จริงแล้วจากการตรวจสอบในช่วงที่ผ่านมานั้น เขาพบว่าเฉินหลิวหลิ่วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ข้างนอกพูดถึงกัน เพียงแต่ภายนอกดูหยาบคายไปเท่านั้น ซูชิงค่อนข้างน่าสงสาร ดูท่าแล้วคงจะสู่ขอภรรยามิได้ แม้ทุกวันจะคุยโวว่าตนอยู่กับสตรีนับไม่ถ้วน ต่างก็รู้กันว่าเขาเมื่อใกล้สตรีแล้วทำราวกับจะตายในเมื่อเป็นพี่น้องกันแล้ว เขาต้องการปกป้องซูชิงเฉินหลิวหลิ่วเมื่อได้ฟังคำเขาประโยคนี้แล้ว ชะงักไปครู่นึง แล้วจึงเอ่ยอย่างกะตือรือร้น “ท่านพี่เซียวท่า ท่านเป็นคนดีจริง ๆ ข้ารอเพียงคำท่านประโยคนี้”เซียวท่าตบไหล่นาง “พวกเราพี่น้องกัน ใครอยู่กับใคร?”เซียวท่าพูดจบแล้ว จึงได้ตามมู่หรงเจี๋ยไป “เป็นอย่างไรบ้าง?”คำถามที่ดูเหมือนจะไม่รู้หัวรู้หาง มีเพียงแค่สองคนที่รู้ดีมู่หรงเจี๋ยเอ่ย “วันนี้มอบเหล้าให้ข้านั้นรวมแล้วยี่สิบแปดคน คนเหล่านี้กลับไปแล้วเจ้าจดไว้สักหน่อย พวกเขากล้าที่จะมอบของให้กับข้าต่อหน้าราชครูเหลียง แต่ดูท่าแล้วยังลังเลอยู่”“แต่ว่าในยี่สิบแปดคนนี้ ไม่อาจจะแยกได้ว่ามีผู้ใดบ้างที่จงใจจะเข้าใกล้ท่านอ๋อง บางทีพวกเขาอาจจะแค่ได้รับคำสั่งจากราชครูเหลียงมาให้เข้าใกล้ท่านอ๋อง” เซียวท่าพูดออกมา“ห
เนื่องจากไม่อาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งนี้ได้แล้ว เป็นการดีกว่าที่จะใช้ประโยชน์จากคนจำนวนมากมายในวันนี้ นางจะต้องแสดงจุดยืนของนางโดยเร็วที่สุด"คุณหนูใหญ่!"จื่ออันที่กำลังอยู่ในภวังค์ของความคิด จู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาจื่ออันมองไปที่เขาที่มีใบหน้าที่หล่อเหลา แต่รู้สึกไม่คุ้นหน้าเขาเลยสักนิด และก็ไม่เคยพบเจอกับเขามาก่อน“ท่านคือ?” จื่ออันกล่าวถาม“ข้าคือซีเหมินเสี่ยวชิ่ง เป็นลูกพี่ลูกน้องกับซีเหมินเสี่ยวเยว่" ชายหนุ่มตอบกลับ“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นคุณชายซีเหมิน" จื่ออันไม่ได้ตกใจอะไร แต่กลับตอบเขาอย่างใจเย็นซีเหมินเสี่ยวชิ่งมองดูจื่ออันด้วยความชื่นชม "ข้ามาส่งเจ้าสาว เดิมทีว่าจะกลับไปหลังจากอาหารกลางวัน แต่เพราะว่ามีคณะละคร ท่านแม่ของข้าชอบดูการแสดงมาก ก็เลยต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก"“อืม!” จื่ออันไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับตระกูลจิ้นกั๋วกงมากเกินไป จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นคุณชายซีเหมินก็อยู่เป็นเพื่อนฮูหยินรองเถิด ข้าอยากเดินคนเดียว"ซีเหมินเสี่ยวเยว่หยุดจื่ออันไว้ ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยสบายใจ "คุณหนูใหญ่อย่าได้เข้าใจข้าผิด ข้าไม่ได้มีเจตนาจะมากวนใจท่าน เพียงแต่ก่อนหน้านี้ได้ฟังเรื่
ในเมื่อมันไม่สมเหตุสมผล เช่นนั้นจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือต้องการทำให้นางตื่นตระหนก ไม่ก็ยั่วยุให้นางโกรธ“ที่คุณชายซีเหมินกล่าวมาก็มีเหตุผล บางทีผู้สำเร็จราชการอาจเต็มใจที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลของจิ้นกั๋วกงก็เป็นได้ อย่างนี้ดีหรือไม่ ท่านก็ลองไปถามเขาดูด้วยตนเองเป็นอย่างไร?" จื่ออันกล่าวอย่างใจเย็นซีเหมินเสี่ยวชิ่งจ้องไปที่จื่ออัน เปลี่ยนจากความสุภาพที่มีเมื่อครู่นี้กลายเป็นความเย็นชา "เซี่ยจื่ออัน ท่านอย่าได้เย่อหยิ่งให้มันมากจนเกินไป คอยดูจุดจบของท่านให้ดีเถิด"พูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไปจื่ออันมองตามหลังเขาไป ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่นางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเซี่ยหว่านเอ๋อกับองค์รัชทายาทกำลังเดินมาทางนี้จื่ออันไม่ต้องการเผชิญหน้ากับสองคนนั้น ดังนั้นนางจึงเดินไปตามทางเดินที่ทอดผ่านกลางทะเลสาบ จากนั้นก็ข้ามจากทางเดินไปยังภูเขาหินจำลองทางฟากโน้นภูเขาหินจำลองเหล่านี้เชื่อมต่อกับสวนดอกไม้ที่อยู่ทางด้านหลัง แต่จื่ออันไม่ได้คิดที่จะไปที่สวนนั่น แค่ต้องการไปในส่วนที่ค่อนข้างลึกและเงียบสงบหน่อยเท่านั้น เพื่อสงบจิตใจตนเองเสียหน่อยเมื่อจื่ออันเดินมาถึงที่ซึ่งไร
เซี่ยหว่านเอ๋อก้าวไปข้างหน้า อยากจะตบไปที่ใบหน้าของจื่ออันจัง ๆ แต่จื่ออันกลับจับข้อมือไว้ได้ และผลักนางออกอย่างแรง พร้อมกับหรี่ตามองเซี่ยหว่านเอ๋อโซเซและล้มลงในอ้อมแขนขององค์รัชทายาท นางเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างโมโห "เซี่ยจื่ออัน เจ้าฆ่าคนแล้วยังจะกล้าทำตัวหยาบช้าอีกหรือ?"องค์รัชทายาทประคองเซี่ยหว่านเอ๋อให้ทรงตัวได้ แล้วจึงเดินไปที่เบื้องหน้าของจื่ออัน มองจื่ออันด้วยสายที่เหยียดหยาม พลางแสยะยิ้มแล้วกล่าว "ครานี้ข้าอยากรู้เสียจริงว่าเสด็จอาจะเล่นพรรคเล่นพวกได้อย่างไร" จื่ออันที่มองเห็นเขาจากระยะใกล้ ใบหน้านั้นยังคงทำให้นางเกลียดชังเหมือนเช่นที่เคยเป็นราวกับว่านางจะเห็นฉากที่เขาสั่งคนให้โบยเซี่ยจื่ออันเจ้าของร่างคนเดิมอย่างโหดเหี้ยมทารุณ เพื่อบีบบังคับให้นางอภิเษกกับอ๋องเหลียง“พาตัวไป!” องค์รัชทายาทบีบคางนางแล้วปล่อยไป จากนั้นก็สั่งอย่างเคร่งขรึมองครักษ์คุมตัวจื่ออันออกไป และหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนสองคนมาหามเด็กรับใช้ผู้เฝ้าหน้าประตูออกไปด้วยเช่นกันเนื่องจากมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น ทำให้คนที่ชอบดูความตื่นเต้นต่างก็มารายล้อมกันจื่ออันถูกทหารองครักษ์คุมตัวมาไว้ท่ามกลางฝูงชน แ
หลังจากที่เจ้ากรมอาญานั่งลง เขาก็ถามออกไป "เมื่อครู่นี้องค์รัชทายาทได้ตำหนิฮูหยินผู้เฒ่าว่าสั่งสอนหลานสาวได้ไม่ดี ความหมายของพระองค์ก็คือ คุณหนูตระกูลเซี่ยเป็นผู้ก่อเรื่องใช่หรือไม่? เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่? องค์รัชทายาทได้โปรดเล่าเรื่องที่ท่านได้พบเห็นมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ"องค์รัชทายาทกล่าวว่า "เมื่อครู่นี้ตอนที่ข้ากำลังเดินเล่นกับเซี่ยหว่านเอ๋อ ก็เห็นเซี่ยจื่ออันกับคุณชายซีเหมินเสี่ยวชิ่ง หลานชายของจวนจิ้นกั๋วกงยื้อยึดฉุดกระชากกันไปมาอยู่ที่ริมทะเลสาบ และทั้งสองก็ดูเหมือนกำลังมีปากเสียงกันด้วย ข้าเองก็นึกว่าพวกเขามีเรื่องไม่ลงรอยกัน ก็เลยอยากเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าพอเห็นข้าเดินเข้ามา ทั้งสองคนก็รีบแยกย้ายเดินออกไปทันที เซี่ยจื่ออันรีบเดินลงไปที่ทางเดินที่ทอดผ่านทะเลสาบแล้วทะลุไปยังภูเขาหินจำลอง ส่วนซีเหมินเสี่ยวชิ่งก็เดินไปยังบริเวณหลังสวนดอกไม้ "“ข้าคิดว่าพวกเขาแค่มีปากเสียงกันเล็กน้อย ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก จึงเดินเล่นกับหว่านเอ๋ออยู่รอบ ๆ ริมทะเลสาบ จากนั้นก็เดินลงไปยังทางเดินแล้วเดินต่อไปยังภูเขาหินจำลอง เพื่อไปชมทิวทัศน์ที่นั่น คิดไม่ถึงว่าพอไปถึงภูเขาหินจำลอ
ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบมองเล็กน้อย และพูดเพียงว่า “ใช่ มันเป็นของจื่ออัน”เจ้ากรมอาญามองไปที่จื่ออัน "ตามการยืนยันของหลักฐานทางพยานวัตถุ เจ้ามีอะไรจะพูดไหม?"เจ้ากรมอาญาได้พิจารณาคดีมาจำนวนนับไม่ถ้วน แน่นอนว่าย่อมเห็นความผิดปกติในคดีนี้ แต่ว่าองค์รัชทายาทยืนขึ้นชี้ตัวเซี่ยจื่ออัน และยังบอกอีกว่าเห็นเซี่ยจื่ออันเป็นคนลงมือตัวตาของตนเอง เขาจึงทำได้เพียงพิพากษาตามนี้เท่านั้นจื่ออันยังไม่ทันได้พูดอะไร อ๋องหลี่ก็พูดขึ้นมาว่า "ช้าก่อน คดีที่เกิดขึ้นนี้ท่านราชครูน่าจะเห็นด้วยตาของเขาเองด้วย ลองถามเขาดูก่อนจะดีกว่า"ทุกคนต่างมองไปที่ท่านราชครูเหลียง และแอบสงสัยว่าทำไมเขาถึงเห็นด้วยตาของตัวเอง?ท่านราชครูเหลียงตกใจ “เหตุใดท่านอ๋องถึงกล่าวเช่นนี้?”อ๋องหลี่กล่าว “ท่านราชครูเหลียงเพิ่งจะออกไปหาห้องสุขา เพราะห้องสุขาในเรือนมีคนอยู่ จากนั้นท่านก็นั่งยอง ๆ อยู่ที่ด้านหลังของสุขาที่เป็นทุ่งหญ้า และตรงที่ท่านนั่งยอง ๆ อยู่นั้นก็สามารถมองเห็นภูเขาหินจำลองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้อย่างพอดิบพอดี เป็นมุมที่ดีมาก ท่านสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน”“ท่าน…” สีหน้าของไท่ฟู่กลายเป็นสีม่วงแดงและเขา
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็ตกใจมู่หรงเจี๋ยก็พูดกับจื่ออัน "ยังไม่รีบเข้าไปช่วยชีวิตเขาอีก?"จื่ออันเหลือบมองไปที่อ๋องหลี่ด้วยสายตาที่แลดูซับซ้อน ช็อก?ถ้าความทรงจำของนางไม่ได้สับสนไป เขาเพิ่งพูดคำว่าช็อกไปหนึ่งคำช็อก ไม่ใช่คำที่ใช้ในการแพทย์แผนจีนอีกอย่าง หลังจากที่ได้ฟังการวิเคราะห์มุมและทิศทางของเขาที่พูดเมื่อครู่นี้แล้ว ก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างจะแปลกไปสักหน่อยที่คำพูดนี้ออกมาจากปากของอ๋องยุคโบราณอย่างไรก็ตาม นางรู้สึกว่าการคาดเดาของนางค่อนข้างจะไม่สมเหตุสมผลตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพิจารณาคำถามนี้จื่ออันที่อยู่ท่ามกลางสายตาของฝูงชน ก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อดึงปิ่นปักผมที่หน้าอกของเด็กรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตูออก หลังจากที่ปิ่นถูกดึงออกมาแล้วเลือดก็ได้ไหลทะลักออก แต่จื่ออันก็ได้เตรียมผ้าเช็ดหน้าสำหรับกดลงไปที่แผลนานแล้วบาดแผลไม่ใหญ่และไม่ได้มุ่งไปที่ตำแหน่งของหัวใจ จะเห็นได้ว่าคนที่ลงมือนอกจากไม่มีกึ๋นแล้วนั้น ยังไม่ใช่คนที่รู้วิทยายุทธด้วยอย่างแน่นอน เพราะปิ่นไม่ได้เจาะทะลุเนื้อเข้าไป แต่ทะลุชั้นผิวหนังเท่านั้นเจ้ากรมอาญาก้าวออกมาตรวจสอบด้วยตนเอง แต่ก็ไม่ได้ถ่วงเวลาการรักษาของจื่
อ๋องหลี่มองดูพี่น้องตระกูลเฉิน แล้วกล่าวถามเจ้ากรมอาญา "ทำร้ายคน จะตัดสินความผิดอย่างไร?"“กราบทูลท่านอ๋อง ต้องดูสภาพบาดแผลก่อนแล้วค่อยตัดสินพ่ะย่ะค่ะ!”อ๋องหลี่พยักหน้า "อืม ข้ารู้ แต่ว่าท่านรับผิดชอบกรมอาญา ข้าก็เลยอยากจะถามท่านก่อน เช่นนี้ดีหรือไม่ถ้าพวกเขาทั้งสิบสองคนลงมือทำร้ายเจ้า ข้าจะอยู่ที่นี่คอยดูแลกำกับเจ้ากรมอาญาให้ ตัดสินโทษตามสภาพบาดแผล ไม่มีใครสักคนที่ทำร้ายคนแล้วจะรอดพ้นโทษได้ ข้าสัญญา"เหลียงซื่อมองดูผู้คนที่ดุร้ายเหล่านี้ ถ้าทั้งสิบสองคนกรูเข้ามาทำร้ายนางพร้อมกัน การลงโทษแต่ละระดับก็ไร้ประโยชน์แล้วมู่หรงจ้วงจ้วงลดมือลง ไม่รู้ควรจะทำเช่นไรดี แต่เมื่อมีอ๋องหลี่อยู่ที่นี่เรื่องราวก็กลับพลิกผันได้อย่างง่ายดายอย่างไรก็ตาม เมื่อนางเห็นจื่ออันฝังเข็มให้เด็กรับใช้แล้ว ทั้งยังเอนตัวไปกระซิบที่ข้างหูของเขาอีกมู่หรงจ้วงจ้วงก็เข้าใจได้ในทันทีว่าอ๋องหลี่เป็นคนช่วยปิดบังให้จื่ออันมันช่างแปลกจริง ๆ อ๋องหลี่เป็นคนที่ยึดมั่นในความถูกต้อง ไม่เคยได้ยินว่าเขาจะเอนเอียงไปช่วยใครเลย ก่อนหน้านี้พิจารณาคดีการทำร้ายจนทำให้เสียโฉม ก็เพราะมันไม่ละเมิดต่อกฎหมายเขาถึงเข้ามาช่วยได้นาง
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว