เสี่ยวเป่ายังเด็กอยู่ เป็นเรื่องยากสำหรับหลิงอวี๋ที่จะไปจนกว่าอาการของเขาจะคงที่นางเดินออกไปให้เซียวหลินเทียนกลับไปก่อน ตนจะพักอยู่ที่ตำหนักองค์ชายเย่ชั่วคราวหนึ่งคืนเซียวหลินเทียนรู้สึกได้ไวต่อการเปลี่ยนแปลงท่าทีขององค์ชายเย่ที่มีต่อเขา เขาดึงหลิงอวี๋อย่างเป็นกังวลแล้วเอ่ย “อาอวี๋ เจ้าอยู่ที่นี่จะมิเป็นไรหรือ?”หลิงอวี๋เข้าใจความกังวลของเซียวหลินเทียนทันที จึงบีบมือแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา! หม่อมฉันจะดูแลตัวเอง!”“เมื่ออาการของเสี่ยวเป่าคงที่แล้ว หม่อมฉันจะกลับไปในวันพรุ่ง! ให้หลิงซวนดูแลเฮยจื่อให้ดี!”“โรคนี้ฟังดูน่ากลัว แต่ตราบใดที่ใส่ใจกับการฆ่าเชื้อและข้อควรระวัง ก็จะมิติดเชื้อในบ้าน!”“อืม ข้าจะจัดการให้!”เซียวหลินเทียนจับมือหลิงอวี๋อย่างแน่นก่อนจะพาคนกลับตำหนัก“พี่สะใภ้สี่ คืนนี้ท่านคงจะเหนื่อยแล้ว!”องค์ชายเย่เอ่ยอย่างสุภาพสองสามคำแล้วกลับไปที่ห้องของเขาหลิงอวี๋อยู่กับจูหลานคอยเฝ้าเสี่ยวเป่า เมื่อมีระยะห่างแล้ว หลิงอวี๋ก็มิได้พูดกับจูหลานมากนักเมื่อเห็นว่าเสี่ยวเป่าเหงื่อออกมาก นางจึงเอ่ย “เอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เขาเปลี่ยนเถิด! ซักเสื้อผ้าที่เปลี่ยน ต้มใ
หลิงอวี๋รู้สึกประทับใจกับสิ่งที่จูหลานเอ่ยจูหลานดูไร้เดียงสา แต่นางก็มีสติ!“ท่านพี่สะใภ้สี่ ท่านคิดว่าข้าโตแล้วใช่หรือไม่?”จูหลานยิ้ม “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับท่านมามากแล้ว ข้าได้ยินมาว่าท่านเกือบจะถูกท่านอ๋องอี้ทุบตีจนตาย แต่ในที่สุดท่านก็ตื่นขึ้นมา!”“ข้าก็เหมือนกัน ความตายอยู่ใกล้ข้ามากเมื่อตอนที่ข้าให้กำเนิดลูก!”“ข้ามักจะคิดว่าหากข้ามิโชคดีพอที่ได้พบท่าน หลุมศพของข้าคงเต็มไปด้วยวัชพืช! เมื่อเทียบกับความตาย ความรุ่งโรจน์กับความมั่งคั่ง ในใต้หล้านี้เป็นเพียงเมฆที่หายวับไปได้เท่านั้น!”“เซียวหลินมู่มิเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน หลังจากได้รับกำลังใจจากคนอื่น เขาลืมไปเลยว่าตัวเขาเองมีความสามารถแค่ไหน!”จูหลานส่ายหัวพลางถอนหายใจ “ท่านอ๋องอี้มีพลังมากกว่าเขามาก ตอนที่ท่านถูกใส่ร้าย เขาเจอกับกองทัพหลวงก็ยังทำอะไรมิถูก!”“เซียวหลินมู่มิเคยคิดเลยว่าตอนที่เขาถูกศัตรูรายล้อม หากมิได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องที่เสียชีวิตไป ใครจะช่วยเขา!”หลิงอวี๋เงียบไป นางเข้าใจได้ว่าจูหลานแสดงความปรารถนาดีต่อนาง มิว่าจะเป็นเพื่อเซียวหลินมู่หรือเพื่อตัวนางเอง หลิงอวี๋ก็ยอมรับในความปรารถนาดีของ
หลิงอวี๋ให้น้ำเกลืออีกชุดหนึ่งกับเสี่ยวเปาแล้วเอ่ยกับจูหลาน“อาการของเสี่ยวเป่าให้น้ำเกลือสามวันก็มิเป็นอะไรมากแล้ว! ข้าจะให้สุ่ยหลิงเฝ้าเขาในวันนี้แล้ววันพรุ่งข้าจะมาตรวจอาการ!”จูหลานได้เห็นแล้วว่าเสี่ยวเป่าดีขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเอ่ยขอบคุณ “เจ้าค่ะ ท่านพี่สะใภ้สี่ ขอบคุณท่านแล้ว! ท่านกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะส่งรถม้าไปรับในวันพรุ่ง!”“อืม!”หลิงอวี๋ต้องกลับไปดูเฮยจื่อ จึงให้สุ่ยหลิงอยู่ที่นี่แล้วบอกลาจูหลานจัดรถม้าไปส่งหลิงอวี๋กลับรถม้ามาถึงตำหนักอ๋องอี้ ก่อนที่หลิงอวี๋จะลงจากรถ นางก็เห็นมู่หรงชิ่งยืนอยู่ที่ประตูตำหนักอ๋องอี้พร้อมกับนางรับใช้“องค์หญิงชิ่ง? มีอะไรหรือ?”หลิงอวี๋ทักทายทันทีที่ลงจากรถ“อื้ม ข้ามาที่นี่เพื่อถามเจ้าว่า เจ้าได้รับคำเชิญขององค์หญิงตานรั่วหรือไม่?”หลิงอวี๋ส่ายหัว “เมื่อคืนข้ามิได้อยู่บ้าน ข้าไปตรวจรักษา มิรู้ว่าพระนางส่งคำเชิญมาให้ข้าหรือไม่!”“องค์หญิงตานรั่วบอกว่าใกล้จะถึงวันเกิดของนางแล้ว นางอยากจะใช้โอกาสนี้ติดต่อกับทุกคน!”มู่หรงชิ่งขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “ข้าได้ยินมาว่านางเชิญคุณหนูร่ำรวยหลายคนจากเมืองหลวงของเจ้า! มีองค์หญิงหกด้วย! ข้าจึงมาถามเ
ทันทีที่มู่หรงชิ่งเดินจากไป หลิงอวี๋ก็ให้เถาจื่อไปเรียกลู่หนานมาทันที“ลู่หนาน ช่วยไปตรวจดูให้ข้าทีว่า องค์หญิงตานรั่วเชิญคุณหนูคนใดบ้าง มีกี่คนที่เก่งด้านวรยุทธ และมีกี่คนที่เตะลูกกลมได้!”ลู่หนานตะลึงไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “พระชายา ท่านจะทำสิ่งใดหรือขอรับ?”“ข้าอยากรู้อะไรบางอย่างเสียก่อน! องค์หญิงตานรั่วผู้นี้ดูเหมือนว่าจะมาเยือนพร้อมเจตนามิดี!”หลิงอวี๋มิเชื่อว่าเซี่ยโฮ่วตานรั่วแค่อยากจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดเท่านั้น ดังนั้นเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าก็มิเสียหายอะไรลู่หนานพยักหน้าแล้วออกไปหาคนสอบถามหลังจากนั้น ลู่หนานก็ส่งข่าวมาว่า ในบรรดาคุณหนูที่ได้รับเชิญจากเซี่ยโฮ่วตานรั่วนั้น มีคนที่กำลังฝึกวรยุทธน้อยมาก มีอยู่เพียงแค่สามสี่คนเท่านั้น ซึ่งเจียงอวี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยในรายชื่อมีหลิงเยี่ยน อันซิน หลิงหว่าน อวี๋หลาน เจิงจื่ออวี้ และฉินรั่วซืออยู่ในนั้นด้วยส่วนแขกผู้สูงศักดิ์ที่สุดก็คือ ไทเฮา จักรพรรดิอู่อัน ฮองเฮาเว่ยและพระชายาเส้าหลิงอวี๋มองที่รายชื่อแล้วจมอยู่ในความครุ่นคิด เซี่ยโฮ่วตานรั่วผู้นี้ได้เชิญลูกหลานผู้มีอำนาจในเมืองหลวงมาเกือบทั้งหมดเลย เห็นได้ชัดว่ามี
วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปเลือกของกำนัลเป็นเพื่อนมู่หรงชิ่ง จากนั้นก็ไปดูเสี่ยวเป่าที่ตำหนักองค์ชายเย่ เมื่อกลับมาก็ลากพวกเถาจื่อกับสุ่ยหลิงไปฝึกเตะลูกกลมกันที่เรือนบุหงาหลิงเยวี่ยเห็นดังนั้นก็วิ่งมาฝึกด้วย เด็กชายตัวน้อยกับพี่น้องฉีเต๋อวิ่งกันไปทั่ว เล่นกันอย่างมีความสุขมากทีเดียวในสมัยใหม่หลิงอวี๋เคยเล่นฟุตบอลมาก่อน แต่มิได้คุ้นเคยกับการเตะลูกกลมเช่นนี้มากนัก หลังจากฝึกซ้อมมาตลอดช่วงบ่าย ขาของนางก็เจ็บแปลบไปหมด นางอิจฉาหลิงเยวี่ยที่ยังเด็กก็เลยมีพลังเยอะมากคืนนี้หลิงอวี๋มิได้ไปที่เรือนริมวารี นางอาบน้ำร้อนแล้วเข้านอนก่อนกระทั่งในวันที่สาม ก็เป็นวันเกิดของเซี่ยโฮ่วตานรั่วแล้ว พวกของหลิงหว่าน เจียงอวี้และอันซินก็มาที่ตำหนักอ๋องอี้แต่เช้าแล้วไปที่ภูเขาว่านโซ่วพร้อมกับหลิงอวี๋“ท่านพี่หลิงหลิง ข้าฝึกเตะลูกกลมแล้ว ไม่มีปัญหาในการทำคะแนน!”เจียงอวี้เอ่ยกับหลิงอวี๋อย่างมีความสุขขณะที่นั่งอยู่บนรถม้าหลิงอวี๋เอ่ยชื่นชม “เช่นนั้นก็ดีเลย! หากวันนี้ตานรั่วมิเสนอการแข่งขัน เจ้าก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไป! แต่หากนางเสนอขึ้นมา เรามีเจ้าก็จะมิแพ้จนเสียหายเกินไป!”อันซินยิ้มพลางเอ่ย “ข้าก็ฝ
ขณะนี้หลิงอวี๋มีความคิดมากมายอยู่ในหัวแม้ว่าการกระทำเช่นนี้ของเซี่ยโฮ่วตานรั่วจะมีความหมายในการดูถูก แต่ก็หาข้อผิดพลาดอะไรมิได้เลยจริง ๆหากต้องหารนั่งเกี้ยวของพวกเขาก็ต้องยอมรับเงื่อนไขของพวกเขาหากมิต้องการยอมรับชื่อว่าเป็นขยะ เช่นนั้นก็เดินขึ้นภูเขาด้วยตัวเอง พิสูจน์ให้เซี่ยโฮ่วตานรั่วเห็นว่าตนมิใช่ขยะ!ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนึกถึงชื่อเรียกที่ดูถูกคนในแผ่นดินแล้ว หลิงอวี๋ก็ถอนหายใจออกมา มีเพียงแต่แคว้นต้องแข็งแกร่งเท่านั้นคนอื่นจึงจะมิกล้าดูถูก!เซี่ยโฮ่วตานรั่วกล้าทำเช่นนี้ในวันนี้ ก็เพราะเห็นความอ่อนแอของสตรีในฉินตะวันตกอย่างชัดเจน จึงใช้เรื่องนี้มาดูถูกสตรีในฉินตะวันตกมิใช่หรือ?“พระชายาอ๋องอี้ พูดอะไรสักอย่างสิ! ท่านมีสถานะสูงสุดในหมู่พวกเรา หรือท่านจะปล่อยให้พวกนางวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้?”เมื่อเห็นหลิงอวี๋เงียบไป เจิงจื่ออวี้ก็ตะโกนอย่างมิพอใจหลิงอวี๋เหลือบมองนางแล้วเอ่ยกับนางรับใช้ที่มาต้อนรับอย่างเรียบ ๆ “องค์หญิงตานรั่วตรัสเพียงว่า หากต้องการนั่งเกี้ยวของพวกเจ้าขึ้นไป ถึงจำเป็นต้องลงนามรับเหรียญ มิได้บอกข้อจำกัดว่าจะขึ้นไปเยี่ยงไรใช่หรือไม่?”นางรับใช้เอ่ยอย่างสบาย
“พี่ ๆ เรามาสู้ไปด้วยกันนะ ต้องมิให้คนฉีตะวันออกหัวเราะเยาะเราได้เป็นอันขาด!”อวี๋หลานเป็นคนนิสัยดีและมีความเป็นมิตร สตรีหลายคนในเมืองหลวงล้วนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง เมื่อนางให้กำลังใจเช่นนี้ สตรีเหล่านั้นก็พยักหน้ากันหมดแม้ว่าเจิงจื่ออวี้จะมิได้เห็นด้วย แต่ก็ถูกคำพูดเมื่อครู่ของนางกระตุ้นเช่นกันท่านพ่อกับพี่ชายของนางทำงานอยู่ในราชสำนัก ในเมื่อนางได้รับเชิญมาแล้ว นางจะทำให้พ่อกับพี่ชายของนางต้องอับอายมิได้“พี่หญิงจื่ออวี้ น้องสวี่เหยียน พวกเจ้าฉลาดกว่าข้า วันนี้พวกเจ้าเป็นผู้นำเถิด!”อวี๋หลานพูดเยินยอเจิงจื่ออวี้กับสวี่เหยียนอย่างชาญฉลาดเจิงจื่ออวี้เหลือบมองหลิงอวี๋ หลิงอวี๋มิรอให้นางได้พูดอะไรก็ยิ้มพลางเอ่ย “อืม อวี๋หลานพูดถูก จื่ออวี้กับสวี่เหยียนเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้ากลุ่ม พวกเจ้าสองคนเป็นหัวหน้ากลุ่มเถิด!”“วันนี้พวกเราออกมาเที่ยวเล่น หาได้ต้องพูดถึงเรื่องสถานะไม่ ยกให้คนที่มีความสามารถมาก่อนดีกว่า!”เมื่อเห็นว่าหลิงอวี๋ยกย่องนาง เจิงจื่ออวี้ก็ค่อนข้างพึงพอใจ จึงกำหมัดแน่นพลางเอ่ย “ในเมื่อทุกคนเสนอให้ข้าเป็นหัวหน้า เช่นนั้นข้าก็จะมิเกรงใจแล้ว!”“เราจะทำให้สตรีฉินตะว
หัวใจของหลิงอวี๋สั่นไหว นางยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าไปบอกให้เจิงจื่ออวี้นำทุกคนร้องเพลงเถิด! ทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ร้องเพลงพื้นบ้านกันเถิด มันจะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ และยังช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจอีกด้วย!”หลิงอวี๋นึกถึงเพลงของเรือนบุหงา ทุกครั้งที่คนในเรือนบุหงาร้องเพลง “เราครอบครัวเดียวกัน” ด้วยกัน ทุกคนในเรือนบุหงาล้วนติดใจบรรยากาศนั้น ความแข็งแกร่งของการเชื่อมสายใยต่อกันนั้นมิสามารถบรรยายมาเป็นคำพูดได้เลยหลิงเยวี่ยชอบเพลงนี้ ทุกครั้งที่เรือนบุหงามีคนใหม่เข้ามา เขาจะสอนพวกนางในทุกคำทุกประโยคด้วยน้ำเสียงน่ารัก ๆ ของเขาตอนนี้แม้แต่หานอวี้กับหานเหมยเองก็สามารถร้องได้คล่องแล้วเช่นกัน“เช่นนั้นคงจะมิดีกระมัง… คนอื่นได้ยินเข้าจะหัวเราะเอาได้!”เพราะว่าอันซินเป็นกุลสตรีที่มาจากตระกูลที่มีฐานะ การส่งเสียงร้องเพลงท่ามกลางผู้คนจึงทำให้นางค่อนข้างรู้สึกอาย“มีอะไรที่ต้องหัวเราะเล่า! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการร้องเพลงริเริ่มขึ้นได้เยี่ยงไร?”“หลังจากชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อุดมสมบูรณ์ พวกเขาอยากจะแสดงความรู้สึกออกมา แต่คำพูดมันมิมากพอ จึงต้องร้องเพลงเพื่อที่จะแสดงความรู้สึกมีความสุขของตัวเองออกมา!”หลิ