"นี่…" ราชครูเหลียงตกใจจนมองไปที่จื่ออัน แล้วกลับมามองที่มีดสั้น อักษรบนมีดสั้นนั้น หากมิได้มองพลาดไปแล้ว เป็นอักษรมังกร เป็นไปได้อย่างไร? มีดสั้นที่มีอักษรมังกรจะมาอยู่ในมือของเซี่ยจื่ออันได้อย่างไร? เฉินซื่อและเซี่ยหว่านเอ๋อถูกมีดสั้นเล่มนี้ทำร้าย ไม่ผิดเลย ไม่ตายก็ถือว่าโชคดีแล้วความคิดนับพันแวบผ่านเข้ามาในสมองของราชครูเหลียง ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยวาง นำมีดสั้นกลับมอบให้จื่ออันด้วยความเคารพ "คุณหนูใหญ่ ตามความคิดของข้านั้น เรื่องคืนนี้นั้นคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน คุณหนูใหญ่อย่าได้ถือโทษ ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ คงต้องขอตัวก่อนแล้ว" พูดจบแล้วก็ไม่ได้สนใจต่อองค์รัชทายาท ไม่แม้แต่บอกลามหาเสนาบดีเซี่ย แล้วเดินออกไปทันทีองค์รัชทายาทมองดูสถานการณ์ ก่อนจะเร่งให้องค์รักษ์ประคองตนเองจากไป คนของทางการทั้งสองที่ราชครูเหลียงนำมาก็จากไปเช่นกันเซี่ยหว่านเอ๋อเห็นองค์รัชทายาทจากไปโดยไม่แม้แต่มองมาทางนาง ทั้งเสียใจทั้งเศร้าโศก เอ่ยถามทั้งน้ำตา "ท่านพ่อ นี้มันเกิดเรื่องอะไรกัน? จะปล่อยให้นางทำร้ายพวกเราอย่างนี้หรือ? มหาเสนาบดีเซี่ยมองไปที่มีดสั้นในมือของจื่ออันมาโดยตลอด เขาจึงไม่ได้สนพร้อมทั้
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี้เอง” จ้วงจ้วงนึกขึ้นได้ คาดไม่ถึงว่าในตอนที่นางกำลังดื่มน้ำหวานนั้น ทั้งสองคนก็นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนค่ำนี้อธิบายกันเรียบร้อยแล้ว ใช่แล้ว “ใช่แล้ว ราชครูเหลียงทำไมถึงได้กลัวมีดสั้นของจื่ออันนัก? มีดสั้นเล่มนั้นเป็นจื่ออันที่มอบให้ แม้แต่อ๋องเจ็ดเขายังมิกลัว แต่กลับกลัวมีดสั้นเล่มนี้หรือ?”“บนมีดสั้นนั้นมีอักษรมังกรอยู่!” อ๋องหลี่เอ่ยยิ้ม “ใครกันที่ชอบทำสัญลักษณ์นามสกุลไว้บนสิ่งของตนเพื่อแสดงอำนาจกัน?”“เสด็จย่า!” จ้วงจ้วงเอ่ยตะโกน “มีดสั้นเล่มนี้เป็นมีดที่เสด็จย่าทรงประทานให้กับเสด็จพี่ เสด็จพี่ก็ประทานให้แก่อ๋องเจ็ด อ๋องเจ็ดมอบให้จื่ออันอีกที ราชครูเหลียงไม่รู้เรื่องราว ก็เลยนึกเอาว่ามีดสั้นเล่มนี้เป็นเสด็จย่าประทานให้แก่จื่ออัน ดังนั้นเขาจึงกลัว เขามิได้กลัวมีดสั้น เพียงแต่เขาหวาดกลัวต่อเสด็จย่า”“ฉลาดมาก!” อ๋องหลี่ขึ้นรถม้าไปแล้ว จ้วงจ้วงจึงเดินตามขึ้นไปหลังจากที่ส่งอ๋องหลี่และจ้วงจ้วงแล้ว จื่ออันจึงได้ประคองหยวนซื่อที่คืนนี้มิได้พูดอันใดออกมาลุกขึ้น “ท่านแม่ พวกเราก็กลับกันเถอะ”เซี่ยหว่านเอ๋อร์เมื่อพบว่าทุกคนต่างแยกย้ายกัน และผ
หยวนซื่อได้ยินเสียงโมโหพร้อมเสียงเท้าจากไปของนาง มุมปากจึงค่อย ๆ ยกยิ้มขึ้น เพียงแต่รอยยิ้มนั้นดูเศร้าสร้อยยิ่งนักหลายปีมานี้ไม่ใช่นางช่วงชิงไม่ชนะเฉินหลิงหลง เพียงแต่คิดว่าหากชายคนนึงต้องช่วงชิงกลับมา จะต้องการไปทำไมกัน?นางผิดพลาดครั้งใหญ่ ชาตินี้คงจะไม่ให้อภัยตนเองได้อีกแล้ว ควรที่จะนำจื่ออันออกไปจากจวนนี้ตั้งนานแล้ว แต่นางกลับปล่อยให้ตัวเองเสื่อมโทรมไปเรื่อย ๆ บุตรสาวได้ตายจากไปแล้ว นางและเฉินหลิงหลงต่างก็เป็นผู้ร้ายเฉินหลิงหลงสมควรตาย นางเองก็เช่นกันดังนั้นชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรให้คำนึงถึงแล้ว หากสามารถทำอะไรให้แก่จื่ออันในตอนนี้ได้บ้าง ต่อให้ต้องปลิดชีพตน นางก็จะไม่ลังเลหลังจากที่ฮูหยินหลิงหลงเดินจากไปแล้วนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็สั่งให้คนส่งหยวนซื่อกลับไป แต่จื่ออันยืนยันที่จะให้คนนำแม่นมหยางเข้ามา จะต้องเป็นแม่นมหยางที่เป็นคนนำหยวนซื่อกลับไปฮููเฒ่าก็มิได้ทำให้นางลำบากใจแต่อย่างใด สั่งให้คนไปเชิญแม่นมหยางมาแม่นมหยางเมื่อพบว่าจื่ออันกลับมา พร้อมเห็นว่าหยวนซื่อสูญเสียการมองเห็น จึงรู้ได้ทันทีว่าระหว่างทางนี้จะต้องเกิดเรื่องขึ้นมากมาย นางไม่ได้เอ่ยถามอันใดออกมา เพียงแต่ทำตามคำ
ฮูหยินผู้เฒ่าเดิมพูดเสียงนุ่มนวล โดนนางตอบกลับอย่างเย็นชา ดวงตากระตุกแล้วหลายครั้ง ความโกรธจึงค่อย ๆ ปะทุขึ้น แต่นางยังควบคุมมันไว้ได้อย่างดี เอ่ยกลับอย่างใจดี “ดี หากเป็นเช่นนี้แล้ว ย่าก็จะไม่พูดอ้อมค้อมแล้ว ย่ารู้ว่าวิชาการแพทย์ของเจ้าสูงยิ่งนัก ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเจ้าเรียนมาจากที่ใด แต่ย่าก็ยังภาคภูมิใจในตัวเจ้า เรื่องราวในวันนี้ แม้ว่าเจ้าจะไม่ผิด แต่น้องสาวเจ้าก็ไม่ผิดเช่นกัน นางถูกแม่เจ้าทำร้าย วันนี้นางถูกทำลายรูปลักษณ์ลง สำหรับวันข้างหน้าของนางแล้วจะต้องลำบากเป็นแน่ ย่าหวังว่าเจ้าจะเห็นแก่ที่นางเป็นน้องสาวร่วมบิดาเดียวกัน ช่วยรักษาให้นาง จนหน้าตาของนางจะดีขึ้นมา” จื่ออันไม่คิดหรอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไร้เดียงสาได้ถึงเพียงนี้ กล้าที่จะให้นางรักษาอาการให้เซี่ยหว่านเอ๋อร์เพียงแต่นางไม่รู้ว่าจะมีความลับอันใดแอบซ่อนอยู่หลับหลังหรือไม่? จื่ออันเองก็ต้องการที่จะรู้นางแสร้งที่จะลังเลอยู่ครู่นึง “รักษาให้นาง?”จู่ ๆ มหาเสนาบดีเซี่ยก็เอ่ยขึ้น “เจ้าทำร้ายนาง รักษาให้นางก็สมเหตุสมผลแล้วมิใช่รึ? หญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือน ลงมือทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม แม้แต่มารดาเลี้ยงและน้องสาวตนก็กล้าที่จ
กลับไปถึงเซี่ยจื่อหย่วน จื่ออันอยากจะตรวจให้กับหยวนซื่อ แต่หยวนซื่อกลับหยุดมือนางไว้ “จื่ออัน เจ้านอนพักก่อนเถอะ มีอะไรค่อยพูดกันวันพรุ่งนี้”“ไม่ ข้าจะเริ่ม…”“ฟังข้า เจ้าต้องนอนหลับพักผ่อน” หยวนซื่อยืนหยัดเอ่ยออกไปจื่ออันมองใบหน้าขาวซีดที่ดื้อรั้นของนาง รู้ว่านางกำลังสงสารตนอยู่ จึงกลับห้องไปพักผ่อนตามคำบาดแผลของเสียวซุนค่อย ๆ ดีขึ้น แม่นมหยางคอยดูแลเป็นอย่างดี ช่วงที่จื่ออันไม่ได้อยู่ในจวนนั้น ไม่มีผู้ใดกล้ามาก่อเรื่องที่นี้แม่นมหยางไม่มีคำถามใดออกมาสักคำ รับใช้จื่ออันเรียบร้อยแล้วจึงถอยออกไปจื่ออันรู้สึกเหนื่อยและง่วงมาก แต่ภายในหัวกลับมีเรื่องให้คิดมากมายมีดสั้นก็เป็นเรื่องที่ทำให้นางสงสัย แต่นางมิได้สืบสาวราวเรื่อง ไม่ว่ามีดสั้นจะมีที่มาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ตอนนี้มันอยู่ในมือของนางแล้วและไม่ได้คิดถึงว่าต่อไปจวนมหาเสนาบดีจะมีท่าทีกับนางอย่างไร ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางสมควรคำนึงถึงมากที่สุด เพียงแต่นางกลับกังวลถึงเรื่องที่มู่หรงเจี๋ยจะกลับถึงจวนอ๋องมากกว่า เรื่องราวก่อนและหลังคิดปะปนกัน เบื้องหลังนักฆ่าคนที่สองได้เริ่มเผยตัวออกมาแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับมั
“กุ้ยไท่เฟย กระหม่อมรอจนมองเห็นเซี่ยจื่ออันตกหน้าผาไปแล้วจริง ๆ…พ่ะย่ะค่ะ” องค์รักษ์รูปร่างผอมเป็นผู้อธิบายออกไป แต่กลับมิกล้าที่จะเอ่ยต่อ เพราะว่าตอนนี้เซี่ยจื่ออันยังมีชีวิตกลับมา เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้กุ้ยไท่เฟยเอื้อมมือไปขยี้คิ้ว แล้วเอ่ยกับป้าซือจู “นำออกไป ปิดปากซะ!”องค์รักษ์สองนายได้ฟังคำนี้แล้วนั้น ล้มลงกับพื้นในชั่วขณะนั้น ทั้งสองนายมิอาจร้องขอความเป็นธรรมได้ เพราะพวกเขารู้ดีว่า ร้องขอความเป็นธรรมไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด มีแต่ยั่วยุให้ไท่เฟยโกรธมากยิ่งขึ้น จนตายอย่างน่าอนาถป้าซือจูโบกมือขึ้นลง ส่งสัญญาณให้คนเข้ามาลากออกไปประตูจวนมีเสียงเบื่อหน่ายลอยมา แล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอันใด ทาสรับใช้นำน้ำเข้ามาสาดล้างลงไปบนขั้นบันใดหินอ่อน คราบเลือดไหลซึมลงมาจากขั้นบันใดเข้าไปยังใต้ต้นตั๊กแตนต้นตั๊กแตนต้นนี้ อาศัยเลือดเจริญเติบโตขึ้นมา ใบไม้เขียวชอุ่ม ลำต้นอวบอ้วน สองคนยังโอบได้เกือบจะไม่รอบต้น“ข้าอยากจะออกไปนั่งยังลานบ้าน รอลูกชายของข้ากลับมา!” กุ้ยไท่เฟยลุกขึ้นยืน ฝีเท้าดูเลื่อนลอยนางนั่งเอนกายลงใต้ต้นตั๊กแตน หลังเอนลงไป เอนไปเพียงครึ่งจ้องมองแสงจันทร์ในอากาศ ดว
เขายังคงปอกเปลือกลูกแพร์ต่อไป และกล่าว "เพราะนั่นไม่ใช่ของเสด็จแม่"เขาเงยหน้าขึ้น โดยที่บนใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เขาเงยคางที่มีเคราสีดำขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่ซีดขาวแลดูหนักแน่นนางเอื้อมมือไปเช็ดเลือดบนใบหน้าของเขา เลือดได้แห้งไปแล้ว เช็ดยังไงก็เช็ดไม่ออก มันเป็นเลือดของศัตรูที่เหลือทิ้งไว้บนใบหน้าของเขานางเช็ดมันสองสามครั้ง แล้วจึงวางมือลงเพราะไร้ประโยชน์ และมองดูลูกแพร์ในมือของเขา หลังจากที่เขาปลอกเปลือกออก ก็ได้ใช้มีดผ่ามันออกเป็นสองซีก ยื่นครึ่งหนึ่งให้นาง "อากาศร้อนนัก ทานลูกแพร์เพื่อดับกระหายเสียหน่อยเถิด"มือของนางสั่นอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น จ้องมาที่เขา ใบหน้าของเขาขาวซีดเผือดราวกับคนตายนางแทบจะแยกไม่ออกเลยว่านั่นคือความฝันหรือว่าความจริง และนางก็รู้สึกกลัวมาก เลยลุกขึ้นไปหาป้าซือจูป้าซือจูที่อยู่ข้างหลัง ได้มองไปที่มู่หรงเจี๋ย "ท่านอ๋องไท่เฟยไม่ชอบทานลูกแพร์เพคะ"“ทานสักหน่อยก็ดี เสด็จแม่กำลังโกรธมาก และลูกแพร์จะช่วยดับความโกรธของเสด็จแม่ได้ ถือว่าเป็นยาที่ดีสำหรับท่าน” มู่หรงเจี๋ยกัดอีกครึ่งซีกที่เหลือ และน้ำลูกแพร์ก็ได้กระเด็นมาตกลงบนหลังมือของไท่เฟยนาง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วจวนผู้สำเร็จราชการ ป้าซือจูช่วยพยุงกุ้ยไท่เฟยออกมา มีศพห้อยอยู่ใต้ต้นฉัตรจีน ใบหน้าของศพซีดขาวไร้ซึ่งโลหิต ลิ้นของเขาถูกตัดและโยนทิ้งลงที่พื้นมีบาดแผลที่คอสองแผล ซึ่งใกล้กับตำแหน่งหลอดเลือด และชุดแพรต่วนของเขาก็โชกไปด้วยเลือด เขาถูกคนทำให้สูญเสียเลือดจนเสียชีวิตเขาคือนักพรตเถาเต๋อ ก่อนที่เขาจะตายน่าจะได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ตายตาไม่หลับ ยังคงสามารถเห็นความสยดสยองในดวงตาของเขาก่อนที่เขาจะเสียชีวิตได้ขาของไท่เฟยไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แทบจะยืนไม่ไหว“รีบแก้มัดแล้วเอาออกไป สั่งคนให้นำไปฝังให้ดี ๆ!” ป้าซือจูออกคำสั่งในทันทีกุ้ยไท่เฟยนั่งตัวสั่นอยู่บนขั้นบันไดหิน มองดูกองเลือดที่แข็งตัวอยู่ใต้ต้นฉัตรจีน เหงื่อเย็นเยียบไหลออกมาจากหน้าผากของนาง และเมื่อดูสีหน้าของนางก็ไม่สามารถบอกได้ว่านางกำลังโกรธ หรือว่าหวาดกลัวอยู่“เขาเริ่มลงมือจากนักพรตเถาเต๋อแล้ว เขาจะสู้กับข้าจริง ๆใช่หรือไม่?” ไท่เฟยเริ่มยิ้มเย้ยหยัน และยังคงยิ้มต่อไปเรื่อย ๆ“ท่านอ๋องไม่ใช่คนที่จะนั่งรอความตาย” ป้าซือจูกล่าวเตือนนาง“แต่ข้าเป็นแม่ของเขานะ เขาไม่ควรจะลงมือกับคน
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว