กลับไปถึงเซี่ยจื่อหย่วน จื่ออันอยากจะตรวจให้กับหยวนซื่อ แต่หยวนซื่อกลับหยุดมือนางไว้ “จื่ออัน เจ้านอนพักก่อนเถอะ มีอะไรค่อยพูดกันวันพรุ่งนี้”“ไม่ ข้าจะเริ่ม…”“ฟังข้า เจ้าต้องนอนหลับพักผ่อน” หยวนซื่อยืนหยัดเอ่ยออกไปจื่ออันมองใบหน้าขาวซีดที่ดื้อรั้นของนาง รู้ว่านางกำลังสงสารตนอยู่ จึงกลับห้องไปพักผ่อนตามคำบาดแผลของเสียวซุนค่อย ๆ ดีขึ้น แม่นมหยางคอยดูแลเป็นอย่างดี ช่วงที่จื่ออันไม่ได้อยู่ในจวนนั้น ไม่มีผู้ใดกล้ามาก่อเรื่องที่นี้แม่นมหยางไม่มีคำถามใดออกมาสักคำ รับใช้จื่ออันเรียบร้อยแล้วจึงถอยออกไปจื่ออันรู้สึกเหนื่อยและง่วงมาก แต่ภายในหัวกลับมีเรื่องให้คิดมากมายมีดสั้นก็เป็นเรื่องที่ทำให้นางสงสัย แต่นางมิได้สืบสาวราวเรื่อง ไม่ว่ามีดสั้นจะมีที่มาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ตอนนี้มันอยู่ในมือของนางแล้วและไม่ได้คิดถึงว่าต่อไปจวนมหาเสนาบดีจะมีท่าทีกับนางอย่างไร ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางสมควรคำนึงถึงมากที่สุด เพียงแต่นางกลับกังวลถึงเรื่องที่มู่หรงเจี๋ยจะกลับถึงจวนอ๋องมากกว่า เรื่องราวก่อนและหลังคิดปะปนกัน เบื้องหลังนักฆ่าคนที่สองได้เริ่มเผยตัวออกมาแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับมั
“กุ้ยไท่เฟย กระหม่อมรอจนมองเห็นเซี่ยจื่ออันตกหน้าผาไปแล้วจริง ๆ…พ่ะย่ะค่ะ” องค์รักษ์รูปร่างผอมเป็นผู้อธิบายออกไป แต่กลับมิกล้าที่จะเอ่ยต่อ เพราะว่าตอนนี้เซี่ยจื่ออันยังมีชีวิตกลับมา เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้กุ้ยไท่เฟยเอื้อมมือไปขยี้คิ้ว แล้วเอ่ยกับป้าซือจู “นำออกไป ปิดปากซะ!”องค์รักษ์สองนายได้ฟังคำนี้แล้วนั้น ล้มลงกับพื้นในชั่วขณะนั้น ทั้งสองนายมิอาจร้องขอความเป็นธรรมได้ เพราะพวกเขารู้ดีว่า ร้องขอความเป็นธรรมไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด มีแต่ยั่วยุให้ไท่เฟยโกรธมากยิ่งขึ้น จนตายอย่างน่าอนาถป้าซือจูโบกมือขึ้นลง ส่งสัญญาณให้คนเข้ามาลากออกไปประตูจวนมีเสียงเบื่อหน่ายลอยมา แล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอันใด ทาสรับใช้นำน้ำเข้ามาสาดล้างลงไปบนขั้นบันใดหินอ่อน คราบเลือดไหลซึมลงมาจากขั้นบันใดเข้าไปยังใต้ต้นตั๊กแตนต้นตั๊กแตนต้นนี้ อาศัยเลือดเจริญเติบโตขึ้นมา ใบไม้เขียวชอุ่ม ลำต้นอวบอ้วน สองคนยังโอบได้เกือบจะไม่รอบต้น“ข้าอยากจะออกไปนั่งยังลานบ้าน รอลูกชายของข้ากลับมา!” กุ้ยไท่เฟยลุกขึ้นยืน ฝีเท้าดูเลื่อนลอยนางนั่งเอนกายลงใต้ต้นตั๊กแตน หลังเอนลงไป เอนไปเพียงครึ่งจ้องมองแสงจันทร์ในอากาศ ดว
เขายังคงปอกเปลือกลูกแพร์ต่อไป และกล่าว "เพราะนั่นไม่ใช่ของเสด็จแม่"เขาเงยหน้าขึ้น โดยที่บนใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เขาเงยคางที่มีเคราสีดำขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่ซีดขาวแลดูหนักแน่นนางเอื้อมมือไปเช็ดเลือดบนใบหน้าของเขา เลือดได้แห้งไปแล้ว เช็ดยังไงก็เช็ดไม่ออก มันเป็นเลือดของศัตรูที่เหลือทิ้งไว้บนใบหน้าของเขานางเช็ดมันสองสามครั้ง แล้วจึงวางมือลงเพราะไร้ประโยชน์ และมองดูลูกแพร์ในมือของเขา หลังจากที่เขาปลอกเปลือกออก ก็ได้ใช้มีดผ่ามันออกเป็นสองซีก ยื่นครึ่งหนึ่งให้นาง "อากาศร้อนนัก ทานลูกแพร์เพื่อดับกระหายเสียหน่อยเถิด"มือของนางสั่นอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น จ้องมาที่เขา ใบหน้าของเขาขาวซีดเผือดราวกับคนตายนางแทบจะแยกไม่ออกเลยว่านั่นคือความฝันหรือว่าความจริง และนางก็รู้สึกกลัวมาก เลยลุกขึ้นไปหาป้าซือจูป้าซือจูที่อยู่ข้างหลัง ได้มองไปที่มู่หรงเจี๋ย "ท่านอ๋องไท่เฟยไม่ชอบทานลูกแพร์เพคะ"“ทานสักหน่อยก็ดี เสด็จแม่กำลังโกรธมาก และลูกแพร์จะช่วยดับความโกรธของเสด็จแม่ได้ ถือว่าเป็นยาที่ดีสำหรับท่าน” มู่หรงเจี๋ยกัดอีกครึ่งซีกที่เหลือ และน้ำลูกแพร์ก็ได้กระเด็นมาตกลงบนหลังมือของไท่เฟยนาง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วจวนผู้สำเร็จราชการ ป้าซือจูช่วยพยุงกุ้ยไท่เฟยออกมา มีศพห้อยอยู่ใต้ต้นฉัตรจีน ใบหน้าของศพซีดขาวไร้ซึ่งโลหิต ลิ้นของเขาถูกตัดและโยนทิ้งลงที่พื้นมีบาดแผลที่คอสองแผล ซึ่งใกล้กับตำแหน่งหลอดเลือด และชุดแพรต่วนของเขาก็โชกไปด้วยเลือด เขาถูกคนทำให้สูญเสียเลือดจนเสียชีวิตเขาคือนักพรตเถาเต๋อ ก่อนที่เขาจะตายน่าจะได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ตายตาไม่หลับ ยังคงสามารถเห็นความสยดสยองในดวงตาของเขาก่อนที่เขาจะเสียชีวิตได้ขาของไท่เฟยไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แทบจะยืนไม่ไหว“รีบแก้มัดแล้วเอาออกไป สั่งคนให้นำไปฝังให้ดี ๆ!” ป้าซือจูออกคำสั่งในทันทีกุ้ยไท่เฟยนั่งตัวสั่นอยู่บนขั้นบันไดหิน มองดูกองเลือดที่แข็งตัวอยู่ใต้ต้นฉัตรจีน เหงื่อเย็นเยียบไหลออกมาจากหน้าผากของนาง และเมื่อดูสีหน้าของนางก็ไม่สามารถบอกได้ว่านางกำลังโกรธ หรือว่าหวาดกลัวอยู่“เขาเริ่มลงมือจากนักพรตเถาเต๋อแล้ว เขาจะสู้กับข้าจริง ๆใช่หรือไม่?” ไท่เฟยเริ่มยิ้มเย้ยหยัน และยังคงยิ้มต่อไปเรื่อย ๆ“ท่านอ๋องไม่ใช่คนที่จะนั่งรอความตาย” ป้าซือจูกล่าวเตือนนาง“แต่ข้าเป็นแม่ของเขานะ เขาไม่ควรจะลงมือกับคน
จื่ออันสรุปได้ว่า "โรคลมชักของท่านอ๋องน่าจะเกิดจากบาดแผลที่ศีรษะในครั้งนั้น ถ้าหากหม่อมฉันเดาไม่ผิด อันที่จริงท่านอ๋องเพิ่งจะมีอาการชักเป็นระยะ ๆ มาในช่วงไม่กี่ปีมานี้ใช่หรือไม่?"อ๋องเหลียงพูดอย่างเฉยเมย “ใช่ แต่ว่ามันไม่ได้ร้ายแรงอะไร”"อืม!" จื่ออันพยักหน้า "การรักษาโรคลมชักค่อนข้างลำบากและต้องใช้ความอดทน ถ้าท่านอ๋องเชื่อใจหม่อมฉัน ในอีกสามเดือนข้างหน้า หม่อมฉันจะมาฝังเข็มให้พระองค์"นางไม่ได้พูดถึงการรักษาขาหรือปัญหาอื่น ๆ สาเหตุหลักก็เพราะในตอนนี้นางยังไม่คุ้นเคยกับเขาสักเท่าไหร่ เกรงว่าจะไปทำให้เขาขุ่นเคือง ถึงเวลานั้นเขาไม่ยอมให้รักษา แล้วนางจะไปอธิบายให้ฮองเฮาฟังว่าอย่างไรในช่วงเวลาที่เหมือนถูกปิดล้อมเอาไว้ทุกทางเช่นนี้ นางไม่ต้องการขัดแย้งกับฮองเฮา อย่างน้อยก็ช่วงสามเดือนนี้ มีฮองเฮาคอยปกป้อง จะไม่มีใครกล้าที่ลงมือกับนางอย่างโจ้งแจ้งได้“ชีวิตของข้าเป็นเจ้าที่ช่วยเอาไว้ ยังจะพูดว่าไม่เชื่อใจเจ้าได้เช่นไรเล่า?" อ๋องเหลียงอดที่จะหัวเราะมิได้จื่ออันมองไปที่เขาและนึกถึงครั้งที่ได้พบกับเขาครั้งแรก เขาสวมชุดแต่งงานสีแดงสด และนั่งอยู่บนหลังม้าสูงตระหง่าน แลดูสง่างามยิ่งนักส
ไม่ถูกต้อง ดูเหมือนจะเคยได้ยินจากเสี่ยวซุนมาก่อนว่าวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าก็คือสิ้นปี“เป็นอะไรไปเล่า? เจ้าหวังให้ข้าไปร่วมงานฉลองวันเกิดของย่าเจ้าอย่างนั้นเหรอ?" เมื่ออ๋องเหลียงเห็นว่าจื่ออันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยก็เลยถาม“ไม่ ไม่ใช่เพคะ” จื่ออันส่ายหัวในทันที “หม่อมฉันแค่แปลกใจว่า วันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าควรจะเป็นวันสิ้นปี แม้ว่าจะจัดเร็วกว่ากำหนด แต่ก็ไม่ควรเร็วกว่าครึ่งปีนี่นา"จื่ออันเริ่มรู้สึกว่ามีปัญหาบางอย่าง แม้ว่าจะเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงวันเกิด แต่เวลาก็กระชั้นชิดเกินไปหลังจากอ๋องเหลียงได้ยินที่จื่ออันพูด เขาก็กล่าวกับบ่าวรับใช้ "ไปบอกพระชายาหลี่ว่า พรุ่งนี้ให้นางไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่ากับข้า"พระชายาหลี่เป็นพระชายารองของอ๋องเหลียง นางถูกแต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิให้คอยดูแลปรนนิบัติเขาในฐานะพระชายารอง“พ่ะย่ะค่ะ!” บ่าวรับใช้หันหลังเดินออกไปจื่ออันเหลือบมองไปที่อ๋องเหลียง "ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องไปร่วมงานฉลองก็ได้นะเพคะ"“มีการแสดงดี ๆ ให้ดู ข้าไม่อยากพลาด เซี่ยจื่ออันเอ๋ย เห็นได้ชัดว่าคนในตระกูลของเจ้าไม่ปล่อยให้เจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขแม้นเพียง
มู่หรงเจี๋ยเดินไปสองสามก้าวและเห็นจื่ออันยืนอยู่ใต้ต้นหอมหมื่นลี้ ใบหน้าของนางแลดูอึดอัดเล็กน้อย นางไม่ได้ตั้งใจจะมาขัดการสนทนาระหว่างพวกเขาสองพี่น้องมู่หรงเจี๋ยรู้สึกสบายใจมาก ราวกับว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้พูดอะไรที่ฟังดูโหดร้ายออกมาเลย "มาแล้วหรือ?"“อ๋องเหลียงให้หม่อมฉันมาที่นี่” จื่ออันอธิบาย“ถ้าเขาไม่ให้เจ้ามา เจ้าก็จะไม่มาเช่นนั้น?” มู่หรงเจี๋ยเลิกคิ้วแล้วมองไปยังนางจื่ออันถือกล่องยาและจ้องมองเขาผ่านแสงแดด บ้าจริง ทำไมวันนี้เขาถึงหล่อเหลานัก“มาเถอะ ท่านอ๋องก็ยังเป็นคนไข้ของหม่อมฉันอยู่นะเพคะ”“เข้าไปในห้องกันเถิด!” มู่หรงเจี๋ยหันหลังเดินเข้าไป จื่ออันก็รีบตามไป เขาเดินเร็วมาก นางจึงต้องรีบสับขาตามเขาไปอย่างเร่งรีบ ไม่มีเวลาดูทิวทัศน์ตลอดทางเลยหลังจากเข้ามาในห้อง มู่หรงเจี๋ยรีบถอดเสื้อผ้าของเขาออกและนั่งบนเก้าอี้ "เมื่อทายาเสร็จแล้ว อีกสักพักข้าก็จะดื่มสุรากับอ๋องฉี"“ข้าขอคัดค้าน!”“ไม่มีประโยชน์!” มู่หรงเจี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบจื่ออันวางกล่องยาลงแล้วขมวดคิ้ว “ท่านอ๋องไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลเช่นนี้”"การดื่มสุรากับเหตุผลมันสัมพันธ์กันอย่างไร? "“สุราจะส่งผลต
เซียวท่าพูด ‘อืม’ ออกมาคำเดียว จากนั้นก็หยิบกล่องยาของจื่ออันขึ้นมา "ไปกันเถอะ อีกสักครู่พวกเราจะมีแขก"จื่ออันเหลือบมองไปที่มู่หรงเจี๋ยมองแล้วมองอีก และต้องการที่จะแนะนำอีกสองสามคำ แต่รู้สึกว่ามันจะเสียเวลา พูดไปเขาก็ไม่ฟัง ดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรมาอีก และเดินออกไปพร้อมกับเซี่ยวท่าพอไปถึงประตูจวน อ๋องหนานหวายก็เดินออกมาด้วยเช่นกันเขามองดูจื่ออันมาโดยตลอด และเขาก็ยังรู้ถึงที่มาที่ไปของเซี่ยจื่ออันอย่างละเอียด ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจมันมาก่อน แต่ตั้งแต่ที่นางหลบหนีจากทหารองครักษ์ทั้งสองคนมาได้ ตกหน้าผาแต่ยังคงรอดชีวิตกลับมา นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายและที่สำคัญที่สุดคือ มู่หรงเจี๋ยไม่ปฏิเสธนางทั้งยังเต็มใจที่อภิเษกกับนางให้นางมาเป็นพระชายาเอกอีก“ท่านอ๋อง!” จื่ออันได้ย่อตัวคำนับเล็กน้อย แววตาของอ๋องหนานหวายแลดูยังไงชอบกล และนางก็ไม่ชอบมันมาก “เซี่ยจื่ออัน?” อ๋องหนานหวายยิ้มออกมาเบา ๆ และยังไม่ละสายตาจากนาง และยังคงจ้องไปที่จื่ออันด้วยแววตาที่แทะโลม"เพคะ!" จื่ออันตอบเซียวท่าพูดกับอ๋องหนานหวาย "หากท่านอ๋องไม่มีเรื่องอันใด ข้าจะพานางไปนะพ่ะย่ะค่ะ"อ๋องหนานหวายมองไปที่เซียวท่า แ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว