัวใจได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไร แค่เพียงกำหนดจิตให้สงบนิ่งและยอมรับในสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ซึ่งอาจจะดู
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ฉันเหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้องบอกเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ ใครกันนะมาดึกดื่นขนาดนี้ แต่คอนโดมีเนียมแห่งนี้คนที่จะเข้าออกได้ต้องมีบัตรผ่านประตูตั้งแต่ชั้นล่าง ก่อนที่จะเข้ามาถึงตัวลิฟต์และในลิฟต์เองยังต้องใช้บัตร เพื่อที่จะขึ้นมายังชั้นที่ต้องการหรือเป็นคนข้างห้องมาเคาะห้องผิด ฉันเดินไปที่ประตูมองผ่านช่องมองที่หน้าประตูออก ไปแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะคนที่เคาะประตูอยู่หน้าห้อง คือ เธอสาวสวยที่สระว่ายน้ำ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง ฉันเดินไปเดินมาทำอะไรไม่ถูก กำลังตื่นเต้นระคนวิตกกังวล ซึ่งไม่รู้ว่าทำไม เพราะไม่เคยเกิดอาการเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนและกำลังคิดว่า อาการของฉันคล้าย กับอาการของเพื่อนผู้ชายที่เคยเล่าให้ฟัง เวลาได้พบเจอสาวสวยที่รู้สึกดีด้วยและอยากจะได้มาเป็นแฟน แต่นี่ฉันเป็นผู้หญิงมันไม่น่าจะเกิดอาการเช่นนี้ ฉันคิด แต่เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกครั้ง ดูเป็นการเร่งเร้าว่า ถึงเวลาแล้วที่ควรเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับเธอเสียที เพราะมัวมาเดินไปเดินมาและตื่นเต้นอยู่แบบนี้ คงไม่มีอะไรดีขึ้นแน่ๆ ลูกบิดประตูเย็นเฉียบ ซึ่งฉันไม่แน่ ใจว่
เช้าอันแสนสดใสที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า ฉันนั่งอยู่บริเวณริมสระว่ายน้ำของคอนโดมีเนียมที่มีภาพของริมแม่น้ำเป็นฉากอันสวย งามอยู่เบื้องหน้า พระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนตัวค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าทำให้ภาพที่กำลังมองอยู่ช่างดูมีมนต์เสน่ห์ แว่นกันแดดถูกนำมาสวมใส่ เมื่อแสงเรืองรองเริ่มส่องประกายให้เห็น ณ บริเวณนี้ สามารถมองเห็นวิวของแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งเป็นสายหลัก ยามเมื่อพระอาทิตย์ทอแสง น้ำในแม่น้ำจะส่องประกายระยิบระยับ แต่ภาพเหล่านั้นถูกเบนความในใจไปในทันที เมื่อสาวร่างระหงหรือควรจะบอกว่า รูปร่างสะโอดสะองกำลังก้าวย่างผ่านไปนั่งลงที่เก้าอี้ถัดจากของฉันไปไม่มากนัก เสื้อคลุมค่อยๆ ถูกถอดออก เผยให้เห็นเรือนร่าง ซึ่งขนาดฉันเป็นผู้หญิงยังอดที่จะลอบมองไม่ได้ บั้นท้ายกลมกลึงได้รูปทำให้หัวใจรู้สึกหวั่นไหวชอบกล จนต้องคอยเตือนตัวเองว่า ผู้หญิงนะ เราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่สายตาไม่ได้ละไปจากส่วนเว้าส่วนโค้งบนเรือนร่างของเธอคนนั้นเลย แว่นถูกขยับลงเล็กน้อย ทำทั้งๆ ที่รู้ว่าการมองคนอื่นลอดแว่นเป็นการเสียมารยาท ฉันจึงจำต้องเลื่อนแว่นกันแดดขึ้นมาเหมือนเดิม แต่อีกใจหนึ่งนึกอยากจะถอดออก เพราะแว่น