“ดี ในเมื่อท่านแม่ไม่ยินยอมจะคุยกับเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกให้เขากลับไป” จื่ออันพูดแล้วก็ลุกออกไป จื่ออันเดินออกมา มหาเสนาบดีเซี่ยก็จ้องไปที่นาง แล้วยิ้มเย้ยหยัน "เจ้าพอใจหรือยัง?"จื่ออันมองดูเขาด้วยใบหน้าที่สงบ "มีสิ่งใดน่าพึงพอใจหรือเจ้าคะ? ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปตามที่มันควรจะเป็นอยู่แล้ว""เรียกนางออกมา ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง" เขาโบกมือเล็กน้อย แสดงท่าทางให้รู้ว่าไม่อยากคุยกับจื่ออัน ดูค่อนข้างจะฉุนเฉียวจื่ออันพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "ไม่ ท่านเมาแล้วก็กลับไปเถิด ที่นี่ไม่มีใครอยากคุยกับท่าน"มหาเสนาบดีเซี่ยจ้องจื่ออันด้วยสายตาที่ดุร้าย "เซี่ยจื่ออัน แม้ว่าข้าจะหย่ากับแม่ของเจ้าแล้ว แต่เจ้าก็ยังเป็นบุตรสาวของข้าเซี่ยหวายจุนผู้นี้ ทั้งข้าวปลาอาหารที่เจ้าทาน กับเสื้อผ้าอาภรที่เจ้าสวมใส่ ล้วนเป็นของจวนข้าทั้งสิ้น เจ้ากลับกล้าพูดจาโอหังกับข้าถึงเพียงนี้เลยหรือ เชื่อหรือไม่ว่าข้าฉีกปากเจ้าให้ขาดได้?"จื่ออันมองดูเขา ดวงตาค่อย ๆ ทวีความโหดร้ายยิ่งขึ้น "ท่านมหาเสนาบดีช่างเป็นผู้สูงส่งที่หลงลืมง่ายเสียนี่กระไร เซี่ยจื่ออันได้ตายไปตั้งแต่ที่ถูกบังคับให้อภิเษกครานั้นแล้วนี่?
ไฟโทสะผุดขึ้นในดวงตามหาเสนาบดีเซี่ย "หากไม่ใช่เพราะนางทำลายชื่อเสียงของข้า มีหรือที่ข้าจะต้องทำกับนางถึงขนาดนี้?""หากไม่ใช่เพราะท่านคิดทำลายทั้งชีวิตของนาง หากไม่ใช่ว่าท่านบีบบังคับนางทีละนิด ๆ นางจะทำกับท่านเช่นนี้หรือ? ท่านไปเสียเถิด เป็นสามีภรรยากันมาสิบเจ็ดปี ข้าไม่เคยกล่าววาจาเช่นนี้กับท่านเลย นี่เป็นครั้งแรก และจะเป็นครั้งสุดท้าย ในฐานะที่เป็นสามีภรรยากันมาสิบเจ็ดปี ข้าอยากจะเตือนท่านเสียหน่อย สร้างคุณงามความดีเพื่อตระกูลเซี่ยของท่านให้เยอะ ๆ อย่าได้ทำสิ่งใดที่เป็นการทำลายชื่อเสียงที่บรรพบุรุษของท่านสั่งสมมาเลย"เมื่อหยวนซื่อพูดจบ ก็ได้พูดกับแม่นมหยาง "ก่อนที่ข้าจะย้ายออกไปจากเรือนเซี่ยจื่อหย่วน ไม่อนุญาตให้คนของจวนคนใดก็ตามเข้ามารบกวน หากมีใครย่างกรายเข้ามาที่นี่แม้นเพียงหนึ่งก้าว ก็ให้เสี่ยวตาวไล่ออกไปได้เลย""เจ้าค่ะ!" แม่นมหยางมองดูหยวนซื่อด้วยสายตาที่ยกย่อง นางยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าการที่นางตัดสินใจติดตามจื่ออันนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วมหาเสนาบดีเซี่ยมองไปที่จื่ออัน ดวงตาแฝงไปด้วยความโหดร้ายอำมหิต อยู่ภายใต้ฤทธิ์ของสุรา ทำให้เขาไม่ได้ปิดบังความชิงชังเคียดแค้นของตนเอง
พูดจบ นางก็จะไปทว่าอ๋องอันได้ยื่นมือไปจับนางไว้ ใบหน้าที่หล่อเหลาดูค่อนข้างจะรำคาญเล็กน้อย "ท่านอย่าไปนะ"จ้วงจ้วงมองไปที่นาง "เช่นนั้นเจ้าบอกมาว่าเจ้าวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป?"อ๋องอันปล่อยมือนาง ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน""มีอะไรที่ไม่รู้หรือ? แล้วความเด็ดเดี่ยวอย่างชายชาตินักรบในสนามรบของเจ้าเล่า? นำมันออกมาใช้เพื่อพิชิตใจนางอันเป็นที่รักของเจ้าสิ" จ้วงจ้วงกล่าวกระตุ้นเขาอ๋องอันส่ายหัว "ตั้งแต่ตอนเล็ก ๆ สิ่งที่ข้าอยากได้ ข้าก็จะพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแล้ว ข้าจะไม่ลังเลที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างสุดกำลัง แต่ว่า เสด็จอา ท่านก็น่าจะรู้ว่า มีบางคนที่ท่านจะต้องคอยปกป้องอย่างค่อยเป็นค่อยไป คำนึงถึงทุก ๆ ความรู้สึกของนาง แล้วท่านคิดว่าตอนนี้นางจะเปิดใจยอมรับความสัมพันธ์ครั้งใหม่หรือไม่เล่า?""เจ้ายังไม่เคยลองเลย เหตุใดถึงคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ บางทีนางอาจจะยอมรับเจ้าก็เป็นได้?"อ๋องอันมองไปที่จ้วงจ้วง ดวงตาสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด "ข้ารู้จักนางดี เฉกเช่นที่ข้ารู้จักตนเอง เสด็จอา ข้ารอนางมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว ในระหว่างที่ข้ารอ ก็ไ
อ๋องอันมองดูนาง เดิมทีก็ไม่อยากแจ้งข่าวนี้กับนาง แต่ว่าดูท่านางน่าจะต้องการเวลาเตรียมใจสักหน่อย "เสด็จอา เขากำลังจะกลับมาแล้ว"มู่หรงจ้วงตัวสั่นเล็กน้อยอยู่เป็นเวลานาน ถึงจะกล่าวออกมาว่า "อืม"ใช่ สามปีต้องกลับมาเมืองหลวงหนึ่งครั้งเพื่อรายงานสถานการณ์ ปีนี้ก็เป็นปีที่สามแล้วนางสับเท้าเดินออกไป แล้วโบกมือ "ข้ากลับก่อนนะ"อ๋องอันหยิบชามที่ใส่อาหารปลาขึ้นมา แล้วส่ายหัวเบา ๆ "คนในตระกูลมู่หรง มีรักที่คงมั่นเสียจริง"เพิ่งจะหันหลังไป ก็มีทหารองครักษ์วิ่งเข้ามา มองไปที่ใบหน้าของอ๋องอันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม "ท่านอ๋อง ท่านลองทายดูสิขอรับว่าบ่าวมีข่าวดีอันใดมาแจ้งให้ท่านทราบ?"อ๋องอันสับเท้าก้าวออกไปทหารองครักษ์เดินตามไป "คุณหนูใหญ่ตระกูลหยวนหย่าแล้วนะขอรับ นางหย่าแล้ว!"อ๋องอันก็ยังเดินต่อไปอยู่ดีทหารองครักษ์รู้สึกมึนงง เรื่องที่น่ายินดีถึงเพียงนี้ แต่ท่านอ๋องกลับเดินจากไปง่าย ๆ เช่นนี้น่ะหรือ? รอมาตั้งเนิ่นนานหลายปี เปลี่ยนใจไปแล้วหรืออย่างไร?"วันต่อมา คนของทางศาลาว่าการก็มาจริง ๆตอนที่ไต่สวน มหาเสนาบดีเซี่ยก็อยู่ด้วย เขาจ้องมองจื่ออันอย่างหวาดระแวงว่านางจะพูดเรื่องที่เซี่ยฉวน
เรื่องนี้สามารถคลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว เป็นไปตามที่ทุกคนคาดไว้เพียงแค่จื่ออันกับเหลียงซื่อไม่เป็นพยานให้ อาศัยเพียงหลักฐานผิวเผินเพียงอย่างเดียว ก็จะเป็นการยากที่จะเอาผิดซีเหมินเสี่ยวเยว่ในคดีวางเพลิงฆ่าคนแม้ว่าไท่เป่าจะวิเคราะห์คดีนี้แล้ว แต่ว่ากลับไม่เหมือนกับที่เขากล่าวไว้ว่าจะนำรายละเอียดของคดีทั้งหมดที่ได้ไต่ถามไปรายงานต่อทางศาลาว่าการเขาไม่ได้จัดการคดีนี้อย่างเต็มที่ และได้สั่งให้คนเรียบเรียงคำให้การในวันนั้นอย่างเป็นระเบียบแล้วส่งให้จิ้นกั๋วกง อีกทั้งยังได้ประทับตราของตนเองด้วย เป็นการเตือนจิ้นกั๋วกงว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้าย และจิ้นกั๋วกงก็ห้ามทำอะไรผิดพลาดอีกนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไท่เป่าเล่นพรรคเล่นพวก อายุก็มากโขแล้ว ใจก็หาได้แข็งเหมือนเช่นแต่ก่อน เขาที่ได้แต่มองดูชีวิตของทายาทในตระกูลพังพินาศลงเรื่อย ๆ ทำให้เขาหมดแรงกายแรงใจอีกทั้งสารลับนี้ ไท่เป่ายังได้สั่งให้คนส่งไปให้เหลียงซื่ออีกหนึ่งฉบับ ในสารนี้ก็กล่าวถึงเหตุเพลิงไหม้ที่จวนมหาเสนาบดีตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นสิ่งที่เขาสรุปใจความเองทั้งหมด แต่มันก็แม่นยำมาก ๆหากเปิดเผยสารลับนี้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะเอาผิดทางจวนมหา
เฉินหลิวหลิ่วหยุดพูด แล้วจ้องมองไปที่ภาพวาดของจื่ออันด้วยดวงตาที่จดจ่อ "บุรุษผู้นี้คือใครกัน? ดูแข็งแรงกำยำ ทำไมถึงไม่วาดใบหน้าให้ชัดเจนเล่า? แล้วจุดสีดำ ๆ นี่มันอะไรกัน? เอ๋ ขนาดตรงส่วนนี้เจ้ายังวาดออกมาเลย? ช่างหน้าไม่อายเสียจริง ไร้ยางอายเกินไปแล้ว"จื่ออันตอบกลับด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ "เช็ดน้ำลายของเจ้าด้วย อย่าให้มาแปดเปื้อนภาพวาดของข้า นี่คือภาพเส้นลมปราณกับจุดฝังเข็ม""ภาพจุดฝังเข็ม? คือเจ้าจะเอามาใช้ในการฝึกฝนทักษะทางการแพทย์อย่างนั้นหรือ?" เฉินหลิวหลิ่วเอ่ยถาม"ถูกต้อง" จื่ออันเอาภาพไปเก็บ แล้วมองดูใบหน้าที่ผิดหวังของเฉินหลิวหลิ่ว ”รอจนกว่าเจ้าจะแต่งงาน ก็จะรู้ว่าร่างกายของบุรุษไม่ได้น่ามองอะไรถึงเพียงนั้น""เจ้ารู้ได้อย่างไร? หรือว่าเจ้าเคยเห็น? เจ้าเคยเห็นของผู้ใด?" เฉินหลิวหลิ่วเอ่ยถามนางอย่างอยากรู้เสียเต็มเปี่ยม"ไม่เคยเห็น""ถ้าเจ้าไม่เคยเห็น เหตุใดถึงวาดได้ชัดเจนขนาดนี้? โดยเฉพาะตรงนั้นของบุรุษ แต่ว่าข้าก็เคยเห็นนะ เคยเห็นของลูกพี่ลูกน้องข้า" เฉินหลิวหลิ่วทำท่าทางลึกลับ"เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์จริง ๆ!" จื่ออันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา "เอาล่ะ เจ้าบอกว่าวันนี้มีเรื่อง
คำว่าคุยโวที่จริงมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ หรือว่าเพิ่งจะมีในสมัยปัจจุบัน? จื่ออันอยากจะบ้าตาย"ใช่ อ๋องหลี่เป็นคนพูด""คนหัวโบราณอย่างอ๋องหลี่คุยกับท่านย่าของเจ้าด้วยคำพูดเช่นนี้เลยหรือ?"“พวกเขาไม่มีความลับต่อกัน ข้าคิดว่าท่านย่าของข้าถือว่าอ๋องหลี่เป็นเพื่อนสนิทไปแล้ว"จื่ออันถามอย่างหยั่งเชิง "เช่นนั้นเจ้ารู้จักท่านอ๋องหลี่ดีหรือไม่?"เฉินหลิวหลิ่วพยักหน้า "อืม ข้ารู้จักดี เพราะว่าไปที่จวนอ๋องบ่อย ๆ""เจ้ารู้เรื่องอะไรบ้างล่ะ? รีบ ๆ บอกข้ามา"เฉินหลิวหลิ่วกล่าว "เขามีพระชายาหนึ่งคน นางเป็นองค์หญิงของเป่ยอัน อภิเษกเข้ามาเพื่อสานสัมพันธ์ไมตรี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ให้กำเนิดบุตรเลย จิ่นไท่เฟยก็หวังให้เขามีพระชายาเพิ่ม แต่เขาไม่เต็มใจ ทั้งยังพูดว่า นอกเสียจากพระชายาจะหาพระสวามีใหม่ด้วย เขาถึงจะตกลง แบบนี้ถึงจะยุติธรรม"จื่ออันคิดว่าอ๋องหลี่พูดเช่นนี้ออกมาได้อยู่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่นางอยากรู้ไม่ใช่เรื่องพวกนี้ "เขาเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนไหม? บาดเจ็บสาหัสจนเจียนตาย..."จื่ออันมองนางอย่างจดจ่อ และหวังว่าจะได้ยินในสิ่งที่จะทำให้มั่นใจได้“ได้รับบาดเจ็บน่ะมีอยู่แล้ว ราชวงศ์นี้มีชินอ๋องมาก
จื่ออันเอียงคอถามนาง "เช่นนั้น เจ้าชอบเขาจริง ๆ แล้วใช่ไหม?"เฉินหลิวหลิ่วตอบตามจริง "ใช่ ข้าชอบเขา แต่กับพวกคุณชายตระกูลตระกูลดี ๆ อื่น ๆ ล้วนแตกต่างกัน ตอนที่เขามองผู้อื่น ลูกตาของเขาดำทั้งสองข้าง""ใครบ้างไม่มีลูกตาดำสองข้าง?" จื่ออันพูดอย่างไร้อารมณ์“ไม่ใช่ หมายถึงลูกตาดำที่ดำมากถึงมากที่สุด ท่านย่าของข้าเคยบอกไว้ว่า ใครก็ตามที่มีลูกตาที่ดำมาก ๆ มั่นใจได้ว่าจิตใจของคนผู้นี้ จะต้องดีแน่นอน"นางพูดพลาง ก็ตั้งใจดูลูกตาดำของจื่ออันพลาง "ลูกตาของเจ้าออกไปทางสีน้ำตาล จื่ออัน เจ้าเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมนี่นา"จื่ออันมองดูลูกตาของนาง ที่มันหลุกหลิกไปมา นึกถึงนิสัยของเฉินหลิวหลิ่ว ช่างเป็นคนที่โผงผางจริง ๆ""นี่มันไม่สอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์" จื่ออันกล่าว"หลักการทางวิทยาศาสตร์อะไร?" เฉินหลิวหลิ่วเอ่ยถาม"ไม่มีอะไร เจ้าคิดว่าข้าจิตใจโหดร้ายหรือไม่?" จื่ออันถามเฉินหลิวหลิ่วส่ายหัว "ก็ไม่นะ แต่ข้าคิดว่าเจ้ามีความอดทนอดกลั้นมาก จวนมหาเสนาบดีทำกับเจ้าถึงขนาดนี้ เจ้ายังทนได้ แต่ท่านย่าของข้าบอกว่า เจ้าจำเป็นต้องทนไปก่อน""เจ้ากับท่านย่าของเจ้าพูดถึงข้าลับหลังด้วยเหรอ?" จื่ออั
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว