จื่ออันสรุปได้ว่า "โรคลมชักของท่านอ๋องน่าจะเกิดจากบาดแผลที่ศีรษะในครั้งนั้น ถ้าหากหม่อมฉันเดาไม่ผิด อันที่จริงท่านอ๋องเพิ่งจะมีอาการชักเป็นระยะ ๆ มาในช่วงไม่กี่ปีมานี้ใช่หรือไม่?"อ๋องเหลียงพูดอย่างเฉยเมย “ใช่ แต่ว่ามันไม่ได้ร้ายแรงอะไร”"อืม!" จื่ออันพยักหน้า "การรักษาโรคลมชักค่อนข้างลำบากและต้องใช้ความอดทน ถ้าท่านอ๋องเชื่อใจหม่อมฉัน ในอีกสามเดือนข้างหน้า หม่อมฉันจะมาฝังเข็มให้พระองค์"นางไม่ได้พูดถึงการรักษาขาหรือปัญหาอื่น ๆ สาเหตุหลักก็เพราะในตอนนี้นางยังไม่คุ้นเคยกับเขาสักเท่าไหร่ เกรงว่าจะไปทำให้เขาขุ่นเคือง ถึงเวลานั้นเขาไม่ยอมให้รักษา แล้วนางจะไปอธิบายให้ฮองเฮาฟังว่าอย่างไรในช่วงเวลาที่เหมือนถูกปิดล้อมเอาไว้ทุกทางเช่นนี้ นางไม่ต้องการขัดแย้งกับฮองเฮา อย่างน้อยก็ช่วงสามเดือนนี้ มีฮองเฮาคอยปกป้อง จะไม่มีใครกล้าที่ลงมือกับนางอย่างโจ้งแจ้งได้“ชีวิตของข้าเป็นเจ้าที่ช่วยเอาไว้ ยังจะพูดว่าไม่เชื่อใจเจ้าได้เช่นไรเล่า?" อ๋องเหลียงอดที่จะหัวเราะมิได้จื่ออันมองไปที่เขาและนึกถึงครั้งที่ได้พบกับเขาครั้งแรก เขาสวมชุดแต่งงานสีแดงสด และนั่งอยู่บนหลังม้าสูงตระหง่าน แลดูสง่างามยิ่งนักส
ไม่ถูกต้อง ดูเหมือนจะเคยได้ยินจากเสี่ยวซุนมาก่อนว่าวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าก็คือสิ้นปี“เป็นอะไรไปเล่า? เจ้าหวังให้ข้าไปร่วมงานฉลองวันเกิดของย่าเจ้าอย่างนั้นเหรอ?" เมื่ออ๋องเหลียงเห็นว่าจื่ออันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยก็เลยถาม“ไม่ ไม่ใช่เพคะ” จื่ออันส่ายหัวในทันที “หม่อมฉันแค่แปลกใจว่า วันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าควรจะเป็นวันสิ้นปี แม้ว่าจะจัดเร็วกว่ากำหนด แต่ก็ไม่ควรเร็วกว่าครึ่งปีนี่นา"จื่ออันเริ่มรู้สึกว่ามีปัญหาบางอย่าง แม้ว่าจะเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงวันเกิด แต่เวลาก็กระชั้นชิดเกินไปหลังจากอ๋องเหลียงได้ยินที่จื่ออันพูด เขาก็กล่าวกับบ่าวรับใช้ "ไปบอกพระชายาหลี่ว่า พรุ่งนี้ให้นางไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่ากับข้า"พระชายาหลี่เป็นพระชายารองของอ๋องเหลียง นางถูกแต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิให้คอยดูแลปรนนิบัติเขาในฐานะพระชายารอง“พ่ะย่ะค่ะ!” บ่าวรับใช้หันหลังเดินออกไปจื่ออันเหลือบมองไปที่อ๋องเหลียง "ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องไปร่วมงานฉลองก็ได้นะเพคะ"“มีการแสดงดี ๆ ให้ดู ข้าไม่อยากพลาด เซี่ยจื่ออันเอ๋ย เห็นได้ชัดว่าคนในตระกูลของเจ้าไม่ปล่อยให้เจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขแม้นเพียง
มู่หรงเจี๋ยเดินไปสองสามก้าวและเห็นจื่ออันยืนอยู่ใต้ต้นหอมหมื่นลี้ ใบหน้าของนางแลดูอึดอัดเล็กน้อย นางไม่ได้ตั้งใจจะมาขัดการสนทนาระหว่างพวกเขาสองพี่น้องมู่หรงเจี๋ยรู้สึกสบายใจมาก ราวกับว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้พูดอะไรที่ฟังดูโหดร้ายออกมาเลย "มาแล้วหรือ?"“อ๋องเหลียงให้หม่อมฉันมาที่นี่” จื่ออันอธิบาย“ถ้าเขาไม่ให้เจ้ามา เจ้าก็จะไม่มาเช่นนั้น?” มู่หรงเจี๋ยเลิกคิ้วแล้วมองไปยังนางจื่ออันถือกล่องยาและจ้องมองเขาผ่านแสงแดด บ้าจริง ทำไมวันนี้เขาถึงหล่อเหลานัก“มาเถอะ ท่านอ๋องก็ยังเป็นคนไข้ของหม่อมฉันอยู่นะเพคะ”“เข้าไปในห้องกันเถิด!” มู่หรงเจี๋ยหันหลังเดินเข้าไป จื่ออันก็รีบตามไป เขาเดินเร็วมาก นางจึงต้องรีบสับขาตามเขาไปอย่างเร่งรีบ ไม่มีเวลาดูทิวทัศน์ตลอดทางเลยหลังจากเข้ามาในห้อง มู่หรงเจี๋ยรีบถอดเสื้อผ้าของเขาออกและนั่งบนเก้าอี้ "เมื่อทายาเสร็จแล้ว อีกสักพักข้าก็จะดื่มสุรากับอ๋องฉี"“ข้าขอคัดค้าน!”“ไม่มีประโยชน์!” มู่หรงเจี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบจื่ออันวางกล่องยาลงแล้วขมวดคิ้ว “ท่านอ๋องไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลเช่นนี้”"การดื่มสุรากับเหตุผลมันสัมพันธ์กันอย่างไร? "“สุราจะส่งผลต
เซียวท่าพูด ‘อืม’ ออกมาคำเดียว จากนั้นก็หยิบกล่องยาของจื่ออันขึ้นมา "ไปกันเถอะ อีกสักครู่พวกเราจะมีแขก"จื่ออันเหลือบมองไปที่มู่หรงเจี๋ยมองแล้วมองอีก และต้องการที่จะแนะนำอีกสองสามคำ แต่รู้สึกว่ามันจะเสียเวลา พูดไปเขาก็ไม่ฟัง ดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรมาอีก และเดินออกไปพร้อมกับเซี่ยวท่าพอไปถึงประตูจวน อ๋องหนานหวายก็เดินออกมาด้วยเช่นกันเขามองดูจื่ออันมาโดยตลอด และเขาก็ยังรู้ถึงที่มาที่ไปของเซี่ยจื่ออันอย่างละเอียด ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจมันมาก่อน แต่ตั้งแต่ที่นางหลบหนีจากทหารองครักษ์ทั้งสองคนมาได้ ตกหน้าผาแต่ยังคงรอดชีวิตกลับมา นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายและที่สำคัญที่สุดคือ มู่หรงเจี๋ยไม่ปฏิเสธนางทั้งยังเต็มใจที่อภิเษกกับนางให้นางมาเป็นพระชายาเอกอีก“ท่านอ๋อง!” จื่ออันได้ย่อตัวคำนับเล็กน้อย แววตาของอ๋องหนานหวายแลดูยังไงชอบกล และนางก็ไม่ชอบมันมาก “เซี่ยจื่ออัน?” อ๋องหนานหวายยิ้มออกมาเบา ๆ และยังไม่ละสายตาจากนาง และยังคงจ้องไปที่จื่ออันด้วยแววตาที่แทะโลม"เพคะ!" จื่ออันตอบเซียวท่าพูดกับอ๋องหนานหวาย "หากท่านอ๋องไม่มีเรื่องอันใด ข้าจะพานางไปนะพ่ะย่ะค่ะ"อ๋องหนานหวายมองไปที่เซียวท่า แ
ถึงแม้ว่าจวนมหาเสนาบดีในช่วงนี้เรื่องผิดถูกชั่วดีต่างได้เผยออกมาอย่างมากมาย และเป็นศูนย์รวมของเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวล แต่ก็มีคนจำนวนมากที่มาร่วมงานฉลองวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ดีส่วนจะมาพูดคุยกันหรืออยากมาดูเรื่องที่น่าตื่นเต้น ก็ไม่อาจทราบได้มหาเสนาบดีเซี่ยได้เชิญอ๋องฉีราชทูตจากเป่ยโม่มาด้วย ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้เชิญซุยไท่เฟยมาด้วยเช่นกัน รายชื่อแขกสำหรับงานเลี้ยงฉลองวันเกิดในวันนี้ดีกว่ารายชื่อแขกในวันนั้นที่เซี่ยจื่ออันอภิเษกกับอ๋องเหลียงเสียอีกตามกฎแล้ว ในงานเลี้ยงวันเกิดวันนี้ ก่อนที่แขกเหรื่อจะมาถึง จื่ออันและหยวนซื่อจะต้องไปอวยพรวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าก่อน และร่วมรับประทานบะหมี่อายุยืนกับสมาชิกในครอบครัว ซึ่งนี่ก็เป็นกฎของปีที่แล้ววันนี้ป้าหลานยู่มาจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าตั้งแต่เช้า มาแจ้งข่าวให้จื่ออันกับหยวนซื่อไปคำนับและอวยพรวันเกิดให้ฮูหยินผู้เฒ่า“ดวงตาของท่านแม่ยังไม่หายดี ข้าไปก็พอแล้ว” จื่ออันกล่าวป้าหลานยู่พูดว่า “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการให้ฮูหยินใหญ่ไปด้วยเจ้าค่ะ”“ข้าบอกว่าตาของนางยังมองไม่เห็น จะไม่ไปที่นั่น เจ้าไม่ได้ยินเหรอ?" จื่ออันกล่าวอย
ชู่อวี่เหลือบมองแม่นมหยางอย่างโกรธเคือง “เจ้าค่ะ!”ตั้งแต่เรื่องของเฉินเอ้อครั้งที่แล้ว คุณหนูใหญ่ก็คอยระวังตัวจากนางมาโดยตลอด นางบอกกับเซี่ยฉวนผู้ที่ดูแลจจวนอยู่หลายครั้งว่า ต้องการย้ายออกไป แต่เขากลับไม่ตอบสนองต่อคำขอของนางนางอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบคุณหนูใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ที่เรือนเซี่ยจือหยวนแห่งนี้ จะไม่มีวันลืมตาอ้าปากได้เมื่อจื่ออันพาเสี่ยวซุนไปที่สนามหญ้าที่ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ ก็เห็นเด็ก ๆ หลายคนที่มาจากจากครอบครัวของอาสอง และหลิวซื่ออาสะใภ้รองก็เป็นคนพาพวกเขามาคำนับฮูหยินผู้เฒ่าฮูหยินผู้เฒ่ายังคงแต่งตัวอยู่ในเรือน และคนที่มาคำนับต่างอยู่ในสนามหญ้า ท่านอารองกับมหาเสนายดีเซี่ยก็กำลังพูดคุยกันอยู่ที่ต้นกล้วย โดยที่ทั้งสองคนยืนหันหลังกันอยู่เมื่อเห็นหลิวซื่อ จื่ออันก็นึกสิ่งที่แม่นมหยางบอก หลิวซื่อมีความสัมพันธ์กับเฉินเอ้อจริงหรือ?วันนี้ชุดของหลิวซื่อดูโดดเด่นมาก แม้ว่านางจะอายุสามสิบปีแล้ว แต่ก็ยังมีเสน่ห์อยู่ชุดผ้าไหมสีแดงโกเมนและผ้าซาตินพันรอบร่างกายที่อวบเล็กน้อยของนาง ใบหน้าที่ได้รับการดูแลอย่างดีและไม่มีริ้วรอยใด ๆ นางกำลังพูดคุยกับฮูหยิน
หลิวซื่อกับฮูหยินหลิงหลงยืนอยู่ด้วยกัน มองดูแล้วใบหน้าของหลิวซื่อจะเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นางมักจะเป็นเช่นนี้ เมื่อได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ ๆ ของตระกูล เพราะหยวนซื่อแทบจะไม่ได้ออกมาเลย ฮูหยินหลิงหลงทำหน้าที่เสมือนเป็นฮูหยินใหญ่ แต่มันก็เพียงชื่อที่ใช้เรียกเท่านั้น ยังไงเสียนางก็ยังเป็นอนุภรรยาอยู่ดี ดังนั้นนางที่ยืนอยู่กับภรรยาคนที่สองของตระกูลเซี่ย แต่มาดของนางดูมีความเป็นนายหญิงมากกว่าเมื่อเห็นว่าบุตรสาวของนางถามเซี่ยจื่ออัน บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาเล็กน้อย มองไปที่รอยแผลที่หน้าผากของฮูหยินหลิงหลง แล้วพูดกับเซี่ยฟางเอ๋อ "ฟางเอ๋อ อย่าทำเช่นนั้น มีบทเรียนให้เห็นกันอยู่"จริง ๆ แล้วคำพูดนี้ของนางคือต้องการบอกฮูหยินหลิงหลงว่า ท่านดูสิ พวกท่านรังแกเซี่ยจื่ออันจนตนเองได้รับแผลมาแล้วหนึ่งราย พิการนิ้วขาดไปแล้วหนึ่งนิ้ว แต่พวกนางทำอะไรเซี่ยจื่ออันไม่ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นอาสะใภ้รองของนาง ทั้งยังเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เหมือนกับนางที่เป็นแค่อนุภรรยาอารองและมหาเสนาบดีเซี่ยก็มองมาทางนี้เช่นกัน จื่ออันอันเงยหน้าขึ้น และมองไปที่ใบหน้าของมหาเสนาบดี มันทำให้นางรู้สึกตกใจ
มหาเสนาบดีเซี่ยจ้องมองไปที่นาง ฉากเมื่อครู่เขาเห็นได้ชัดเจนมาก ดูเหมือนว่านางจะจงใจแสร้งทำเป็นตื่นตระหนกอย่างไรก็ตามไม่ใช่นางที่เป็นคนลงมือ นางไม่ได้หาเรื่อง แม้แต่พูดสักคำนางยังไม่พูด ถึงแม้อยากจะลงโทษนาง แต่ก็ต้องมีข้ออ้าง“อย่าก่อเรื่องอีก!” เขาทำได้เพียงระบายความโกรธไปที่เซี่ยฟางเอ๋อกับเซี่ยหว่านเอ๋อเซี่ยฟางเอ๋อกลัวลุงคนนี้มาโดยตลอด เมื่อเห็นว่าเขาโกรธจนหน้าเขียวแล้ว แม้ว่านางจะรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าเผยท่าทางให้รู้ได้ในตอนแรกหลิวซื่อก็แค่ไม่ชอบเซี่ยจื่ออัน แต่หลังจากที่ได้เห็นความฉลาดแกมโกงของนางแล้ว ก็รู้สึกเกลียดนางขึ้นมาทันทีแม้กระทั่งฟางเอ๋อยังถูกมหาเสนาบดีดุ นางจะไม่ยอมทนอีกต่อไป“ช่างเถิด ในตอนนี้นางอยู่ในจวนก็ไม่มีใครกล้ายั่วยุนางอยู่แล้ว แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ชอบนาง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้" ฮูหยินหลิงหลงทำเหมือนไม่ต้องการให้หลิวซื่อไปถือสาหาความจื่ออัน แต่ก็พูดยั่วยุไม่หยุดหย่อน หลังจากที่หลิวซื่อได้ยินดังนั้น ในใจก็มีแผนการแล้ว อยากจัดการจื่ออันให้ฮูหยินผู้เฒ่า เป็นทั้งการเอาใจนางแถมได้แก้แค้นให้ฟางเอ๋ออีกด้วยจื่ออันยืนอยู่ด้านข้าง ไม่มองหน้าคนเหล
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว