อีกด้านหนึ่งที่ยังคงแสดงบทเศร้าอยู่มหาเสนาบดีเซี่ยไม่เต็มใจที่จะหย่ากับซีเหมินเสี่ยวเยว่ ทว่าเขาจะทนต่อแรงกดดันจากเหลียงซื่อกับจิ้นกั๋วกงได้อย่างไร เขามองไปที่ซีเหมินเสี่ยวเยว่ด้วยใบหน้าที่แสนระทมขมขื่น กุมมือทั้งสองของนางไว้ กลั้นน้ำตาสะเอื้อนเอ่ยวาจาออกไป "รอข้าก่อนนะ แล้วข้าจะไปสู่ขอเจ้าให้กลับมาแต่งงานกับข้าอย่างสมเกียรติแน่นอน”ซีเหมินเสี่ยวเยว่หัวใจสลาย ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังลั่น นางรับจุดจบเช่นนี้ไม่ไหวจริง ๆ นางเพิ่งจะแต่งกับเขาไป ยังไม่ทันได้ร่วมหอกับเขาเลยด้วยซ้ำนางเคยใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยวคนเดียวอันแสนน่ากลัวมาแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่รีรอที่จะคว้าเอาทุกสิ่งทุกอย่างมา เพื่อที่จะได้เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่อยู่ข้างกายเขา พร้อมกับเสพสุขกับตำแหน่งฮูหยินขั้นหนึ่งของนางไปนางอยากเป็นนายหญิงของจวนมหาเสนาบดีมาก ด้วยความรีบเร่งนี้ ทำให้นางผิดพลาด จนดูแคลนความร้ายกาจของเซี่ยจื่ออันมหาเสนาบดีเซี่ยเห็นนางเป็นเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะเสียดายที่การดองกับจิ้นกั๋วกงจะล้มเหลว แต่ทว่าหากแต่งผู้หญิงอย่างนางเข้าจวนไป คงจะไม่เป็นผลดีในภายภาคหน้าเป็นแน่ มิสู้รีบ ๆ
"ท่านพ่อ หรือว่าท่านยังอาลัยอาวรณ์ เช่นนั้นให้ข้าช่วยเขียนดีหรือไม่?" จื่ออันที่เห็นเขาไม่ยอมเขียนสักที ก็เลยเอ่ยถามขึ้นมามหาเสนาบดีเซี่ยเงยหน้าขึ้น มองหน้านางด้วยความว่างเปล่า มีบางอย่างในดวงตาของเขา ที่ก่อนหน้านี้จื่ออันไม่เคยเห็นมาก่อน นางไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทั้งในอดีตและปัจจุบัน นางก็ไม่เคยเห็นแต่ว่ามันค่อย ๆ กลับกลายเป็นความเย็นชา ทั้งยังมีความเกลียดชังแผ่กระจายไปทั่ว เขารู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าเขา ท่าทีที่ดูอ่อนโยน ทว่ากลับเป็นศัตรูที่ต้องการให้เขาตายรอยยิ้มที่งดงามของนาง ราวกับดอกไม้ที่อาบยาพิษ แฝงไปด้วยความอำมหิตอยู่เบื้องหลังนึกถึงตรงนี้ ใจเขาก็เย็นยะเยือกขึ้นมา เขียนลงไปไม่กี่คำ ก็ตัดขาดความสัมพันธ์สิบเจ็ดปีระหว่างเขากับหยวนซื่อหนังสือปลดปล่อยภรรยาที่เรียบง่ายเช่นนี้ เป็นครั้งแรกในราชวงศ์นี้ ที่เนื้อหาของหนังสือปลดปล่อยภรรยาด้านล่างเขียนเพียงว่า สิ้นสุดวาสนาเท่านั้นเขาประทับตราลงไป แล้วออกแรงกด จากนั้นก็กล่าวอย่างแผ่วเบา "มารับเอาไปสิ สิ่งที่เจ้าต้องการ"จื่ออันหยิบมันขึ้นมาและเป่าหมึกให้แห้ง นางพับมันเก็บไว้ในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง กระดาษบาง ๆ แผ่นนึง คือความอ่อ
ตอนที่จื่ออันนำหนังสือปลดปล่อยภรรยาไปมอบให้หยวนซื่อ นางไม่ได้มีท่าทางที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษอะไร นางคลำ ๆ ดูเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับเสี่ยวซุน "เสี่ยวซุน ช่วยนำไปเก็บให้ข้าที เก็บมันไว้ในกล่องเล็ก ๆ ใบแรกที่อยู่ในตู้”"ฮูหยินมิอยากรู้หรือเจ้าคะว่าเขียนว่าอะไร?" เสี่ยวซุนเอ่ยถามอย่างสงสัยหยวนซื่อส่ายหัว แล้วยิ้ม "เด็กโง่เอ้ย เขียนสิ่งใดหาใช่เรื่องที่สำคัญไม่ เพียงมีคำว่าปลดปล่อยภรรยาอยู่ในนั้นก็เพียงพอแล้ว""เจ้าค่ะ!" เสี่ยวซุนที่ยังไม่เข้าใจความคิดของหยวนซื่อเท่าไหร่ แต่ก็รับคำสั่งนำไปเก็บให้เป็นอย่างดีจื่ออันนั่งลง มองดูหยวนซื่อ "ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็เป็นอิสระได้เสียทีนะเจ้าคะ"หยวนยิ้มแผ่วเบา "ใช่ เป็นอิสระแล้ว จื่ออัน ขอบใจเจ้ามากนะ"“เป็นแม่ลูกกัน ไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบใจอะไรพวกนี้นะเจ้าคะ"หยวนซื่อคว้าหามือนางมาจับไว้ จู่ ๆ ก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา "ชาตินี้ อย่างไรเจ้าก็เป็นลูกของข้าอยู่ดี ความสัมพันธ์นี้จะไม่เปลี่ยนไป”จื่ออันรู้สึกทราบซึ้งใจเล็กน้อย นางรู้ว่าตลอดชีวิตนี้หยวนซื่อจะไม่ทางลืมจื่ออันเจ้าของร่างเดิม แต่ว่านางสามารถเป็นลูกสาวคนที่สองให้หยวนซื่อได้แม่นมหยางถอนหา
“ดี ในเมื่อท่านแม่ไม่ยินยอมจะคุยกับเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกให้เขากลับไป” จื่ออันพูดแล้วก็ลุกออกไป จื่ออันเดินออกมา มหาเสนาบดีเซี่ยก็จ้องไปที่นาง แล้วยิ้มเย้ยหยัน "เจ้าพอใจหรือยัง?"จื่ออันมองดูเขาด้วยใบหน้าที่สงบ "มีสิ่งใดน่าพึงพอใจหรือเจ้าคะ? ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปตามที่มันควรจะเป็นอยู่แล้ว""เรียกนางออกมา ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง" เขาโบกมือเล็กน้อย แสดงท่าทางให้รู้ว่าไม่อยากคุยกับจื่ออัน ดูค่อนข้างจะฉุนเฉียวจื่ออันพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "ไม่ ท่านเมาแล้วก็กลับไปเถิด ที่นี่ไม่มีใครอยากคุยกับท่าน"มหาเสนาบดีเซี่ยจ้องจื่ออันด้วยสายตาที่ดุร้าย "เซี่ยจื่ออัน แม้ว่าข้าจะหย่ากับแม่ของเจ้าแล้ว แต่เจ้าก็ยังเป็นบุตรสาวของข้าเซี่ยหวายจุนผู้นี้ ทั้งข้าวปลาอาหารที่เจ้าทาน กับเสื้อผ้าอาภรที่เจ้าสวมใส่ ล้วนเป็นของจวนข้าทั้งสิ้น เจ้ากลับกล้าพูดจาโอหังกับข้าถึงเพียงนี้เลยหรือ เชื่อหรือไม่ว่าข้าฉีกปากเจ้าให้ขาดได้?"จื่ออันมองดูเขา ดวงตาค่อย ๆ ทวีความโหดร้ายยิ่งขึ้น "ท่านมหาเสนาบดีช่างเป็นผู้สูงส่งที่หลงลืมง่ายเสียนี่กระไร เซี่ยจื่ออันได้ตายไปตั้งแต่ที่ถูกบังคับให้อภิเษกครานั้นแล้วนี่?
ไฟโทสะผุดขึ้นในดวงตามหาเสนาบดีเซี่ย "หากไม่ใช่เพราะนางทำลายชื่อเสียงของข้า มีหรือที่ข้าจะต้องทำกับนางถึงขนาดนี้?""หากไม่ใช่เพราะท่านคิดทำลายทั้งชีวิตของนาง หากไม่ใช่ว่าท่านบีบบังคับนางทีละนิด ๆ นางจะทำกับท่านเช่นนี้หรือ? ท่านไปเสียเถิด เป็นสามีภรรยากันมาสิบเจ็ดปี ข้าไม่เคยกล่าววาจาเช่นนี้กับท่านเลย นี่เป็นครั้งแรก และจะเป็นครั้งสุดท้าย ในฐานะที่เป็นสามีภรรยากันมาสิบเจ็ดปี ข้าอยากจะเตือนท่านเสียหน่อย สร้างคุณงามความดีเพื่อตระกูลเซี่ยของท่านให้เยอะ ๆ อย่าได้ทำสิ่งใดที่เป็นการทำลายชื่อเสียงที่บรรพบุรุษของท่านสั่งสมมาเลย"เมื่อหยวนซื่อพูดจบ ก็ได้พูดกับแม่นมหยาง "ก่อนที่ข้าจะย้ายออกไปจากเรือนเซี่ยจื่อหย่วน ไม่อนุญาตให้คนของจวนคนใดก็ตามเข้ามารบกวน หากมีใครย่างกรายเข้ามาที่นี่แม้นเพียงหนึ่งก้าว ก็ให้เสี่ยวตาวไล่ออกไปได้เลย""เจ้าค่ะ!" แม่นมหยางมองดูหยวนซื่อด้วยสายตาที่ยกย่อง นางยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าการที่นางตัดสินใจติดตามจื่ออันนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วมหาเสนาบดีเซี่ยมองไปที่จื่ออัน ดวงตาแฝงไปด้วยความโหดร้ายอำมหิต อยู่ภายใต้ฤทธิ์ของสุรา ทำให้เขาไม่ได้ปิดบังความชิงชังเคียดแค้นของตนเอง
พูดจบ นางก็จะไปทว่าอ๋องอันได้ยื่นมือไปจับนางไว้ ใบหน้าที่หล่อเหลาดูค่อนข้างจะรำคาญเล็กน้อย "ท่านอย่าไปนะ"จ้วงจ้วงมองไปที่นาง "เช่นนั้นเจ้าบอกมาว่าเจ้าวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป?"อ๋องอันปล่อยมือนาง ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน""มีอะไรที่ไม่รู้หรือ? แล้วความเด็ดเดี่ยวอย่างชายชาตินักรบในสนามรบของเจ้าเล่า? นำมันออกมาใช้เพื่อพิชิตใจนางอันเป็นที่รักของเจ้าสิ" จ้วงจ้วงกล่าวกระตุ้นเขาอ๋องอันส่ายหัว "ตั้งแต่ตอนเล็ก ๆ สิ่งที่ข้าอยากได้ ข้าก็จะพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแล้ว ข้าจะไม่ลังเลที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างสุดกำลัง แต่ว่า เสด็จอา ท่านก็น่าจะรู้ว่า มีบางคนที่ท่านจะต้องคอยปกป้องอย่างค่อยเป็นค่อยไป คำนึงถึงทุก ๆ ความรู้สึกของนาง แล้วท่านคิดว่าตอนนี้นางจะเปิดใจยอมรับความสัมพันธ์ครั้งใหม่หรือไม่เล่า?""เจ้ายังไม่เคยลองเลย เหตุใดถึงคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ บางทีนางอาจจะยอมรับเจ้าก็เป็นได้?"อ๋องอันมองไปที่จ้วงจ้วง ดวงตาสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด "ข้ารู้จักนางดี เฉกเช่นที่ข้ารู้จักตนเอง เสด็จอา ข้ารอนางมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว ในระหว่างที่ข้ารอ ก็ไ
อ๋องอันมองดูนาง เดิมทีก็ไม่อยากแจ้งข่าวนี้กับนาง แต่ว่าดูท่านางน่าจะต้องการเวลาเตรียมใจสักหน่อย "เสด็จอา เขากำลังจะกลับมาแล้ว"มู่หรงจ้วงตัวสั่นเล็กน้อยอยู่เป็นเวลานาน ถึงจะกล่าวออกมาว่า "อืม"ใช่ สามปีต้องกลับมาเมืองหลวงหนึ่งครั้งเพื่อรายงานสถานการณ์ ปีนี้ก็เป็นปีที่สามแล้วนางสับเท้าเดินออกไป แล้วโบกมือ "ข้ากลับก่อนนะ"อ๋องอันหยิบชามที่ใส่อาหารปลาขึ้นมา แล้วส่ายหัวเบา ๆ "คนในตระกูลมู่หรง มีรักที่คงมั่นเสียจริง"เพิ่งจะหันหลังไป ก็มีทหารองครักษ์วิ่งเข้ามา มองไปที่ใบหน้าของอ๋องอันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม "ท่านอ๋อง ท่านลองทายดูสิขอรับว่าบ่าวมีข่าวดีอันใดมาแจ้งให้ท่านทราบ?"อ๋องอันสับเท้าก้าวออกไปทหารองครักษ์เดินตามไป "คุณหนูใหญ่ตระกูลหยวนหย่าแล้วนะขอรับ นางหย่าแล้ว!"อ๋องอันก็ยังเดินต่อไปอยู่ดีทหารองครักษ์รู้สึกมึนงง เรื่องที่น่ายินดีถึงเพียงนี้ แต่ท่านอ๋องกลับเดินจากไปง่าย ๆ เช่นนี้น่ะหรือ? รอมาตั้งเนิ่นนานหลายปี เปลี่ยนใจไปแล้วหรืออย่างไร?"วันต่อมา คนของทางศาลาว่าการก็มาจริง ๆตอนที่ไต่สวน มหาเสนาบดีเซี่ยก็อยู่ด้วย เขาจ้องมองจื่ออันอย่างหวาดระแวงว่านางจะพูดเรื่องที่เซี่ยฉวน
เรื่องนี้สามารถคลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว เป็นไปตามที่ทุกคนคาดไว้เพียงแค่จื่ออันกับเหลียงซื่อไม่เป็นพยานให้ อาศัยเพียงหลักฐานผิวเผินเพียงอย่างเดียว ก็จะเป็นการยากที่จะเอาผิดซีเหมินเสี่ยวเยว่ในคดีวางเพลิงฆ่าคนแม้ว่าไท่เป่าจะวิเคราะห์คดีนี้แล้ว แต่ว่ากลับไม่เหมือนกับที่เขากล่าวไว้ว่าจะนำรายละเอียดของคดีทั้งหมดที่ได้ไต่ถามไปรายงานต่อทางศาลาว่าการเขาไม่ได้จัดการคดีนี้อย่างเต็มที่ และได้สั่งให้คนเรียบเรียงคำให้การในวันนั้นอย่างเป็นระเบียบแล้วส่งให้จิ้นกั๋วกง อีกทั้งยังได้ประทับตราของตนเองด้วย เป็นการเตือนจิ้นกั๋วกงว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้าย และจิ้นกั๋วกงก็ห้ามทำอะไรผิดพลาดอีกนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไท่เป่าเล่นพรรคเล่นพวก อายุก็มากโขแล้ว ใจก็หาได้แข็งเหมือนเช่นแต่ก่อน เขาที่ได้แต่มองดูชีวิตของทายาทในตระกูลพังพินาศลงเรื่อย ๆ ทำให้เขาหมดแรงกายแรงใจอีกทั้งสารลับนี้ ไท่เป่ายังได้สั่งให้คนส่งไปให้เหลียงซื่ออีกหนึ่งฉบับ ในสารนี้ก็กล่าวถึงเหตุเพลิงไหม้ที่จวนมหาเสนาบดีตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นสิ่งที่เขาสรุปใจความเองทั้งหมด แต่มันก็แม่นยำมาก ๆหากเปิดเผยสารลับนี้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะเอาผิดทางจวนมหา
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว