แมวตัวผู้ หลบอยู่ในบ้านลูกกวาด
เยว่จือกำลังดูแลสองแฝดในครัวที่กำลังมีความสุขมากกับอาหารง่าย ๆ ที่ม่านอวี้อันทำให้ พอเด็กสาวเห็นม่านอวี้อันถือของกินเข้ามา เธอจึงกุลีกุจอไปช่วยถือ ขณะนั้นเด็กชายทั้งสองต่างมองตาโต พวกเขาคิดว่าวันนี้คงเป็นปีใหม่หรือวันเด็ก แม่ถึงได้รับของแจกเข้าบ้านเยอะแยะไปหมด
“มัมมี้ ให้น้องช่วยไหม” เซียงเจียวยิ้ม ดวงตากลมโตของเขาเป็นประกาย
“ไม่เป็นไรเจียวเกอ กินข้าวให้เรียบร้อย เวลาเคี้ยวอาหารต้องไม่พูดนะจ๊ะ เดี๋ยวติดคอ”
เซียงเจียวพยักหน้ารับคำม่านอวี้อัน ส่วนผิงกั่วหันมามองเธอ สายตาเขาดูมีพิรุธอยู่สักหน่อย
“เอ ผิงเกอ ไม่ชอบไข่ข้นกับมันฝรั่งบดเหรอลูก กินหมี่ผัดกับไก่ย่างไหม ป้าลี่เอามาฝาก”
เธอบอกลูกคนโตแล้ววางจานอาหารที่ลี่ฮุ่ยเอามาให้ลงบนโต๊ะ เด็กชายไม่ตอบแต่หันไปมองไก่ย่าง พอเห็นน้องชายหยิบขาไก่ขึ้นกัด เขาจึงเลือกชิ้นที่ชอบแล้วนั่งกินเงียบ ๆ ผิงกั่วของเธอช่างเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย
“มาดามเรียกอาหารเข้าบ้านได้จริงด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ” เยว่จือถาม เด็กสาวตื่นเต้นไม่แพ้ฝาแฝด
ม่านอวี้อันไม่ใช่เทพเซียนหรือนางฟ้านางสวรรค์ เธอมาที่นี่โดยไม่มีลิ้นชักมหัศจรรย์ สัตว์เทพช่วยเนรมิตอาหาร หรือห้องเก็บอุปกรณ์ต่างภพที่สามารถหยิบฉวยเครื่องปรุงต่าง ๆ ได้ดั่งใจนึกอย่างหนังสือที่เคยอ่านเมื่อตัวละครเอกย้อนเวลามาในโลกอื่น เธอก็แค่คนธรรมดา ที่จะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองอดอยากและหิวจนเป็นลมตาย ซึ่งตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องปากท้อง เธอย่อมหาทางเอาตัวรอดให้ได้ เมื่อไม่มีเงิน จึงต้องใช้สมองกับความรู้ที่มีในตัวอย่างเต็มที่
“ฉันก็ใช้ฝีมือและการเล่นงิ้วเล็ก ๆ น้อย ๆ บางทีเราก็ควรจะหัดร้องรำให้เกินจริงสักหน่อย จำไว้นะเยว่จือ โลกไม่โหดร้ายเกินไป ขอเพียงเธอลุกขึ้นสู้ด้วยสมองและสองมือ ถ้าล้มก็ลุกขึ้นใหม่ ถ้าล้มอีก ถึงเสียน้ำตาหรือเจ็บหนักก็ต้องลุกให้ได้ด้วยสองขาตัวเอง!”
เยว่จือฟังคุณผู้หญิงของตนอย่างตั้งใจ นับแต่อีกฝ่ายฟื้นขึ้นจากการนอนซมเพราะพิษไข้ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
“แต่ยังไงมาดามอย่าลืมว่าอีกสามวันเฮียถังจะมากินข้าวเย็นที่ร้านพร้อมพี่อิง น้องสาวเขา”
“ได้สิ ฉันจะเตรียมพรมแดงไว้ต้อนรับเลย หมอนั่นกล้ามาทำให้เธอเจ็บตัว แถมยังคิดจะมาเอาเปรียบกันอีก ยังไงงานนี้ คงได้เลือด! เอ๊ย ได้อิ่มจนพุงกาง และเขาจะต้องเสียน้ำตาให้เธอได้เห็น!”
เด็กสาวได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ประกอบกับสีหน้าสีตาของม่านอวี้อันที่ชวนให้ฮึกเหิม เธอเลยยิ้มออก
“เค้กกล้วยหอมนั่น มาดามคิดว่าพวกเขาจะชอบไหมคะ” เด็กสาวหมายถึงกลุ่มแม่บ้านที่นั่งคุยกันจ้อกแจ้กบริเวณร้านอาหารหน้าบ้าน
“ฉันมั่นใจในฝีมือของตัวเอง แต่อาจไม่เต็มสิบ เพราะของไม่ครบ อีกอย่างต้องบอกว่าฉันพึ่งฟื้นไข้ ลิ้นเลยรับรสชาติแปลก ๆ อยู่สักหน่อย”
“เอ๋ ถ้าอย่างนั้น ป้าลี่จะโม่โวยวายหรือมาดาม”
“อย่าใส่ใจ อีกฝ่ายลิ้นจระเข้ กินอะไรก็คงถูกปากแหละ แต่ว่า... ถ้าเธอรู้ว่าไม่ใช่สูตรตัวเอง คงหาเรื่องจับผิดฉันจนได้”
“แย่จริง บอกตามตรง หนูกลัวแทนมาดามยังไงไม่รู้ โดยเฉพาะเมียเถ้าแก่โจว ผู้หญิงคนนั้นชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ป้าลี่ว่าร้ายแล้ว ยายแม่มด โรส ยิ่งไว้ใจไม่ได้เลย”
ม่านอวี้อันพยักหน้าตามสิ่งที่เยว่จือเอ่ย และดีใจอยู่ลึก ๆ ที่อย่างน้อยเด็กสาวก็รู้จักคิดว่าควรระวังตัวจากโรส เมียเถ้าแก่โจว
“เอ่อ มาดามคะ” เยว่จือดึงแขนม่านอวี้อัน พาเธอออกห่างจากฝาแฝดที่กำลังสนุกสนานกับการกินไก่ย่างกับผัดเส้นหมี่ใส่ไข่ของลี่ฮุ่ย
“ตอนที่พาน้องผิงเข้ามาในครัว หนูเห็นมือข้างหนึ่งของผิงเกอกำห่อขนมไว้แน่น!”
“ขนม แล้วทำไมเหรอ”
“คือ... มาดามไม่ได้ซื้อของเข้าบ้านเป็นเดือนเพราะต้องประหยัดเงิน อีกอย่างขนมแบบนั้น หนูเห็นติดป้ายโฆษณาที่ร้านพี่ข่ายว่ามันทำขึ้นเป็นพิเศษต้อนรับการแข็งขันกีฬา ราคาเกือบสองดอลลาร์เลยนะคะ”
เยว่จือกล่าวถึงขนมโกโก้แท่ง ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาระดับโลกครั้งนี้ ทั้งยังออกผลิตภัณฑ์มาอย่างหลากหลาย รวมถึงขนมที่เด็กแฝดเพิ่งได้ลิ้มรสด้วย
“หมายความว่า ผิงเกอขโมยเงินในบ้านไปซื้อใช่ไหม” ม่านอวี้อันถาม ถึงแม้ราคาสองดอลลาร์ในยุคของเธอ คงจะซื้อไข่เบอร์ศูนย์ได้แค่ฟองเดียวเท่านั้น ทว่าหากเป็นยุค 80s ราคาดังกล่าวนั้นเท่ากับโจ๊กห้าสหายขึ้นเหลาสักชามหรือข้าวผัดไข่รวมมิตรทะเล
“ไม่ใช่ นายน้อยผิงไม่มีนิสัยแบบนั้น และถึงจะมี เขาคงไม่รู้จะหาเงินจากในบ้านได้ยังไงค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ตอนที่ฉันนอนซมเพราะพิษไข้ พวกเขาออกไปโมยของบ้านอื่นใช่ไหม” น้ำเสียงม่านอวี้อันสูงผิดปกติ เธอไม่คิดว่าความจนและความหิวจะสามารถบีบบังคับให้เด็กน้อยทั้งสองริเป็นโจรตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้
เยว่จือส่ายหน้าและถอนหายใจราวกับมีเรื่องเครียดหนัก
“เอาละ เธออยากจะบอกอะไรกันแน่”
เยว่จือสูดลมหายใจลึก เธอขนลุกซู่ขึ้นมาโดยพลัน ใจคอไม่สู้ดี ภาพดวงตาคม ๆ คู่นั้นที่มองมาในยามที่เธอเผชิญหน้ากับแก๊งมังกรซิ่งลอยเข้ามาในหัว
“เอ่อ ‘เขา’ คงแอบย่องมาหานายน้อยทั้งสองคนแน่นอนค่ะ”
“เยว่จือ เธอกำลังจะทำให้ฉันกรี๊ดลั่นครัวรู้ไหม เลิกอมพะนำ และพูดให้รู้เรื่องเสียทีว่า ‘เขา’ ที่พูดถึงเนี่ยเป็นใครหา!”
ม่านอวี้อันเกือบหมดความอดทน จึงเอ่ยเสียงดังอยู่สักหน่อย
“เขา... ก็คือกู๋กุ่ยไงคะ คงแอบเอาขนมมาให้นายน้อยทั้งสองคนตอนที่หนูไม่อยู่บ้าน ดีไม่ดีแมวตัวโตนิสัยเสียนั่นอาจกำลังหลบอยู่ในบ้านหลังนี้แน่ ๆ”
ได้ฟังคำนั้น ม่านอวี้อันจึงช็อก แล้วความรู้สึกในห้องนั่งเล่นเมื่อครู่ก็ย้อนคืนกลับมา ยามนั้นเธอสัมผัสได้ว่ามีเงาคนอยู่ในห้องดังกล่าว!
จากนั้นม่านอวี้อันก็รีบตัดเค้กกล้วยหอมให้เป็นชิ้นด้วยมือที่สั่นอยู่สักหน่อย ตัดเสร็จจึงห่อด้วยกระดาษแก้ว บอกให้เยว่จือนำไปแจกสมาคมแม่บ้านข้างนอกคนละเท่า ๆ กัน และกำชับว่าให้นำไปแช่ตู้เย็นสักสองสามชั่วโมง หรือให้ดีที่สุด พรุ่งนี้เช้าค่อยกินกับกาแฟหรือนมอุ่น ๆ จะได้รับรสชาติที่เยี่ยมยอดแบบต้นตำรับ เสร็จแล้วเธอจึงกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น ในมือถือไม้นวดแป้งอันใหญ่ไปด้วย หญิงสาวได้กลิ่นกายผู้ชาย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่ และน้ำยาโกนหนวดที่ผสมกลิ่นเฉพาะตัว ความรู้สึกแรกคือขนลุกซู่ เหตุใดเธอจึงคุ้นเคยกับสัมผัสลึกซึ้งนี้เหลือเกิน ราวกับเป็นกลิ่นกายของผู้ชายที่อยู่เคียงข้างม่านอวี้อันมาโดยตลอด!
“นั่นใคร หลบอยู่หลังตู้ใช่ไหม ออกมานะ ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดฟาดให้สลบ จากนั้นก็ตัดหนอนน้อยให้ขาด แล้วโยนให้เป็ดกิน!”
ม่านอวี้อันตวาดเสียงดัง และมันทำให้เธอขจัดความตื่นเต้นลงไปได้เปราะหนึ่ง จากนั้นจึงสืบเท้าไปยังเบื้องหน้า ยามนี้เธอรู้เพียงแต่ว่าเธอต้องเป็นเสาหลักให้ครอบครัวเล็ก ๆ ซึ่งหากไม่ลุกขึ้นสู้หรือมัวแต่ขี้ขลาด เธอก็คงต้องอยู่ในโลกใบนี้อย่างหวาดระแวงไปตลอด และกู๋กุ่ยของลูกชายเธอ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนดี หรือผีร้ายจอมรังควาน ม่านอวี้อันต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเดินตรวจทั่วห้องหนังสือแล้ว ม่านอวี้อันกลับไม่พบใครสักคน และแม้ว่าผลออกมาเช่นนั้น แต่เธอกลับไม่สบายใจเอาเสียเลย
บทนำ ณ เมืองติดชายทะเล ถนนเนี่ยอิน พื้นที่ควบคุมของแก๊งมังกรซิ่ง เยว่จือตัวสั่นไปหมด เด็กสาวไม่รู้จะทำอย่างไร การถูกตบหน้าอย่างรุนแรงถึงสองครั้งติดต่อกัน ด้วยฝ่ามือหยาบกร้านของอาซู คนในแก๊งมังกรซิ่ง ทำให้น้ำตาคลอหน่วย แม้ในยามนี้เธอจะพยายามอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ถึงอย่างนั้นน้ำตาก็ยังคงไหลอาบใบหน้าเรียวเล็กที่ซีดราวกับซากศพ ในใจของเธอภาวนาขอให้เรื่องเฮงซวยทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพความฝัน มิหนำซ้ำเด็กสาวยังห่วงอีกสามชีวิต เมื่อคืนคุณผู้หญิงเพ้อหนักก่อนที่ตัวจะสั่นเทาและสลบไปนาน ตอนนี้เธอคงกำลังรอการกลับไปของเยว่จือ รวมถึงสองฝาแฝดวัยสี่ขวบกว่าที่เมื่อเช้าได้กินเพียงขนมปังบาแก็ตที่ทั้งแข็งและแห้งโรยน้ำตาล ซึ่งเด็กสาววางได้แผนไว้ว่า หากเกิดเรื่องร้ายแรงใดขึ้น เธอจะพาพวกเด็ก ๆ หนีไปให้ไกล! เสียงเนื้อกระทบเนื้อยังดังก้องในหู เธอกลัว ตื่นตระหนก และขวัญเสีย ทว่าสิ่งที่ทำได้คือจำต้องกลั้นเสียงสะอื้นและน้ำตาเอาไว้ ถึงจะยากลำบากเหลือเกิน แต่ที่ต้องทำเช่นนั้นก็เพราะเธอไม่ต้องการให้คนพวกนี้เห็นความอ่อนแอของตน อย่างไรก็ตาม นับว่าแก๊งมังกรซิ่งยังมีเมตตาอยู่บ้าง
“มะ มัมมี้!” เสียงเล็ก ๆ ที่แสนสดใสดังขึ้น ตามด้วยอีกเสียงที่ฟังเหมือนกับว่าเพิ่งผ่านพ้นการร้องไห้อย่างหนักมา “น้อง หิว... หิว!” หญิงสาวลืมตาช้า ๆ การหายใจของเธอยังไม่เป็นปกติ และรู้สึกว่าตัวชื้นเหนียวเหนอะไปด้วยเหงื่อ แล้วก็เป็นตอนนั้นเองที่มือเล็ก ๆ ที่พอจะอุ่นอยู่สักหน่อยลูบแก้มเธอเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจหญิงสาวอ่อนยวบ “มะ มามี้ มะ ไม่ ตะ ตาย!” เธอฉงนแต่ก็พยายามตั้งสติ การที่ต้องอยู่ในรถคันนั้นและไม่มีอากาศหายใจทำให้เธอกลัวจัด และเธอเชื่อว่าตนเองตายไปแล้ว ทว่าระหว่างที่เธอกำลังอยู่ในช่วงของความเป็นและความตาย เธอกลับได้ยินเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ จวบจนลืมตาได้อีกครั้ง จึงเห็นพวกเขาทั้งสองคน “หนู...” เสียงของเธอแหบจัดและอ่อนแรง “มามี้... น้องไม่ร้อง แต่เฮียผิง งอแงจะกินขนมตลอด” คนที่เอ่ยกับเธอเป็นเด็กผู้ชายที่คุยเก่ง อายุคงราว ๆ สี่ถึงห้าขวบ ส่วนอีกคนจ้ำม่ำกว่า แก้มย้อยน่ารัก กำลังทำหน้าบึ้ง เขาสื่อสารติด ๆ ขัด ๆ อยู่สักหน่อย เพราะทำท่าเหมือนกับพยายามจะพูด แต่อ้าปากแล้วหุบอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะมีเสียงดังใ
หลังจากนั้น แจ็คสัน สามีคืนเดียวของเธอต้องไปเซ็นสัญญาทำธุรกิจ ซึ่งเธอทราบในภายหลังว่าเขาตกอยู่ในเหตุการณ์ก่อการร้ายครั้งใหญ่ และเกิดการจลาจลจนมีผู้เสียชีวิตนับสองร้อยคน ซ้ำร้ายยังมีร่างที่ถูกเผาไหม้อยู่ในอาคารจนไม่อาจระบุได้ว่าเป็นใครอีกหลายศพ และชื่อ แจ็คสัน หยวน เองก็อยู่ในรายนามผู้เสียชีวิต ทำให้เธอต้องถูกผลักไสจากคนในตระกูลหยวน รวมถึงลุงกับป้าที่กล่าวหาว่าเธอเป็นตัวซวย สุดท้ายม่านอวี้อันจึงต้องมาอยู่ที่ร้านขายอาหารเล็ก ๆ แห่งนี้ ในถนนเนี่ยอินที่มีแก๊งมังกรซิ่งคอยรีดไถเงินผู้คน “คุณผู้หญิง” เมื่อเยว่จือยังคงเรียกซ้ำ ๆ อยู่เช่นนั้น หญิงสาวเลยต้องยกมือห้าม “ฉันคือใคร?” “เอ๋ ทำไมถามแบบนั้นคะ” เยว่จือตกใจ แต่ไหนแต่ไรม่านอวี้อันเป็นผู้หญิงที่ใช้เสียงเบา ไม่ชอบโวยวายหรือปั้นสีหน้าตึง ๆ ทว่าตอนนี้กลับไม่ใช่อย่างนั้น! “เอาใหม่ ตั้งสติ แล้วฟังคำถามให้ดี ๆ ฉัน-คือ-ใคร?” ม่านอวี้อันคนใหม่นี้ลงเสียงหนัก ดวงตากลมโตที่จ้องเยว่จือพลอยให้เด็กสาวตัวสั่น “คะ คุณผู้หญิง คือม่านอวี้อัน...” เมื่อได้ยินแบบนั้น วิญญาณที่สวมร่างผู้อื่นพลันขน
นางจิ้งจอกเข้าครัว เยว่จือบีบมือตัวเองแน่น เธออยากสร้างเรื่องโกหกม่านอวี้อันอย่างที่แล้ว ๆ มา ทว่าไม่รู้เหตุใด ยามนี้คุณผู้หญิงถึงไม่เหมือนเดิม และยังสร้างความกล้าหาญให้เด็กสาวอยากพูดความจริงอย่างหมดเปลือก! “นะ หนู เดินไม่ดูทางเอง เลยเจอกับเฮียถัง เขามาถามเรื่องเงินค่าเช่าร้านที่ติดไว้ กับเงินที่คุณผู้หญิง เอ่อ... มาดามยืมมาซื้อของ แล้วทำเจ๊งจนเรากำลังจะอดตาย...” ฟังจากปากเยว่จือ ม่านอวี้อันก็รู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในโลกนี้ไม่ใช่แค่ความยากจน แต่ยังมีหนี้ที่ต้องจ่ายอีกด้วย และถ้าถึงขั้นที่คนของฝ่ายนั้นกล้าทำร้ายเด็กสาวตัวเล็ก ๆ แล้วนั่นย่อมหมายความว่ามันอยู่ในขั้นวิกฤติ “เฮียถัง...” เมื่อเอ่ยชื่อนี้ขึ้น ม่านอวี้อันก็ตัวแข็งค้าง ในความทรงจำเธอเห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่กับกลุ่มแก๊งของเขาที่ถือขวานและมีดเล่มยาว คนพวกนั้นเป็นพวกมาเฟียปล่อยเงินกู้ แถมยังเก็บดอกเบี้ยสุดโหด โชคชะตาเล่นตลกกับผู้หญิงที่ต้องดิ้นรนเลี้ยงดูตัวเองจนม่านอวี้อันต้องไปยืมเงินคนพวกนั้น โดยเอาบ้านเป็นหลักค้ำประกัน ซึ่งด้านหน้าของบ้านหลังนี้เปิดเป็นร้านอาหาร แต่เกือบหนึ่งปีแล้วที่
ม่านอวี้อันจะไม่ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับลูกชายเธอเด็ดขาด เมื่อตั้งมั่นจะเช่นนั้น ภายในห้องครัวจึงมีงานล้นมือ! ทว่าเมื่อลงมือเข้าครัวกันจริงจัง เซียงเจียวกลับเป็นเด็กที่มีแต่ความน่ารัก เขาพูดเก่ง ขี้อ้อน และสิ่งที่ทำให้ม่านอวี้อันผิดคาดคือ เขาค่อนข้างขี้เกียจ นิสัยแบบนี้หากไม่คอยสอนหรือควบคุมให้ดี โตไปเขาต้องเป็นหนุ่มหล่อที่แผลงฤทธิ์ให้คนเอือมระอาแน่ ๆ ส่วนผิงกั่วของเธอ ไม่ว่าจะบอกให้ปอกกล้วย ร่อนแป้ง หรือนั่งรอนิ่ง ๆ เขาก็ไม่ส่งเสียงบ่น และยังทำงานของตนได้ดีอย่างที่ผู้ใหญ่แบบเยว่จือเทียบไม่ติด “คนเก่งของแม่” เธอชมผิงกั่ว และเขาก็ยิ้มเขินอายตอบ ลูกชายคนโตช่างเป็นสุภาพบุรุษแสนน่ารัก พอได้ยินแม่ชมพี่ชาย เซียงเจียวจึงหน้าง้ำหน้างอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ส่งเสียงประท้วง “เอ ผิงเกอรู้ไหม เวลาเข้าครัวถ้าทำหบ้าบูดบึ้ง วันนั้นจะกินข้าวไม่อร่อย และยังท้องเสียด้วย” ม่านอวี้อันเอ่ย แน่นอนว่าผิงกั่วเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย เขาเลยพยายามยิ้มกว้าง แต่ภาพที่เห็นดูเหมือนอยากร้องไห้มากกว่า “ผะ ผิงยิ้มเป็น” ผิงกั่วเอ่ย ท่าทางเขาประหม่ามิน้อย “ใช่ลูกรั
Back to 1986 สิ่งที่ลี่ฮุ่ยเอ่ยขึ้นมานั้นสร้างความประหลาดใจแก่ม่านอวี้อัน ซึ่งหลังจากนั้น สตรีวัยกลางคนก็ได้ถือวิสาสะก้าวพรวด ๆ เข้าไปในบ้าน! “ป้ารู้หรอกนะ คุณนายมือบางตีนบางอย่างเธอจะทำอะไรเป็น พอถูกจับได้ว่าคิดขายลูกให้แก๊งมังกรซิ่งก็ทำสำออย ล้มหมอนนอนเสื่อ” ม่านอวี้อันไม่ตอบ เธออยากรู้หลายสิ่ง ซึ่งหากจะให้ดีก็ควรมาจากปากของลี่ฮุ่ยคนนี้ “ระวังคำพูดบ้างป้าลี่ กล่าวหาแบบนี้มันเกินไปหน่อย” เยว่จือทนไม่ไหวเลยต่อว่าลี่ฮุ่ย ม่านอวี้อันยกมือห้ามเยว่จือ เด็กสาวเลยเก็บปากเงียบ “เฮ้อ คุณนายอัน อย่าหาว่าสอนเลยนะ เธอน่ะ เปิดร้านอาหารไม่รุ่งหรอก ทางที่ดีหัดรับจ้างซักผ้า หรือไม่ก็ยอมเหนื่อยหน่อย รับงานร้อยดอกไม้หรือพับถุงกระดาษขายคงพอมีเงินซื้อข้าวสาร ซื้อไข่อยู่บ้าง อย่าได้รักสบายไปหน่อยเลย สงสารนังหนูเยว่จือบ้าง อีกสักหน่อยมันคงต้องออกเรือน ไม่อยู่ให้เธอกดหัวใช้งาน” เยว่จือส่ายหน้าเร็วหวือ เธอไม่เคยคิดเช่นนั้น ม่านอวี้อันไม่เคยใจร้ายต่อเธอ อีกทั้งก่อนหน้านี้ บิดาและมารดาอีกฝ่ายก็เป็นคนรับเธอมาอุปการะ เพื่อให้เธอไม่ต้องถูกขายในซ่อง!
ตำรับลับเทพปรุงรส “เหยื่อที่ว่า คือป้าลี่ใช่ไหมคะ” เยว่จือเริ่มเข้าใจหลายสิ่งแล้ว ม่านอวี้อันอมยิ้ม “ใช่ คนแบบนี้แหละ สมควรเป็นเหยื่อของฉัน ป้าลี่คือโทรโข่งชั้นดี และจะส่งเสียงดังไปสามบ้านแปดบ้าน ไม่ช้าฉันก็จะมีชื่อเสียง” ม่านอวี้อันตอบเยว่จือ แน่นอนว่าฝีมือเชฟเหรียญทองที่มีรายการอาหารเป็นของตัวเองถึงสองรายการ เหตุใดจะเนรมิตเค้กกล้วยหอมที่ตราตรึงใจผู้คนมิได้ ซึ่งนอกจากอาชีพเชฟ ม่านอวี้อันในโลกก่อนที่เธอจะจากมามีทรัพย์สินรวมแล้วเกินพันล้านเหรียญดอลลาร์ ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะกลุ่มลูกค้าที่สนับสนุนเธอเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จนมีทั้งคนรักมาก และคนที่จ้องโจมตีเธออยู่ตลอด โดยเฉพาะคู่แข่งทางการค้า แต่สุดท้ายคนที่น่ากลัวที่สุดกลับเป็นผู้ชายที่อยู่ข้างกายเธอมาหลายปี! หญิงสาวสลัดเรื่องที่ผ่านมาทิ้ง อย่างไรเธอก็อยู่ในร่างคนอื่น ฉะนั้นต้องสู้ด้วยสิ่งที่มีตอนนี้ เธอคือ ม่านอวี้อัน คุณแม่ลูกแฝดแสนน่ารัก แน่นอนเธอทำอาหารได้ และยังทำได้ดีเสียด้วย นั่นคือสิ่งที่เธอมาได้เรียนรู้จากยายกับแม่เลี้ยง ทว่าโลกที่หลุดเข้ามานี้ ถึงจะคล้ายโลกของเธอมากจนแยกไม่ออก แต่สิ่งส
กู๋กุ่ย (คุณลุงผี) ภายในห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ มีชั้นหนังสือสูง ๆ อยู่มุมหนึ่ง กลางห้องเป็นโต๊ะพับลายตัวอักษรและตัวเลข พร้อมสมุดวาดรูป ดินสอสี และของเล่นอีกหลายอย่างที่ถูกเด็กทั้งสองคนรื้อออกมาเล่น และไม่ทันได้เก็บ นานแล้วที่แม่บอกให้รออยู่ที่นี่ ซึ่งผิงกั่วได้แต่ยืนแข็งเป็นหุ่นยนต์ขวางอยู่หน้าประตู เพราะน้องชายกำลังจะก่อเรื่อง เซียงเจียวหน้าหงิกหน้างอเมื่อเห็นพี่ชายเฝ้าประตูอยู่อย่างนั้น “น้องเป็นผีดูดเลือด จะกัดแล้วนะ แฮร่ ๆ ถอยไปเฮียผิง” ผิงกั่วยืนนิ่ง คำสั่งแม่บอกไว้ชัดเจนว่าไม่ให้ใครออกจากห้องนี้ หากแม่ไม่มาเรียก เขาเชื่ออย่างนั้น และจะทำตามโดยไม่บิดพลิ้ว ด้วยก่อนหน้านี้ยังจำได้ว่าเวลาแม่โมโหทำให้เขากลัว อีกอย่างตอนที่แม่โมโหมาก ๆ แล้วสลบไปนั้น ใจเขาแทบจะแหลกสลาย เขาเสียใจ เป็นทุกข์ ไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก! “เฮียผิง ถอย!” เซียงเจียวว่าเสียงสูง ๆ ซึ่งอีกไม่นานหากยังถูกขัดใจอยู่แบบนี้เขาจะร้องให้ลั่นบ้านเลย “นั่ง” ผิงกั่วออกคำสั่ง “ไม่... น้องจะออกไปข้างนอก เฮียผิงเห็นเค้กนั่นไหม มัมมี้ทำสวย มันน่ากิน หอมด้วย เราไปกินก
แมวตัวผู้ หลบอยู่ในบ้านลูกกวาด เยว่จือกำลังดูแลสองแฝดในครัวที่กำลังมีความสุขมากกับอาหารง่าย ๆ ที่ม่านอวี้อันทำให้ พอเด็กสาวเห็นม่านอวี้อันถือของกินเข้ามา เธอจึงกุลีกุจอไปช่วยถือ ขณะนั้นเด็กชายทั้งสองต่างมองตาโต พวกเขาคิดว่าวันนี้คงเป็นปีใหม่หรือวันเด็ก แม่ถึงได้รับของแจกเข้าบ้านเยอะแยะไปหมด “มัมมี้ ให้น้องช่วยไหม” เซียงเจียวยิ้ม ดวงตากลมโตของเขาเป็นประกาย “ไม่เป็นไรเจียวเกอ กินข้าวให้เรียบร้อย เวลาเคี้ยวอาหารต้องไม่พูดนะจ๊ะ เดี๋ยวติดคอ” เซียงเจียวพยักหน้ารับคำม่านอวี้อัน ส่วนผิงกั่วหันมามองเธอ สายตาเขาดูมีพิรุธอยู่สักหน่อย “เอ ผิงเกอ ไม่ชอบไข่ข้นกับมันฝรั่งบดเหรอลูก กินหมี่ผัดกับไก่ย่างไหม ป้าลี่เอามาฝาก” เธอบอกลูกคนโตแล้ววางจานอาหารที่ลี่ฮุ่ยเอามาให้ลงบนโต๊ะ เด็กชายไม่ตอบแต่หันไปมองไก่ย่าง พอเห็นน้องชายหยิบขาไก่ขึ้นกัด เขาจึงเลือกชิ้นที่ชอบแล้วนั่งกินเงียบ ๆ ผิงกั่วของเธอช่างเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย “มาดามเรียกอาหารเข้าบ้านได้จริงด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ” เยว่จือถาม เด็กสาวตื่นเต้นไม่แพ้ฝาแฝด ม่านอวี้อันไม่ใช่เทพเซียนหรือน
จับผิดนางจิ้งจอก เมื่อขนมหมดลง พร้อมความหอมหวานที่ติดอยู่ในปาก เซียงเจียวก็ทั้งเลียมือและดูดนิ้ว จากนั้นประตูห้องนั่งเล่นก็มีเสียงหมุนลูกบิด! ผิงกั่วใจหล่นหายเขายืนนิ่งค้างราวกับสมองหยุดสั่งงานไปเสียดื้อ ๆ “อ๊ะ... เฮียผิง!” เสียงเล็กแหลมของน้องชายแผดดังเรียกสติ จากนั้นผิงกั่วจึงไม่รอช้า เขารู้ว่าแม่ไม่อยากให้ลุงผีมาที่บ้านอีก ผู้ชายตัวโตคนนี้เคยทำให้แม่ยุ่งยากใจทั้งยังเสียน้ำตาหลายหน แล้ววันนี้เขาได้ทำเรื่องน่าละอาย เผลอกินของจากอีกฝ่าย ไม่ได้การละ เขาจะทำให้แม่เสียใจไม่ได้ แม่คือโลกทั้งใบของผิงกั่ว เขาจะไม่ทำให้แม่เสียใจ! ร่างของคนเจ้าเนื้อพุ่งไปยังประตูเพื่อขวางไม่ให้คนเปิดเข้ามาได้ “ไม่!” เด็กชายร้องอยู่สองสามหน และนั่นทำให้คนที่อยู่ด้านนอกแปลกใจ “เด็ก ๆ เกิดอะไรขึ้น!” ม่านอวี้อันใจเสียและร้อนรน เธอพยายามหมุนลูกบิด แต่เหมือนจะมีปัญหา “ผิงเกอ เจียวเกอ!” หญิงสาวเรียกลูกชายและปล้ำลูกบิดประตูเฮงซวยอยู่เกือบอึดใจใหญ่ ๆ กระทั่งมันเปิดออกได้ ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ผิงกั่วโผเข้าไปกอดม่านอวี้อัน ส่วนน้องชายก็แสร้งร
กู๋กุ่ย (คุณลุงผี) ภายในห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ มีชั้นหนังสือสูง ๆ อยู่มุมหนึ่ง กลางห้องเป็นโต๊ะพับลายตัวอักษรและตัวเลข พร้อมสมุดวาดรูป ดินสอสี และของเล่นอีกหลายอย่างที่ถูกเด็กทั้งสองคนรื้อออกมาเล่น และไม่ทันได้เก็บ นานแล้วที่แม่บอกให้รออยู่ที่นี่ ซึ่งผิงกั่วได้แต่ยืนแข็งเป็นหุ่นยนต์ขวางอยู่หน้าประตู เพราะน้องชายกำลังจะก่อเรื่อง เซียงเจียวหน้าหงิกหน้างอเมื่อเห็นพี่ชายเฝ้าประตูอยู่อย่างนั้น “น้องเป็นผีดูดเลือด จะกัดแล้วนะ แฮร่ ๆ ถอยไปเฮียผิง” ผิงกั่วยืนนิ่ง คำสั่งแม่บอกไว้ชัดเจนว่าไม่ให้ใครออกจากห้องนี้ หากแม่ไม่มาเรียก เขาเชื่ออย่างนั้น และจะทำตามโดยไม่บิดพลิ้ว ด้วยก่อนหน้านี้ยังจำได้ว่าเวลาแม่โมโหทำให้เขากลัว อีกอย่างตอนที่แม่โมโหมาก ๆ แล้วสลบไปนั้น ใจเขาแทบจะแหลกสลาย เขาเสียใจ เป็นทุกข์ ไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก! “เฮียผิง ถอย!” เซียงเจียวว่าเสียงสูง ๆ ซึ่งอีกไม่นานหากยังถูกขัดใจอยู่แบบนี้เขาจะร้องให้ลั่นบ้านเลย “นั่ง” ผิงกั่วออกคำสั่ง “ไม่... น้องจะออกไปข้างนอก เฮียผิงเห็นเค้กนั่นไหม มัมมี้ทำสวย มันน่ากิน หอมด้วย เราไปกินก
ตำรับลับเทพปรุงรส “เหยื่อที่ว่า คือป้าลี่ใช่ไหมคะ” เยว่จือเริ่มเข้าใจหลายสิ่งแล้ว ม่านอวี้อันอมยิ้ม “ใช่ คนแบบนี้แหละ สมควรเป็นเหยื่อของฉัน ป้าลี่คือโทรโข่งชั้นดี และจะส่งเสียงดังไปสามบ้านแปดบ้าน ไม่ช้าฉันก็จะมีชื่อเสียง” ม่านอวี้อันตอบเยว่จือ แน่นอนว่าฝีมือเชฟเหรียญทองที่มีรายการอาหารเป็นของตัวเองถึงสองรายการ เหตุใดจะเนรมิตเค้กกล้วยหอมที่ตราตรึงใจผู้คนมิได้ ซึ่งนอกจากอาชีพเชฟ ม่านอวี้อันในโลกก่อนที่เธอจะจากมามีทรัพย์สินรวมแล้วเกินพันล้านเหรียญดอลลาร์ ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะกลุ่มลูกค้าที่สนับสนุนเธอเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จนมีทั้งคนรักมาก และคนที่จ้องโจมตีเธออยู่ตลอด โดยเฉพาะคู่แข่งทางการค้า แต่สุดท้ายคนที่น่ากลัวที่สุดกลับเป็นผู้ชายที่อยู่ข้างกายเธอมาหลายปี! หญิงสาวสลัดเรื่องที่ผ่านมาทิ้ง อย่างไรเธอก็อยู่ในร่างคนอื่น ฉะนั้นต้องสู้ด้วยสิ่งที่มีตอนนี้ เธอคือ ม่านอวี้อัน คุณแม่ลูกแฝดแสนน่ารัก แน่นอนเธอทำอาหารได้ และยังทำได้ดีเสียด้วย นั่นคือสิ่งที่เธอมาได้เรียนรู้จากยายกับแม่เลี้ยง ทว่าโลกที่หลุดเข้ามานี้ ถึงจะคล้ายโลกของเธอมากจนแยกไม่ออก แต่สิ่งส
Back to 1986 สิ่งที่ลี่ฮุ่ยเอ่ยขึ้นมานั้นสร้างความประหลาดใจแก่ม่านอวี้อัน ซึ่งหลังจากนั้น สตรีวัยกลางคนก็ได้ถือวิสาสะก้าวพรวด ๆ เข้าไปในบ้าน! “ป้ารู้หรอกนะ คุณนายมือบางตีนบางอย่างเธอจะทำอะไรเป็น พอถูกจับได้ว่าคิดขายลูกให้แก๊งมังกรซิ่งก็ทำสำออย ล้มหมอนนอนเสื่อ” ม่านอวี้อันไม่ตอบ เธออยากรู้หลายสิ่ง ซึ่งหากจะให้ดีก็ควรมาจากปากของลี่ฮุ่ยคนนี้ “ระวังคำพูดบ้างป้าลี่ กล่าวหาแบบนี้มันเกินไปหน่อย” เยว่จือทนไม่ไหวเลยต่อว่าลี่ฮุ่ย ม่านอวี้อันยกมือห้ามเยว่จือ เด็กสาวเลยเก็บปากเงียบ “เฮ้อ คุณนายอัน อย่าหาว่าสอนเลยนะ เธอน่ะ เปิดร้านอาหารไม่รุ่งหรอก ทางที่ดีหัดรับจ้างซักผ้า หรือไม่ก็ยอมเหนื่อยหน่อย รับงานร้อยดอกไม้หรือพับถุงกระดาษขายคงพอมีเงินซื้อข้าวสาร ซื้อไข่อยู่บ้าง อย่าได้รักสบายไปหน่อยเลย สงสารนังหนูเยว่จือบ้าง อีกสักหน่อยมันคงต้องออกเรือน ไม่อยู่ให้เธอกดหัวใช้งาน” เยว่จือส่ายหน้าเร็วหวือ เธอไม่เคยคิดเช่นนั้น ม่านอวี้อันไม่เคยใจร้ายต่อเธอ อีกทั้งก่อนหน้านี้ บิดาและมารดาอีกฝ่ายก็เป็นคนรับเธอมาอุปการะ เพื่อให้เธอไม่ต้องถูกขายในซ่อง!
ม่านอวี้อันจะไม่ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับลูกชายเธอเด็ดขาด เมื่อตั้งมั่นจะเช่นนั้น ภายในห้องครัวจึงมีงานล้นมือ! ทว่าเมื่อลงมือเข้าครัวกันจริงจัง เซียงเจียวกลับเป็นเด็กที่มีแต่ความน่ารัก เขาพูดเก่ง ขี้อ้อน และสิ่งที่ทำให้ม่านอวี้อันผิดคาดคือ เขาค่อนข้างขี้เกียจ นิสัยแบบนี้หากไม่คอยสอนหรือควบคุมให้ดี โตไปเขาต้องเป็นหนุ่มหล่อที่แผลงฤทธิ์ให้คนเอือมระอาแน่ ๆ ส่วนผิงกั่วของเธอ ไม่ว่าจะบอกให้ปอกกล้วย ร่อนแป้ง หรือนั่งรอนิ่ง ๆ เขาก็ไม่ส่งเสียงบ่น และยังทำงานของตนได้ดีอย่างที่ผู้ใหญ่แบบเยว่จือเทียบไม่ติด “คนเก่งของแม่” เธอชมผิงกั่ว และเขาก็ยิ้มเขินอายตอบ ลูกชายคนโตช่างเป็นสุภาพบุรุษแสนน่ารัก พอได้ยินแม่ชมพี่ชาย เซียงเจียวจึงหน้าง้ำหน้างอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ส่งเสียงประท้วง “เอ ผิงเกอรู้ไหม เวลาเข้าครัวถ้าทำหบ้าบูดบึ้ง วันนั้นจะกินข้าวไม่อร่อย และยังท้องเสียด้วย” ม่านอวี้อันเอ่ย แน่นอนว่าผิงกั่วเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย เขาเลยพยายามยิ้มกว้าง แต่ภาพที่เห็นดูเหมือนอยากร้องไห้มากกว่า “ผะ ผิงยิ้มเป็น” ผิงกั่วเอ่ย ท่าทางเขาประหม่ามิน้อย “ใช่ลูกรั
นางจิ้งจอกเข้าครัว เยว่จือบีบมือตัวเองแน่น เธออยากสร้างเรื่องโกหกม่านอวี้อันอย่างที่แล้ว ๆ มา ทว่าไม่รู้เหตุใด ยามนี้คุณผู้หญิงถึงไม่เหมือนเดิม และยังสร้างความกล้าหาญให้เด็กสาวอยากพูดความจริงอย่างหมดเปลือก! “นะ หนู เดินไม่ดูทางเอง เลยเจอกับเฮียถัง เขามาถามเรื่องเงินค่าเช่าร้านที่ติดไว้ กับเงินที่คุณผู้หญิง เอ่อ... มาดามยืมมาซื้อของ แล้วทำเจ๊งจนเรากำลังจะอดตาย...” ฟังจากปากเยว่จือ ม่านอวี้อันก็รู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในโลกนี้ไม่ใช่แค่ความยากจน แต่ยังมีหนี้ที่ต้องจ่ายอีกด้วย และถ้าถึงขั้นที่คนของฝ่ายนั้นกล้าทำร้ายเด็กสาวตัวเล็ก ๆ แล้วนั่นย่อมหมายความว่ามันอยู่ในขั้นวิกฤติ “เฮียถัง...” เมื่อเอ่ยชื่อนี้ขึ้น ม่านอวี้อันก็ตัวแข็งค้าง ในความทรงจำเธอเห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่กับกลุ่มแก๊งของเขาที่ถือขวานและมีดเล่มยาว คนพวกนั้นเป็นพวกมาเฟียปล่อยเงินกู้ แถมยังเก็บดอกเบี้ยสุดโหด โชคชะตาเล่นตลกกับผู้หญิงที่ต้องดิ้นรนเลี้ยงดูตัวเองจนม่านอวี้อันต้องไปยืมเงินคนพวกนั้น โดยเอาบ้านเป็นหลักค้ำประกัน ซึ่งด้านหน้าของบ้านหลังนี้เปิดเป็นร้านอาหาร แต่เกือบหนึ่งปีแล้วที่
หลังจากนั้น แจ็คสัน สามีคืนเดียวของเธอต้องไปเซ็นสัญญาทำธุรกิจ ซึ่งเธอทราบในภายหลังว่าเขาตกอยู่ในเหตุการณ์ก่อการร้ายครั้งใหญ่ และเกิดการจลาจลจนมีผู้เสียชีวิตนับสองร้อยคน ซ้ำร้ายยังมีร่างที่ถูกเผาไหม้อยู่ในอาคารจนไม่อาจระบุได้ว่าเป็นใครอีกหลายศพ และชื่อ แจ็คสัน หยวน เองก็อยู่ในรายนามผู้เสียชีวิต ทำให้เธอต้องถูกผลักไสจากคนในตระกูลหยวน รวมถึงลุงกับป้าที่กล่าวหาว่าเธอเป็นตัวซวย สุดท้ายม่านอวี้อันจึงต้องมาอยู่ที่ร้านขายอาหารเล็ก ๆ แห่งนี้ ในถนนเนี่ยอินที่มีแก๊งมังกรซิ่งคอยรีดไถเงินผู้คน “คุณผู้หญิง” เมื่อเยว่จือยังคงเรียกซ้ำ ๆ อยู่เช่นนั้น หญิงสาวเลยต้องยกมือห้าม “ฉันคือใคร?” “เอ๋ ทำไมถามแบบนั้นคะ” เยว่จือตกใจ แต่ไหนแต่ไรม่านอวี้อันเป็นผู้หญิงที่ใช้เสียงเบา ไม่ชอบโวยวายหรือปั้นสีหน้าตึง ๆ ทว่าตอนนี้กลับไม่ใช่อย่างนั้น! “เอาใหม่ ตั้งสติ แล้วฟังคำถามให้ดี ๆ ฉัน-คือ-ใคร?” ม่านอวี้อันคนใหม่นี้ลงเสียงหนัก ดวงตากลมโตที่จ้องเยว่จือพลอยให้เด็กสาวตัวสั่น “คะ คุณผู้หญิง คือม่านอวี้อัน...” เมื่อได้ยินแบบนั้น วิญญาณที่สวมร่างผู้อื่นพลันขน
“มะ มัมมี้!” เสียงเล็ก ๆ ที่แสนสดใสดังขึ้น ตามด้วยอีกเสียงที่ฟังเหมือนกับว่าเพิ่งผ่านพ้นการร้องไห้อย่างหนักมา “น้อง หิว... หิว!” หญิงสาวลืมตาช้า ๆ การหายใจของเธอยังไม่เป็นปกติ และรู้สึกว่าตัวชื้นเหนียวเหนอะไปด้วยเหงื่อ แล้วก็เป็นตอนนั้นเองที่มือเล็ก ๆ ที่พอจะอุ่นอยู่สักหน่อยลูบแก้มเธอเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจหญิงสาวอ่อนยวบ “มะ มามี้ มะ ไม่ ตะ ตาย!” เธอฉงนแต่ก็พยายามตั้งสติ การที่ต้องอยู่ในรถคันนั้นและไม่มีอากาศหายใจทำให้เธอกลัวจัด และเธอเชื่อว่าตนเองตายไปแล้ว ทว่าระหว่างที่เธอกำลังอยู่ในช่วงของความเป็นและความตาย เธอกลับได้ยินเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ จวบจนลืมตาได้อีกครั้ง จึงเห็นพวกเขาทั้งสองคน “หนู...” เสียงของเธอแหบจัดและอ่อนแรง “มามี้... น้องไม่ร้อง แต่เฮียผิง งอแงจะกินขนมตลอด” คนที่เอ่ยกับเธอเป็นเด็กผู้ชายที่คุยเก่ง อายุคงราว ๆ สี่ถึงห้าขวบ ส่วนอีกคนจ้ำม่ำกว่า แก้มย้อยน่ารัก กำลังทำหน้าบึ้ง เขาสื่อสารติด ๆ ขัด ๆ อยู่สักหน่อย เพราะทำท่าเหมือนกับพยายามจะพูด แต่อ้าปากแล้วหุบอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะมีเสียงดังใ