ซีเหมินเสี่ยวเยว่อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ตะคอกใส่เหลียงซื่ออย่างเดือดดาล "ท่านตามมาราวีข้าไม่เลิกรา ต้องการจะทำอะไรกันแน่? ข้าก็ถูกท่านทำร้ายจนมีชะตากรรมเช่นนี้แล้ว ท่านยังไม่พอใจอีกหรือ?"พรุ่งนี้คนของศาลาว่าการก็จะมาหานางแล้ว นางคงจะต้องติดคุกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เหลียงซื่อยังจะตามมาราวีนางไม่เลิกราอีกจิ้นกั๋วกงที่ยังขุ่นเคืองกับการกระทำของนางเมื่อครู่นี้ พอตอนนี้มาเห็นว่านางจงใจมาขวางทางซีเหมินเสี่ยวเยว่เอาไว้อีก ก็ทำให้เขาโกรธขึ้นมาจริง ๆ แล้วพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง "เจ้ายังอยากยังทำอะไรอีก? มีอะไรก็มาลงกับข้านี่"เหลียงซื่อหันไป แล้วยิ้มให้อย่างเยือกเย็น "วางใจเถิด ท่านพ่อ ในเมื่อวันนี้ข้ายอมทุ่มหมดตัว ก็ย่อมจะไม่เหลือเยื่อใยอะไรอีก บัญชีนี้ที่มีต่อตระกูลซีเหมิน พวกเราค่อยชำระกันภายหลัง ตอนนี้ข้าต้องการชำระบัญชีแค้นกับจวนมหาเสนาบดี"จิ้นกั๋วกงที่เห็นว่านางดื้อดึงเช่นนี้ ซึ่งแต่ต่างจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก ก็โมโหจนดวงตาขุ่นมัว สั่งคนให้ปิดประตูใหญ่ และกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน "ดี ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะชำระบัญชียังไง เด็ก ๆ ไปเก็บของที่เป็นของฮูหยินรองให้หมด บัญชีนี้
จู่ ๆ เหลียงซื่อก็ลงมือ ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนไม่ทันได้ตั้งตัวจิ้นกั๋วกงปิดประตูใหญ่แล้ว เดิมทีคิดว่าจะทำให้เหลียงซื่อรู้สึกกลัวได้ ไม่คาดคิดว่านางจะดื้อรั้นถึงเพียงนี้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เริ่มลงมือในทันทีซีเหมินเสี่ยวเยว่ที่ถูกนางกระชากผม ก็กรีดร้องขึ้นมา หลี่ซื่อก็พุ่งเข้าไปช่วยบุตรสาวของนาง แต่ก็ถูกเหลียงซื่อถีบออกไป นางตะคอกเสียงดังลั่น "ถ้าเข้ามาอีก ข้าจะกระชากหนังหัวของนางให้หลุดออกมาเลย!"พูดพลางก็ออกแรงดึงอีก จนซีเหมินเสี่ยวเหมินเสี่ยวเยว่ลงไปดิ้นทุรุนทุรายอยู่ที่พื้น เจ็บปวดจนต้องร้องโหยหวนออกมาหลี่ซื่อร้องคร่ำครวญกับจิ้นกั๋วกง "ท่านพ่อ ท่านดูสิ นางกระทำชั่วอย่างไร้ยางอาย""ใครกันที่กระทำชั่วอย่างไร้ยางอาย? เรื่องที่นางทำร้ายข้า พวกท่านทุกคนก็ต่างรู้ดี แต่มีสักคนไหมที่จะพูดช่วยข้าบ้าง? ล้วนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใช่หรือไม่? ทุกคนคิดว่าข้าต้องเป็นผู้ที่ต้องสังเวยชีวิตเพื่อพวกท่านใช่ไหม? วันนั้นหลังจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้น พวกท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ที่เรือนเซี่ยจื่อหย่วน ไม่มีใครมาถามไถ่ถึงอาการบาดเจ็บของข้าเลยสักนิด ข้าจึงกลับไปที่บ้านเดิมของข้า แต่ก็ไม่มีคนในจวนกั๋วกงคน
มหาเสนาบดีเซี่ยอดทนต่อความโกรธพูดกับเหลียงซื่อ "เจ้าปล่อยนางไปก่อนเถิด มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดจากันดี ๆ มิได้หรือ?"เหลียงซื่อเงยหน้าที่เคืองแค้นขึ้นมา "พวกท่านเคยพูดจาดีกับข้าตั้งแต่เมื่อไหร่? หลังจากที่ข้าหนีออกมาจากเรือนด้านข้างแล้ว ก็ได้รักษาตัวอยู่ที่เรือนเซี่ยจื่อหย่วน ในเวลานั้นคนในจวนมหาเสนาบดีของท่านไม่เห็นมาพูดจาดี ๆ กับข้าบ้างเลยเล่า? มหาเสนาบดีเซี่ย ตอนนี้ท่านอยากปกป้องความสงบสุขร่มเย็นในจวนของท่าน วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ก็ต้องสะสางกับข้าให้จบ คุณหนูใหญ่เซี่ยต้องการให้หย่าอะไรนั่น ข้าไม่สน ข้าเพียงต้องการให้ท่านหย่ากับซีเหมินเสี่ยวเยว่""อะไรนะ?"เมื่อกล่าวจบ หลี่ซื่อก็อุทานออกมาก่อนใครเพื่อน จากนั้นก็ชี้หน้าด่าเหลียงซื่อเสียยกใหญ่ "เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกว่าไม่อิจฉาที่นางได้แต่งกับมหาเสนาบดี? ดีร้ายอย่างไรนางก็ยังเป็นหลานของเจ้านะ เจ้าทำกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าช่างใจดำอำมหิตยิ่งนัก สามีของนางก็ตายไปแล้วคนหนึ่ง หากเจ้ายังให้นางหย่าอีก ชีวิตนี้ของนางก็คงจบสิ้นแล้ว"เหลียงซื่อกล่าวอย่างเย็นเยียบ "แล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้าด้วยเล่า นางหาเรื่องใส่ตัวเอง หากนางรู้จักใช้ชีวิ
เซี่ยหว่านเอ๋อรู้สึกโกรธมาก ตอนที่ซีเหมินเสี่ยวเยว่แต่งเข้ามานางก็ไปคุกเข่าโขกหัวคำนับและยกชาให้นาง อีกทั้งยังเรียกนางว่าท่านแม่ หากซีเหมินเสี่ยวเยว่จะต้องหย่าออกไป เช่นนั้นนางก็คำนับไปโดยเปล่าประโยชน์ใช่ไหม? นางได้มารดาที่ไร้ประโยชน์เพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วสินะเดิมทีคิดว่าซีเหมินเสี่ยวเยว่จะมีความร้ายกาจ สามารถสนับสนุนอะไรนางได้บ้าง แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่า ดูดีแต่กลับใช้การอันใดมิได้ สวยแต่รูปจูบไม่หอมนางรู้สึกผิดหวังมากจริง ๆจื่ออันไม่ได้สนใจเรื่องของทางนั้น นางเพียงพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ทางนี้ถึงเรื่องการหย่าร้าง"ฮูหยินผู้เฒ่า เรื่องหย่าร้าง วันนี้ท่านช่วยให้คำตอบกับข้าด้วย"ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นมือออกไปดึงตัวนางมานั่ง ใบหน้าแลดูใจดีอย่างบอกไม่ถูก "จื่ออัน เจ้าโกรธเกลียดย่าอย่างข้ามาก ใช่หรือไม่?"จื่ออันยิ้มเย้ยหยัน "คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่า ทำให้ข้ารู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก"ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ มองนางด้วยท่าทางที่เหมือนจะรู้สึกผิด "ย่ารู้ว่าเจ้าเกลียดย่าจริง ๆ และก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่ย่าทำนั้นไม่ถูกต้อง ปฏิบัติต่อพวกเจ้าสองแม่ลูกอย่างไม่เป็นธรรม แต่ว่าเจ้าก็ต้องเข้าใจย่าด้วยว่าย่าก็ไม่
อีกด้านหนึ่งที่ยังคงแสดงบทเศร้าอยู่มหาเสนาบดีเซี่ยไม่เต็มใจที่จะหย่ากับซีเหมินเสี่ยวเยว่ ทว่าเขาจะทนต่อแรงกดดันจากเหลียงซื่อกับจิ้นกั๋วกงได้อย่างไร เขามองไปที่ซีเหมินเสี่ยวเยว่ด้วยใบหน้าที่แสนระทมขมขื่น กุมมือทั้งสองของนางไว้ กลั้นน้ำตาสะเอื้อนเอ่ยวาจาออกไป "รอข้าก่อนนะ แล้วข้าจะไปสู่ขอเจ้าให้กลับมาแต่งงานกับข้าอย่างสมเกียรติแน่นอน”ซีเหมินเสี่ยวเยว่หัวใจสลาย ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังลั่น นางรับจุดจบเช่นนี้ไม่ไหวจริง ๆ นางเพิ่งจะแต่งกับเขาไป ยังไม่ทันได้ร่วมหอกับเขาเลยด้วยซ้ำนางเคยใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยวคนเดียวอันแสนน่ากลัวมาแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่รีรอที่จะคว้าเอาทุกสิ่งทุกอย่างมา เพื่อที่จะได้เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่อยู่ข้างกายเขา พร้อมกับเสพสุขกับตำแหน่งฮูหยินขั้นหนึ่งของนางไปนางอยากเป็นนายหญิงของจวนมหาเสนาบดีมาก ด้วยความรีบเร่งนี้ ทำให้นางผิดพลาด จนดูแคลนความร้ายกาจของเซี่ยจื่ออันมหาเสนาบดีเซี่ยเห็นนางเป็นเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะเสียดายที่การดองกับจิ้นกั๋วกงจะล้มเหลว แต่ทว่าหากแต่งผู้หญิงอย่างนางเข้าจวนไป คงจะไม่เป็นผลดีในภายภาคหน้าเป็นแน่ มิสู้รีบ ๆ
"ท่านพ่อ หรือว่าท่านยังอาลัยอาวรณ์ เช่นนั้นให้ข้าช่วยเขียนดีหรือไม่?" จื่ออันที่เห็นเขาไม่ยอมเขียนสักที ก็เลยเอ่ยถามขึ้นมามหาเสนาบดีเซี่ยเงยหน้าขึ้น มองหน้านางด้วยความว่างเปล่า มีบางอย่างในดวงตาของเขา ที่ก่อนหน้านี้จื่ออันไม่เคยเห็นมาก่อน นางไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทั้งในอดีตและปัจจุบัน นางก็ไม่เคยเห็นแต่ว่ามันค่อย ๆ กลับกลายเป็นความเย็นชา ทั้งยังมีความเกลียดชังแผ่กระจายไปทั่ว เขารู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าเขา ท่าทีที่ดูอ่อนโยน ทว่ากลับเป็นศัตรูที่ต้องการให้เขาตายรอยยิ้มที่งดงามของนาง ราวกับดอกไม้ที่อาบยาพิษ แฝงไปด้วยความอำมหิตอยู่เบื้องหลังนึกถึงตรงนี้ ใจเขาก็เย็นยะเยือกขึ้นมา เขียนลงไปไม่กี่คำ ก็ตัดขาดความสัมพันธ์สิบเจ็ดปีระหว่างเขากับหยวนซื่อหนังสือปลดปล่อยภรรยาที่เรียบง่ายเช่นนี้ เป็นครั้งแรกในราชวงศ์นี้ ที่เนื้อหาของหนังสือปลดปล่อยภรรยาด้านล่างเขียนเพียงว่า สิ้นสุดวาสนาเท่านั้นเขาประทับตราลงไป แล้วออกแรงกด จากนั้นก็กล่าวอย่างแผ่วเบา "มารับเอาไปสิ สิ่งที่เจ้าต้องการ"จื่ออันหยิบมันขึ้นมาและเป่าหมึกให้แห้ง นางพับมันเก็บไว้ในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง กระดาษบาง ๆ แผ่นนึง คือความอ่อ
ตอนที่จื่ออันนำหนังสือปลดปล่อยภรรยาไปมอบให้หยวนซื่อ นางไม่ได้มีท่าทางที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษอะไร นางคลำ ๆ ดูเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับเสี่ยวซุน "เสี่ยวซุน ช่วยนำไปเก็บให้ข้าที เก็บมันไว้ในกล่องเล็ก ๆ ใบแรกที่อยู่ในตู้”"ฮูหยินมิอยากรู้หรือเจ้าคะว่าเขียนว่าอะไร?" เสี่ยวซุนเอ่ยถามอย่างสงสัยหยวนซื่อส่ายหัว แล้วยิ้ม "เด็กโง่เอ้ย เขียนสิ่งใดหาใช่เรื่องที่สำคัญไม่ เพียงมีคำว่าปลดปล่อยภรรยาอยู่ในนั้นก็เพียงพอแล้ว""เจ้าค่ะ!" เสี่ยวซุนที่ยังไม่เข้าใจความคิดของหยวนซื่อเท่าไหร่ แต่ก็รับคำสั่งนำไปเก็บให้เป็นอย่างดีจื่ออันนั่งลง มองดูหยวนซื่อ "ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็เป็นอิสระได้เสียทีนะเจ้าคะ"หยวนยิ้มแผ่วเบา "ใช่ เป็นอิสระแล้ว จื่ออัน ขอบใจเจ้ามากนะ"“เป็นแม่ลูกกัน ไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบใจอะไรพวกนี้นะเจ้าคะ"หยวนซื่อคว้าหามือนางมาจับไว้ จู่ ๆ ก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา "ชาตินี้ อย่างไรเจ้าก็เป็นลูกของข้าอยู่ดี ความสัมพันธ์นี้จะไม่เปลี่ยนไป”จื่ออันรู้สึกทราบซึ้งใจเล็กน้อย นางรู้ว่าตลอดชีวิตนี้หยวนซื่อจะไม่ทางลืมจื่ออันเจ้าของร่างเดิม แต่ว่านางสามารถเป็นลูกสาวคนที่สองให้หยวนซื่อได้แม่นมหยางถอนหา
“ดี ในเมื่อท่านแม่ไม่ยินยอมจะคุยกับเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกให้เขากลับไป” จื่ออันพูดแล้วก็ลุกออกไป จื่ออันเดินออกมา มหาเสนาบดีเซี่ยก็จ้องไปที่นาง แล้วยิ้มเย้ยหยัน "เจ้าพอใจหรือยัง?"จื่ออันมองดูเขาด้วยใบหน้าที่สงบ "มีสิ่งใดน่าพึงพอใจหรือเจ้าคะ? ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปตามที่มันควรจะเป็นอยู่แล้ว""เรียกนางออกมา ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง" เขาโบกมือเล็กน้อย แสดงท่าทางให้รู้ว่าไม่อยากคุยกับจื่ออัน ดูค่อนข้างจะฉุนเฉียวจื่ออันพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "ไม่ ท่านเมาแล้วก็กลับไปเถิด ที่นี่ไม่มีใครอยากคุยกับท่าน"มหาเสนาบดีเซี่ยจ้องจื่ออันด้วยสายตาที่ดุร้าย "เซี่ยจื่ออัน แม้ว่าข้าจะหย่ากับแม่ของเจ้าแล้ว แต่เจ้าก็ยังเป็นบุตรสาวของข้าเซี่ยหวายจุนผู้นี้ ทั้งข้าวปลาอาหารที่เจ้าทาน กับเสื้อผ้าอาภรที่เจ้าสวมใส่ ล้วนเป็นของจวนข้าทั้งสิ้น เจ้ากลับกล้าพูดจาโอหังกับข้าถึงเพียงนี้เลยหรือ เชื่อหรือไม่ว่าข้าฉีกปากเจ้าให้ขาดได้?"จื่ออันมองดูเขา ดวงตาค่อย ๆ ทวีความโหดร้ายยิ่งขึ้น "ท่านมหาเสนาบดีช่างเป็นผู้สูงส่งที่หลงลืมง่ายเสียนี่กระไร เซี่ยจื่ออันได้ตายไปตั้งแต่ที่ถูกบังคับให้อภิเษกครานั้นแล้วนี่?
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว