ปยุดาหันไปมองทางด้านหลัง เพราะกำลังรู้สึกว่า ถูกจ้องมองหรือบางทีอาจจะได้พบเจอคนรู้จักในขณะที่เข้ามาเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางใจเมือง แต่หันไปไม่พบใครที่เป็นคนที่ตัวเองรู้จักเลย มองดูบริเวณโดย รอบแทบจะไม่เห็นใคร จะมีเพียงพนักงานที่ทำงานของตัวเองและไม่ได้สนใจอะไรในตัวเธอเลยด้วยซ้ำ เจ้าตัวถอนใจกับความวิตกกังวล หลังจากได้ออก แบบเครื่องประดับรูปดวงตาซึ่งกำลังจะออกจำหน่ายในเร็วๆ นี้
“ท่าจะเป็นบ้านะ เรา ทำไมถึงได้รู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลาเลยนะ” ปยุดาหัวเราะเล็กๆ รู้สึกร่างกายเย็นเฉียบคล้ายกับกำลังลงไปแช่อยู่ ในสระว่ายน้ำ ความเย็นนั้นทำให้หัวใจรู้สึกสดชื่นขึ้น ปยุดาสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ไม่ใช่จากเครื่องปรับอาการภายในอาคาร แต่เป็นความรู้สึกสดชื่นจากการที่มีน้ำสัมผัสอยู่บนเรือนร่างมากกว่า และที่สำคัญความรู้สึกนั้นคล้ายกับการลงไปแช่อยู่ในสระว่ายน้ำอย่างสบายอารมณ์ ปยุดายืนหยุดนิ่งหลับตาด้วยอยากสัมผัสความรู้สึกสดชื่นนั้นเอาไว้ บางทีความรู้สึกดีๆ สามารถก่อตัวขึ้นมาในหัวใจได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไร แค่เพียงกำหนดจิตให้สงบนิ่งและยอมรับในสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ซึ่งอาจจะดูแปลกๆ แต่ปยุดาไม่ค่อยได้สนใจอะไรใครสักเท่าไร ไม่ว่าใครจะว่าในความแปลกประหลาดของตัวเธอ ก็ไม่น่าแปลกอะไร เพราะคนเราแต่ละคนต้องมีเรื่องราวที่ไม่เหมือนใครนั่นคือสิ่งที่ปยุดาคิดมาตลอด
“ผู้หญิง” ปยุดารำพึงออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกร่างกายร้อนวูบวาบขึ้น มากับความรู้สึกที่ถูกทาบทับริมฝีปากลงที่หว่างอกของเธอ นุ่มนวลจนรู้สึกได้ว่า เป็นริมฝีปากของผู้หญิงด้วยกัน ปยุดาถอนใจหัวใจรู้สึกเต้นระรัวชอบกลร่างกายรู้สึกสั่นสะท้านและหวามไหวอย่างไม่น่าที่จะเป็นไปได้ เพราะเป็นความร้อนรุ่ม หลังจากได้ผ่านความรู้สึกของน้ำเย็นสดชื่นที่สัมผัสบนเรือนร่างของเธอ
“เกิดบ้าอะไรขึ้นกับฉันกันแน่นะ” ปยุดากำลังสลัดความรู้สึกนั้นออก ไปจากความคิด ความคิดและความรู้สึกแปลกๆ ที่ผ่านเข้ามาเคยเกิดขึ้นมา ก่อน จนทำให้เป็นความเคยชิน บางครั้งบางคราวเรียกได้ว่า ตัวเธอสามารถที่จะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่ไม่ได้เก็บมาคิดว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งพิเศษอะไร อาจจะเป็นการคาดเดา แต่เผอิญเกิดขึ้นจริงเสียมากกว่า
“แค่หัวใจ” เสียงแว่วๆ ที่ได้ยินนั้น ทำให้ปยุดาหันไปมองรอบๆ ตัวอีกครั้ง
“หวังว่า จะเป็นสิ่งดีนะ” ปยุดาถอนใจ ร่างกายยังคนรู้สึกหวามไหวไปกับสัมผัสที่รู้สึกไปเมื่อสักครู่อยู่
ภาพของผู้หญิงในเสื้อเชิ้ตสีขาว ทำให้ยืนอมยิ้มจ้องมอง หลังจากที่แต่งแต้มหยดน้ำลงบริเวณร่องอก ซึ่งกระดุมเสื้อคล้ายถูกปลดลงมาเสียค่อน ข้างลึก พู่กันที่ค่อยๆ ตวัดบนผืนผ้าใบทำให้กรวิกาลืมวันเวลา และไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลยสักนิด ทั้งๆ ที่ความตั้งใจแรกว่าจะเขียนภาพให้กับลูกค้าของภูดิท แต่เมื่อเริ่มตวัดพู่กันภาพของผู้หญิงที่ร้านกาแฟได้ปรากฎขึ้นเป็นโครงร่าง ซึ่งกรวิกาพอจะรู้ว่า คงทำงานออกมาตามความรู้สึกของตัวเอง พู่กันที่ค่อยๆ ตวัดอยู่ที่บริเวณเนินอก ซึ่งผู้วาดภาพตั้งใจอยากให้เหมือนกับเนินอกอันเปลือยเปล่าที่เคยสัมผัส จู่ๆ ใบหน้าของกรวิกาก็ร้อนผ่าวขึ้นและยิ้มอย่างเขินอาย เมื่อจ้องมองดวงตาคู่สวยของหญิงสาวที่อยู่ในภาพ จนนึกขำตัวเองที่ออกอาการเขินอายออกมาทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อนยามถูกจ้องมอง
“ว่าไปก็ไม่ควรนะ ที่จะวาดภาพโดยไม่ได้ขออนุญาตเจ้าตัวก่อน”
ปยุดาเดินมาที่ท่าน้ำของวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่แถบปริมณฑลเป็นวัดเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีผู้คนมาทำบุญกันมากนัก มีเพียงชาวบ้านที่อยู่บริเวณโดย รอบแถวนี้เท่านั้นและได้รู้จักวัดแห่งนี้ ด้วยเพราะขับรถหลงเข้ามา ได้พูดคุยถามไถ่เส้นทางกับเจ้าอาวาสของวัด หลังจากวันนั้นปยุดามักจะมาทำบุญที่วัดแห่งนี้อยู่เสมอ ไม่เคยมีใครทราบเรื่องราวเหล่านี้นัก การทำดีไม่ต้องป่าวประกาศและอีกอย่างเรื่องของปัจจัยนั้น ปยุดาเองมีมากมายพอที่จะจัดการเรื่องทะนุบำรุงซ่อมแซมส่วนต่างๆ ได้ด้วยปัจจัยส่วนตัวไม่ต้องขอรับบริจาคแต่อย่างใด มองดูบริเวณโดยรอบยังคงเป็นท้องนาเสียเป็นส่วนใหญ่ บริเวณท่าน้ำลมพัดเย็นสบาย ปยุดามักแวะมายืนชื่นชมธรรมชาติก่อนเสมอ
“กราบนมัสการค่ะ หลวงพ่อ” ปยุดาเดินผ่านมาทางอุโบสถเห็นท่านเจ้าอาวาสอยู่ภายในจึงเข้าไปกราบท่าน
“สบายดีนะ คุณโยม”
“สบายดีค่ะ หลวงพ่อสบายดีนะคะ”
“สบายดี” ปยุดาถวายของซึ่งเป็นของสำหรับพระภิกษุสงฆ์ รวมถึงจำพวกยาสามัญประบ้าน มักจะนำมาถวายท่านไม่เคยขาดและยังอุปกรณ์การเรียนสำหรับพระสงฆ์และเณรซึ่งกำลังศึกษาเล่าเรียนทางธรรมด้วย
หลังจากนั้นได้มีการสนทนาธรรม ซึ่งทำให้ปยุดาจิตใจสงบอย่างน่าประหลาดทั้งๆ ที่เป็นเพียงการพูดคุยในเรื่องราวทั่วๆ ไป แต่ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงเสมอ
“ดิฉันจะขออนุญาตหลวงพ่อ ปรึกษาเรื่องทำนุบำรุงซ่อมแซมโบสถ์ด้วยนะเจ้าคะ ทราบจากเณรเมื่อคราวก่อนที่มาว่า หลังคามีน้ำรั่วซึมค่อน ข้างมากถ้าฝนตกหนัก อีกทั้งยังที่กุฎิด้วย
“ไม่ได้เดือดร้อนมากมายนักหรอก โยม เณรก็เล่าไปเรื่อย”
“แต่ถ้าทิ้งไว้จะยิ่งเสียหายมากนะคะ อีกอย่างเสียดายจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ที่เริ่มจะจางหายไปมากแล้วค่ะ” ปยุดาเคยเข้ามาเดินดูบริเวณรอบผนังภายในพระอุโบสถและแอบคิดว่า ไม่รู้ใครกันที่เป็นต้นคิดในการสอนธรรมะผ่านรูปภาพบริเวณฝาผนังของอุโบสถ ถือเป็นกุศโลบายที่ดีงามของคนโบร่ำโบราณเลยทีเดียว หากได้รับการซ่อมแซมด้วยคงจะทำให้อยู่สอนลูกหลานคนแถวนี้ไปได้อีกยาวนาน
“เห็นจะจริง โน่นเณรมาแล้ว” ปยุดาก้มกราบเณรที่ยิ้มน้อยๆ ให้หลังจากนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆ กับเจ้าอาวาส
“เณรสบายดีนะคะ”
“สบายดีขอรับ คุณโยมสบายดีนะขอรับ” ปยุดานึกถูกชะตากับเณรน้อยตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน โดยเจ้าอาวาสท่านเล่าให้ฟังว่า เณรนั้นทางครอบครัวไม่มีเงินส่งเสียให้เล่าเรียน จึงพามาบวชเรียนทางธรรม รอยยิ้มกับแววตาอันสดใสนั้นทำให้ปยุดามีปณิธานแน่วแน่ว่า จะเป็นโยมอุปฐากไปจน กว่าชีวิตจะหาไม่ จะว่าไปถือได้ว่า ถูกชะตากับเณรท่านซึ่งหวังว่า สักวันคงได้เห็นวันที่เณรได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์
ปยุดาขับรถกลับออกมาระหว่างทางฟ้าเริ่มมืด แต่ท้องฟ้าชานเมืองยังพอมีดวงดาวให้เห็นชัดเจนกว่าในเมืองมาก ซึ่งปนเปไปด้วยมลภาวะฝุ่นควันจากรถยนต์และการก่อสร้างอาคารต่างๆ ปกคลุม แถมยังแสงไฟที่ส่องสว่างจำนวนมากทำให้บางคืนแทบจะไม่เห็นดาวเลยสักดวง ปยุดาขับรถไปช้าๆ มองดูดวงดาวบนท้องฟ้าผ่านทางกระจกด้านหน้ารถ
“ดาวสวย เพราะจิตใจเราสงบด้วยละมั้ง” ปยุดาได้พูดคุยกับทางมัคนายกเรื่องการทำนุบำรุงซ่อมแซมวัด ซึ่งมีหลายจุดอยู่เหมือนกันและตัว ปยุดาเองอยากจะกระจายรายได้ให้กับคนพื้นที่ จึงเลือกที่จะว่าจ้างคนในละแวกนั้น โดยให้เจ้าหน้าที่ของวัดเป็นผู้จัดการรวมถึงเรื่องดูแลทำบัญชี ซึ่งจะมีการไปพูดคุยในรายละเอียดกันอีกครั้งหนึ่ง
“เอาแววตาสวยๆ แวะเข้ามาทักทายเสมอเลยนะ” ปยุดารำพึงออก มาเบาๆ เมื่อนึกถึงเจ้าของดวงตาคู่สวย ซึ่งทำให้ตัวเธอสร้างผลงานออกมาได้หลายชิ้นและมียอดการสั่งจองจากลูกค้าประจำหลายรายแล้ว
“อยากขอบคุณ อนุโมทนาบุญให้ก็แล้วกันนะ แม่คนตาสวย” คนที่ได้พูดออกไปถึงกับหัวเราะขึ้นมา
เสียงสวดมนต์ที่ดังแว่วๆ ทำเอากรวิกาแปลกใจระหว่างทางที่กำลังขับรถไปหาตุลย์ที่ร้านแห่งหนึ่ง เพราะตัวกรวิกาเองเพลินกับการทำงานเสียจนเลยเวลาอาหารค่ำ จึงโทรศัพท์แจ้งให้ตุลย์ไปรอที่ร้านเพื่อหาอะไรดื่มและ
ฟังเพลงกัน
“ไหวไหมล่ะ จะไปทำผิดศีล ได้ยินเสียงสวดมนต์ซะงั้น” กรวิกาถอนใจอันที่จริงตัวเองไม่ได้อยากดื่มเท่าไรนัก แต่ปล่อยปะละเลยคนรักมาพักใหญ่ จึงอยากจะชดเชยเวลาให้ แต่เหมือนถูกทักคงหาทางเลี่ยงที่จะไม่ดื่มน่าจะดีกว่า กรวิกาคิด ส่ายหน้ายิ้มๆ นึกขอบคุณ ถึงแม้จะเพียงเสียงดังแว่วๆ แต่ทำให้รู้สึกว่า คงมีผู้หวังดีอาจจะกำลังนึกถึงตัวเธออยู่ก็ได้
กรวิกาใช้เวลาอยู่กับตุลย์ไม่นานนัก เพราะเห็นว่า มีกลุ่มเพื่อนไปด้วยอีกสองสามคน หากขอตัวกลับก่อนตุลย์คงจะไม่ทัดทานอะไร เพราะตัวกรวิกาเองไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เลยสักนิด
“ขอโทษด้วยนะจ้ะ เจอเพื่อนเข้าเลยไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังเลย” ตุลย์บอกกับกรวิกาที่ยิ้มให้
“เอาไว้นัดทานข้าวที่เงียบๆ น่าจะดีกว่านะคะ จะได้คุยกัน”
“กลับเลยไหม เดี๋ยวพี่ขับตามไปส่ง” ตุลย์บอก
“สนุกกับเพื่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวถึงบ้านแล้ว กรส่งข้อความมาบอกดี กว่านะ” กรวิกาจับมือตุลย์เอาไว้ก่อนที่จะขอตัวกลับไป
กรวิกากำลังเคลื่อนรถยนต์ของตัวเองออกจากลานจอด พอดีมอง เห็นคนที่กำลังจะเข้าจอดแทนบริเวณที่ตัวเองนั้นเคลื่อนรถออกมา สาวเจ้าที่อยู่ในฝันนั่นเอง กรวิกาถอนใจเพราะคิดว่า คงจะบ้าไปกันใหญ่เห็นใครเป็นเธอคนนั้นไปเสียหมด หัวเราะหึๆ ก่อนที่จะเคลื่อนรถขับออกไป
“เฮ๊ย ยุ่งทางนี้” เสียงทักทายนั้นทำให้ปยุดาเดินไปร่วมโต๊ะกับเพื่อนซึ่งมีเพียงหนุ่มๆ อันที่จริงก่อนหน้านี้เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า มีแฟนของเพื่อนอยู่ด้วยหรืออาจจะไปห้องน้ำ ปยุดาทักทายทุกคนรวมถึงตุลย์ ซึ่งเพิ่งได้รับการแนะนำให้รู้จักกัน ทั้งทำงานอยู่ในแวดวงออกแบบเครื่องประดับคล้าย กัน ปยุดาดื่มเพียงโซดา ตุลย์สังเกตเห็นออกจะแปลกใจอยู่เหมือนกันเพราะสาวสวยที่มีชื่อเสียงและออกงาน รวมถึงคบหาเพื่อนผู้ชายมากหน้าหลายตากลับไม่แตะแอลกอฮอล์เลย
“เท้าไฟทั้งคู่ ไปทดสอบความสามารถกันสิ” เพื่อนคนหนึ่งบอกกับทั้งตุลย์และปยุดา ซึ่งรายหลังนั้นนั่งเงียบไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรนัก ขยับตัวตามจังหวะเพลงบ้าง อันที่จริงสถานที่อย่างนี้คงไม่เหมาะกับการจะมานั่งพูด คุยสักเท่าไร เพราะเสียงเพลงออกจะอึกทึกครึกโครม
“เดี๋ยว ทำไมมีแต่หนุ่ม”
“อ้อ สาวคนเดียวกลับไปก่อนหน้าแกนิดหนึ่ง”
“โอเค” ปยุดาหันไปยิ้มให้ตุลย์ก่อนที่จะเดินออกไปขยับร่างกายอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ ซึ่งเป็นเพลงจังหวะสนุกสนาน
“นั่งทำหอกอะไร ไปสิมึง” เพื่อนคนหนึ่งกระซิบบอกตุลย์ที่ยกแก้วขึ้นดื่มก่อนจะตามไปเต้นรำกับปยุดา
ตุลย์ยิ้มน้อยๆ จ้องมองสาวสวย ซึ่งกำลังเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของเสียงเพลงอย่างสนุกสนาน ปยุดาถือเป็นสาวทรงเสน่ห์ ซึ่งเพียงแค่ได้ยินจากการพูดปากต่อปาก แต่ยังไม่เคยได้พบปะพูดคุยกัน ถึงแม้เวลานี้ก็ตามได้เพียงแค่ทักทาย ไม่แปลกใจเลยที่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่แจกขนมจีบอยู่ตลอดเวลา บางคนถึงกับสร้างข่าวเพื่อจะได้เป็นคนพิเศษของสาวเจ้า แต่กลับกลายเป็นว่า ยิ่งมีข่าวมากเท่าไร เธอคนนี้จะยิ่งถอยห่างออกไป
“ยุ่ง ขอตัวก่อนนะคะ ไม่ถนัดเพลงช้า” เมื่อจังหวะเพลงเปลี่ยนไป ปยุดาจึงบอกกับตุลย์ที่กำลังเอาตัวบังไว้ ไม่ยอมปล่อยปยุดากลับไปที่โต๊ะ
“กลัวเป็นข่าวหรือครับ ผมไม่ได้โด่งดัง ไม่ได้อยู่ในวงสังคมเท่าไรนัก ไม่มีใครรู้จักหรอก” ตุลย์บอกแล้วยื่นมือไปตรงหน้าปยุดา หวังว่าผู้หญิงที่ยืนยิ้มน้อยๆ จ้องมองอยู่นั้น จะตกลงวางมือลงบนมือของเขา
“ถ้าทำความรู้จักคนจากข่าว ยุ่งว่า ยุ่งกลับเลยดีกว่านะ ฝากลาหนุ่มๆ ด้วยนะคะ” ปยุดาพูดเพียงแค่นั้น แถมยังทำท่าเอามือปิดที่ริมฝีปากเป็นการส่งจูบลาให้กับตุลย์ที่ยืนอมยิ้มจ้องมองสาวสวยที่เดินออกไปแล้ว
“ไฮไม่พอ สาวเลยไม่สน” ตุลย์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะเพื่อดื่มต่อกับเพื่อน ซึ่งพูดแซวเรื่องโดนสาวสาวทรงเสน่ห์หนีไปโดยไม่เหลียวแล
“เสียฟอร์มหมดมึง” เพื่อนคนหนึ่งพูดแซว
“จีบเลย จีบได้กูเลี้ยงเหล้าปีหนึ่งเลยมึง” เพื่อนคนที่แนะนำให้รู้จักกับปยุดาบอก เพราะรู้ถึงความร้ายกาจของสาวสวยทรงเสน่ห์ที่ชื่อ ปยุดา
“ท้าทายนะ นั่น”
“รับท้าไหมล่ะ ไอ้หนุ่มทรงเสน่ห์ เก่งจริงจีบให้ติดดิ”
“ติดแล้วไง มันก็มีแฟนอยู่แล้วหรือเปล่า” เพื่อนอีกคนพูดแทรกขึ้น
“แหมมึงก็นะ ทำเป็นยังกับจะจีบติด”
“ไง เพื่อนท้าแล้วนะเว๊ย มีแฟน ไม่ใช่เมียเนอะ” เพื่อนยังคงเย้าแหย่ตุลย์ ซึ่งยังคงมองตามปยุดาออกไปทางด้านข้างของตัวร้านผ่านกระจกใสมองเห็นสาวเจ้าเพิ่งจะขับรถออกไป
“หยิ่งดี ชอบนะหยิ่งๆ น่ะ” ตุลย์บอกกับเพื่อนที่มีเสียงเฮตามมาดังลั่นเพราะเท่าที่ได้ยินน่าจะรับคำท้า
“ถ้าจีบคนนี้ได้ รับรองได้ว่า จีบสาวไหนก็ได้ เชื่อดิ”
“พวกมึง ก็เกินไปนะ” ตุลย์ยิ้มๆ ภาพของปยุดาที่เต้นรำคลอเคลียอยู่นั้นยังตราตรึงอยู่ในใจ
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์กำลังปลุกกรวิกาให้ตื่นขึ้น ทั้งๆ ที่ยังรู้สึกง่วงอยู่มากและเมื่อวานยืนวาดรูปทั้งวันทำให้รู้สึกปวดเมื่อยอยู่บ้าง
“สวัสดีค่ะ” กรวิการับสายโดยไม่ได้ดูว่า สายที่โทรฯ เข้ามานั้นเป็นใคร ปลายสายจึงตอบมาเสียงอ่อยๆ เพราะน้ำเสียงงัวเงียที่ได้ยินนั้น
“ขอโทษครับ ที่โทรฯ มารบกวน” ปกป้องบอกกับปลายสาย
“อ๋อ นายป้อง ว่าไง” กรวิกาหัวเราะเสียงใส เมื่อได้ยินเสียงอ่อยๆ ของปกป้องไปเมื่อสักครู่
“เดี๋ยวบ่ายๆ ผมโทรฯ หาใหม่ก็ได้ครับ” ปกป้องเป็นหนุ่มนักศึกษาซึ่งกรวิกาเป็นออกค่าเล่าเรียนให้ เพราะทราบมาจากเพื่อน ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเรื่องของปกป้องที่เป็นเด็กเรียนดี แต่ทางครอบครัวไม่มีปัจจัยมากพอที่จะส่งเสียให้เล่าเรียน กรวิกาจึงได้จัดการส่งเสียเรื่องค่าเล่าเรียน รวมถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วย จะว่าไปผ่านมาหลายปีแล้วเหมือนกัน จนหนุ่มน้อยนั้นเรียนมหาวิทยาลัยปีสามแล้ว
“พี่ตื่นแล้ว มีอะไรว่ามา”
“รู้สึกผิดเลยครับ ที่โทรฯ มาปลุก ไม่สบายหรือเปล่าครับ”
“เปล่าจ้ะ ป้องมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ปกติปกป้องจะโทรศัพท์มารายงานเรื่องส่วนตัว รวมถึงเรื่องเรียนกับกรวิกาหนึ่งครั้งต่อสองสัปดาห์และเพิ่งจะคุยกันไปเมื่อสองสามวันก่อนทำให้กรวิกาอดที่จะแปลกใจไม่ได้
“พอดีที่วัดแถวๆ บ้านผมจะบูรณะอุโบสถครับ ผมปรึกษาอาจารย์แล้ว อาจารย์ให้ลองมาปรึกษาพี่กรดูครับ เพราะลำพังเด็กๆ นักศึกษาอย่างพวกผมทำกันลำพังไม่น่าจะเรียบร้อยเท่าไรนัก” ปกป้องเริ่มบอกรายละเอียดคร่าวๆ กรวิกาพอเข้าใจว่า คงอยากให้ไปช่วยเรื่องคุมกลุ่มนักศึกษา ซึ่งเป็นเพื่อนนักศึกษาศิลปะของปกป้อง
“อาจารย์เรา โบ้ยมาให้พี่ล่ะสิ” กรวิกาหัวเราะ
“อาจารย์คิวสอนแน่นมากครับ”
“ขอไปดูหน้างานก่อนนะ ค่อยรับปาก”
“ขอบคุณครับ มาวันไหนบอกล่วงหน้านะครับ แม่บอกจะทำอาหารอร่อยๆ ให้ทาน แม่บ่นคิดถึงพี่กรอยู่ครับ”
“ฝากขอบคุณ แม่ล่วงหน้าด้วยนะ ป้องล่ะว่างวันไหน”
“กำลังจะปิดภาคแล้วครับ แม่ใส่บาตรหลวงลุงท่านเลยบอกกับแม่ ผมเลยไปปรึกษากับอาจารย์ดูและเพื่อนๆ ก็อาสาจะมาช่วยๆ กันครับ ช่วงปิดภาคคงทำได้เต็มกำลัง หลังจากนั้นคงต้องเป็นช่วงวันหยุดหรือเลิกเรียนครับ” ปกป้องบอกสิ่งที่ตัวเองคิด ซึ่งทำให้กรวิกายิ้มกว้างมากขึ้นกับความ คิดของเด็กหนุ่มที่จะช่วยเหลืองานของทางวัด
“บ่ายนี้ว่างไหม” กรวิกาถาม
“ได้ประมาณบ่ายสามโมงครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเจอกันนะ บ่ายสามโมงที่วัด เสร็จแล้วค่อยแวะไปเยี่ยมแม่ของป้อง”
“ครับผม ปลาดุกย่าง สะเดา น้ำปลาหวานไหมครับ”
“รู้ใจ น่ารักที่สุดไอ้น้องชาย ไปช่วยงานที่วัดบ่อยๆ พี่คงอ้วนแน่เลย” กรวิกาพูดยิ้มๆ นึกขอบคุณในความใส่ใจของปกป้องกับมารดาที่มีให้เสมอมา ตั้งแต่รู้จักกันจนบางครั้งคิดว่าเป็นญาติกันจริงๆ
“เจอกันครับ พี่กร สวัสดีครับ” น้ำเสียงของปกป้องสดใสขึ้น เพราะเท่าที่ฟังคล้ายกับกรวิการับปากกลายๆ ที่จะมาช่วยคุมงานจิตรกรรมฝาผนังของโบสถ์ ซึ่งลวดลายเดิมนั้นสวยงามอยู่แล้ว หากแต่งเติมและแก้ไขบ้างหรือบางส่วนที่จะต้องซ่อมแซมพื้นผิว ซึ่งมีรอยแยกรอยแตกอาจจะต้องลงมือวาดกันใหม่ทั้งหมด ซึ่งลำพังเด็กๆ อย่างปกป้องไม่น่าจะเก็บรายละเอียดและวางแผนงานได้ดีเท่ากับกรวิกา ซึ่งอาจารย์ของปกป้องนั้นบอกเอาไว้ว่า กรวิกาเคยทำงานลักษณะนี้มาก่อน
“ตื่นแล้ว ช่วยโทรฯ หาดิฉันด้วยนะคะ คุณกรวิกา” ข้อความจากภูดิททำให้กรวิกาหัวเราะ แต่ไม่ได้รีบที่จะโทรฯ หา เพราะถ้ารีบร้อนมากคงโทรศัพท์มาแล้ว กรวิกาจึงจัดการกิจวัตรประจำวันเสียก่อน
“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อน ทำเอากรวิกาที่โทรฯ ไปนั้นอดที่จะขำไม่ได้
“ถอนใจแต่เช้า เป็นอะไรยะ หล่อน” กรวิกาพูดแหย่
“ยังจะมาทำปากดี ห่วงหล่อนนะสิ ส่งข้อความไปตั้งแต่เช้า โทรฯมานี่จะเที่ยงแล้วนะยะ นอนกินบ้านกินเมืองนะ หล่อน” ภูดิทพูดบ่นเสียยาวเหยียด แต่ยังคงได้ยินเสียงหัวเราะของกรวิกาอยู่
“ห่วง ฉัน เรื่องอะไรยะ”
“ดูรูปเอา” ภูดิทส่งรูปมาทางโทรศัพท์ และย้ำให้กรวิกาดูก่อนค่อยมาคุยกับอีกที กรวิกาเห็นรูปถ่ายสองสามภาพที่ภูดิทส่งมา ตุลย์เต้นรำอยู่ที่ร้าน ซึ่งตัวกรวิกาเองไปมาเมื่อคืน แต่ผู้หญิงคนนั้นต่างหาก คือ จุดสนใจที่ทำให้ กรวิกาต้องขยายภาพดู
“รถคันที่เข้าไปจอดต่อจากเราเมื่อคืน ก็ใช่ล่ะสิ” กรวิการำพึงออก มาเบาๆ สงสัยอยู่เหมือนกัน ไม่รู้มาก่อนเลยว่า ตุลย์กับสาวไฮโซคนนั้นรู้จักกัน เมื่อคืนไม่เห็นบอกว่าจะมีใครไปหลังจากที่กรวิกากลับมา ส่งข้อความไปก็ไม่โทรฯ กลับเหมือนทุกครั้ง
“ดูแล้ว” กรวิกาบอก น้ำเสียงฟังดูปกติจนภูดิทอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่ภูดิทร้อนรนเป็นไฟด้วยความห่วงกลัวเพื่อนจะโดนแย่งแฟนไป
“ปล่อยได้อย่างไรยะ หล่อน ยายคนนั้นน่ะ ไว้ใจได้ที่ไหน”
“แต่ต้องไว้ใจพี่ตุลย์นะ ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น” กรวิกาบอกและชักเริ่มสับสนอยู่เหมือนกันว่า ตัวเองกำลังคิดถึงตุลย์หรือผู้หญิงคนนั้นกันแน่
“โอ้โห แม่พระ ไม่คิดหรือยะ ว่าหลังจากนั้นเขาไปไหนกัน” ภูดิทเริ่มพูดใส่ไข่ เผื่อว่า เพื่อนรักที่ใจเย็นอยู่จะคิดได้
“ตกลง แกหึงพี่ตุลย์ ใช่มะ” กรวิกาหัวเราะ
“ถามจริง แกไว้ใจขนาดนั้นเลยหรือ ยายคนนั้นน่ะ สวยแซ่บขนาดนั้น ไม่มีหนุ่มคนไหน ไม่ชอบหรอกนะ ถึงแม้จะพี่ตุลย์แสนดีของแกก็เถอะ ถ้าดีจริงจะไปเต้นจนตัวติดกันขนาดนั้นหรือ”
“ถ้าพี่ตุลย์จะไปชอบเขา ฉันจะไปทำอะไรได้ล่ะ สวย เก่ง รวย ร้อนแรง ครบสูตร” กรวิกายิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงฝันของตัวเองกับสาวคนนั้น
“ไม่หวงหรือ” ภูดิทถามตามตรง
“ก็อยากหวงนะ” กรวิกาถอนใจ มองดูรูปในเครื่องโทรศัพท์อีกครั้งแทนที่จะจดจ่ออยู่กับตุลย์ แต่สายตากลับจับจ้องไปยังผู้หญิงคนนั้นแทน
เช้าอันแสนสดใสที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า ฉันนั่งอยู่บริเวณริมสระว่ายน้ำของคอนโดมีเนียมที่มีภาพของริมแม่น้ำเป็นฉากอันสวย งามอยู่เบื้องหน้า พระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนตัวค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าทำให้ภาพที่กำลังมองอยู่ช่างดูมีมนต์เสน่ห์ แว่นกันแดดถูกนำมาสวมใส่ เมื่อแสงเรืองรองเริ่มส่องประกายให้เห็น ณ บริเวณนี้ สามารถมองเห็นวิวของแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งเป็นสายหลัก ยามเมื่อพระอาทิตย์ทอแสง น้ำในแม่น้ำจะส่องประกายระยิบระยับ แต่ภาพเหล่านั้นถูกเบนความในใจไปในทันที เมื่อสาวร่างระหงหรือควรจะบอกว่า รูปร่างสะโอดสะองกำลังก้าวย่างผ่านไปนั่งลงที่เก้าอี้ถัดจากของฉันไปไม่มากนัก เสื้อคลุมค่อยๆ ถูกถอดออก เผยให้เห็นเรือนร่าง ซึ่งขนาดฉันเป็นผู้หญิงยังอดที่จะลอบมองไม่ได้ บั้นท้ายกลมกลึงได้รูปทำให้หัวใจรู้สึกหวั่นไหวชอบกล จนต้องคอยเตือนตัวเองว่า ผู้หญิงนะ เราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่สายตาไม่ได้ละไปจากส่วนเว้าส่วนโค้งบนเรือนร่างของเธอคนนั้นเลย แว่นถูกขยับลงเล็กน้อย ทำทั้งๆ ที่รู้ว่าการมองคนอื่นลอดแว่นเป็นการเสียมารยาท ฉันจึงจำต้องเลื่อนแว่นกันแดดขึ้นมาเหมือนเดิม แต่อีกใจหนึ่งนึกอยากจะถอดออก เพราะแว่น
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ฉันเหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้องบอกเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ ใครกันนะมาดึกดื่นขนาดนี้ แต่คอนโดมีเนียมแห่งนี้คนที่จะเข้าออกได้ต้องมีบัตรผ่านประตูตั้งแต่ชั้นล่าง ก่อนที่จะเข้ามาถึงตัวลิฟต์และในลิฟต์เองยังต้องใช้บัตร เพื่อที่จะขึ้นมายังชั้นที่ต้องการหรือเป็นคนข้างห้องมาเคาะห้องผิด ฉันเดินไปที่ประตูมองผ่านช่องมองที่หน้าประตูออก ไปแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะคนที่เคาะประตูอยู่หน้าห้อง คือ เธอสาวสวยที่สระว่ายน้ำ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง ฉันเดินไปเดินมาทำอะไรไม่ถูก กำลังตื่นเต้นระคนวิตกกังวล ซึ่งไม่รู้ว่าทำไม เพราะไม่เคยเกิดอาการเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนและกำลังคิดว่า อาการของฉันคล้าย กับอาการของเพื่อนผู้ชายที่เคยเล่าให้ฟัง เวลาได้พบเจอสาวสวยที่รู้สึกดีด้วยและอยากจะได้มาเป็นแฟน แต่นี่ฉันเป็นผู้หญิงมันไม่น่าจะเกิดอาการเช่นนี้ ฉันคิด แต่เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกครั้ง ดูเป็นการเร่งเร้าว่า ถึงเวลาแล้วที่ควรเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับเธอเสียที เพราะมัวมาเดินไปเดินมาและตื่นเต้นอยู่แบบนี้ คงไม่มีอะไรดีขึ้นแน่ๆ ลูกบิดประตูเย็นเฉียบ ซึ่งฉันไม่แน่ ใจว่
ปยุดาหันไปมองทางด้านหลัง เพราะกำลังรู้สึกว่า ถูกจ้องมองหรือบางทีอาจจะได้พบเจอคนรู้จักในขณะที่เข้ามาเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางใจเมือง แต่หันไปไม่พบใครที่เป็นคนที่ตัวเองรู้จักเลย มองดูบริเวณโดย รอบแทบจะไม่เห็นใคร จะมีเพียงพนักงานที่ทำงานของตัวเองและไม่ได้สนใจอะไรในตัวเธอเลยด้วยซ้ำ เจ้าตัวถอนใจกับความวิตกกังวล หลังจากได้ออก แบบเครื่องประดับรูปดวงตาซึ่งกำลังจะออกจำหน่ายในเร็วๆ นี้ “ท่าจะเป็นบ้านะ เรา ทำไมถึงได้รู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลาเลยนะ” ปยุดาหัวเราะเล็กๆ รู้สึกร่างกายเย็นเฉียบคล้ายกับกำลังลงไปแช่อยู่ ในสระว่ายน้ำ ความเย็นนั้นทำให้หัวใจรู้สึกสดชื่นขึ้น ปยุดาสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ไม่ใช่จากเครื่องปรับอาการภายในอาคาร แต่เป็นความรู้สึกสดชื่นจากการที่มีน้ำสัมผัสอยู่บนเรือนร่างมากกว่า และที่สำคัญความรู้สึกนั้นคล้ายกับการลงไปแช่อยู่ในสระว่ายน้ำอย่างสบายอารมณ์ ปยุดายืนหยุดนิ่งหลับตาด้วยอยากสัมผัสความรู้สึกสดชื่นนั้นเอาไว้ บางทีความรู้สึกดีๆ สามารถก่อตัวขึ้นมาในหัวใจได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไร แค่เพียงกำหนดจิตให้สงบนิ่งและยอมรับในสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ซึ่งอาจจะดู
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ฉันเหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้องบอกเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ ใครกันนะมาดึกดื่นขนาดนี้ แต่คอนโดมีเนียมแห่งนี้คนที่จะเข้าออกได้ต้องมีบัตรผ่านประตูตั้งแต่ชั้นล่าง ก่อนที่จะเข้ามาถึงตัวลิฟต์และในลิฟต์เองยังต้องใช้บัตร เพื่อที่จะขึ้นมายังชั้นที่ต้องการหรือเป็นคนข้างห้องมาเคาะห้องผิด ฉันเดินไปที่ประตูมองผ่านช่องมองที่หน้าประตูออก ไปแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะคนที่เคาะประตูอยู่หน้าห้อง คือ เธอสาวสวยที่สระว่ายน้ำ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง ฉันเดินไปเดินมาทำอะไรไม่ถูก กำลังตื่นเต้นระคนวิตกกังวล ซึ่งไม่รู้ว่าทำไม เพราะไม่เคยเกิดอาการเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนและกำลังคิดว่า อาการของฉันคล้าย กับอาการของเพื่อนผู้ชายที่เคยเล่าให้ฟัง เวลาได้พบเจอสาวสวยที่รู้สึกดีด้วยและอยากจะได้มาเป็นแฟน แต่นี่ฉันเป็นผู้หญิงมันไม่น่าจะเกิดอาการเช่นนี้ ฉันคิด แต่เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกครั้ง ดูเป็นการเร่งเร้าว่า ถึงเวลาแล้วที่ควรเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับเธอเสียที เพราะมัวมาเดินไปเดินมาและตื่นเต้นอยู่แบบนี้ คงไม่มีอะไรดีขึ้นแน่ๆ ลูกบิดประตูเย็นเฉียบ ซึ่งฉันไม่แน่ ใจว่
เช้าอันแสนสดใสที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า ฉันนั่งอยู่บริเวณริมสระว่ายน้ำของคอนโดมีเนียมที่มีภาพของริมแม่น้ำเป็นฉากอันสวย งามอยู่เบื้องหน้า พระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนตัวค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าทำให้ภาพที่กำลังมองอยู่ช่างดูมีมนต์เสน่ห์ แว่นกันแดดถูกนำมาสวมใส่ เมื่อแสงเรืองรองเริ่มส่องประกายให้เห็น ณ บริเวณนี้ สามารถมองเห็นวิวของแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งเป็นสายหลัก ยามเมื่อพระอาทิตย์ทอแสง น้ำในแม่น้ำจะส่องประกายระยิบระยับ แต่ภาพเหล่านั้นถูกเบนความในใจไปในทันที เมื่อสาวร่างระหงหรือควรจะบอกว่า รูปร่างสะโอดสะองกำลังก้าวย่างผ่านไปนั่งลงที่เก้าอี้ถัดจากของฉันไปไม่มากนัก เสื้อคลุมค่อยๆ ถูกถอดออก เผยให้เห็นเรือนร่าง ซึ่งขนาดฉันเป็นผู้หญิงยังอดที่จะลอบมองไม่ได้ บั้นท้ายกลมกลึงได้รูปทำให้หัวใจรู้สึกหวั่นไหวชอบกล จนต้องคอยเตือนตัวเองว่า ผู้หญิงนะ เราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่สายตาไม่ได้ละไปจากส่วนเว้าส่วนโค้งบนเรือนร่างของเธอคนนั้นเลย แว่นถูกขยับลงเล็กน้อย ทำทั้งๆ ที่รู้ว่าการมองคนอื่นลอดแว่นเป็นการเสียมารยาท ฉันจึงจำต้องเลื่อนแว่นกันแดดขึ้นมาเหมือนเดิม แต่อีกใจหนึ่งนึกอยากจะถอดออก เพราะแว่น