จากนั้นเขาได้ส่งหวู่อันโหวให้นำทหารสามหมื่นนายที่ประจำการอยู่ ณ ใจกลางเมืองหลวง รวมถึงกำลังพลเจ็ดหมื่นนายจากมณฑลกวางตุ้งไปจัดการกับเซียนเปยเป็นการชั่วคราว โดยที่ไม่สร้างความขัดแย้งโดยตรงกับเซียนเปยเมื่อสงครามครั้งนี้ได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ แม่ทัพก็ไมีมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจอีก ต้องเดินทัพเต็มกำลังตามคำสั่งเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องบังเอิญที่แม้ว่าคำสั่งของจักรพรรดิจะถูกส่งไปยังมู่หรงเจี๋ย แต่มู่หรงเจี๋ยกลับไม่ได้รับมัน ม้าเร็วจากสถานที่พักเปลี่ยนม้ารีบตรงกลับไปยังเมืองหลวง เพื่อรายงานว่าม้าเร็วที่อัญเชิญพระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดิถูกกลุ่มโจรในถังโจวปล้นกลางทาง จนคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทหารม้าเร็วตกอยู่ในอาการสาหัสไม่ได้สติเป็นเวลาสองวัน ก่อนจะตื่นขึ้นมา ครั้นตื่นขึ้นก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปที่ชายแดนพร้อมกับพระราชกฤษฎีกา จึงรีบกลับมาที่เมืองหลวงเพื่อสอบถามเนื้อหาในพระราชกฤษฎีกาอีกครั้งม้าเร็วที่อัญเชิญพระราชโองการของจักรพรรดิได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มโจร นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ราชสำนักและสาธารณชนต่างตกตะลึง สิ่งที่น่าตกใจคือคำสั่งจากองค์จักรพรรดิให้โจมตีเต็มรูปแบ
จื่ออันไปที่จวนตระกูลเฉินเพื่อพบกับหญิงชรา เห็นนางถือซาลาเปาอยู่ในมือ นั่งลงบนบันไดหินหน้าทางเดิน กัดของกินในมือคำเล็ก ๆ ด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ นางกลับพับขากางเกงที่เต็มไปด้วยโคลนขึ้น วางจอบไว้ข้างตัว ดูเหมือนเป็นหญิงชราชาวไร่ที่เพิ่งกลับจากทุ่งนาขณะที่จื่ออันพูด นางก็กัดซาลาเปานึ่งไปด้วย พยักหน้าและยิ้มรับเป็นครั้งคราวในที่สุดนางก็กัดกินซาลาเปาช้าลง ขมวดคิ้วแน่นด้วยความเศร้าหมองเมื่อเห็นสิ่งนี้จื่ออันก็ถามอย่างเป็นกังวล “ท่านพูดอะไรหน่อยสิ”“สถานการณ์ค่อนข้างร้ายแรง” หญิงชราส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ กลืนซาลาเปาแล้วยืดคอ“จริงหรือ? ท่านมองเห็นปัญหาอะไร?” จื่ออันถอนหายใจ “บอกให้ข้ารู้หน่อยไม่ได้หรือ?”หญิงชราหันไปมองนางแล้วถอนหายใจ “ปีที่แล้วข้าสามารถกินซี่โครงแกะได้หนึ่งถึงสองจินในมื้อเดียว อีกทั้งยังสามารถเคี้ยวกลืนเนื้อสัตว์ได้อย่างง่ายดาย ปีนี้แม้แต่ซาลาเปานิ่ม ๆ ยังทำให้ฟันของข้าปวดแปลบ ข้าแก่ตัวลงไปมากแล้ว ฟันไม่แข็งแรงอีกต่อไป เจ้าคิดว่ามันร้ายแรงหรือไม่ล่ะ?”จื่ออันรู้สึกท้อแท้ “ท่านกังวลไปไยกัน? เป็นเรื่องปกติที่ฟันของคนเราจะเสื่อมโทรมลงเมื่
จื่ออันยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านมักจะใจเย็นอยู่เสมอ”“ใจเย็นอะไรกัน? ข้าแค่รอดูอยู่ห่าง ๆ สถานการณ์นี้ยากจะแก้ไข องค์จักรพรรดิสั่งโจมตีเต็มกำลัง ผู้สำเร็จราชการแทนอาจจะหาอุบายหลบเลี่ยงได้ แต่ใช้แผนเดิมไม่ได้กับครั้งที่สอง หากแม่ทัพทั้งสองไปอยู่แนวหน้าแล้วเขายังหาข้ออ้าง เกรงว่าคราวนี้พระองค์อาจจะสั่งเปลี่ยนมืออำนาจผู้บัญชาทัพ เมื่ออำนาจในการควบคุมและสั่งการกองทัพหมดไป เขาก็จะไม่มีอิสระในการสงครามเท่าที่ควรอีก อย่างไรก็ตาม เราเองก็ทำอะไรไม่ได้มาก ขึ้นอยู่กับว่าท่านอ๋องจะถอนกำลังทหารอย่างไร เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสละชีวิตของทหารเพื่อซื้อความสงบสุขสักปีหรือสองปี หากครั้งนี้เขาไม่แน่ใจถึงเจ็ดหรือแปดในสิบ เขาจะไม่มีวันโจมตีอย่างเต็มกำลังเด็ดขาด”“จริงด้วย ฉินโจวเป็นแม่ทัพที่ชำนาญการกระหนาบโจมตีอย่างรุนแรง ไม่ใช่ความคิดดีเลยจะเปิดศึกปะทะกับนาง เป็นการดีที่สุดที่เขาใช้แผนสงครามกองโจร ลอบโจมตีเพื่อทำให้นางอารมณ์เสีย เผื่อว่าเราจะมีโอกาสชนะ”“อืม การวิเคราะห์ของเจ้าถูกต้อง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะฉลาดถึงเพียงนี้ ไม่มีใครในฝั่งขององค์จักรพรรดิสามารถตรวจสอบสถานการณ์อย่างรู้แจ้ง กระนั้น
จื่ออันประหลาดใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? นำเลือดของเจ้าไปใช้ประโยชน์งั้นหรือ? เจ้าถูกสั่งให้ทำอะไรกันแน่?”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จนเกินไป แต่จงจำคำกล่าวของข้าไว้ แม้ว่าน้ำส้มสายชูจะใช้ในการสลายพิษกู่ได้ ทว่าเมื่ออ๋องหนานหวายตาย เขาก็ยังไม่รอดพ้นจากความตาย การดื่มน้ำส้มสายชูอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของหนอนกู่ได้เป็นเวลานาน แต่ลูกกู่จะโตช้ากว่าแม่กู่ ดังนั้นมีเวลากำจัดเพียงประมาณครึ่งเดือนเท่านั้น นอกจากนี้ การแก้พิษจะทำได้ก็ต่อเมื่อแม่กู่ตายก่อนเท่านั้น และกุญแจสำคัญคือหนอนแม่กู่ที่ได้จากศพของอ๋องหนานหวาย”การวิจัยเรื่องพิษของจื่ออันยังไม่มีความคืบหน้า นางต้องการถามคำถามเพิ่มเติม แต่ซุนฟางเอ๋อร์จากไปแล้วโดยไม่พูดอะไรอีก “ส่งตัวแม่และน้องของเจ้าออกไปโดยเร็วที่สุด!”จื่ออันตกตะลึง นึกถึงตอนที่องค์จักรพรรดิถามถึงมารดาของนาง เป็นไปได้หรือไม่ว่าคราวนี้เขาอาจเล็งเป้าหมายมาที่แม่ของนาง…จื่ออันรีบวิ่งไปคว้าแขนของซุนฟางเอ๋อร์ “คำถามสุดท้าย พระอาการประชวรของจักรพรรดิหายดีแล้วหรือ?”ซุนฟางเอ๋อร์ฝืนยิ้มแปลก ๆ “พระองค์คิดว่าพระองค์หายดีแล้วต่างหาก”
เนื่องจากประโยคนี้ บรรยากาศจึงค่อนข้างผ่อนคลาย ความเครียดอันตึงเครียดของทุกคนผ่อนคลายลงชั่วขณะหนึ่งหลังจากเชิญทั้งสองคนเข้ามาและนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ดื่มชาอึกใหญ่ แล้วถามพร้อมกันว่า “มีอีกหรือไม่?”“พวกเจ้ากระหายน้ำมากถึงเพียงนั้นเชียว? ในวังไม่มีน้ำชาให้เจ้าสักหยดเลยเชียวหรือ?” เฉินไท่จวินขมวดคิ้วใบหน้าของพวกเขาซีดมาก ริมฝีปากหรือก็แห้งผาก ดูกระหายน้ำมากจริง ๆ“น้ำชาอะไรกัน? พวกเรารออยู่หนึ่งชั่วยามในวังซีเหวยกว่าฝ่าบาทจะเรียกเราเข้าไป เรามองไม่เห็นหน้าพระองค์ผ่านม่านกั้น ทว่าพระองค์ถามคำถามมากมายอย่างละเอียด ซึ่งเป็นการยากสำหรับเราทั้งคู่ที่จะอธิบาย ริมฝีปากและลิ้นของข้าแห้งผากไปหมด ไม่ได้กลืนน้ำลายลงคอเลยแม้แต่หยดเดียว” ซู่ชิงบ่นทุกคนมองหน้ากัน อ๋องเยี่ยกล่าวอย่างสงบ “หากใครไม่รู้ เขาคงคิดว่าพระองค์คือผู้ที่มีอำนาจนำทัพเป็นการส่วนตัว”จื่ออันมองไปที่เซียวท่า “ท่านอ๋อง... สบายดีหรือไม่?”“สบายดี” เซียวท่ายิ้ม “เขาต้องสบายดีแน่นอนอยู่แล้ว”รอยยิ้มนี้ค่อนข้าง...แปลกนิดหน่อยจื่ออันรู้สึกได้ทันที... เขาไม่สบายใจ!“จริงสิ กองทัพเป่ยโม่ถอยทัพออกไปราวสามสิบลี้ เจ้าพอจะ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ จู่ ๆ ซู่ชิงก็พูดขึ้นว่า “จริงสิ เมื่อเรากลับมาถึงเมืองหลวง ได้ช่วยเหลือคนเถื่อนคนหนึ่งไว้ ตั้งใจว่าจะรับเขาเข้ามาในวังเพื่อให้คอยปกป้องท่าน”จื่ออันปฏิเสธ “ไม่เป็นไร ข้ามีเสี่ยวตาวอยู่ เจ้าพาเขากลับไปเลี้ยงดูเถิด”ซู่ชิงกล่าวต่อ “จวนข้ามีผู้คนเพียงพออยู่แล้ว และท่านพ่อของข้าก็ไม่ชอบคนเถื่อน”จื่ออันมองไปที่เซียวท่า แต่เขารีบโบกมือ “ไม่ได้ ปู่ของข้าก็ไม่ชอบคนเถื่อนเช่นเดียวกัน”จื่ออันจึงทำได้เพียงกล่าวว่า “ได้ เช่นนั้นก็เลี้ยงดูเขาไว้ก่อน หากมีความสามารถก็ให้อยู่ในบ้านและทำงานเป็นช่างซ่อมบำรุง”จริง ๆ แล้วจวนนี้ไม่เคยขาดแคลนแรงงานเลยด้วยซ้ำ เพราะที่นี่มีเจ้านายไม่มาก เหตุใดเราจึงต้องมีคนรับใช้มากมายด้วย?ซู่ชิงกล่าวว่า “เขามีฝีมือดีด้านวรยุทธ์ เป็นประโยชน์มากแน่”จ้วงจ้วงกล่าวว่า “หากพวกเจ้าไม่ว่าอะไร ก็ส่งเขาไปที่ตำหนักองค์หญิงใหญ่ของข้าเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็มีกำลังพอจะเลี้ยงดูคนเพิ่มอีกหนึ่ง”“ไม่ได้!” ซู่ชิงและเซียวท่าคัดค้านพร้อมกันจื่ออันและจ้วงจ้วงสะดุ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อมองดูหน้าตาของทั้งสองแล้ว จื่ออันก็ถามอย่างสงสัย “ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ?”ซู่ชิ
“ใช่ พวกเราต้องกลับเมืองหลวงภายในสามวัน”“หมายความว่าเจ้าเพิ่งออกเดินทางเมื่อสามวันก่อนเองหรือ?”ซู่ชิงคอบรับในลำคอ “อืม ความจริงข้าควรจะออกเดินทางตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว ไม่สิ ข้าต้องช่วยทำอะไรบางอย่าง จึงต้องเลื่อนเวลาเดินทางออกไป เมื่อเลื่อนเวลาเดินทางออกจากค่ายทหาร จึงต้องชดเชยเวลาบนท้องถนนแทน”จื่ออันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จู่ ๆ พวกเขาก็ได้รับคำสั่งให้กลับมา ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาไม่เต็มใจทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน แม้ว่าพวกเขาต้องจากไป ก็จำเป็นต้องช่วยอ๋องเจ็ดจัดการเรื่องบางอย่างเสียก่อน เป็นเรื่องยากจริง ๆ สำหรับพวกเขาหลังจากรับประทานอาหารและพูดคุยกันสักพัก อาฉวิ่นก็ออกไปนั่งอยู่หน้าระเบียงและนอนพิงเสาหลังจากนั้นไม่นาน ซู่ชิงและคนอื่น ๆ กำลังจะจากไป หลังจากเห็นทุกคนออกไป แล้วนางก็หันกลับมา เมื่อเห็นว่าอาฉวิ่นยังคงหลับอยู่ นางจึงขอให้เสี่ยวซุนช่วยไปจัดห้องให้เขาพักผ่อนเสี่ยวซุนก้าวไปข้างหน้าและตบไหล่อาฉวิ่น “อาฉวิ่น เจ้าตื่นได้แล้ว”อาฉวิ่นลืมตาขึ้น มองหน้าเสี่ยวซุน จากนั้นก็มองผ่านเสี่ยวซุนไปที่จื่ออันจื่ออันกล่าวว่า “เจ้าจงไปกับเสี่ยวซุน แบ่งปันห้องนอนร่วมกับตาวเหล่าต้าเถิด
ทันใดนั้นอาฉวิ่นก็ปล่อยมือจากนาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? คนแปลกหน้าบุกถึงในห้อง เจ้ากลับไม่มีลางล่วงรู้วิกฤติ ทั้งยังไม่มีความระมัดระวังเอาเสียเลย”จื่ออันห่อตัวให้มิดชิด เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางก็หรี่ตาลงและมองดูเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงยื่นมือออกไปดึงหน้าเขา ดึงหนวดเครากองหนึ่งออก เผยใบหน้าที่คุ้นเคยและน่ารำคาญในเวลาเดียวกันนางสะดุ้งโหยง ทันใดนั้นความสุขก็เติมเต็มทั้งจิตใจและหัวใจ นางกอดเขาไว้แน่น “ท่านกลับมาได้อย่างไร?”หลังจากกอดเขาไปสักพัก จู่ ๆ นางก็จดจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้“เจ้า มู่หรงเจี๋ย เจ้าแกล้งปลอมตัวเป็นคนบ้าใบ้เพื่อทำให้ข้ากลัวหรือ?” จื่ออันโกรธมาก ยกกำปั้นขึ้นทุบเขาซ้ำ ๆเขาไม่ต่อต้านหรือหลบเลี่ยง “รีบตีให้พอใจเร็ว ข้ายังอยากทำอย่างอื่นอยู่”นางตะคอกและเอ่ยว่า “ไม่ต้องทำอย่างอื่นเลย คืนนี้อย่าได้คิดจะแตะต้องข้าด้วย ใครบอกให้ท่านทำข้ากลัวเช่นนั้นกัน”“ใครคิดจะแตะต้องเจ้า ข้าแค่อยากอาบน้ำ ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน ฝุ่นเต็มตัวไปหมด” หลังจากที่มู่หรงเจี๋ยพูดจบ เขาก็เลื่อนตัวลงไปอยู่ในอ่างแล้ว ส่งเสียงครางด้วยความสบายจื่ออันอดไม่ได้ที่จะท
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว