จื่ออันเอียงคอถามนาง "เช่นนั้น เจ้าชอบเขาจริง ๆ แล้วใช่ไหม?"เฉินหลิวหลิ่วตอบตามจริง "ใช่ ข้าชอบเขา แต่กับพวกคุณชายตระกูลตระกูลดี ๆ อื่น ๆ ล้วนแตกต่างกัน ตอนที่เขามองผู้อื่น ลูกตาของเขาดำทั้งสองข้าง""ใครบ้างไม่มีลูกตาดำสองข้าง?" จื่ออันพูดอย่างไร้อารมณ์“ไม่ใช่ หมายถึงลูกตาดำที่ดำมากถึงมากที่สุด ท่านย่าของข้าเคยบอกไว้ว่า ใครก็ตามที่มีลูกตาที่ดำมาก ๆ มั่นใจได้ว่าจิตใจของคนผู้นี้ จะต้องดีแน่นอน"นางพูดพลาง ก็ตั้งใจดูลูกตาดำของจื่ออันพลาง "ลูกตาของเจ้าออกไปทางสีน้ำตาล จื่ออัน เจ้าเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมนี่นา"จื่ออันมองดูลูกตาของนาง ที่มันหลุกหลิกไปมา นึกถึงนิสัยของเฉินหลิวหลิ่ว ช่างเป็นคนที่โผงผางจริง ๆ""นี่มันไม่สอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์" จื่ออันกล่าว"หลักการทางวิทยาศาสตร์อะไร?" เฉินหลิวหลิ่วเอ่ยถาม"ไม่มีอะไร เจ้าคิดว่าข้าจิตใจโหดร้ายหรือไม่?" จื่ออันถามเฉินหลิวหลิ่วส่ายหัว "ก็ไม่นะ แต่ข้าคิดว่าเจ้ามีความอดทนอดกลั้นมาก จวนมหาเสนาบดีทำกับเจ้าถึงขนาดนี้ เจ้ายังทนได้ แต่ท่านย่าของข้าบอกว่า เจ้าจำเป็นต้องทนไปก่อน""เจ้ากับท่านย่าของเจ้าพูดถึงข้าลับหลังด้วยเหรอ?" จื่ออั
จื่ออันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางอยากจะให้มีสักคนที่มาจากยุคเดียวกับนางจริง ๆ ถึงแม้คนผู้นั้นจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำก็ตามพูดถึงเรื่องย้ำคิดย้ำทำ นางก็มองไปที่อ๋องหลี่ "จริงสิ ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าท่านเคยไปพบจิตแพทย์บ้างหรือไม่? ข้าเคยได้ยินทางวิทยุว่าโรคนี้สามารถรักษาให้หายได้"พูดถึงเรื่องจิตแพทย์ วิทยุ โรคย้ำคิดย้ำทำซึ่งเป็นศัพท์ในปัจจุบันขึ้นมาในคราเดียว หากเขาทะลุมิติมาจากยุคปัจจุบันก็น่าจะเข้าใจ?ครั้งนี้เขาไม่ตอบออกมาในทันที สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่จื่ออันที่เห็นว่าอ๋องหลี่ไม่ค่อยจะสนใจนาง ก็เลยเริ่มร้องเพลง "บุรุษที่คล้องม้าอยู่ในใจข้า ข้าหลอมละลายลงที่อกกว้าง ๆ ของท่าน..."อ๋องหลี่เงยหน้าขึ้น เหลือบมองจื่ออัน มีรอยย่นระหว่างคิ้วดูเหมือนจะหมดความอดทนแล้ว แต่ก็ยังไม่พูดอะไรเช่นเดิมจื่ออันกัดฟัน ไม่รู้จักการคล้องม้า? หรือว่าจะเป็นคนในยุคสงคราม?นางนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขับร้องบทเพลงแม่น้ำฮวงโหออกมาทันที "พี่สามจาง ขอถามท่าน บ้านเกิดท่านอยู่ที่ใด? บ้านของข้าอยู่ที่ส่านซี ข้ามแม่น้ำไปสามร้อยลี้..."ใบหน้าของอ๋องหลี่กระตุกอยู่สองสามครั้ง แล้วก็เงยหน้าขึ้นทันที ชี้ไปที่จื่ออั
มู่หรงเจี๋ยมาถึงในตอนที่จื่ออันเชิญช่างมาก่อสร้างที่พักที่ด้านหลังสวนดอกไม้พอดีหลังจากที่เขากลับมา ก็ยังไม่ได้กลับไปที่จวน แต่มุ่งตรงมาหาจื่ออันเลยจื่ออันตอนนี้อยู่ที่ด้านหลังสวนดอกไม้ ในมือก็ถือแบบพิมพ์เขียวที่นางวาดเองแล้วก็ยื่นให้ช่างดู บอกให้เขาสร้างกระท่อมไม้เล็ก ๆ ริมทะเลสาบแดดแรงมาก จื่ออันจึงใช้แบบพิมพ์เขียวนั้นบังแดด ก็เห็นร่างสูงใหญ่เดินมาตามทางเดิน ผ่านเรือนจรัสของเฉินหลิงหลงมา เดินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้านางใบหน้าของเขาแลดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาก บนตัวไม่รู้ว่ามีกลิ่นเหงื่อหรือเป็นกลิ่นคาวเลือด จื่ออันเงยหน้ามองเข้าไปยังนัยน์ตาสีน้ำตาลของเขา ดวงตาดูน่าค้นหาและสง่างาม ใบหน้าที่แน่วแน่ทำให้ดูเคร่งขรึมยิ่งขึ้น"กลับมาแล้วเหรอเพคะ?" จื่ออันกล่าว เขาจากไปครั้งนี้ เป็นระยะเวลาสิบวันเห็นจะได้ พอได้เห็นเขา ในใจก็รู้สึกโหยหาอย่างบอกไม่ถูกนางคิดว่าเป็นเพราะเขาหน้าตาดี มีอำนาจกล้าหาญและมีเงิน ผู้ชายเช่นนี้ย่อมจะทำให้คนรู้สึกประทับใจได้อยู่แล้วนางเป็นเพียงแค่ปุถุชนคนธรรมดา จึงไม่อาจต้านทานต่อแรงดึงดูดนี้ได้"ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า พอจะมีเวลาหรือไม่?" มู่หรงเจี๋ยกล่าวถาม
เท่าที่ทราบ คนที่ถูกกัดทั้งหมดล้วนติดเชื้อและตายไปหมดแล้ว เหลืออยู่คนเดียวก่อนหน้านี้ไม่แสดงอาการออกมา แต่ว่าตอนนี้แสดงอาการออกมาแล้ว มันหมายความว่ามีโอกาสติดเชื้อร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วโอกาสที่จะตายก็มีร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกันหนี่หรง คือข้อยกเว้น แต่ว่าหนี่หรงถูกคนพวกนั้นกัดหรือเปล่าก็ยังไม่แน่มู่หรงเจี๋ยหยิบแบบพิมพ์เขียวจากมือจื่ออันมาดูเล็กน้อย ก็เห็นเป็นรูปกระท่อมไม้ริมทะเลสาบ จึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ "เจ้าจะสร้างกระท่อมไม้ที่นี่งั้นหรือ?""เพคะ ท่านแม่ของหม่อมฉันกับมหาเสนาบดีเซี่ยหย่ากันแล้ว แน่นอนว่าถ้าจะพักอยู่ที่เรือนเซี่ยจื่อหย่วนต่อก็คงจะดูไม่ดี" จื่ออันกล่าว"หย่าแล้ว?" มู่หรงเจี๋ยดูตกใจเล็กน้อย "ดูเหมือนว่าช่วงที่ข้าไปจากเมืองหลวง จะเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย"จื่ออันยิ้ม "ล้วนเป็นเรื่องดี"นางมองดูเขา ความจริงก็อยากถามถึงเรื่องพระราชเสาวยนีย์ว่าด้วยเรื่องการอภิเษก เหตุใดถึงไม่มีลงมาเสียที ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกว่า หวงไท่โฮ่วจะมีพระราชเสาวนีย์ลงมาในเร็ววันนี้แต่ว่าหากถามออกไป มันก็เหมือนกับเฉินหลิวหลิ่วที่กังวลน่ะสิ? และถ้านางเอ่ยถามออกไปก่อน ใช้คำพูดในยุคปัจจุบัน ไม่เท่ากั
ได้ยินซูชิงพูดถึงขนาดนี้ จื่ออันก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น มีความใฝ่ฝัน มีความรักที่ยิ่งใหญ่ เพียงแต่น่าเสียดายที่เขายังไม่ทันได้ทำตามความมุ่งมั่นของตนเองเลย"ข้าได้ยินพวกท่านพูดกันว่า คนที่โดนกัดก็ล้วนตายกันแทบทุกคน" จื่ออันอดกลั้นต่อความลำบากใจพูดออกไปเบา ๆ "หากวินิจฉัยออกมาแล้วว่านายทหารผู้นี้ถูกไวรัสชนิดเดียวกัน เช่นนั้นข้าเองก็จนปัญญา ตอนนี้แม้กระทั่งแนวทางในการรักษาข้ายังไม่มีแม้แต่น้อย"ซูชิงเงยหน้าขึ้นมา เห็นเป็นเส้นเลือดในตาเขา จากนั้นเขาก็กล่าวออกมาด้วยความโกรธ "เจ้าจนปัญญา? พวกเราลำบากลำบนพาเขากลับมาเมืองหลวง แต่เจ้ากลับพูดว่าจนปัญญาช่วยเขา? เขาเพิ่งจะสิบเก้าปีเองนะ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้แต่งงาน พ่อและพี่ชายของเขาก็ล้วนตายไปหมดแล้ว ครอบครัวของเขามีเพียงเขาที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียว หากเขาตาย ครอบครัวเขาก็จบสิ้นกันแล้ว"จื่ออันเงียบไปเล็กน้อย "ข้าขอโทษ"ซูงชิงโบกมือ ยิ้มเย้ยหยันมองไปที่จื่ออัน "เพราะเขาเป็นเพียงนายทหารเล็ก ๆใช่หรือไม่? เจ้าถึงไม่เต็มใจจะข่วยเขา ใช่ไหมล่ะ? ในครานั้นที่อ๋องเหลียงกับท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัสจนเจียนตาย เจ้ายังสามารถช่วยชีวิ
ถ้าหากว่าขังเขาเอาไว้ในกรงเหล็กตลอดเวลา รอจนถึงตอนนั้นเขาก็ตายไปเสียแล้วนางมองไปยังมู่หรงเจี๋ยที่นั่งอยู่ในห้องโถง ที่กำลังเช็ดดาบของเขาอย่างเงียบ ๆ ใบหน้าเขาดูเรียบตึง พระอาทิตย์ส่องแสงเข้าไป ทำให้เงาบนพื้นนั้นดูทอดยาวขึ้นเซียวท่าเดินกลับมา แต่ซูชิงไม่ได้ตามเข้ามาด้วย เซียวท่าเดินไปยังด้านหน้าของจื่ออัน เขาเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “เจ้าก็อย่าได้โทษเขาเลย ในใจเขาเองก็เศร้าพอแล้ว”จื่ออันส่ายศีรษะ “ข้าไม่มีทางโทษเขาหรอก ข้าเข้าใจดี”เซียวท่านั่งลง หยิบกิ่งไม้บนพื้นแล้ววาดวงกลมลงไป “เจ้าเข้าใจว่าอย่างไรกัน? คนผู้นี้ชื่อว่าหวางหยู บิดาเสียไปตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วในตอนที่มีการสู้รบกับเป่ยโม่นั้นได้สู้จนตัวตายในสนามรบ สองปีที่แล้ว พี่ชายของเขานั้นได้คอยสู้รบอยู่ในความมืด เพื่อช่วยให้ซูชิงได้หนีออกจากวงล้อม จึงได้เสียสละตนเอง หากว่าเขาตายไปอีกคนหนึ่ง บ้านของเขาก็จะเหลือเพียงมารดาผู้แก่ชรา”ถึงว่าซูชิงถึงได้เศร้าโศกเสียใจมากนัก คาดไม่ถึงว่าระหว่างเขาและทหารผู้นี้ ยังมีความสัมพันธ์กันเยี่ยงนี้ด้วยถึงแม้ว่าในสนามรบนั้นจะไม่เคยมีการเอ่ยถึงบุณคุณจากการช่วยชีวิต เพราะว่าวันนี้เจ้าช่วยข้าไ
เข็มเล่มหนึ่งลอยเข้าไปในกรงเหล็ก ไม่ได้ปักเข้าไปในหัวของหวางหยูหวางหยูค่อย ๆ หยุดอาการกระตุกลงอย่างช้า ๆ กายก็ถอยไปด้านหลัง ดวงตาค่อย ๆ ปิดลงผู้ที่ปาเข็มออกไปนั้นเป็นมู่หรงเจี๋ย ในมือของเขาถือกล่องเข็มเล็ก ๆ อยู่ เป็นกล่องใส่เข็มพิษ แน่นอนว่าที่ปาออกไปนั้นไม่ใช่เข็มพิษ แต่เป็นเข็มยาสลบเขาก้าวใหญ่ ๆ ออกมา จูงมือจื่ออันเอาไว้ “ไป ข้าส่งเจ้ากลับไปก่อน”จื่ออันอ้าปากค้าง มองเห็นแววตาเขามีร่องรอยของความเจ็บปวดออกมา ชั่วขณะนั้นก็เข้าใจขึ้นมา เขาไม่ยินยอมให้นางอยู่ที่นี่เพื่อเผชิญหน้ากันกับหวางหยูทหารของเขาจื่ออันไม่รู้ว่าจะปลอบโยนเขาได้อย่างไร ทำได้เพียงแต่เงียบไปตลอดทางในตอนที่ถึงจวนมหาเสนาบดีนั้น มู่หรงเจี๋ยจู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา “แผ่นดินต้าโจวของข้านี้ อาศัยทหารเหล่านี้ใช้เลือดปกป้องมันมา ราษฎรสามารถอยู่อย่างสงบมีความสุข เหล่าคนชนชั้นสูงสามารถอยู่อย่างสงบไร้กังวลเรื่องลมฝน ล้วนแต่พึ่งพาพวกเขา ข้าสาบานไว้ว่า ใครก็ตามที่ใช้ชีวิตของทหารเหล่านั้นมาต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน ข้าจะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว”จื่อหันมองเห็นแววตาของเขามีความกรุ่นโกรธแสดงออกมา เส้นเลือดบนหน้าผากของเขากระตุกเคลื่อน
มู่หรงเจี๋ยเอ่ยขึ้นมา “หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ต่อให้ข้าจะไปหาเจ้าที่ห้องส่วนตัวแล้วล่ะก็ ก็สะดวกสบายขึ้นเยอะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องผ่านจวนมหาเสนาบดี”“...”ช่างมันเถอะ นางคิดว่าผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิที่โกรธโมโหอยู่นั้นยังคงมีสติสัมปชัญญะมากขึ้นก่อนที่จะลงจากรถม้า มู่หรงเจี๋ยได้เอ่ยกับนาง “พรุ่งนี้ข้าจะมารับเจ้าเข้าวังกัน”จื่ออันรู้สึกประหลาดใจ “เข้าวัง?”“ใช่ เสด็จแม่ได้เอ่ยเอาไว้ ก่อนที่จะประทานพระราชเสาวนีย์อภิเษกสมรส จะต้องได้พบหน้าเจ้าก่อน” มู่หรงเจี๋ยมองไปยังในหน้านั้นที่แสดงออกถึงความหวาดกลัวเล็กน้อย จึงเอ่ยออกมา “เจ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยพบกับท่าน กังวลเรื่องอะไรกัน?”นางไม่ได้กังวล นางเพียงแค่รู้สึกตื่นเต้นก่อนหน้านั้นจะเหมือนกันได้อย่างไรกัน? ตอนนั้นทำไปเพื่อให้มีชีวิตรอด อะไรก็ต้องแสดงออกไปให้ดีที่สุดแต่ว่าครั้งนี้ นางจะต้องไปพบกับเสด็จแม่ของเขา โดยเฉพาะในตอนที่รู้ว่ากุ้ยไท่เฟยไม่ได้นับเขาเป็นลูกชายแล้ว หวงไท่โฮ่วจึงได้กลายเป็นเหมือนกับเสด็จแม่ของเขาแทน งั้นพรุ่งนี้ก็เท่ากับว่าไปพบกับแม่สามีในอนาคต จะไม่ตื่นเต้นได้หรือ?คิดถึงเมื่อตอนที่เข้าวังก่อนหน้านั้น ทั่วทั้ง
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว