มีผู้คนจำนวนมากที่รู้สึกเช่นเดียวกับเจิงจื่ออวี้ พวกเขาทั้งหมดลงเดิมพันว่าหลิงอวี๋จะเข้าไปไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่านางจะเข้าไปได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ!เงินน่ะสิ… คนนับไม่ถ้วนอยากจะลงไปร้องไห้กับพื้น!ให้ตายเถอะ แพ้อย่างน่าอนาถเสียจริง!“ฮ่า ๆ … ฮ่า ๆ ...”อันเจ๋อเห็นคนที่อยู่รอบ ๆ ที่วางเดิมพันว่าหลิงอวี๋จะแพ้ดูหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก็แค่อยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆแต่กลัวว่าจะไปยั่วโมโหทุกคน เขาจึงทำได้เพียงอดกลั้นไว้มุมปากของคนรับใช้เขาแทบจะฉีกไปถึงหูอยู่แล้ว เป็นดังที่คิด วางเดิมพันตามนายท่าน เดิมพันร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!ห้าสิบตำลึงกลายเป็นห้าพันตำลึง...โอ้โห ความรู้สึกของการมีเงิน สามารถเอากลับไปซื้อที่ดินให้แม่ได้เลย!“องค์รัชทายาท สายพระเนตรของพระองค์ช่างเฉียบคมนัก! กระหม่อมนับถือยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”อันเจ๋อเหลือบมองเขา “เสี่ยวย่าง เจ้าลงเดิมพันพระชายาตามข้าสินะ? อย่าได้พูดว่าไม่เชียว หากปากของเจ้ายิ้มขึ้นไปอีกก็คงไปแขวนอยู่บนหูแล้ว!”“เหอะ ๆ… ไหนเลยจะได้เยอะเท่าพระองค์ ที่ได้เงินถึงสองแสนพ่ะย่ะค่ะ!”คนรับใช้ไม่กล้าคิดเลยว่าเงินมากขนาดนั้นจะไปกองเต็มห้องกี่ห้อง ชีวิตนี้ต่อให้เป็น
ณ เรือนมรกตพระที่นั่งทองคำแห่งวังหลวง โดดเด่นด้วยเรือนขนาดใหญ่ที่ประดับประดาด้วยหลังคาชายคาหลายชั้นและกระเบื้องเคลือบสีทองดูสง่างามเป็นพิเศษภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องหลังคาสีทองและประตูสีแดงของวังหลวง รูปแบบโบราณเหล่านี้ทำให้หลิงอวี๋ที่เดินเล่นไปตามทางเต็มไปด้วยความรู้สึกเยาะเย้ยในใจนางคือคนที่ได้เห็นประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาห้าพันปีแล้ว ความมั่งคั่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นางตกใจนัก ในความคิดของนางก็เป็นเพียงเมฆหมอกที่ผ่านตาเท่านั้นเอง!คนที่ได้ดีบนความเสียสละของคนอื่น ในวังที่ดูคล้ายจะงดงาม มันเต็มไปด้วยคาวเลือด ทั้งยังฝังหญิงสาววัยรุ่นไว้อีกจำนวนมากด้วย!หลิงเยวี่ยถูกแม่นมลี่สั่งสอนมาอย่างดีมาก สายตาไม่ว่อกแว่ก และท่าทีนอบน้อมทุกย่างก้าวหลิงอวี๋ภูมิใจในตัวเขามาก เด็กคนนี้เรียนรู้อะไรก็เป็นเช่นนั้นเลย!เซียวหลินเทียนตาบอด ไม่เห็นหรือว่าใบหน้าเล็ก ๆ ของเขานั้น ช่วงตาเหมือนกับเซียวหลินเทียนทุกประการ?แม้ว่าทั้งสามคนจะบอกว่าเป็นการเดินเล่น แต่เพราะว่ามาเข้าร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮา จึงไม่อาจชะล่าใจได้ จึงเดินไปที่ศาลาในสวนตามเส้นทางคดเคี้ยวนั้นไป“พระชายา ท่านอ๋องอยู่ทางนั้นเจ
"พระชายาผิงหยาง… ชุดนี้ของเจ้าสวยมาก! จ่ายไปหลายพันตำลึงเลยสินะ!" เพื่อจะระบายความโกรธที่แพ้เดิมพันเสียเงินไป เสิ่นจวนกับเจิงจื่ออวี้จึงได้ผูกมิตรกับพระชายาผิงหยาง และชมเชยประจบสอพลอ"แน่นอนสิ ข้าจ่ายไปทั้งหมดห้าพันตำลึงเงิน! นี่สั่งตัดที่เรือนหลินหลางเชียวนะ!" "เพื่อเข้าร่วมงานฉลองวัพระราชสมภพของไทเฮา ข้าสั่งทำล่วงหน้าสามเดือนเลย!" ชุดที่เสิ่นจวนใส่วันนี้ก็งดงามมากเช่นกันกระโปรงสีชมพูอ่อนตรงชายมีระบายพลิ้ว มีปักลวดลายผีเสื้อตรงชายกระโปรงนางเหลือบมองหลิงอวี๋ แล้วพูดเยาะเย้ย"พระชายาผิงหยาง ลูกพี่ลูกน้องของข้าไม่สามารถเทียบเจ้าได้เลย! นางน่ะ เป็นหนี้เงินกู้ตั้งมากถึงเพียงนั้น แต่ไม่มีเงินตัดชุด ทำได้เพียงใส่ชุดเก่ามา!" ทันทีที่พระชายาผิงหยางได้ยิน ก็ยิ่งเย่อหยิ่งขึ้นมา แล้วพูดดูถูก "ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! หลิงอวี๋ เจ้าก็รีบบอกสิ! หากรีบบอกข้าจะได้ส่งชุดที่ข้าไม่เคยใส่ไปให้เจ้าสักชุด!"น้ำเสียงที่ดูสงเคราะห์นั้นทำให้สาว ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ล้วนหัวเราะออกมาพระชายาผิงหยางยิ้มอย่างดูถูก "ข้าอยากจะส่งชุดที่เรือนหลินหลางตัดให้พระชายาอ๋องอี้…"พวกสาว ๆ ไ
ส่วนพระชายาผิงหยาง วันนั้นก็เห็นชุดนี้ที่เรือนหลินหลางเช่นกัน ตอนนั้นก็จ้องอยู่ตาเป็นมันด้วย! แต่อ๋องผิงหยางเป็นอ๋องที่ว่างงาน นอกเสียจากเงินเดือนที่ได้ประจำแล้ว หนึ่งปีก็มีรายได้ไม่กี่หมื่นหรอกชุดที่พระชายาผิงหยางใส่นี้ก็แอบซื้อลับหลังอ๋องผิงหยางวันนี้นางได้ยินว่ามีการวางเดิมพันกัน ก็เอาตั๋วเงินสองหมื่นออกมาอย่างเงียบ ๆยังคิดอยู่ว่าจะชนะพนัน แล้วเงินค่าชุดนี้ก็จะได้กลับมา แล้วก็จะสามารถบอกกับอ๋องผิงหยางได้เต็มที่! ไหนเลยจะคิดว่าจะแพ้จนเสียไปทั้งหมด! พระชายาผิงหยางยังไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวจะไปอธิบายกับอ๋องผิงหยางเยี่ยงไร!คิดอยู่ว่าหรือหลังจากจบงานเลี้ยงจะไปหลบอยู่ที่บ้านแม่สักสองสามวันดี!“ชุดนี้จะต้องเป็นของปลอมแน่!”ฉินรั่วซือเห็นสีหน้าของทั้งสามคนไม่สู้ดี จึงเอ่ยเตือน“ใช่ ๆ ชุดนั้นที่เรือนหลินหลางไม่ใช่แบบนี้…”ทันทีที่พระชายาผิงหยางถูกนางเตือน ก็ชี้ไปที่คอเสื้อแล้วพูดขึ้น“คอเสื้อที่เรือนหลินหลางเป็นแบบไขว้ ที่กระโปรงกับแขนเสื้อก็ใช้ดิ้นสีเงิน…”“หลิงอวี๋ เจ้าซื้อไม่ไหวก็อย่าทำของปลอมสิ! นี่ไม่ใช่การทำให้คนเขาหัวเราะกันรึ?”“คิดไม่ถึงเลยว่าพระชายาผู้สง่าจะใ
สาว ๆ คนอื่นมองบนตัวของตนเอง กระทั่งเข็มขัดก็ยังเทียบไม่ติดเลยจบ พลันรีบหุบปากกันทั้งหมด!คนเทียบกับคนยังทำให้โกรธได้! สิ่งของเทียบสิ่งของ ย่อมต้องมีทิ้งกันบ้างปะไร!“หลิงซิน เจ้าดูสิคนที่เขาดูของเป็นล้วนบอกว่าเป็นของจริง เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว! เงินนี้จ่ายไปอย่างคุ้มค่าแล้ว!”“ไปเถอะ! ท่านอ๋องรอพวกเราอยู่ทางนั้น!”หลิงอวี๋กำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปพระชายาผิงหยางก็เหลือบมองผ้าคลุมหน้าของนาง แล้วยื่นมือไปจับนางไว้ “พระชายาอ๋องอี้ ไม่ต้องรีบร้อนกระมัง! นี่ยังคุยไม่จบเลยมิใช่รึ?”“เมื่อสองวันก่อนข้าได้รับตำรับยาพื้นบ้านมา ได้ยินว่าถูกท่านอ๋องอี้ทุบตีจนบาดเจ็บไปทั้งหน้า ตำรับยาพื้นบ้านของข้าช่วยรักษารอยแส้ได้นะ!”นางพูดแล้วยื่นมือจะมาคว้าผ้าคลุมหน้าของหลิงอวี๋…หลิงอวี๋เห็นว่าพระชายาผิงหยางยื่นมือมา ก็หันหน้าหลบตามสัญชาตญาณพระชายาผิงหยางเห็นดังนั้นก็เอ่ยอย่างเยาะเย้ย “ผ้าคลุมหน้าผืนนี้ของเจ้าไม่ต้องคลุมแล้วกระมัง เจ้าไม่ให้ข้าดู ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าตำรับยาพื้นบ้านเหมาะกับเจ้าหรือไม่!”“ใช่!” เจิงจื่ออวี้เห็นว่าหาโอกาสที่จะให้หลิงอวี๋อับอายได้อีกครั้งแล้ว มีหรือจะปล่อยโอกาสนี้
สาว ๆ คนอื่นที่ดูอยู่ก็หัวเราะออกมาเช่นกันมีคนพูดขึ้นมาอย่างเหยียดหยาม “ช่างไร้ยางอายจริง ๆ ที่สอนลูกเช่นนี้!”“แม่เป็นเยี่ยงไรลูกก็เป็นเยี่ยงนั้นสินะ! พระชายามีความหยิ่งผยอง ลูกชายที่นางเลี้ยงก็หยิ่งผยองตามนาง! เพื่อที่จะประจบนาง จึงแยกไม่ออกว่าอะไรคืองามอะไรคือน่าเกลียด!”พระชายาผิงหยางพูดอย่างเกรี้ยวกราด “พระชายาอ๋องอี้ เจ้าอย่าได้ปกปิดไว้เลย เปิดผ้าคลุมหน้าเถิด! พวกเราจะไม่หัวเราะเจ้าหรอก!”หัวเราะกันหมดนี่แหละ จะไม่หัวเราะได้หรือ!หลิงอวี๋มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยกระของพระชายาผิงหยาง แป้งหนา ๆ ก็ยังปิดไม่มิด จึงหัวเราะพลางเอ่ย “ในเมื่อพระชายาพูดเช่นนี้แล้ว!”“พวกเจ้าอยากดูถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ดูเถิด!”หลิงอวี๋ค่อย ๆ เปิดผ้าคลุมหน้า พวกของเสิ่นจวนเตรียมตัวจะระเบิดหัวเราะ เพื่อดึงดูดผู้คนให้เห็นใบหน้าที่น่าเกลียดของหลิงอวี๋มากขึ้นไหนเลยจะคิดว่า พอผ้าคลุมหน้าเปิดออก ใบหน้าของหลิงอวี๋ค่อย ๆ ปรากฏต่อหน้าทุกคน…เห็นว่าใบหน้าที่เมื่อสิบกว่าวันที่แล้วเห็นแต่รอยแส้เต็มหน้านั้น ได้เปลี่ยนเป็นในหน้าที่สวยดุจบัวผุดขึ้นเหนือน้ำใบหน้านี้ มีผิวหน้าที่เกลี้ยงเกลา ในความขาวก็ยังมีสีแดงอ
พระชายาผิงหยางรูปร่างอ้วน เมื่อใส่ชุดที่หนา ๆ เช่นนี้ ร้อนเสียจนเหงื่อกาฬออกแป้งหนา ๆ ที่อยู่บนใบหน้าชุ่มเหงื่อ แล้วก็หลุดออกไปบางส่วนแล้วแม้ว่าจะยังไม่ถึงขนาดที่เป็นด่างเป็นดวง แต่ถ้าอยู่อีกสักหน่อย มันจะกลายเป็นรอยด่างบนหน้าจริง ๆ แล้วเดิมทีหลิงอวี๋ก็ไม่ใช่คนใจร้าย เพียงแต่พอถูกคนคนนี้วุ่นวายมานานมากแล้วก็เลยรำคาญ ความใจร้ายของนาง ถึงได้พูดจาเยาะเย้ยไปสองสามประโยคแต่สองสามประโยคนี้ พระชายาผิงกลับหยางรับไม่ไหวแล้ว นางยกมือขึ้นจับหน้าตนเองโดยไม่รู้ตัว บนมือนั้นเช็ดแป้งออกมาเป็นชั้นเลยนางหน้าแดงหูแดงทันที รู้สึกว่าสายตาของทุกคนต่างก็กำลังเยาะเย้ยนาง!นางโกรธจนผลักหลิงอวี๋อย่างแรง พลางตะคอก “หลิงอวี๋ เจ้ารังแกข้ามากเกินไปแล้ว… เจ้า… เจ้ารอก่อนเถอะ… เจ้ากับข้าเห็นดีกันแน่!”พูดจบ พระชายาผิงหยางก็ปิดหน้าวิ่งไปอย่างตระหนก นางต้องไปหาที่แต่งหน้า!“เอ๊ะ เหตุใดจึงไปแล้วเล่า! ข้าเจตนาดีนะ! ข้ายังอยากจะแนะนำตำรับยาพื้นบ้านที่ใช้ดูแลความงามกับนางเลย!”“เห้อ พระชายาผิงหยางนี่ใจแคบนัก เมื่อครู่นางว่าข้าไว้ตั้งมากมายถึงเพียงนั้น ข้าก็มิได้โกรธอันใด! ข้าว่านางไปแค่สองประโยค นางก็รับมิได
คนที่ตามหลังท่านอดีตเสนาบดีมาติด ๆ คือหลิงเสียงเซิงพ่อของหลิงอวี๋ ผู้เป็นอาลักษณ์สำนักฮั่นหลินเขาอายุสี่สิบกว่าปี รูปร่างผอมเพรียว ที่กรามเรียว ๆ ของเขามีเคราบาง ๆ อยู่สองชั้นหลิงเสียงเซิงมองมาทางนี้จากที่ไกล ๆ เห็นหลิงอวี๋ก็เบือนหน้าหนีไปเหมือนเป็นคนแปลกหน้ากัน!ต่อจากหลิงเสียงเซิงก็คือหลิงเยี่ยนผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาของหลิงอวี๋ เป็นเด็กสาวอายุประมาณสิบห้าปีนางสวมกระโปรงผ้าตาข่ายสีชมพู ที่เอวผูกผ้าสีเดียวกัน ผมสีดำสนิทประดับด้วยปิ่นติดผมหยกเขียวและไข่มุกติดสลับกัน ชุดนี้ดูหรูหราแต่ก็คงความมีชีวิตชีวาอยู่!ดูท่าทางแล้วเป็นที่รักของคนในครอบครัว!ใบหน้าที่งดงามของนางยังไม่ได้เปิดเผยออกมาเต็มที่ แต่ในความเยาว์วัยนั้นก็เผยเสน่ห์แล้ว!หลิงเยี่ยนเห็นหลิงอวี๋ ในแววตาก็ฉายแววประหลาดใจ จ้องมองจากทางนี้อยู่นาน ในสายตานั้นก็เปลี่ยนเป็นความดูถูก…ด้านหลังของหลิงเยี่ยนคือหลิงเฟิง ลูกชายคนโตของหลิงเสียงเซิง หลิงเฟิงได้รับการถ่ายทอดด้านรูปร่างหน้าตาของหลิงเสียงเซิงมา เขาผอมและสูงเขาจมูกโด่ง สายตาที่มองคนอื่นนั้นจะมีความมืดมนอยู่เล็กน้อย แค่มองก็รู้เลยว่าเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นยากเขาไม่
ในขณะที่พวกของเซียวหลินเทียนและเผยอวี้ติดอยู่ในตำหนักใต้ดิน เย่หรงและหลงจิ้งก็เข้าไปในบ่อนพนันของสำนักซิงหลัวได้อย่างราบรื่นแล้วเนื่องจากสถานะของหลงจิ้งคือแขกผู้มีเกียรติ เย่หรงที่อยู่ในฐานะผู้คุ้มกันจึงดูราวกับว่าเป็นคนที่พวกเขาคุ้นเคยด้วยเช่นกัน ทั้งสองจึงได้รับการต้อนรับให้เข้าไปอย่างราบรื่นก่อนหน้านี้เย่หรงก็เคยไปที่บ่อนพนันสำนักซิงหลัว ทั้งยังเคยเล่นการพนันที่นั่นอยู่สองสามครั้งด้วย แต่เนื่องจากบรรดาแขกที่มาส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน พวกเขาจึงเป็นเช่นเดียวกับเย่ซวินที่เมื่อเจอเย่หรงก็จะเยาะเย้ยทุกครั้งหลังจากนั้นเย่หรงก็มิกลับมาอีกเลยบ่อนพนันใหญ่โตมาก และคนที่มาต้อนรับพวกเขาก็คือผู้ดูแลเฝิง เขาเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ อายุประมาณห้าสิบกว่าปีเมื่อก่อนเย่หรงก็รู้จักเขาเช่นกัน บุรุษผู้ไว้หนวดจิ๋มผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นเฉียบคม มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นตัวตึงคนหนึ่ง“สองวันที่ผ่านมาคุณชายสามมีธุระหรือ? ไฉนมิแวะเวียนมาที่บ่อนบ้างเล่าขอรับ?”ผู้ดูแลเฝิงเอ่ยออกมาพร้อมยิ้มตาหยีคำพูดเหล่านี้แฝงด้วยกับดัก ระหว่างทางที่มาหลงจิ้งก็คิดไว้แล้ว เดิมทีเมื่อวานตนควรจะต
“ฉินซาน เจ้าเห็นอะไรหรือไม่?”เซียวหลินเทียนมองไปทางฉินซานอย่างให้กำลังใจ เมื่อครู่ฉินซานค่อนข้างท้อแท้กับความสามารถของตนเอง เซียวหลินเทียนจึงอยากใช้สิ่งนี้กระตุ้นความมั่นใจของฉินซานฉินซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ชี้ไปที่แผนที่พลางเอ่ยออกมา “ในผังภาพหยินหยางมีเส้นอยู่สองเส้น เส้นหยินเริ่มจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนเส้นหยางเริ่มจากทิศตะวันออก”“หากเส้นหยินเคลื่อนที่ไปตามนี้แสดงว่าหยินแข็งแกร่งหยางอ่อนแอ และหากเส้นหยางเคลื่อนที่ไปทิศทางนี้ก็แสดงว่าหยางแข็งแกร่งหยินอ่อนแอ”“กลไกที่พวกเราผ่านมาได้เมื่อครู่นี้หากอิงตามผังแปดทิศ ถูกแบ่งและเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของมัน กลไกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นตามแบบของผังแปดทิศ หากพวกเราเดินไปที่กลไกในตำแหน่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็จะง่ายหน่อย ทว่าหากเป็นตำแหน่งทิศตะวันออก ก็จะมีกับดักกลไกอันตรายทุกย่างก้าว!” เมื่อเผยอวี้ ลู่หนานและคนอื่น ๆ ได้ฟังเช่นนั้นก็ต่างรู้สึกสับสนกันไปหมดลู่หนานจึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ “แล้วทำอย่างไรพวกเราจึงจะแยกแยะตำแหน่งของทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศตะวันออกให้ชัดเจนได้เล่า มิใช่ว่าเดินไปตามนี้หรือ? มีโอกาสเลือกได้ที่ไหนกั
ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนก็เคยเห็นวิชากลไกที่เจ้าตำหนักปีกเงินคนก่อนรวบรวมไว้เช่นกัน เขาได้ทำการศึกษาพร้อมกับฉินซานและผ่านไปได้หลายด่านโดยไม่มีอันตรายใด ๆแต่ก็เป็นดังเช่นที่หุ่นไม้เตือน ด่านต่อ ๆ ไปจะยากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากเผยอวี้และเซียวหลินเทียนแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนจะถูกกลไกหลอกในระดับที่ต่างกันผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุดก็คือจ้าวซวน เขาเกือบจะถูกกลไกตัดแขนขาดครึ่งหนึ่ง ทว่าเซียวหลินเทียนเห็นว่าสถานการณ์มิดี จึงพุ่งเข้าไปแล้วใช้กระบี่คุนอู๋ตัดกลไกได้ทันกาล สุดท้ายก็ช่วยจ้าวซวนออกมาได้แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ จ้าวซวนก็ถูกเฉือนจนเนื้อหนังเปิดอย่างน่าสยดสยอง และเลือดก็ยังคงไหลมิหยุดด้วยเผยอวี้รีบหยิบโอสถสมานแผลออกมาเทลงบนมือของจ้าวซวนจนหมดขวด แต่ก็ต้องใช้โอสถสมานแผลถึงสองขวดจึงจะห้ามเลือดที่แขนของจ้าวซวนได้เซียวหลินเทียนเห็นว่ายังเดินกันมิถึงครึ่งทางของตำหนักใต้ดิน แต่คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็ได้รับบาดเจ็บกันแล้ว ในใจจึงแอบด่าทอเจ้าสำนักซิงหลัวคนก่อนว่าช่างวิปริตเสียจริง ไม่มีอะไรจะเล่นแล้วหรือไร ถึงได้ต้องมาทำของอันตรายร้ายกาจเยี่ยงนี้!แต่ก็เพราะตำหนักใต้ดินอันตราย คนชุดขาวจ
ลู่หนานไปสำรวจเส้นทางข้างหน้ามาแล้ว ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนเคยบอกไว้ว่า กลไกในตำหนักใต้ดินนั้นซับซ้อนมาก และบอกพวกเขาว่าอย่าไปเสี่ยงง่าย ๆลู่หนานเดินไปจนถึงทางเลี้ยว เขาทำตามคำสั่งของเซียวหลินเทียน เมื่อเขาเห็นประตูบานหนึ่งจึงมิกล้าเข้าไปเขายืนอยู่ห่างจากหน้าประตูสองสามเมตร และพยายามตรวจดูว่าบริเวณโดยรอบมีกับดักหรือไม่แต่พื้นถนนตรงหน้าประตูกับตรงที่ที่เขายืนอยู่นั้นเป็นแบบเดียวกัน ล้วนปูด้วยแผ่นหินชนวน ดูแล้วก็หาได้มีสิ่งใดผิดปกติไม่และประตูบานนั้นก็ดูคล้ายกับว่าฝังอยู่ในผนังอุโมงค์ ไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งประตูที่หนักอึ้งทั้งสองบานก็ประกบเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา มิได้มีช่องว่างใดด้วยลู่หนานเคลื่อนไหวไปช้า ๆ แต่เดินไปได้เพียงหนึ่งเมตร จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าที่ใต้เท้าว่างเปล่า แล้วแผ่นหินชนวนก็แยกออกจากกัน จากนั้นลู่หนานก็รู้สึกว่าร่างกายของตนตกลงไปเขาตกใจมากจึงกระโดดขึ้นไปจนหัวกระแทกกับเพดานถ้ำ จากนั้นก็มีลูกศรลับนับมิถ้วนพุ่งออกมาจากผนังทั้งสองด้านโชคดีที่ลู่หนานเป็นคนตาไวมือไว จึงเบี่ยงตัวหลบแล้วไถลตัวกลับไปได้ทันกาลแต่ถึงกระนั้น ที่ไหล่ของลู่หนานก็ถูกลูกศรยิ
“สหายหวงฝู่ ข้าขอแนะนำว่าเจ้าเองก็อย่าได้ตกลงตามเงื่อนไขของเขา!”เซียวหลินเทียนเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ “แม้ว่าข้าจะรู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องพิษของลูกสาวเจ้า แต่คนที่แม้แต่ใบหน้าที่แท้จริงก็ยังมิกล้าเปิดเผยออกมาเช่นนี้ เจ้าจะเชื่อคำสัญญาของเขาได้หรือ?”“แม้ว่าเขาจะรับปากว่าจะปล่อยพวกเจ้าไป แต่เมื่อฝูไห่ถูกปล่อยตัวออกมา เขาจะลืมความแค้นที่เมื่อนั้นบรรพบุรุษของเจ้าแช่แข็งเข้าไว้ใต้ภูเขาหิมะได้หรือ?”“จากที่ข้าเห็น เขาก็แค่มิกล้าบุกเข้ามาในตำหนักใต้ดิน ก็เลยจงใจล่อลวงเจ้า!”“สหายหวงฝู่ คนชุดขาวผู้เดียวก็เก่งกาจเช่นนี้แล้ว หากฝูไห่ถูกปล่อยตัวออกมา ทั่วทั้งใต้หล้านี้ ผู้ใดกันที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้? กลัวก็แต่เมื่อถึงกาลนั้น คนที่ตายจะมิใช่เพียงแค่พวกเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงราษฎรนับล้านในแดนเทพอีก!”ความเป็นความตายของคนเหล่านั้นเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า!หวงฝู่หลินเกือบจะหลุดพูดคำนี้ออกไปแล้ว แต่เมื่อหันไปเห็นปี้ซง หวงฝู่หลินก็พูดเช่นนี้มิออกปี้ซงและเหล่าทาสในวังเทพ มีหลายคนที่อยู่กับตนมาตั้งแต่เด็ก แล้วเขาจะบอกว่ามิต้องไปสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นได้หรือ?หากเป็นเช่นนี้ ตนยังนับว่าเป
คนชุดขาวแค่นเสียงหัวเราะหึ ๆ “แม้ว่าข้าจะบอกเจ้า แต่ช่วงเวลาเยี่ยงนี้เจ้าจะปรุงยาแก้พิษได้รึ?”“หวงฝู่หลิน เดิมทีข้าจะใช้พิษนี้กับเจ้า เพียงแต่หาโอกาสมิได้เสียที!”“เมื่อครู่เสวี่ยเหมยเห็นเจ้า นางกังวลว่าจะหลบหนีไปมิได้ นางจึงวางยาพิษหวงฝู่หมิงจู!”“หวงฝู่หลิน ใต้หล้านี้มีพิษชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าจื่อลู่ มาจากทะเลทราย สำหรับคนที่เติบโตมาในภูเขาหิมะ เช่นเจ้าคงจะมิเคยได้ยินกระมัง!”หวงฝู่หลินรู้สึกเสียใจแต่ก็สายบไปเสียแล้ว เมื่อครู่ที่พบเสวี่ยเหมยเขาน่าจะสังหารนางไปเสียแต่แรก เช่นนั้นนางก็จะไม่มีโอกาสวางยาพิษหมิงจูบัดนี้เมื่อคนชุดขาวเอ่ยถึงจื่อลู่อะไรนั่น เขาก็มิเคยได้ยินมาก่อนเลยจริง ๆ ไหนเลยจะรู้ว่าจะแก้พิษให้หมิงจูได้อย่างไรคนชุดขาวน่าจะพอคาดเดาความคิดของหวงฝู่หลินได้ เขาจึงเอ่ยออกมาอย่างอดทน “หวงฝู่หลิน ในทะเลทรายมีพิษที่ร้ายแรงมากอยู่สองชนิด เมื่อเรียกรวมกันแล้วจะเป็นชื่อว่าจื่อลู่เฟิงต่าน”“ยาพิษที่เสวี่ยเหมยใช้กับหวงฝู่หมิงจูคือจื่อลู่ หากพิษของจื่อลู่เข้าไปในกระดูกและข้อต่อ ความหนาวเย็นก็จะเจาะไปในกระดูก จากนั้นอาการก็จะกำเริบในช่วงยามจื่อ[footnoteRef:0]และยามหวู่[footnoteR
ลู่หนานมิรอให้ควันจางหมดก็วิ่งเข้าไปดู เห็นว่าก้อนหินขนาดใหญ่นั้นถูกระเบิดไปหนึ่งในสามส่วน ซึ่งเพียงพอที่จะให้คนเข้าไปได้แล้ว“ระเบิดออกแล้ว! รีบมาเร็วเข้า!”ลู่หนานกังวลว่าที่ปากถ้ำจะมีกับดักอยู่ จึงรีบเข้าไปก่อนโดยมิลังเลข้างในมืดสนิท ลู่หนานจุดตะบันไฟ จึงได้เห็นอุโมงค์ใต้ดินยาวสิบกว่าเมตรเขาลองเดินไปสองสามเมตร แต่ก็ไม่มีกับดักใด ๆ“เข้ามาเถิด ปลอดภัย!”ลู่หนานรีบวิ่งไปที่ทางเข้า แล้วเรียกทุกคนเผยอวี้จึงพยุงเซียวหลินเทียนเดินเข้ามา ส่วนจ้าวซวนก็พยุงฉินซานเดินตามหลังมาติด ๆ หวงฝู่หลินก็เดินโซเซเข้ามาพร้อมกับปี้ซงที่ช่วยพยุงเขาไว้“เผยอวี้ จ้าวซวน พวกเจ้าเฝ้าทางเข้าไว้ พวกเราพักก่อนสักหน่อยแล้วค่อยไป!”ทันทีที่เซียวหลินเทียนนั่งลงที่พื้นก็รีบหยิบโอสถสมานแผลที่หลิงอวี๋ให้มาแบ่งให้ฉินซานสองสามเม็ด จากนั้นก็เทยาสองสามเม็ดใส่ปากตัวเอง“สหายหวงฝู่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อเซียวหลินเทียนผ่อนคลายแล้วก็เอ่ยถามออกไปหวงฝู่หลินยิ้มขมขื่น “ร่างกายชาไปครึ่งซีก! ในอาวุธลับของคนชุดขาวมีพิษ ข้ากินยาแก้พิษไปแล้ว น่าจะได้ผล แต่ข้ายังต้องการเวลาอีกสักหน่อย!”เซียวหลินเทียนมองไปที่ปาก
“สารเลว!”แม้ว่าคนชุดขาวจะถูกพลังของเซียวหลินเทียนเผาไหม้มือ แต่เขายังคงจับด้ามโซ่ไว้แน่นด้วยความอดทนที่คนธรรมดามิอาจจินตนาการได้เซียวหลินเทียนเองก็ได้กลิ่นไหม้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าคนชุดขาวมิยอมปล่อยมือ ดวงตาของเซียวหลินเทียนก็เผยแววความชื่นชมขึ้นมาคนชุดขาวผู้นี้ก็มิธรรมดาเช่นกันนี่!ชั่วพริบตาต่อมา เซียวหลินเทียนกระตุกมือกระชับกระบี่คุนอู๋ในมือแน่นพลางพุ่งถอยหลังไปคนชุดขาวจับด้ามโซ่อ่อนไว้แน่น การเกี่ยวพันกันของกระบี่คุนอู๋และโซ่อ่อนก็ดึงกันจนกลายเป็นรูปร่างโค้งทั้งสองฝ่ายประลองกำลังกันไปมาราวกับชักเย่อแต่เซียวหลินเทียนถึงจุดที่จะหมดพลังแล้วในการโจมตีเมื่อครู่นี้ เขาเสียพลังไปถึงแปดส่วนบัดนี้ หากเพียงแสดงท่าทีว่าทนมิไหวเพียงแม้เสี้ยว โซ่อ่อนของคนชุดขาวก็สามารถโจมตีเขาจนกระเด็นออกไปได้ในชั่วพริบตาทันใดนั้นเอง เผยอวี้ก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับตะโกนออกไป “ดูนี่!”เขาขว้างสิ่งของสีดำชิ้นหนึ่งไปทางคนชุดขาวคนชุดขาวเห็นของสิ่งนั้นมีประกายไฟขึ้นมาก็พลันตกใจ ยามนี้แม้ว่าโซ่อ่อนจะเป็นสิ่งล้ำค่าต่อเขามาก แต่เขาก็มิสนใจแล้ว จึงปล่อยมือแล้วถอยหลังไปในทันทีคนชุดขาวยังมิทันลงถึงพื้น
ผู้ที่ท้าทายจะพบกับดักกลไกต่าง ๆ ในตำหนักใต้ดิน หากมิได้แขนขาดหรือเสียอวัยวะใดไป ก็จะเสียชีวิตคนที่โชคดีกลับไปถึงที่จุดเริ่มต้นต่างบอกกันว่า เจ้าสำนักคนก่อนเป็นพวกวิปริต และนี่คือตำหนักใต้ดินที่ยากที่สุดที่พวกเขาเคยพบมา ไม่มีทางที่จะหาทางออกจากตำหนักใต้ดินได้ตำหนักใต้ดินแห่งนี้สมกับที่มีชื่อเสียงว่าเป็นตำหนักใต้ดินแห่งความตายอย่างแท้จริงแม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าสำนักคนก่อนและยอดฝีมือเหล่านี้จะลงนามข้อตกลงเรื่องความเป็นความตายกันแล้ว แต่จำนวนคนที่ตายก็มากมายจนทำให้ราษฎรโกรธแค้นบรรดาญาติของผู้ตายต่างก็วิตกกังวลกันขึ้นมา จึงขอให้หลงอี้สั่งให้เจ้าสำนักคนก่อนทำลายตำหนักใต้ดินที่สังหารผู้คนมากมายแห่งนี้ไป มิฉะนั้นพวกเขาก็จะจุดไฟเผาทำลายภูเขาอนันต์ทั้งลูกสำหรับตำหนักใต้ดินที่รวบรวมทั้งชีวิตและเลือดเนื้อของตนแห่งนี้ เจ้าสำนักคนก่อนจะทำลายลงได้อย่างไร?แต่ในท้ายที่สุดเขาก็สู้แรงกดดันจากทุกคนมิได้ และภายใต้การไกล่เกลี่ยของหลงอี้ ทั้งสองฝ่ายจึงต่างก็ถอยห่างกันคนละหนึ่งก้าวเจ้าสำนักคนก่อนปิดตายทางเข้าสู่ตำหนักใต้ดินไว้ และนำเงินรางวัลยี่สิบล้านแบ่งให้กับญาติของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บที่