จื่ออันพาสนมเหมยไปนั่งลง และพูดอย่างจริงใจ “สนมเหมย สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างท่านและข้าในอดีต เป็นเพียงความไม่พอใจส่วนตัวเท่านั้น และมันก็จบลงไปแล้ว ท่านไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการมุ่งร้ายต่อข้า อีกทั้งเซี่ยหลินก็กลับมาปกติดีทุกอย่าง ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ไม่หลงเหลือความโกรธแค้นใด เราสองสะใภ้ร่วมใจกันโดยไม่มีใครอื่น ข้าจะบอกความลับบางอย่างให้ท่านฟังก็ได้ อ๋องเจ็ดเมตตาองค์ชายสามจากใจจริง หาใช่ต้องการเอาเปรียบเขา แต่เพราะเขามั่นใจอย่างยิ่งว่าลูกของท่านจะประสบความสำเร็จเป็นแน่ ท่านไม่มั่นใจในตัวเขาเลยเชียวหรือ? ไม่คิดว่าเขาฉลาดหลักแหลมและโดดเด่นหรอกหรือ? ทุกยุคทุกสมัย ตระกูลมู่หรงจะต้องมีผู้ที่สามารถแบกรับความรับผิดชอบต่อประเทศได้ เมื่อก่อนก็เป็นองค์จักรพรรดิแล้วคนหนึ่ง ตอนนี้อ๋องเจ็ดบอกว่าองค์ชายสามมีความสามารถ แล้วเหตุใดถึงไม่เชื่อเราสักครั้ง? เราจะได้ประโยชน์อะไรหากคิดจะหลอกใช้ท่าน? กล่าวตามตรง ท่านคิดว่าหากอ๋องเจ็ดอยากเป็นจักรพรรดิ เขายังต้องพึ่งพาการสนับสนุนองค์ชายทั้งหลายเพื่อเอาชนะใจประชาชนอีกหรือ?”สนมเหมยเชื่ออย่างลึกซึ้งว่า หากองค์ชายผู้สำเร็จราชการแทนต้องการแข่งขันชิงบัลลังก์จริง ทั้งร
ทหารเต็มไปด้วยขวัญกำลังใจ และเตรียมพร้อมอย่างยิ่งสำหรับการต่อสู้แบบเป็นหรือตายไปกับเป่ยโม่อย่างไรก็ตาม เมื่อสองวันก่อน จู่ ๆ เป่ยโม่ก็ถอนกำลังออกไปสามสิบลี้ โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าสิ่งนี้ทำให้มู่หรงเจี๋ยไม่สามารถมองทะลุแผนการได้ดังนั้น คืนนั้นหลังจากหารือกับเหล่าแม่ทัพแล้ว เขาจึงนอนไม่หลับเป็นเวลานานหลังจากมาถึงสนามรบ เขามักจะคิดวนเวียนถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ แต่เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่วอกแวกจื่ออันไม่ค่อยเขียนจดหมายถึงเขาเลย เขาจึงเข้าใจว่าการที่นางไม่เขียนจดหมายมาถึงเขา หมายความว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี และนางไม่ต้องการทำให้เขาเสียสมาธิเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าอาการป่วยทางใจจะฝังลึกถึงกระดูกดำ มีคำกล่าวว่าวีรบุรุษอาจพลาดท่าเพราะความรัก ความเสน่หาระหว่างชายหญิงคงทน เมื่อก่อนเขาไม่เคยเชื่อ แต่ตอนนี้เมื่อถึงคราวเขาบ้าง เขาจึงเชื่ออย่างสนิทใจเขารู้สึกว่าเมื่อก่อนเขาไร้เดียงสามาก ไม่อยากเป็นฝ่ายแสดงความรักก่อน แต่ถ้าจื่ออันยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ เขาจะไม่ลังเลเลย เขาจะกอดนาง จุมพิตนางแรง ๆ สักสองสามครั้ง แล้วบอกว่าเขาคิดถึงนางมากเพียงใดสถานการณ์ในเมืองหลวงไม่เคยลอยมาเข้าหูใ
จ้วงจ้วงมาถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของจื่ออัน และพูดด้วยความเป็นกังวล “ฝ่าบาททรงยอมใช้พิษกู่ในการรักษาโรค ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย จื่ออัน พิษกู่นี้เป็นศาสตร์ชั่วร้ายมิใช่หรือ?”จื่ออันไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ดังนั้นจึงได้แต่ปลอบจ้วงจ้วงว่า “วิธีการรักษาโรคไม่มีถูกพิษ บางทีพิษกู่ก็ทำให้พระอาการประชวรดีขึ้นจริง ๆ”“แต่พิษกู่นั้นเป็นอันตรายต่อมนุษย์นะ”“ข้าเองก็ไม่รู้เรื่องพิษมากนัก ไม่รู้ว่าซุนฟางเอ๋อร์ใช้วิธีการใดในการรักษา แต่หากนางไม่ได้ทำร้ายพระวรกายมังกรของฝ่าบาท และผลสุดท้ายพระอาการโดยรวมทุเลาลง ก็คงไม่มีอะไรผิดปกติหรอกกระมัง”จ้วงจ้วงถอนหายใจเบา ๆ “แม้ว่าเขาจะปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ แต่ข้าก็ยังไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเขา”จื่ออันไม่แสดงความเห็น นางไม่มีความรู้สึกไว้วางใจต่อองค์จักรพรรดิเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป“จริงสิ” จ้วงจ้วงกล่าว “ทหารยามประจำคุกหลวงมาพบข้า รายงานว่ากุ้ยไท่เฟยแสดงความปรารถนาที่จะพบเจ้า”“อยากพบข้าหรือ?” จื่ออันสะดุ้ง “นางควรเกลียดข้ามิใช่รึ? เหตุใดนางถึงยังอยากเจอหน้าข้าอยู่เล่า?”“ข้าไม่รู้ แต่ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าเจ้าต้องการไปหรือไม่ ตอนนี้ข้าแค่กังวล เพราะไม่อาจตี
กุ้ยไท่เฟยนอนอยู่บนเสื่อฟางในคุกหลวง มีกลิ่นเหม็นหึ่งไปทั้งตัว ปากของนางมีเลือดและหนองไหลออกมา มือถูกไฟไหม้เป็นรอยดำ มีทั้งหนองและเลือดบวมเต่ง เอาแต่นอนมองดูเพดานคุกหลวงอย่างเงียบ ๆ โดยที่สายตาเลื่อนลอยไร้ซึ่งพลังงานใดเมื่อจื่ออันมาถึง เสียงฝีเท้าของนางเบามาก ทว่าผู้ที่อยู่ด้านในก็ยังได้ยิน จึงหันศีรษะและจ้องมองไปทางจื่ออันนางยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาด เพราะปากของนางเปิดกว้าง กระทั่งเห็นลิ้นที่ถูกตัดขาด มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากเป็นคราบเกรอะกรัง“ท่านอยากเจอข้าหรือ?” จื่ออันระงับความสั่นไหวในใจ พูดตามตรง เมื่อเห็นกุ้ยไท่เฟยที่มักจะทำตัวสูงส่งและหยิ่งผยองมาโดยตลอดมีจุดจบน่าสังเวชเช่นนี้ จื่ออันกลับบังเกิดความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นอ๋องหนานหวายโจมตีผู้หญิงตรงหน้ากับตาตัวเองกุ้ยไท่เฟยพยักหน้า ตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง อ้าปากกว้าง พยายามพูดสองสามพยางค์ซ้ำไปซ้ำมา ฟังไม่ได้ศัพท์ ขณะพูดเลือดก็ยังไหลซึม ในที่สุดจื่ออันก็ได้ยินสิ่งที่นางหมายถึง “ฆ่าอ๋องแปด!”เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้? ตอนแรกลูกชายอยากฆ่าแม่ของเขา ตอนนี้แม่เองก็อยากฆ่าลูกชายของตน แม้ว่
จื่ออันอารมณ์ไม่ดีเลยหลังออกมาจากคุกหลวง เดิมทีนางก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อได้เห็นสภาพอีกฝ่ายอารมณ์กลับยิ่งดำดิ่งลงไปอีกชีวิตคนเราต้องการแสวงหาสิ่งใดกัน? ดูอย่างกุ้ยไท่เฟย หากนางรู้จักปล่อยวางเสียบ้าง นางก็จะสามารถเพลิดเพลินกับวัยชราได้อย่างสงบหรือบางทีนางอาจจะอยากทำสิ่งนี้เพื่อผลักดันตัวเองไปสู่จุดสูงสุดเพียงครั้งเดียวในชีวิต ต่อให้นางจะต้องจบชีวิตลงเช่นนี้ก็ตาม นางจะไม่เสียใจเลยแต่นางไม่เสียใจจริงหรือ? ท้ายที่สุดนางก็ตะโกนชื่อนั้นออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง นางไม่เสียใจในสิ่งที่ตนเองทำแน่หรือ?นางขี่ม้ากลับมาที่ประตูพระราชวัง เห็นอ๋องหนานหวายออกมาจากข้างใน ขี่ม้าขาวแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ สวมเสื้อคลุมลายมังกรสี่เล็บของสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูง ดูองอาจกล้าหาญ สีหน้าเคร่งขรึมดุดัน คิ้วเข้มได้รูปทรงราวกับจงใจวาดให้หางคิ้วลากไปถึงขมับ จื่ออันจำได้ว่าก่อนหน้านี้คิ้วของเขาสั้นมากเมื่อทั้งสองพบกัน อ๋องหนานหวายก็ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อมก่อน “พระชายา!”จื่ออันมองเขาแล้วยิ้มตอบ แสงตะวันอันเจิดจ้าลอดผ่านดวงตาของนาง พยายามฝืนแสดงรอยยิ้มอย่างจริงใจ “ท่านอ๋องช่วยชีวิตข้าไว้ ข้ายั
จากนั้นเขาได้ส่งหวู่อันโหวให้นำทหารสามหมื่นนายที่ประจำการอยู่ ณ ใจกลางเมืองหลวง รวมถึงกำลังพลเจ็ดหมื่นนายจากมณฑลกวางตุ้งไปจัดการกับเซียนเปยเป็นการชั่วคราว โดยที่ไม่สร้างความขัดแย้งโดยตรงกับเซียนเปยเมื่อสงครามครั้งนี้ได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ แม่ทัพก็ไมีมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจอีก ต้องเดินทัพเต็มกำลังตามคำสั่งเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องบังเอิญที่แม้ว่าคำสั่งของจักรพรรดิจะถูกส่งไปยังมู่หรงเจี๋ย แต่มู่หรงเจี๋ยกลับไม่ได้รับมัน ม้าเร็วจากสถานที่พักเปลี่ยนม้ารีบตรงกลับไปยังเมืองหลวง เพื่อรายงานว่าม้าเร็วที่อัญเชิญพระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดิถูกกลุ่มโจรในถังโจวปล้นกลางทาง จนคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทหารม้าเร็วตกอยู่ในอาการสาหัสไม่ได้สติเป็นเวลาสองวัน ก่อนจะตื่นขึ้นมา ครั้นตื่นขึ้นก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปที่ชายแดนพร้อมกับพระราชกฤษฎีกา จึงรีบกลับมาที่เมืองหลวงเพื่อสอบถามเนื้อหาในพระราชกฤษฎีกาอีกครั้งม้าเร็วที่อัญเชิญพระราชโองการของจักรพรรดิได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มโจร นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ราชสำนักและสาธารณชนต่างตกตะลึง สิ่งที่น่าตกใจคือคำสั่งจากองค์จักรพรรดิให้โจมตีเต็มรูปแบ
จื่ออันไปที่จวนตระกูลเฉินเพื่อพบกับหญิงชรา เห็นนางถือซาลาเปาอยู่ในมือ นั่งลงบนบันไดหินหน้าทางเดิน กัดของกินในมือคำเล็ก ๆ ด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ นางกลับพับขากางเกงที่เต็มไปด้วยโคลนขึ้น วางจอบไว้ข้างตัว ดูเหมือนเป็นหญิงชราชาวไร่ที่เพิ่งกลับจากทุ่งนาขณะที่จื่ออันพูด นางก็กัดซาลาเปานึ่งไปด้วย พยักหน้าและยิ้มรับเป็นครั้งคราวในที่สุดนางก็กัดกินซาลาเปาช้าลง ขมวดคิ้วแน่นด้วยความเศร้าหมองเมื่อเห็นสิ่งนี้จื่ออันก็ถามอย่างเป็นกังวล “ท่านพูดอะไรหน่อยสิ”“สถานการณ์ค่อนข้างร้ายแรง” หญิงชราส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ กลืนซาลาเปาแล้วยืดคอ“จริงหรือ? ท่านมองเห็นปัญหาอะไร?” จื่ออันถอนหายใจ “บอกให้ข้ารู้หน่อยไม่ได้หรือ?”หญิงชราหันไปมองนางแล้วถอนหายใจ “ปีที่แล้วข้าสามารถกินซี่โครงแกะได้หนึ่งถึงสองจินในมื้อเดียว อีกทั้งยังสามารถเคี้ยวกลืนเนื้อสัตว์ได้อย่างง่ายดาย ปีนี้แม้แต่ซาลาเปานิ่ม ๆ ยังทำให้ฟันของข้าปวดแปลบ ข้าแก่ตัวลงไปมากแล้ว ฟันไม่แข็งแรงอีกต่อไป เจ้าคิดว่ามันร้ายแรงหรือไม่ล่ะ?”จื่ออันรู้สึกท้อแท้ “ท่านกังวลไปไยกัน? เป็นเรื่องปกติที่ฟันของคนเราจะเสื่อมโทรมลงเมื่
จื่ออันยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านมักจะใจเย็นอยู่เสมอ”“ใจเย็นอะไรกัน? ข้าแค่รอดูอยู่ห่าง ๆ สถานการณ์นี้ยากจะแก้ไข องค์จักรพรรดิสั่งโจมตีเต็มกำลัง ผู้สำเร็จราชการแทนอาจจะหาอุบายหลบเลี่ยงได้ แต่ใช้แผนเดิมไม่ได้กับครั้งที่สอง หากแม่ทัพทั้งสองไปอยู่แนวหน้าแล้วเขายังหาข้ออ้าง เกรงว่าคราวนี้พระองค์อาจจะสั่งเปลี่ยนมืออำนาจผู้บัญชาทัพ เมื่ออำนาจในการควบคุมและสั่งการกองทัพหมดไป เขาก็จะไม่มีอิสระในการสงครามเท่าที่ควรอีก อย่างไรก็ตาม เราเองก็ทำอะไรไม่ได้มาก ขึ้นอยู่กับว่าท่านอ๋องจะถอนกำลังทหารอย่างไร เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสละชีวิตของทหารเพื่อซื้อความสงบสุขสักปีหรือสองปี หากครั้งนี้เขาไม่แน่ใจถึงเจ็ดหรือแปดในสิบ เขาจะไม่มีวันโจมตีอย่างเต็มกำลังเด็ดขาด”“จริงด้วย ฉินโจวเป็นแม่ทัพที่ชำนาญการกระหนาบโจมตีอย่างรุนแรง ไม่ใช่ความคิดดีเลยจะเปิดศึกปะทะกับนาง เป็นการดีที่สุดที่เขาใช้แผนสงครามกองโจร ลอบโจมตีเพื่อทำให้นางอารมณ์เสีย เผื่อว่าเราจะมีโอกาสชนะ”“อืม การวิเคราะห์ของเจ้าถูกต้อง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะฉลาดถึงเพียงนี้ ไม่มีใครในฝั่งขององค์จักรพรรดิสามารถตรวจสอบสถานการณ์อย่างรู้แจ้ง กระนั้น
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว